วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

ผลสอบมิใช่คำตอบ

ผลสอบมิใช่คำตอบ
ก้าวสู่ต้นเดือนตุลาคม เดือนที่เด็ก ๆ หลายคนเฝ้ารอคอย เพราะจะถึงเวลาที่ได้ปิดเทอม เป็นเวลาที่พวกเขาจะได้พักจากการเล่าเรียน เป็นเวลาที่จะได้พักผ่อนและทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ก่อนหน้านั้นคือช่วงเวลาที่ทุกคนต่างคร่ำเคร่ง เตรียมสอบต้องอ่านหนังสือ ทบทวนความรู้เพื่อสู่สนามสอบ เพราะคิดว่าต้องทำคะแนนให้ดีที่สุด หลายครั้งสถานการณ์แบบนี้ก็นำความเครียดมาสู่พวกเขาโดยไม่รู้ตัว พ่อแม่มักคาดหวังให้ลูกหลานของตนสอบได้คะแนนดี คะแนนมาก ๆ เด็กก็เลยจำต้องแบกรับความคาดหวังนั้นเอาไว้ พอๆกับการแบกกระเป๋าที่เต็มไปด้วยตำรับตำราเวลาไปเรียนหนังสืออย่างไงอย่างนั้นเลย แน่ล่ะบางทีเราก็คิดว่าการสอบได้คะแนนสูงจะเป็นหนทางที่จะนำเด็ก ๆ ไปสู่อนาคตที่ดี จะได้มีหน้าที่การงานที่มั่นคง จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าคนนายคน นี่เป็นแนวคิดที่ถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนาน
 ภาพ : http://www.tlcthai.com/
แต่ในสภาพความเป็นจริง หลายครั้งเมื่อเติบใหญ่ขึ้นเราก็มักค้นพบความจริงว่า สิ่งที่เล่าเรียนมานั้นบางครั้งแทบไม่ได้นำมาใช้เลย แต่ละคนมีสิ่งที่ชื่นชอบและชำนาญในสาขาอาชีพที่แตกต่างกัน ที่นั่งเรียนนั่งท่องนั่งสอบมานั้นแท้จริงแล้วเป็นแค่การพัฒนาสมองเพื่อเพิ่มความเฉลียว เพิ่มวิธีคิดให้เราสามารถเลือกสู่หนทางแห่งตนได้ ผลสอบบางครั้งมิใช่เป็นคำตอบของการสู่โลกแห่งความเป็นจริง ฉะนั้นแล้ว สิ่งสำคัญสำหรับความเป็นพ่อเป็นแม่ของเรา คือการที่เราต้องช่วยกันให้กำลังใจและอธิบายถึงความสำคัญในการเล่าเรียน ไม่ใช่ไปเน้นที่ผลสอบ อย่าไปเพิ่มความกังวลให้พวกเขามากเกินไป จะทำให้เด็กไม่พบความสุขในวัยแห่งการเรียนรู้ เรื่องแบบนี้กำลังเกิดขึ้นในหลายๆที่ ในหลายประเทศ อยากให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนได้อ่าน จดหมายจากผู้บริหารโรงเรียน แห่งหนึ่งในสิงคโปร์ถึงผู้ปกครองนักเรียนช่วงก่อนสอบ เป็นคำแนะนำและเตือนสติพ่อแม่ได้อย่างยอดเยี่ยม
            เรียนท่านผู้ปกครองทั้งหลาย
            ช่วงเวลาแห่งการสอบของเด็กๆ ใกล้เข้ามาแล้ว เรารู้ว่าพวกท่านคงรู้สึกวิตกกังวล อยากให้เด็กๆ ของท่านทำได้ดีในการสอบ แต่โปรดอย่าลืมว่า ในบรรดาเด็กนักเรียนทั้งหลายที่จะต้องมานั่งทำข้อสอบเหล่านี้ อาจมีว่าที่ศิลปิน ผู้ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าใจลึกซึ้งในวิชาคณิตศาสตร์ อาจจะมีว่าที่เจ้าของธุรกิจส่วนตัว ผู้ซึ่งไม่จำเป็นต้องสนใจในวิชาประวัติศาสตร์ หรือวรรณกรรมภาษาอังกฤษ อาจมีว่าที่นักดนตรี ซึ่งผลคะแนนในวิชาเคมีไม่ได้มีความสำคัญกับเขา อาจจะมีว่าที่นักกีฬา ผู้ซึ่งความแข็งแกร่งของร่างกายสำคัญกว่า ทฤษฎีกายภาพ
 ถ้าบุตรหลานของท่านทำคะแนนสอบได้ดี นั่นก็ยอดเยี่ยมมาก แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ได้โปรดอย่าพรากความมั่นใจในตนเองของพวกเขา  โปรดบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร มันก็แค่การสอบครั้งหนึ่ง พวกเขายังมีสิ่งอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าอีกมากมายในชีวิต บอกพวกเขา ไม่ว่าคะแนนสอบจะออกมาเป็นเช่นไร คุณจะรักเขาและไม่ตัดสินใดๆ
 โปรดทำเช่นนั้น และคอยเฝ้าดูพวกเขาประสบความสำเร็จในเส้นทางของเขาบนโลกใบนี้ การสอบเพียงหนึ่งครั้ง หรือผลคะแนนที่ต่ำจะต้องไม่ทำลายความฝันและพรสวรรค์ของพวกเขา และโปรดอย่าคิดว่า หมอกับวิศวกรเท่านั้นคือคนที่มีความสุขบนโลกใบนี้
ด้วยความนับถือ
ผู้อำนวยการจาก : Forward LINE
           

ภาพ : http://www.tlcthai.com/education/wp-content/uploads/2015/02/onet.jpg
ในโรงเรียนนั้นนอกจากมีการเรียนการสอน การสอบตามตำราแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมให้เด็กๆโตขึ้นเป็นคนที่มีค่าต่อสังคม โรงเรียนคือสถานที่ฝึกการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ มีการช่วยเหลือกัน เป็นที่ที่ฝึกฝนเพื่อให้เห็นถึงความเป็นตัวตน เป็นสถานที่ฝึกฝนเรื่องคุณธรรม จริยธรรมที่จะนำทางชีวิตในวันข้างหน้า บางทีเราก็หลงไปกับกระแสแห่งการแข่งขัน เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบความเป็นที่หนึ่งแบบไม่รู้ตัว และก็ใส่ลงไปในความคิดของคนรุ่นใหม่ ถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อรุ่น ทำให้เกิดสังคมแห่งการเอารัดเอาเปรียบ สังคมที่มือใครยาวสาวได้สาวดี แท้จริงแล้วชีวิตที่งดงามมิได้อยู่ที่ผลสอบ มิได้อยู่ที่ผลการแข่งขัน แต่อยู่ที่ผลของคุณธรรมในหัวใจของทุกคน อย่าลืมที่จะนำทางลูกหลานในเรื่องเหล่านี้เพื่อสังคมที่ดีงามและน่าอยู่มากขึ้น...

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

มีเหมือนกันแต่แตกต่างตรงที่...

มีเหมือนกันแต่แตกต่างตรงที่...
หลายครั้งในชีวิตเรา มักจะมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมีสิ่งที่คนอื่นเป็น แล้วกลับมามองย้อนตัวเองว่า “ทำไมเราไม่มี ไม่เป็นอย่างเขาบ้าง?” บางคนก็โทษชะตาฟ้าลิขิต โทษเวรกรรมแต่ปางก่อนเก่า และนั่งเศร้าจมโศกในสิ่งที่มี ที่เป็น เดิม ๆ โดยไม่ได้ใช้ความพยายาม ไม่แสวงหาที่จะใช้พรสวรรค์ และสิ่งที่เราชำนาญ เพื่อค้นให้พบแนวทางของตัวเอง
มนุษย์เราถูกสร้างมาให้มีหลายสิ่งหลายอย่างเหมือน ๆ กัน แต่มีอิสรภาพในการใช้สิ่งเหล่านั้นที่แตกต่างกัน และความแตกต่างตรงนี้แหละนำมาซึ่งความงดงาม ก่อให้เกิดความสุข ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ภาพ : http://issue247.com/wp-content/uploads/2015/04
เรามีดวงตาที่เหมือนกัน แต่กลับมี “มุมมอง” ที่ต่างกัน แต่ละคนมีสายตาที่มองเห็นสิ่งต่างๆไม่เหมือนกัน บางคนผ่านแค่สายตาแล้วตัดสินทันที กับบางคนมองทุกสรรพสิ่งสร้างผ่านทางหัวใจ ย่อมมีมุมมองที่ลึกและสัมผัสความเป็นจริงได้ดีกว่า
เรามีใบหูที่เหมือนกัน แต่กลับมี “วิธีฟัง” ที่ต่างกัน บางคนมีหูก็จริงแต่มักไม่ค่อยฟังใคร ถือเอาตัวเองเป็นที่หนึ่งที่ตั้ง มีหูแค่ได้ยินแต่ไม่ได้ใช้เพื่อการ “รับฟัง” บ่อยไปชีวิตต้องพังลงเพราะไม่เรียนรู้หาวิธีฟังเพื่อให้เข้าใจคนอื่น
เรามีปากที่เหมือนกัน แต่กลับมี “วิธีพูด” ที่ต่างกัน คำพูดที่ออกจากปากคือสิ่งที่ก่อให้เกิดสงครามก็มากมาย ก่อให้เกิดสันติสุขก็ไม่น้อย บางคนใช้ปากเปล่งวาจาเพื่อสร้างฐานให้กับชีวิต บางคนใช้วาทกรรมเป็นหอกทิ่มแทงคนอื่น ใช่หรือไม่คำพูดที่ออกจากปากเราควรจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างกำลังใจ ปลุกแรงบันดาลใจให้ผู้สนทนาลุกขึ้นร่วมกันสร้างสิ่งดีงาม
เรามีเวลาเหมือนกัน เท่ากันในแต่ละวัน กลับมี “วิธีใช้” เวลาที่ต่างกัน บางคนตื่นเช้าเพื่อสูดรับวันใหม่ด้วยความเบิกบาน บางคนปล่อยวันและคืนผ่านไปปีแล้วปีเล่า ด้วยการเฝ้ารอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่น บางคนไม่มีเวลาสำหรับความดี แต่มีเวลาสำหรับเรื่องบันเทิงเริงใจ เวลาที่ผ่านมาผ่านไป ไม่เคยหยุดรอคอยมีแค่เดินก้าวหน้าตลอดไป 
ภาพ : http://www.omsschools.com/filesAttach/large/1433860114.jpg

เรามีดวงใจที่เหมือนกัน แต่กลับมี “วิธีคิด” ที่ต่างกัน วิธีคิดหรือทัศนคติต่อการมีชีวิตคือสิ่งที่จะทำให้เราค้นพบหนทางแห่งตน บางคนใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่นเพราะคิดว่าภารกิจของชีวิตนี้มีเพื่อผู้อื่น บางคนคิดเพียงเพื่อตัวเอง เสพติดและหลงใหลในตัวเอง โอ้อวดว่าความสำเร็จของชีวิตคือการได้มีได้เก็บสะสม มีคนล้อมหน้าล้อมหลังไปไหนคนยกมือไหว้ หัวใจยังพองโตคิดไปเองว่าเรานี่คือสุดยอดไม่มีใครเทียบ มีอีกไม่น้อยที่ถ่อมตนแม้จะมีอำนาจ มีทรัพย์สมบัติ และเสียสละแบ่งปันสิ่งที่มีให้ผู้อื่นได้ใช้ประโยชน์ 

ในโลกนี้มีความยุติธรรมเสมอ ทุกอย่างเรามีเหมือนกัน ที่แตกต่างเพราะ “วิธีการ” ที่จะนำพาชีวิตของแต่ละคนไปในทิศทางไหน นี่คือเสรีภาพ อิสรภาพที่เราได้รับมาเหมือนกัน เพียงแต่ใครจะใช้อิสรภาพนี้เพื่อให้ความยุติธรรมนั้นเป็นไปตามครรลองและก่อให้เกิดความงามขึ้นในชีวิตได้มากกว่ากัน ....

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

โรคร้ายสายพันธุ์เก่า

โรคร้ายสายพันธุ์เก่า
                          ไข้หวัด “ซิกา” ระบาดหนักแถวสาทร เมื่อได้ยินข่าวนี้รู้สึกตกใจว่าในเขตวัดของเราจะเป็นเขตแพร่เชื้อไปด้วยหรือไม่ แต่เท่าที่ทราบยังไม่มีรายงานข่าวแต่อย่างใด วัดยังเป็นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเราเสมอ เป็นที่น่าสังเกตว่าโรคร้ายใหม่ ๆ มักเกิดขึ้นได้เสมอ มีไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ เกิดขึ้นทุกปี อันเนื่องมาจากการเชื่อมโลกและการเดินทางติดต่อกันได้สะดวกมากขึ้นทำให้รับเชื้อจากที่หนึ่งมาอีกที่หนึ่งจึงเกิดการระบาดง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการป้องกัน มีการหายาเพื่อต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ เหมือนเป็นการต่อสู้กันระหว่างเชื้อโรคกับการรักษาอยู่ตลอดเวลา และเราเองก็ต้องรู้จักที่จะป้องกันตัวเองให้รอดจากเชื้อร้ายใหม่เหล่านี้ด้วย
ภาพ : http://news.mthai.com/hot-news/world-news/477142.html

                          ในขณะที่เราเห็นเชื้อโรคใหม่เข้ามาจู่โจมสังคมที่ใกล้ตัวเรา แต่ก็ยังมีเชื้อบางอย่างที่แอบซ่อนเร้นอยู่กับพวกเราในทุกวี่วัน เป็นเชื้อของความเห็นแก่ตัว เชื้อชั่วแห่งความซื่อสัตย์ ที่กัดกินสังคมจนสั่นคลอน เชื้อนี้อาจจะซ่อนอยู่ในตัวเราเพื่อรอวันพัฒนา เราต้องหมั่นที่จะตรวจเช็คอยู่เสมอ ความซื่อสัตย์อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนมองข้ามไป เพื่อให้ได้มาซึ่งการครอบครองวัตถุภายนอก โดยมิพักสนใจใยดีในเรื่องอื่นๆ คนอื่นทำได้ทำไมเราจะทำไม่ได้ โกงนิดโกงหน่อยไม่ตายหรอก ค่านิยมเหล่านี้ควรถูกฆ่าให้ตายไปจากจิตใจของเราได้แล้ว แน่ล่ะ มนุษย์มีชีวิตเพื่อการดำรงอยู่ แล้วอยู่อย่างไรจึงจะสมศักดิ์ศรีเล่า ซื่อสัตย์ในทุกเรื่อง ทุกนาทีแห่งลมหายใจจะช่วยให้เราพบศักดิ์ศรีที่แท้จริงพร้อมกับสังคมที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น
                          มีผู้เฒ่าชาวจีนคนหนึ่งมีสุขภาพแข็งแรงดี มีกิจการที่เจริญก้าวหน้า เมื่อคิดจะหาลูกหลานไว้สืบทอดกิจการของตน จึงมอบเมล็ดพันธุ์พืชแก่ลูกที่มีทั้งหมด 15 คน คนละ 1 เมล็ดโดยบอกให้แต่ละคนนำไปปลูกไว้ เมื่อถึงวันเกิดก็ให้นำผลผลิตที่ได้มามอบให้แก่ตน วันเวลาผ่านไปดอกไม้ของลูก ๆ ต่างพากันเติบโต ออกดอกสวยสะพรั่งคงเหลือแต่เสี่ยวเหลียงจือซึ่งไม่มีสิ่งใดเติบโตออกจากกระถางเลยแม้ว่าจะหมั่นรดน้ำพรวนดินเพียงใดก็ตาม
                          จนกระทั่งถึงวันที่กำหนด ลูกแต่ละคนต่างนำกระถางดอกไม้ที่มีดอกไม้งดงาม สวยสะพรั่ง ชูช่อเบ่งบานอย่างเต็มที่มามอบแก่บิดาผู้ชรา ชายชราเดินตรวจตราพร้อมรอยยิ้มอย่างมีความสุข
                               จนกระทั่งมาถึงเสี่ยวเหลียงจือ ซึ่งถือกระถางเปล่าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากลงออกมาเป็นทางด้วยความเสียใจที่ไม่สามารถนำดอกไม้สดมาให้พ่อของเขาได้ แต่ชายชรากลับแย้มยิ้มอย่างเป็นสุขยิ่งกว่า ชายชรากล่าวอย่างยินดีปรีดาว่า
                          “ลูกเอ๋ย….สิ่งที่เจ้ามอบให้พ่อนั้นมีค่ายิ่งกว่าดอกไม้ทั้งมวลนักเพราะสิ่งที่พ่อต้องการคือความซื่อสัตย์” และมอบทรัพย์สมบัติให้แก่เสี่ยวเหลียงจือ เพราะเมล็ดทุกเมล็ดที่เขาให้ไปนั้น เขาได้เอาไปคั่วจนสุกแล้วจึงมอบให้แก่ลูก ๆ (จากหนังสือมังกรสอนลูก)

                          ความซื่อสัตย์แม้จะไม่มีมูลค่าเท่าเพชรพลอยภายนอก แต่นี่คือคุณธรรมที่ส่งเสริมคนที่ถือครองให้สว่างสุกใสกว่าอัญมณีใด ๆ ในโลกนี้...

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

คงช่วยอะไรไม่ได้

คงช่วยอะไรไม่ได้
            ในทุกวันนี้เราต่างรับรู้เรื่องราวข่าวสารกันได้อย่างง่ายดาย ใช่หรือไม่ โลกนี้ล้วนมีสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่ดีและไม่งามเกิดขึ้นแทบทุกวินาที และด้วยเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ ทำให้เรารับรู้ได้อย่างรวดเร็ว แม้เรื่องราวเหล่านั้นจะเกิดขึ้นไกลคนละขั้วโลก หนำซ้ำทุกคนต่างสามารถที่จะนำเสนอข่าวได้ด้วยตัวเอง เป็นยุคที่นักข่าวไม่จำเป็นต้องออกหาข่าว นั่งในห้องเดี๋ยวข่าวก็มาหาเอง เพียงมีหน้าที่สำเนาข่าวให้เร็วเข้าไว้ ส่วนความน่าเชื่อถือกลายเป็นสิ่งที่ผู้เสพต้องหามาจับจองเอง เราจึงเห็นข่าวไร้สาระมากมาย และดูเหมือนว่าโลกนี้สังคมนี้ไร้ความดีงามเสียแล้ว ไม่เลย แท้จริงแล้วความดียังมีอยู่ความงามยังยั่งยืน เพียงแต่เราแต่ละคนไม่ค่อยจะช่วยกันทำให้ความดีงามนั้นงอกเงยสู่สังคม เรามักเฉยชา หมดอาลัยกับเรื่องร้ายรายนาที เรื่องดีปีละหน คิดกันว่า มันคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เราปล่อยให้หนึ่งความดีงามหลุดลอยไป โดยไม่ได้ทำอะไรเลยหรือ!
ภาพ : http://www2.tnews.co.th/userfiles/image/6(415).jpg
กาลครั้งหนึ่ง ยังมีนักเขียนคนหนึ่งที่มีกิจวัตรชอบออกไปเดินเล่นตามชายหาด ก่อนเริ่มงานเขียนของเขาทุกวัน วันหนึ่งขณะที่เดินเล่นตามปกติ เขาสังเกตเห็นว่าที่ริมฝั่งมีใครบางคน มองไกล ๆ เหมือนกำลังเต้นรำอยู่ เขานึกขำอยู่ในใจว่าใครหนอมาเต้นรำแต่เช้า ว่าแล้วก็สาวเท้าเข้าไปดูให้แน่ใจ
ต่อเมื่อเดินเข้ามาจนใกล้ นักเขียนจึงได้เห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง และสิ่งที่เขาทำอยู่นั้น ไม่ได้ใกล้เคียงกับการเต้นรำแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มกำลังเดินขึ้นลงระหว่างชายฝั่งและชายหาด เพียรเก็บวัตถุเล็ก ๆ บางอย่างขึ้นมา แล้วขว้างมันลงทะเลครั้งแล้วครั้งเล่า
นักเขียนเดินเข้าไปแล้วกล่าวทัก สวัสดีพ่อหนุ่ม ขอถามหน่อยได้ไหม? เธอทำอะไรอยู่
ชายหนุ่มชะงัก มองมาแล้วตอบว่า ผมกำลังขว้างปลาดาวกลับลงทะเลครับ
ทำไมเธอต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะนักเขียนถามด้วยความประหลาดใจ
พระอาทิตย์กำลังขึ้น และน้ำทะเลกำลังลง ถ้าผมไม่โยนมันกลับลงน้ำ มันก็จะต้องตายชายหนุ่มตอบ

ภาพ : https://pbs.twimg.com/media/CeZBs79WIAAHycI.jpg

แต่นี่แน่ะพ่อหนุ่ม เธอไม่เห็นหรอกรึว่าชายหาดมันทอดยาวออกไปตั้งหลายกิโลเมตร และปลาดาวก็มีอยู่เกลื่อนไปตลอดทาง ที่เธอทำลงไปมันไม่ช่วยให้อะไรแตกต่างหรอก
ชายหนุ่มไม่ว่าอะไร เขาก้มลง หยิบปลาดาวขึ้นมาอีกตัวแล้วขว้างลงทะเล เมื่อเห็นว่ามันลงน้ำไปแล้ว เขาจึงกล่าวกับนักเขียนว่า ก็แตกต่างที่ปลาดาวตัวนั้นไงครับ(The star thrower หนังสือชื่อ The Unexpected Universe  ของนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อว่า Loren Eiseley)

ในชีวิตจริง เราอยากทำสิ่งที่ดี อยากทำความดี แต่กลับถูกใครบางคนมาทักว่า ไม่เห็นจะมีใครเขาทำแบบนั้นกันเลย เราก็หยุดชะงักไม่ทำต่อ ทั้ง ๆ ที่ถ้าเราได้ทำความดีนั้นเพียงสักครั้ง มันก็ช่วยสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นแล้ว ถึงแม้จะช่วยไม่ได้ทั้งหมด แต่เราก็ได้ช่วย อย่างน้อยก็ทำให้มีสิ่งดีๆเกิดขึ้น แม้ว่ามันจะเล็กน้อยมาก แต่ก็ถือว่ามีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นแล้ว มันช่วยได้นะครับ แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในร้อย ก็อย่าได้ละเลย...

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559

ออกไปเพื่อให้ ไม่ใช่เพื่อหา

ออกไปเพื่อให้ ไม่ใช่เพื่อหา
หากคุณเอาแต่ตัดสินผู้อื่น คุณก็จะไม่มีเวลาสำหรับรักผู้อื่น
(คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา)

ภาพ : Pope Report

วันนี้ 4 กันยายน วันที่พระศาสนจักรคาทอลิกจะมีนักบุญองค์ใหม่ นามว่า “เทเรซาแห่งกัลกัตตา” นับตั้งแต่คุณแม่สิ้นลมหายใจลงด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2540 (1997) ผู้คนทั้งโลกก็ยกย่องให้ท่านเป็นนักบุญไปแล้ว และกล่าวได้ว่าท่านได้รับขนานนามว่าเป็นนักบุญของผู้ยากไร้ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะทุกลมหายใจ ทุกกิจการของคุณแม่เทเรซานักบุญองค์นี้ หัวใจท่านมีแต่ให้ ท่านเป็นเพียงผู้หญิงร่างเล็ก ๆ แต่หัวใจใหญ่และกว้างไพศาลยิ่งนัก ท่านได้เดินทางออกจากถิ่นเก่าบ้านเกิดตัวเอง เพื่อมอบความเมตตา ความรัก มอบความสุขและลมหายใจให้กับผู้ตกทุกข์ ผู้ด้อยโอกาส ผู้ที่อยู่ชายขอบของสังคม ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผู้อื่นอย่างไร้เงื่อนไข จากถูกหยามเหยียดกลายมาเป็นยอมรับ และยกย่องในที่สุด
กิจการแห่งเมตตาธรรมของท่านมีมากมาย และเป็นประจักษ์พยานถึงความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ทุกผู้คน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านนักบุญกระทำไว้ในโลกนี้ ถูกจารึกให้เราได้เรียนรู้อย่างกว้างขวาง โดยไม่ต้องเขียนบรรยาย แต่มีบางสิ่งที่อยากจะยกมานำเสนอเพื่อเป็นบทเรียนในชีวิตจริงของเรา ใช่หรือไม่ ไม่ว่าเราจะกระทำการดีเพียงใด จะเสียสละแค่ไหน เราย่อมหลีกหนีคำวิจารณ์ไม่พ้น เพราะนี่คือโลกมนุษย์ และเราควรทำเช่นไร...?
ในปี ค.ศ. 1979 คุณแม่เทเรซาได้รับรางวัลโนเบลสาขามนุษยธรรม แต่ท่านปฏิเสธการเข้าร่วมในงานเลี้ยงอันเป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ และท่านได้มอบเงินจำนวน 192,000 เหรียญสหรัฐ(5,760,000 บาท)ให้แก่คนยากจนในประเทศอินเดีย มีคำชื่นชมมากมาย แต่ก็ยังมีผู้ที่ผลิตสารคดีเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของท่านได้ตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “ทูตจากนรก” คุณแม่เทเรซาไม่ได้แสดงอาการหวั่นไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ ท่านบอกกับนักหนังสือพิมพ์ว่าท่านไม่ถือสา มันเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะตัดสินใจว่าคุณต้องการจะดำรงชีวิตอยู่แบบไหน แต่สำหรับฉัน ฉันจะทำงานของฉันต่อไป  ฉันปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าโดยมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร เราควรจะยิ้มรับและก้มหน้าทำงานของเราต่อไป การทำงานด้วยใจถ่อมสุภาพจะไม่มีอะไรมาแผ้วพานเราได้เลย ไม่ว่าใครจะยกย่องหรือเหยียดหยามเราไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ เพราะเราย่อมรู้จักตัวเราดีว่ากำลังทำอะไรอยู่
ภาพ : https://doakatoliksalammaria.files.wordpress.com/2013/02/mother-teresa1.jpg?w=500


การดำเนินชีวิตและงานของคุณแม่เทเรซาต้องถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเรา เพราะวันนี้เรามักจะถูกกระแสโน้มนำ ถูกคำวิจารณ์ให้โอนเอียง และกลายเป็นความท้อแท้ที่จะทำความดีต่อไป เราหลงลืมที่จะออกจากตัวเอง เรายึดติดกับการแสวงหามากเกินไป เราใช้ชีวิตเพื่อตามหามาสะสมเพื่อให้เป็นผู้ชนะ แต่เราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อให้ เพื่อเสียสละ เพื่อสร้างความดี ก่อความงามแก่กันและกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรเป็นเป้าหมายหลักของชีวิตเราทุกคน ลองปรับเปลี่ยนแนวคิดสักนิด ก่อนออกจากบ้านในแต่ละวันมีข้อตั้งใจว่า วันนี้เราจะให้ประโยชน์กับใครบ้าง และอย่าใส่ใจกับคำวิจารณ์ในการกระทำความดี...