วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เหลียวหลังแลลูร์ด


เหลียวหลังแลลูร์ด
ด้วยความตั้งใจเป็นแรมปีของผู้ที่ชวนไปแสวงบุญด้วยกันที่เมืองลูร์ด ประเทศฝรั่งเศส จวบจนเมื่อเวลาถูกจัดสรรได้ลงตัว การเดินทางก็มีขึ้นในเดือนตุลาคมเดือนแห่งแม่พระสายประคำอย่างพอดิบพอดี แต่แล้ว...ก่อนเดินทาง สถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศก็เริ่มก่อความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความวิตกกังวลจึงย่อมบังเกิดขึ้น การทิ้งบ้านไปเป็นเวลา 10 วัน ถ้าน้ำท่วมจะเป็นอย่างไร!!!!! แต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น จงวางใจในพระเจ้า การเดินทางแสวงบุญจึงเริ่มขึ้น แม้จะมีบ้างที่ใจแอบเหลียวหลังมองดูบ้านที่จำต้องจากจร ขอฝากไว้ในความดูแลของพระองค์...
เป็นช่วงเวลาสองวันแรกในชีวิต ที่ได้มาสัมผัสแผ่นดินแห่งอัศจรรย์ของแม่พระ เป็นครั้งแรกที่ได้สวดสายประคำหน้าถ้ำ... ที่แม่พระได้ประจักษ์มาให้เด็กสาวแสนซื่อและยากไร้แบร์นาแด๊ต สิ่งที่เห็นครั้งแรกมักชวนตื่นตาตื่นใจได้เสมอ ยิ่งเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ท่ามกลางแรงศรัทธาของผู้คน  ยิ่งเสริมให้จิตใจมีความศรัทธาพองฟูขึ้นมา บรรยากาศที่ผู้คนสวดสายประคำหน้าถ้ำอย่างไม่ขาดสาย ผู้คนหลากหลายตามถนนหนทาง ทำให้เมืองเล็กๆที่อยู่ในหุบเขาอันแสนไกลแห่งนี้เป็นที่รู้จักของผู้คนทั้งโลก ลูร์ดคือเมืองเล็กๆที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้สุดของฝรั่งเศส เป็นดินแดนไกลปืนเที่ยง แต่แม่พระเลือกที่นี่ และได้ทำให้ที่นี่มีพลังแห่งแรงศรัทธาและการสวดภาวนาที่เสริมให้โลกคงอยู่อย่างสันติ เป็นดินแดนแห่งความหวังที่ผู้คน ที่ต่างหลั่งไหลมาสวดวอนขอ ทำไมแม่พระเลือกแบร์นาแด๊ตเด็กหญิงยากจน ขี้โรค คนนี้ แล้วใครจะเชื่อล่ะว่าแม่พระได้ใช้เด็กจนๆคนนี้ ทำให้เกิดการสวดสายประคำและการภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน ใช่หรือไม่..นี่คืออัศจรรย์ที่แม่พระทำให้เกิดขึ้นแล้วที่ลูร์ดทุกวัน 
หากโลกอยู่ได้ด้วยความหวังฉันใด ผู้คนย่อมอยู่ด้วยความเชื่อและความศรัทธาฉันนั้น..ทุกคนมาที่ลูร์ดล้วนมีความหวังและศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม ผู้ป่วยจำนวนมากต่างพากันมาที่นี่ มาด้วยความหวังที่จะหายจากโรคภัย แต่ถ้าไม่หายก็พร้อมน้อมรับด้วยใจที่เข้มแข็งมากขึ้น มีพลังที่จะอยู่กับความเจ็บป่วยต่อไป นี่ก็คืออัศจรรย์อีกชนิดหนึ่ง หลายคนพกเอาการวอนขอมาเต็มกระเป๋า และอาจจะกลับไปด้วยน้ำขวดเล็กๆเต็มกระเป๋าเช่นกัน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนคิดเหมือนๆกัน แม้ว่าไม่ได้ดั่งวอนขอ ไม่สมหวังในทันที แต่ก็ทำให้ชีวิตภายในได้แนบชิดกับพระมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่า ทุกคนต่างนำความเห็นแก่ตัวมาวอนขอ แต่กลับก้าวออกไปด้วยใจที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น
ค่ำคืนสุดท้ายมาถึง สิ่งรอบข้างเริ่มคุ้นชิน สิ่งควรเรียนรู้ก็เกิดขึ้น สถานที่และประวัติศาสตร์ คือ สิ่งที่ต้องเรียนรู้ แต่เหนืออื่นใด คือ การได้มองเห็นวิถีชีวิตของผู้คน ลูร์ดวันนี้ อาจจะไม่ใช่ดินแดนไกลปืนเที่ยง แต่เป็นเมืองแห่งการแสวงบุญ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยร้านรวงที่ขายของที่ระลึกเต็มสองข้างทาง คิดแบบเล่นๆขำๆปีหนึ่งเมล็ดเงินที่งอกเงยจากความศรัทธาคงจะมากพอดู ร้านที่ขายของนอกลู่นอกทางยังไม่มีให้เห็น การจัดระบบระเบียบถือว่ามืออาชีพ การถวายมิสซา การสวดสายประคำ การแห่ การนำผู้ป่วยไปยังสถานที่ต่างๆมีอาสาสมัครให้ความช่วยเหลือ และที่สังเกตเห็นอาสาสมัครแต่ละคนไม่มีการเบ่งไม่มีการใช้คำพูดหรือดูถูกคนอื่นเลย ยินดีให้บริการและมีไม่น้อยที่อาสาสมัครเหล่านั้นสวดสายประคำไปในขณะทำงานตามหน้าที่ เห็นแล้วชื่นชม เป็นอีกหนึ่งอัศจรรย์ที่แลเห็น



แม้ว่าจะมีสิ่งหนึ่งที่ออกจะขัดๆตาไปสักหน่อย มีขอทานที่นั่งอยู่ตามทางเดิน หญิงสาวอุ้มลูกในมือมีสายประคำกำลังร้องขอทาน ชายหนุ่มยากไร้ร้องขอผู้คนที่เพิ่งออกจากพิธีแห่ แต่แทบจะไม่มีใครสนใจคนเหล่านี้เลย เห็นภาพแล้วมีหลายคำถามเกิดขึ้น เรามาวอนขอแม่พระถึงหน้าถ้ำมัซซาเบียลที่เมืองลูร์ด แต่กลับไม่มีใครคิดให้คนอื่น(ขอทาน)เลยหรือ คิดถึงนักบุญแบร์นาแด๊ต ที่ยากไร้ไม่มีบ้านเรือน ต้องอาศัยใต้ถุนบ้านของคนอื่นอยู่ ในห้องเล็กๆที่มีสมาชิกถึงหกคน จึงทำให้เกิดโรคติดต่อ แต่แม่พระไม่ลืมคนเช่นนี้ แล้วคนขอทานเสื้อผ้าโทรมๆที่เห็นเหล่านี้ไม่มีใครเห็นค่าเลยหรือ ... แต่เมื่อเห็นจำนวนที่มากพอสมควร คงต้องใช้เงินไม่น้อยเลยที่จะให้ครบทุกคน ในค่ำคืนสุดท้ายนี้จึงของดเว้นวอนขอเรื่องส่วนตัว แต่ตั้งใจสวดให้พวกผู้ยากจนเหล่านั้น เพราะบางทีความดีงามอาจไม่สามารถสร้างด้วยเงิน แต่สร้างด้วยพลังศรัทธา อัศจรรย์เกิดจากศรัทธา พระเมตตาย่อมมีแก่ทุกผู้คนไม่ว่าจะรวยจะจน...และแน่นอนสิ่งที่ลืมไม่ได้และเป็นหนึ่งความตั้งใจคือการสวดเพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมในประเทศไทย
รุ่งเช้าลาจากเมืองลูร์ด ยอดหอระฆังวัดค่อยๆลับตา แต่ความศรัทธาต่อแม่พระกลับเพิ่มมากขึ้น การคำนึงถึงผู้อื่นก่อน น่าจะอยู่คู่กับชีวิตเราตลอดไปคือสิ่งที่ได้เรียนรู้และถูกตอกย้ำอีกครั้ง...(บันทึกระหว่างทาง)  
... เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ บ้านยังปลอดภัยดี แต่เพียงหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป น้ำเริ่มไหลเข้าท่วมกรุงเทพฯ สิ่งที่ต้องเหลียวหลังกลับไปยังลูร์ด ทุกสิ่งมีบทสอนเสมอ ใช่หรือไม่ การที่น้ำเริ่มไหลเข้ามาทีละนิด หลายคนใช้เวลาเก็บข้าวของ และเริ่มบูรณาการสิ่งที่สะสมที่มีมากมาย เริ่มคิดถึงคนอื่นที่อาจจะใช้ประโยชน์จากของเก่าเก็บของเรา น้ำไหลมาน้ำใจย่อมงอกเงย...
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ผ่านมามิได้ผ่านไป

ผ่านมามิได้ผ่านไป

เคยไหมที่เป็นอย่างนี้??? ในขณะที่เรากำลังคิดถึงใคร หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ไม่นานสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น คนนั้นๆก็ติดต่อเข้ามา บางคนอาจจะเรียกว่า เป็นลางสังหรณ์ ในอีกมุมหนึ่ง นี่ต้องเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่พลังหนึ่งที่ใจส่งถึงใจ หรือเป็นเพราะด้วยแรงแห่งจิตที่ส่งถึงกัน เป็นพลังจิต พลังชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง... ในขณะที่กำลังคิดถึงเพื่อนเก่าๆสมัยที่เคยใช้ชีวิตร่วมกินอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 5 - 6 ปี เจอหน้ากันแทบทุกวัน แต่เมื่อต้องแยกย้ายก็หายหน้าหายตากัน ตามภาระหน้าที่การงานโดยไม่ได้เจอหรือติดต่อกันเลย กี่ปีแล้วนะที่ไม่เคยพบเจอพูดคุยกันเป็นหมู่คณะ ร่วมๆ20 ปีเห็นจะได้ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะได้อ่านบทกวีบทนี้...

ฉันมีเพื่อนที่อยู่ไม่ไกล ในเมืองใหญ่ที่ไม่มีวันหลับใหล
และเวลาก็ยังคงผ่านไป ฉันไม่เคยรู้ว่านานแค่ไหน
แต่ฉันไม่เคยเจอเพื่อนเก่าคนนั้น
เพราะชีวิตที่มีแต่การเปลี่ยนแปลงและแข่งขัน รู้แต่ว่าเขาคงสบายดีเช่นกัน

จนวันหนึ่ง ...อยากลองไปหาดูสักที เพื่อนที่เราเคยมีความรู้สึกดี ๆ
แต่ตอนนี้เรายุ่งและเหนื่อยล้า ต้องฟันผ่ากับเกมอันหลากหลาย
เหนื่อยหน่ายกับการสร้างชื่อ

พรุ่งนี้แล้วกันนะฉันจะโทรหา... ปลอบตัวเองว่าเรายังมีเพื่อนให้คิดถึงอยู่
แต่พรุ่งนี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ระยะทาง ระหว่างเรายิ่งไกล
เพื่อนที่อยู่ใกล้กลับเหมือนอยู่ห่างร้อยไมล์ จนได้ข่าวว่าเพื่อนจากเราไป
นี่คือ สิ่งที่เราสมควรได้หรืออย่างไร….

ที่ตรงนั้นไม่ไกล แต่ว่าเพื่อนฉันไม่อยู่อีกต่อไป

จงพูดอย่างที่ใจคิด ถ้าคุณรักใครสักคนก็บอกเขาไป
อย่ากลัวที่จะเผยความรู้สึก เปิดใจ และบอกคนที่มีความหมายกับคุณ
เพราะหากคุณรอจนถึงเวลาที่เหมาะสม วันนั้นอาจจะช้าไป
หาโอกาส ในวันนี้ แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจทีหลัง

สิ่งที่สำคัญที่สุด จงอย่าละเลยเพื่อนและครอบครัว

เพราะพวกเขาทำให้คุณเป็นอย่างที่คุณเป็นทุกวันนี้
จงยิ้ม เข้าไว้ แม้วันที่มีน้ำตา

พออ่านกวีบทนี้จบ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เบอร์ที่ไม่คุ้นเคย เป็นเบอร์ที่ไม่ได้เก็บไว้ในหน่วยความจำ เสียงปลายสายถามว่า จำเสียงนี้ได้ไหม สมองใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานพอสมควรก็คิดไม่ออก เสียงปลายสายจึงบอกชื่อเล่น .... โอ้...เพื่อนที่เคยสนิทสนมนั่นเอง เพื่อนก็เกริ่นนำเสียยืดยาวในการติดตามหาเบอร์มือถือจนเจอ สาเหตุเพราะว่าจะมีการนัดหมายรวมรุ่นกัน เพื่อที่จะพูดคุยสังสรรค์กันมันน่าแปลก ก็เมื่อสักครู่เรายังคิดถึงกันอยู่เลย จึงรีบตกลงในทันที

เหมือนดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้งก็ไม่รู้ วันที่นัดหมายมาถึงต้องเดินทางไปหาเพื่อนๆนั้น พาหนะคู่กายกลับทรยศ แอร์เกิดเสียกลางทาง จึงต้องแวะหาร้านเพื่อซ่อม เพราะวันนั้นอากาศร้อนจริงๆ และเสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าไม่ทันก็ไม่ไปแล้ว บรรดาเพื่อนเก่าๆก็ทยอยไปถึงร้านและก็โทรตาม พร้อมทั้งแนะนำให้ทิ้งรถไว้แล้วนั่งแท็กซี่ไปที่หมายก่อน... กว่าจะเสร็จสิ้นเรื่องรถเพื่อนๆก็อิ่มสำราญกันไปแล้ว แต่โชคยังดีที่การสนทนาเพิ่งเริ่มต้นออกรสออกชาติ แน่นอนการพูดคุยในครั้งนั้นเหมือนเป็นการเปิดบันทึกวันเวลาเก่าและวีรกรรมแก่นๆที่ได้กระทำร่วมกัน แต่ละคนก็มีมุมแสบๆคันๆของตัวเองมาถ่ายทอดและเปิดเผย บางทีเรื่องราวในอดีตก็อาจจะตักเตือนเราในปัจจุบันได้เช่นกัน ..จวบจนถึงเวลาเลิกรา ยังได้มีการนัดหมายเพื่อไปพักผ่อนต่างจังหวัดร่วมกันอีกสักครั้ง โดยมีข้อแม้ว่าให้แต่ละคนนำครอบครัวไปด้วย .. แต่ว่าภารกิจนี้จะสำเร็จหรือไม่ยังดูเลือนลาง

สิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป หาใช่เปล่าประโยชน์ ความเป็นเพื่อน การที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน บัดนี้มันกลายเป็นความห่วงใยซึ่งกันและกัน ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ห่างหายกันไป ไปเรียนรู้ในส่วนของตน ไปแสวงหาความหมายของชีวิต วันนี้ทุกคนเติบโตขึ้น มีหน้าที่การงาน แต่ในด้านหนึ่งเรามีแง่มุมชีวิตที่คล้ายๆกัน คือ เป้าหมายชีวิต ความสุขในชีวิต ต้องยึดมั่นอยู่บนความเชื่อ ความศรัทธาในพระคริสต์ หลายคนถึงกลับเปลี่ยนไปเข้าถึงความรักของพระได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าแต่ก่อน เพราะความบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสในชีวิตจนแทบไม่เห็นทางออก แต่เมื่อกลับมาพึ่งพาพระเมตตาของพระเยซูเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีๆ มีบ้างบางคนหมดศรัทธาแต่เพื่อนๆก็ตักเตือนว่าอย่าหมดความเชื่อในพระก็แล้วกัน

ความรักความห่วงใยที่ส่งผ่านให้กันมันหาใช่ว่าจะผ่านเลยไปอย่างไร้ผล ความรักความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ความรักต่อคนในครอบครัว รักต่อสมาชิกในสังกัด เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ เป็นพลังที่ได้สร้างคน สร้างสรรค์ให้โลกนี้ได้ดำเนินมาอย่างมีคุณภาพ เพราะความมีอคติ เพราะความยึดมั่นถือเก่งหรือเปล่า เพราะการพลัดวันประกันพรุ่งหรือเปล่า เพราะเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความดื้อร้นหรือเปล่า ที่ปิดกั้นความรักและความอาทรของเราที่ควรจะมีต่อกัน การพบเจอพูดคุยอาจจะผ่านมาแล้วผ่านไป แต่มิตรภาพและความรักควรมีให้กันตลอดไป เพราะโลกนี้อยู่ได้ด้วยพลังแห่งรัก....

http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

จะฉลาดแบบไหน

จะฉลาดแบบไหน
​ มีชายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไอดาโออย่างเดียวดาย เขาต้องการที่จะพรวนดินเพื่อทำสวนมันฝรั่ง แต่มันเป็นงานที่หนักมาก ลูกชายคนเดียวที่เคยช่วย ก็ต้องโทษติดคุก ชายชราจึงเขียนจดหมายถึงลูก อธิบายถึงสถานการณ์ว่า “ลูกรัก พ่อรู้สึกแย่มาก... เพราะดูเหมือนว่าพ่อจะปลูกมันฝรั่งไม่ได้ในปีนี้ พ่อแก่เกินไปที่จะขุดไถแปลงสวน ถ้าลูกยังอยู่ คงจะไม่มีปัญหา พ่อรู้ว่าลูกคงจะขุดพรวนแปลงสวนให้ได้เสร็จเรียบร้อย” รัก/จากพ่อ
หลังจากนั้น 2-3 วัน ชายชราได้รับจดหมายจากลูกชาย โดยมีใจความว่า “พ่อครับ เพื่อเห็นแก่พระเจ้า พ่ออย่าได้ขุดพรวนแปลงสวนฯฯนะครับ ผมฝังศพไว้ที่นั่นหลายศพ!!” รัก/จากลูก
ตี 4 เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ เอฟบีไอ และตำรวจท้องที่แห่กันมาขุดค้นไปทั่วทั้งสวน แต่ไม่พบศพเลย เจ้าหน้าที่ขอโทษชายชราและจากไป วันเดียวกัน ชายชราได้รับจดหมายอีกฉบับจากลูกชายมีใจความว่า “พ่อครับ ตอนนี้พ่อก็คงสามารถปลูกมันฝรั่งได้แล้ว สิ่งที่ผมทำให้พ่อได้คงมีแค่นี้แหละครับ” รัก/ จากลูก…..
​อ่านแล้วก็ขำๆดีครับ แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้น ลูกชายคนนั้นเป็นคนฉลาดไหม ใช่เป็นคนฉลาด แต่อาจจะแกมโกงไปสักหน่อย แล้วเราล่ะในชีวิตหนึ่งที่ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝน ผ่านทุกข์ประสบสุขมา เราเคยสำรวจบ้างไหมว่าในทุกสิ่งที่ทำ ทุกสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ เราทำด้วยความฉลาด และฉลาดแบบไหน ถึงขั้นที่เต็มไปด้วยปรีชาญาณหรือยัง​เรามาลองสำรวจกันว่าระดับความฉลาดของเราอยู่ระดับไหน...
คนฉลาดน้อย…มักใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมาย ทำอะไรก็มักวนกลับมาที่เดิม ต้องเริ่มต้นใหม่ร่ำไป สู่อนาคตที่ไร้ทิศทาง
คนฉลาด…มักตั้งเป้าหมายชีวิตยิ่งใหญ่ จึงไม่พึงพอใจกับภาวะที่ตนเป็นสักที เพราะดูทีไรก็ยังห่างไกลเป้าหมายเสมอ
คนที่มีปรีชาญาณ…ย่อมมีเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต และมีเป้าหมายน้อยนิดสานสู่เป้าหมายใหญ่ จึงมีบันไดความสำเร็จให้บรรลุเป็นลำดับไป ได้กำลังใจและหรรษาไปตลอดหนทาง
​คนฉลาดน้อย…ทำก่อนแล้วถึงคิด ผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ ต้องเสียเวลาและความรู้สึก ตามแก้ปัญหาไม่สิ้นสุด
คนฉลาด…คิดมากก่อนแล้วถึงทำอยู่เป็นประจำ แม้ประสงค์จะทำดีมากแต่ทำได้น้อย เพราะความคิดมักปิดกั้นความหาญกล้า
คนที่มีปรีชาญาณ…คิดไปทำไป จึงทำได้อย่างที่คิดและคิดพอดีที่ทำ ประหยัดพลังงานและบริหารเวลาได้เหมาะสม ลดความหลอน ป้องกันความผิดพลาดขื่นขม และประสบความสำเร็จได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย
​คนฉลาดน้อย…ดูหมิ่นความดี มองโลกในแง่ร้ายด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งชั่วร้ายมาพาชีวิตให้ตกต่ำ กลายเป็นทาสของสถานการณ์ ยามพบสิ่งดีๆจะไม่เข้าใจ
คนฉลาด…ชอบทำดีและคิดดี มักมองโลกในแง่ดีด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งดีโดยมาก ครั้นพบสิ่งชั่วร้าย จะทนไม่ได้ ทำใจไม่เป็น ต้องถอยหนีสถานการณ์ ดวงใจแตกร้าว ชีวิตจึงมีแต่ความระคายเคือง
คนที่มีปรีชาญาณ…ละเว้นทำชั่วเด็ดขาด และทำดีเป็นนิสัย โดยไม่ยึดติดความดี จึงพบความเป็นจริงแท้แห่งโลกว่า ทุกสิ่งในโลกมีทั้งคุณ โทษ และความเป็นกลางอยู่ จึงบริหารสถานการณ์ได้ และทำใจได้ในทุกสถานการณ์
​คนฉลาดน้อย…ชอบคิดว่าตนฉลาด จึงดักดานอยู่กับความโง่ของตนตามที่เป็น
คนฉลาด…ชอบคิดว่าตนโง่ จึงชอบแกล้งโง่ และมักโง่ได้สมปรารถนาในที่สุด
คนที่มีปรีชาญาณ…ย่อมเห็นความโง่และความฉลาด ที่ซ้อนๆกันอยู่และรู้วิธีที่จะยกจิตสู่ปัญญายิ่งๆขึ้นไป จึงค่อยๆหายโง่ และเลิกฉลาดเป็นลำดับ ฝึกฝนเป็นประจำ
​คนฉลาดน้อย…ชอบเถียง เขาจึงได้การทะเลาะและความบาดหมาง..แทนความรู้
คนฉลาด…ชอบถาม เขาจึงได้ความรู้และมิตรภาพ มากกว่าความแตกแยก
คนที่มีปรีชาญาณ…ชอบเฉยสังเกตลึก เข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างลึกซึ้ง แล้วจึงนำเสนออย่างเหมาะสม
คนฉลาดน้อย…ชอบอวดตัว จึงได้รับความหมั่นไส้ การต่อต้าน และความเจ็บปวดเป็นรางวัล
คนฉลาด…ชอบถ่อมตัว เขาจึงได้รับความเห็นใจ การดูหมิ่น และการช่วยเหลือเป็นรางวัล
คนที่มีปรีชาญาณ…ย่อมมั่นใจตนแต่ไม่นิยมแสดงตัว ไม่ยกตนและไม่ถ่อมตัว แต่บริหารสัมพันธภาพได้เสมอ วางตนและแสดงบทบาทตามหน้าที่ เขาจึงได้รับความเคารพและความเชื่อถือเป็นรางวัล
คนฉลาดน้อย…รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบสักครั้ง
คนฉลาด…เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก
คนที่มีปรีชาญาณ…ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างเป็นย่อมสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า
แล้วเราฉลาดแบบไหน วอนขอจากพระเจ้าในวันนี้ ขอให้เราเต็มไปด้วยปรีชาญาณในการดำเนินชีวิต …

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ถูกทุกข้อ

ถูกทุกข้อ

การสอบของเด็กๆ คงจะเสร็จสิ้นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และคงได้มีเวลาปิดภาคเรียนจวบจนถึงต้นๆเดือนพฤศจิกายน เห็นเด็กๆหลายคนเหนื่อยล้าจากการไปโรงเรียน ที่เหนื่อยล้าคงมาจากการที่ต้องตื่นเช้า เดินทางมาโรงเรียน ตอนอยู่โรงเรียนนั้นไม่เท่าไหร่ เด็กบางคนกินนอนและเติบโตในระหว่างทางมาโรงเรียน ก็เป็นปัญหาที่ทั้งผู้ปกครองและเด็กๆต้องปรับตัว เห็นแล้วก็น่าสงสารเสียจริงๆ

พูดถึงการสอบแล้ว ใช่หรือไม่...เราทุกคนล้วนแต่ผ่านการสอบมาด้วยกันทั้งนั้น (ยกเว้นเรื่องสอบสวนอาจจะมีบางคนที่มีประสบการณ์) การทำข้อสอบของเด็กไทย คนไทยเกือบทุกคนมักจะชอบข้อสอบที่ให้มีตัวเลือก เป็นแบบปรนัยที่ต้องกากบาทข้อใดข้อหนึ่ง และข้อไหนที่มีตัวเลือกว่า ถูกทุกข้อ ก็มักจะเป็นที่หมายปอง จ้องจะกากบาททั้งนั้น เพราะในบางเรื่องมันมีเหตุผลและความถูกต้องมากกว่าหนึ่งข้อ นี่เป็นข้อสันนิษฐานประการแรกของผู้ที่ทำข้อสอบ ประการต่อมา เป็นสิ่งที่ไม่ต้องคิดมากยิ่งตอนที่จำไม่ได้และต้องคาดเดา ข้อที่ว่า ถูกทุกข้อ จึงมีความน่าจะเป็นมากที่สุด แต่บ่อยครั้งก็ถูกหลอกให้เลือก เป็นตัวเลือกลวงๆ และด้วยข้อสอบลักษณะนี้เองที่มีหลายฝ่ายออกมาติติงว่าทำให้เด็กไทยวิเคราะห์ไม่เป็น ท่องจำอย่างเดียว เพื่อทำข้อสอบให้ได้คะแนน แต่ก็อีกเหตุผลหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะระบบการศึกษาของเราที่เน้นจำนวนเด็กในแต่ละห้องให้มากๆเข้าไว้ (ชอบเน้นที่จำนวนไม่ได้เน้นคุณภาพ) ใช่หรือไม่ เวลาตรวจข้อสอบคุณครูที่มีเวลาน้อยนิดอยู่แล้ว จะมาเสียเวลานั่งอ่านคำตอบแบบอัตนัยและให้คะแนนทีละคนทีละความคิดเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นแบบกากบาทจึงเหมาะกับบริบทการศึกษาไทยอย่างมาก จากตรงนี้เองได้ส่งผลกระทบต่อๆกันมาเป็นห่วงโซ่แห่งการศึกษาแบบไทยๆ เด็กโตขึ้นก็เลยวิเคราะห์ไม่เป็น แต่เป็นประเภทช่างจดช่างจำ ช่างนินทา และชอบโอ้อวดความจำที่เก่งกาจจนขาดจิตสำนึกในเรื่องของส่วนรวม มีผลทำให้เด็กไทยอ่อนแอลงเรื่อยๆ และไม่สามารถกำหนดเป้าหมายแสวงหาความหมายชีวิตที่แท้จริงได้...

เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง กำลังสิงสถิตอยู่ในเด็กเยาวชนคนไทย ที่ได้ชื่อว่าปัญญาชน แต่จนปัญญา มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่ที่เป็นวิทยากรบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่างๆในหัวเรื่อง การค้นหาเป้าหมายในชีวิต คุณพี่วิทยากรได้บ่นว่าสมัยนี้เด็กเรียนในมหาวิทยาลัย และเลือกเรียนตามคณะที่ได้สอบเข้ามา แต่พอถามว่าแล้วเป้าหมายที่ได้เลือกเรียนคณะนี้เพราะอะไร นักศึกษาเหล่านั้นกลับไม่มีคำตอบ แถมทำหน้างงๆ จนกระทั่งไม่สามารถที่จะบรรยายต่อได้ ต้องเริ่มต้นกระบวนการสอนให้วิเคราะห์ถึงสิ่งที่ตัวเอง ชอบ เป็น อยู่ คือ เพื่ออะไร และจะได้รู้ว่าเป้าหมายในชีวิตที่แท้จริงคืออะไร เป็นเรื่องที่หนักและสาหัสเอาการสำหรับอนาคตของชาติเวลานี้ เพราะเมื่อพวกเขาโตไปแล้ว คงไม่มีอะไรที่ง่ายเหมือนกับการเลือกคำตอบว่า ถูกทุกข้อ

ยิ่งเมื่อได้อ่านจากข่าวเล็กๆข่าวหนึ่ง ที่พาดหัวข่าวว่า วิกฤตเด็กไทยจิตสำนึกป่วยหนัก “3 ต.ค. 54 สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมวิชาการระดับชาติเรื่อง พลังบวกเพื่อเด็ก: จุดเปลี่ยนการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทย ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพมหานคร โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สสส. กล่าวว่า แผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สสส.ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ได้สำรวจต้นทุนชีวิตของเด็กไทยทั่วประเทศ เมื่อปี 2553 จำนวน 12,200 คน พบปัจจัยที่ทำให้เยาวชนไทยอ่อนแอ 10 ลำดับแรกที่น่าเป็นห่วง คือ 1. รู้เท่าทันสื่อ 53% 2. จิตสำนึกของชุมชนในการอยู่ร่วมกัน 55% 3. จิตอาสา 56 % 4. ความกล้าแสดงออก 58% 5. ใฝ่เรียนรู้ 59% 6. ใฝ่รู้ภูมิปัญญาวัฒนธรรมท้องถิ่น 61% 7. ควบคุมอารมณ์ตนเอง 61% 8.หลักธรรมศาสนาสู่วิถีชีวิต 62% 9. รักการอ่านหนังสือ 63% และ 10. โอกาสเข้าร่วมกิจกรรม 65% ซึ่งจากผลสำรวจ พบว่า เด็กภาคอีสานและภาคใต้มีต้นทุนชีวิตอยู่ในระดับสูงกว่าภาคอื่นๆ ในขณะที่ภาคกลางอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ยังถือได้ว่าอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำ สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยมีความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กไทย เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีที่ไร้พรมแดน และการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซีย (หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก)

เด็กไทยเราไวต่อเทคโนโลยี เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องอาศัยการวิเคราะห์เพราะเครื่องมันสังเคราะห์ให้เรียบร้อยแล้ว ชอบอะไรที่ง่ายๆเร็วๆ ชอบอะไรที่เป็นสิ่งสำเร็จรูป สังเกตง่ายๆเวลาขึ้นรถสาธารณะ ขึ้นรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน เด็กๆจะก้มหน้าก้มตากดๆๆๆๆๆ เครื่องโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ หูเสียบหูฟัง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะกำลังแชทกับเพื่อนๆโดยมิสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วในยุคที่เต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกนานาชนิด เด็กไทยอยู่กับเครื่องมากกว่าอยู่กับคน แม้แต่ในขณะไปเรียน เวลาส่วนใหญ่คืออยู่ระหว่างทาง ก็มีเครื่องเหล่านี้เป็นโลกส่วนตัวให้นั่งกดนั่งเล่น แล้วเราในฐานะผู้ปกครองเราจะปล่อยให้เด็กๆกลายเป็นเด็กสำเร็จรูปหรือเปล่า เราจะปล่อยให้พวกเขาเติบโตแบบไร้จุดหมายหรือเปล่า ให้เวลา พูดคุย ตั้งคำถาม ตอบคำถาม และร่วมเรียนเทคโนโลยีไปพร้อมกับพวกเขาด้วยความใส่ใจ ปิดเทอมนี้เราจะมีเวลาอยู่กับเด็กสักกี่วัน...คนที่เลือกตอบถูกทุกข้อนั้นมีมาก แต่คนที่ตอบถูกและรู้จริงๆนะมีน้อยลงในสังคมไทย...

http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20