วันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ปิดกายเปิดใจ


ปิดกายเปิดใจ
ในขณะที่โลกกำลังพยายามเร่งการเปลี่ยนผ่านเพื่อสู่ยุคใหม่อย่างสมบูรณ์ แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน เร็วจนกระทั่งทั่วโลกรับมือแทบไม่ทันนั่นคือ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า จากประเทศหนึ่งสู่ประเทศหนึ่ง แพร่กระจายไปจนขนาดที่ว่าแค่นั่งเขียนบทความนี้อยู่ ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาแทบทุกชั่วโมงจนไม่อาจจะระบุตัวเลขได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อ COVID-19 และการแพร่ระบาดจะถูกค้นพบเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ชั่วโมงที่ผ่านไป รวมทั้งการเร่งผลิตยารักษาที่เริ่มมีความหวังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ก็มีอีกหลายปรากฏการณ์ โดยเฉพาะการพบผู้ป่วยเพิ่มเติมในประเทศยุโรปและตะวันออกกลาง


หลายคนบอกว่านี่คือการแพร่ระบาดของโรคที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเราเลยทีเดียว เริ่มจากประเทศจีนที่มีการระบาดรุนแรงใช้มาตรการปิดเมืองเพื่อยับยั้งและควบคุมโรค แต่เจ้าเชื้อไวรัสจอมซนเที่ยวหลบหลีกไปตามภูมิภาคต่าง ๆ หลายประเทศจึงใช้วิธีการเดียวกันคือปิดเมือง จนถึงเกือบปิดประเทศ จากการที่โลกติดต่อไปมาหาสู่กันอย่างง่ายดาย มีสายการบินรับส่งคนเข้าออกเต็มน่านฟ้า มาวันนี้เงียบเหงา สนามบินเหลือผู้โดยสารเพียงน้อยนิดชนิดว่าโลกทั้งโลกกำลังเข้าสู่โหมดอยู่กับเย้าเฝ้ากับประเทศ บ้านเมืองใครบ้านเมืองเรา ส่งผลกระทบถึงการท่องเที่ยว โรงแรม บริษัทจัดทัวร์ การค้าการขาย ร้านรวงไร้เงาผู้ซื้อ เป็นช่วงวิกฤตของสังคมโลกอย่างแท้จริง หรือว่านี่เป็นสัญญาณบอกโลกว่าก้าวโตเร็วเกินไปแล้ว หยุดพักแล้วปิดเพื่อจะได้มีเวลาคิดใคร่ครวญ มาทบทวนวิถีทางกันใหม่ จากที่เคยติดต่อสื่อสารกันเพื่อการค้าขายเปลี่ยนมาเป็นติดต่อเชื่อมกันเพื่อช่วยเหลือกัน เป็นช่วงเวลาแห่งการเยี่ยวยาชีวิตของมวลมนุษย์ด้วยกัน


ในทุกวิกฤติในทุกเหตุการณ์ย่อมมีบทเรียนบทสอนให้เราเสมอ บ่อยครั้งที่ชีวิตเราพลาดพลั้งไปเราจำต้องหยุด ต้องปิด ลด ละ เลิกบางอย่าง เพื่อล้างจิตชำระใจ เพิ่มความเข้มแข็งให้กับตัวเอง ในวันข้างหน้าเมื่อพร้อมแล้วก็เปิดออกเพื่อถ่ายเทพลัง เพื่อให้ความหวัง จะได้เดินหน้าต่อไป บางทีการปิดก็นำไปสู่การเปิดในครั้งต่อไปเสมอ ใช่หรือไม่ เมื่อเราออกจากบ้านเราเปิดเพื่อปิด และเปิดใหม่เมื่อเรากลับเข้ามา ประตูจึงเป็นทางออกและทางเข้าและเป็นหนทางแห่งการปิดและการเปิดในที่เดียวกัน การปิดเมืองปิดประเทศเพื่อชำระเพื่อจัดการกับโรคระบาดในครั้งนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยปลอดภัย การเปิดเมืองเปิดประเทศจะเริ่มต้นด้วยความสดใสและรอบคอบมากยิ่งขึ้น ทำให้โลกมีความระมัดระวังในการพัฒนามากยิ่งขึ้น มีการคัดกรองจัดการที่ดียิ่งขึ้นไปอีกและที่สำคัญจะทำให้เรา ๆ ท่าน ๆ หันกลับมามองความสำคัญของการมีชีวิตที่งดงามมากขึ้นกว่าเดิม จะใช้เวลานานแค่ไหนไม่มีใครรู้ ครึ่งปีหรือเป็นปีก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือกันของสังคมโลก
ในด้านส่วนตัวเราก็ต้องรู้จักที่จะปกปิด ใช้หน้ากากอนามัย ปิดปากปิดจมูก ล้างมือ รักษาความสะอาด และหมั่นใส่ใจต่อสุขภาพ ร่างกายที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว จากที่เคยตามใจปากกินนั่นนี่อย่างไม่ระมัดระวัง ปากที่เคยกล่าวร้ายถึงคนอื่น การนินทา จากที่เราเคยใช้ปากทำร้ายคนอื่น จากที่ใช้ปากเพื่อยกย่องตัวเอง วันนี้เราต้องปิดปากลง ทำให้ต้องระมัดระวังในการพูดคุยกับคนอื่น อยู่กับตัวเองมากขึ้น อยู่ในบ้านให้ความสำคัญกับครอบครัวดูแลกันและกันมากขึ้น ไม่ต้องออกไปไขว่คว้าแสวงหาอย่างบ้าคลั่ง จากที่มองเห็นแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ต้องกลับมาดูแลสุขภาพร่างกาย เพราะเอาเข้าจริงวันที่เจ็บป่วยต่อให้มีเงินทองกองตรงหน้าเพื่อแลกกับชีวิต ทุกคนก็ปรารถนาอยากจะมีชีวิต และเห็นความสำคัญของชีวิตมากกว่า
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หน้ากากอนามัย
หันกลับมามองดูชีวิตแห่งความเชื่อของเรากันบ้าง เราก้าวสู่เทศกาลมหาพรตกันอีกปีหนึ่ง เป็นช่วงที่เราปิด ลด ละ เลิกความเป็นตัวเอง เพื่อที่จะเปิด เพื่อที่จะแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง ปิดเพื่อเปิด ออกจากตัวเองเพื่อสู่คนอื่น มิใช่ปิดเพื่อตัวเอง มิใช่เป็นการปิดแบบไม่ต้อนรับผู้อื่น หากแต่เป็นการปิดความเห็นแก่ตัว ความอวดดีอวดเก่ง ความสุขส่วนตัว ปิดการหาความสบายฝ่ายกาย เพื่อจะได้มีพื้นที่ทางจิตทางใจให้กับเพื่อนพี่น้องคนรอบข้าง เพื่อจะได้มีเวลาสำรวจตรวจสอบตัวเอง เพื่อจะได้มีห้วงแห่งการไต่ตรองและวิเคราะห์ตัวเอง นำไปสู่การรู้จักวิเคราะห์สังเคราะห์ในทุกเหตุการณ์ของชีวิต ในการติดต่อ ในความสัมพันธ์กับผู้คน เราจะได้เข้าจิตเข้าใจผู้คนมากยิ่งขึ้น จะได้ลดทิฐิ ลดอคติ เพิ่มทัศนคติที่ดีต่อคนรอบข้าง หากเรามีจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้นเราก็จะมองโลก มองคนในด้านงดงามมากยิ่งขึ้น อาจจะเห็นคนที่โอ้อวดความเก่งกาจ กลายเป็นรู้สึกสงสารและเห็นใจมากกว่ารู้สึกหงุดหงิดหมั่นไส้ เห็นคนมาแสดงความหยิ่งผยอง สนองความใหญ่โต เราก็ใช้การนิ่ง ความอ่อนโยน เพื่อชโลมให้จิตใจคนเหล่านั้นอ่อนลงบ้าง เราปิดความโกรธ ความโมโห ปิดอคติให้เป็น เพื่อที่เราจะได้เปิดใจของเราและผู้อื่น
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Lent

40 วันไม่ใช่การกักขังตัวเอง แต่เป็นการกักขังและกำจัดตัวตนเพื่อให้สามารถเปิดรับการมีหนทางชีวิตแบบใหม่ที่เป็นชีวิตของการช่วยเหลือ แบ่งปัน ไม่เบียดเบียนกัน สิ่งนี้น่าจะแพร่ขยายออกไป เพื่อช่วยให้ไวรัสร้ายได้ลดหายไปกลายเป็นเชื้อดีแทน ในวันข้างหน้าท้องฟ้าย่อมมีวันสดใสเสมอ ภาวนาให้แก่กันและกัน ภาวนาให้กับโลกที่กำลังเผชิญกับโรคร้าย แล้วเราจะได้สังคมที่เปิดออกต้อนรับวันใหม่วันแห่งสันติสุขไปด้วยกัน นั่นคือปัสกาของปีนี้ ปีที่แสนยากลำบากจริง ๆ 


วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ช่วยกันได้ไหม???


ช่วยกันได้ไหม???
ในวันนี้วันที่เทคโนโลยีสื่อสารครองเมือง เรื่องราวร้าย ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสังคมที่กำลังอ่อนแอ เป็นสังคมที่ไร้ภูมิ ป่วยไข้ เกิดแต่ความรุนแรงจากรักเป็นแค้น จากแค้นต้องฆ่า สื่อที่มีให้เราเสพจนคนติดงอมแงม อะไรที่เราชอบก็จะขึ้นมาบนหน้าจอกระตุ้นอยู่ร่ำไป ยิ่งเราเลือกเสพสื่อแบบใดมันก็ยิ่งทำให้เราเป็นแบบนั้น You are what You eat. และนับวันยิ่งควบคุมสื่อได้ยาก คำหยาบคายมีให้เห็นให้ได้ยินอยู่ในรายการตามสื่อโซเชียลมากเหลือ ความรุนแรงบ้าบิ่นนำไปสู่การเลียนแบบไม่หยุดหย่อน พฤติกรรมยุคใหม่ถูกปลูกฝังด้วยสื่อใหม่จนกลายเป็นอุปนิสัย ตั้งแต่เด็กยันผู้ใหญ่ล้วนถูกครอบงำอย่างไม่รู้ตัว ข่าวดีมีอยู่ในมุมเล็ก ๆ และน้อยคนนักที่จะนำมาประเทืองวิถีการดำเนินชีวิต

ตลอดช่วง 6 - 7 เดือนที่ผ่านมา ความรุนแรงที่เกิดจากแรงหึงหวง เกิดจากการเลิกรัก เกิดจากการไม่ซื่อสัตย์ต่อกันมีมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างแอบนอกใจกัน ต่างฝ่ายต่างอยากจะมีใหม่ ต่างฝ่ายต่างอยากจะมีชีวิตที่ดูดีขึ้น ไม่จำเจย่ำอยู่กับที่ และเมื่อมีเครื่องไม้เครื่องมือสื่อสารที่จะใช้ติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนได้มากขึ้น ง่ายขึ้น จึงเป็นที่มาของการที่จะหาความชอบตามที่คิดฝันไว้อย่างเสรี และด้วยทัศนคตินิยมที่ว่า “หญิงชายมีเสรีภาพเท่าเทียมกัน” ชายมีคนอื่นได้ หญิงก็มีได้บ้าง ไม่แคร์ ความละอายต่อความผิดทั้งชายหญิงหมดไป ในสมัยหนึ่งการแอบนอกใจกันเป็นเรื่องใหญ่โต เป็นเรื่องน่ารังเกียจ เป็นเรื่องที่ต้องอับอายยันลูกยันหลาน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ การเลิกรัก เลิกรา เป็นเรื่องที่ทำกันง่ายดาย เป็นที่ยอมรับได้ถ้ามันทนกันไม่ได้ก็อย่าไปทน เราสามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง การเปลี่ยนคู่นอน กลายเป็นที่ยอมรับในหมู่วงกว้าง การคบกันเพียงเห็นจากโปรไฟล์ นี่คือไลฟสไตล์ยุคศาสนิกชนคนไอที

คุณหมอท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “สมัยก่อน คนที่มาปรึกษาก็คือ ผู้หญิงที่เป็นเมียหลวงที่สามีไปมีเมียน้อย เมียหลวงเป็นฝ่ายทุกข์ เมียน้อยก็ทุกข์เหมือนกัน แต่มักไม่มาหา สมัยนี้ คนที่มาปรึกษาเรื่องครอบครัวก็คือผู้หญิงอีกนั่นแหละ แต่ประเด็นที่ทุกข์ก็คือ ผู้หญิงซึ่งเป็นเมียหลวง แอบไปมีชายอื่นที่เรียกว่ากิ๊ก ที่ลำบากใจก็คือ เธอมักมีลูกกับสามีแล้ว แต่ไม่รักสามี กลับไปรักกิ๊ก ทำไงดี? บางทีกิ๊กก็มีภรรยาอยู่แล้ว มีลูกด้วย....ผมเชื่อว่าในอนาคตผู้หญิงที่มีการศึกษา มีงานทำ ช่วยเหลือตัวเองได้ จะขอหย่าผู้ชายที่เห็นแก่ตัวและนอกใจมากขึ้น หรือไม่เช่นนั้น เธอก็จะมีกิ๊กและขอหย่ามากขึ้น ซึ่งจะเป็นเหมือนการลงโทษทางสังคมแก่ผู้ชาย และจะทำให้ผู้ชายที่ด้อยคุณภาพ อ่อนแอ เห็นแก่ตัว ชอบมีเมียน้อย แต่อยากมีครอบครัวดี ๆ ได้หันมาพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพพอที่จะเป็นสามีที่ดี รู้จักประคองความสัมพันธ์ที่ดีของความเป็นสามี-ภรรยาได้มากขึ้นไป สัญญาณเตือนการปฏิรูปครอบครัวเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อ “เมียมีกิ๊ก” มากขึ้นนี่แหละ” (Cr: ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ #โลกและชีวิต แนวหน้าออนไลน์)
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่สังคมโลกนิยามกันว่าเป็นเดือนแห่งความรัก แต่กลับเป็นเดือนที่มีข่าวเหตุยิงกัน เกิดความตาย เกิดความรุนแรง ที่มีสาเหตุมาจาก “เลิกรัก” ที่กลายเป็นเพลิงแค้นมากขึ้น และหากปล่อยไว้เช่นนี้ เราก็จะเสพแต่ข่าวแบบนี้มากขึ้น เหตุการณ์เช่นนี้ก็จะมีมากขึ้นและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พฤติกรรมการเลียนแบบจะมีตามมาตลอดเวลา ทั้งนี้ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน ศาสนาที่สอนเรื่องความรัก กำลังถูกท้าทายอย่างหนักหน่วง ความรักที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ในวันนี้ หลายคนไม่เข้าใจ แยกไม่ออกระหว่างความหลง ความรัก ความใคร่ เราต้องเพิ่มเติมความสำคัญของการเรียนรู้ความรักให้มากกว่าเรื่องพิธีกรรมแต่งงาน ที่หลายคนมุ่งมั่นเพียงแค่ต้องการจะแต่งงานในวัดอันสวยงาม มีพิธีที่สง่า ถ่ายรูปมาแล้วดูอลังการงานสร้างเพียงเท่านั้น ต้องช่วยกันปลูกฝังลูกหลานให้ซื่อสัตย์ในศีลสมรส ต่อคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อหน้าพระเจ้าและปวงประชา ต้องสอนให้คนยุคนี้ออกจากตัวตนเพื่อคนอื่นให้เป็น สอนให้รักอย่างเข้าใจและก้าวไปพร้อมกันในหนทางธรรม

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หรือว่าในยุคสมัยนี้เรารักคนอื่นไม่เป็น ก็เพราะเรารักตัวเองกันไม่เป็น เรารักตัวเองแบบเห็นแก่ตัว เรารักตัวเองที่เก่ง เรารักตัวเองที่รวย เรารักตัวเองที่ประสบความสำเร็จ เรารักตัวเองแบบผิด ๆ เราเทิดทูนตัวเองเกินไปจนทำให้เราไม่สามารถจะรักคนอื่นได้ เราหลงในตัวเองจนลืมคนอื่นรอบข้าง และเมื่อถึงวันหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ก็สะท้อนย้อนมาทำร้ายเรา แรงกดดันที่มอบให้กันเป็นไม้ขีดก้านเดียวที่จุดไฟเผาได้ทั้งบ้าน ซ้ำร้ายเรายังเทน้ำมันลงไปในกองเพลิง สิ่งนี้ไม่ได้ช่วยให้สังคมดีขึ้นเลย
ลองสำรวจตรวจสอบดูก่อนว่า “เรารักตัวเองเช่นไร” และเมื่อรู้แล้ว เราก็ควรประพฤติตนปฏิบัติตนเช่นนั้น สิ่งนี้เป็นคำสอนที่มีมาในทุกยุคทุกสมัยและไม่เคยเก่า ชีวิตเรามีความหมายก็ต่อเมื่อเห็นคนรอบกายคือของขวัญ ลมหายใจร่วมกันคือสายสัมพันธ์หนึ่งเดียวที่เรามอบให้แก่กัน นิยามความรักมีมากมาย แต่หาได้ถูกนำมาใช้อย่างถูกต้อง เรารักกันเพียงเปลือกภายนอก แต่ไม่ค่อยรักกันในจิตใจที่งดงามของกันและกัน เราเทิดทูนตัวเองแต่ไม่เคยเห็นหัวและเห็นใจของผู้อื่น เราเก่งคนเดียวโดยที่ไม่เห็นความสามารถในกระแสเรียกของผู้อื่น “ถ้าท่านใดคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดในโลกนี้ ก็จงยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง เพราะความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ในโลกนี้เป็นความโง่เขลาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า”  ถึงเวลาแล้วที่เราต้องช่วยกันให้สังคมโลกกลับคืนสู่สันติสุข....

วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

รู้สึก...

รู้สึก...
เคยสังเกตเวลาที่เราเปิดเฟสบุ๊คขึ้นมา จะมีคำหนึ่งปรากฏมาให้เห็น นั่นคือ “คุณกำลังคิดอะไรอยู่” เพื่อให้เราแสดงความรู้สึก จากความรู้สึกภายในของเราก็จะกลายเป็นสิ่งสาธารณะให้ผู้คนได้รับรู้ในทันที และหลายครั้งหลายคนที่กำลังรู้สึกในด้านลบอยู่ กำลังโมโห โกรธ เกลียด ถูกทำร้าย ถูกกดดัน จึงผลักดันความต่ำต้อยนี้ออกมาเป็นตัวอักษร บ่อยครั้งมิได้ผ่านการคิดอย่างรอบด้าน มีด้านเดียวคือด้านตรงหน้าที่ต้องระบายออก เราจึงมักรับรู้ความรู้สึกด้านไม่งามผ่านทางสื่อใหม่นี้อยู่เสมอ จนกลายเป็นความชินชา จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา หรือกลายเป็นเรื่องของใครของเขาไปเสีย สะสมจนกลายเป็นนิสัยสาธารณะ

จากจุดตรงนี้เอง ทำให้เราเข้าใจหลายเรื่องในเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความเจ็บปวดเศร้าสุดแสนจะบรรยาย ที่เราเห็นความสูญเสียของชีวิตผู้คนผู้บริสุทธิ์ไป เราเสพสื่ออ่านสื่อจนสื่อคือชีวิต เราจึงเห็นสื่อกลายเป็นตลาดขายข่าว เราจึงเห็นการแย่งลูกค้าแบบที่เป็นอยู่ เพราะใช่หรือไม่ เราเองก็ต้องการรู้เรื่องชาวบ้าน เราเองก็อยากเห็นเป็นอันดับต้น ๆ จะได้ไม่เป็นคนตกข่าว เราเองก็ต้องการความเร็ว สื่อจึงเกิดมากขึ้นตามยุคสมัย มีทั้งสื่อหลัก สื่อรอง สื่อออนไลน์ สื่อส่วนตัว เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของการรายงานเหตุการณ์ เพื่อให้มีส่วนร่วมหรือเพื่อขายข่าว ยิ่งมีคนอยากรู้อยากเห็นยิ่งขายได้ จนหลงลืมความรอบคอบไป แน่หล่ะ...นี่คือหน้าที่ของนักข่าวที่ช่วยสังคม แต่ต้องไม่ลืมไม่หลงเอาความตื่นเต้นมาไว้บนหน้าอย่างมิได้มีการคิดใคร่ครวญ และก็มักจะหยิบเอาคำถามผู้คนว่า “รู้สึกอย่างไร” ทั้ง ๆ ที่บางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องถาม แต่ถ้าจะถามเพื่อข้อมูลแล้วมารวบรวมตามความเป็นจริง กลั่นกรอง ให้เวลาเพิ่มสักนิด คิดถึงผู้อื่นมากขึ้นสักหน่อย แล้วจึงค่อยรายงานออกมา เราก็จะมีส่วนสร้างความดีงามมากกว่าความร้ายเหลืออย่างเช่นทุกวันนี้ หลายสื่อหลายสำนักซึ่งส่วนมากทำได้ดีทีเดียว มีบ้างส่วนน้อยก็ต้องช่วยกันระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น ถือว่าเป็นการบูรณาการเพื่อรองรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป


ในความคิดเห็นส่วนตัว สิ่งที่เราต้องเริ่มตระหนักให้มากขึ้น เรารู้สึกเช่นไร เราต้องคิดไตร่ตรองลองเช็คความรู้สึกของเราในสิ่งที่เราพูด ในสิ่งที่เราจะบอกกล่าวกับคนอื่นก่อนว่า ถ้าได้ยินคำนี้ ได้อ่านประโยคนี้ เราจะรู้สึกดีไหม ถ้าเราเป็นคนนั้นที่เจอกับคำถามนี้เราจะเจ็บปวดจนบอกไม่ถูกหรือเปล่า ให้พระจิตในตัวเรานำทาง ปลุกมโนธรรมของเราก่อน แล้วจึงบอกกล่าวเล่าความให้ผู้คนได้รับรู้ ถ้าเราฝึกขบวนการพินิจพิเคราะห์ให้เป็น เราจะได้อยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านอย่างมีคุณภาพมากขึ้น อันไหนที่สร้างแรงสะเทือนใจเกินไปก็ช่วยกันหลีกเลี่ยง ไม่จำเป็นต้องให้ชีวิตติดตามในทุกเหตุการณ์ตลอดเวลา ให้เวลากับการที่มีชีวิตที่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ บ้าง ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ต้องแอคทีฟตลอดเวลา พักจิตพักใจ เพื่อมีเวลาอยู่กับความงาม ใกล้ชิดกับสิ่งสร้างที่แสนสวยงาม มีเวลาอยู่กับคนรอบข้างอย่างจริง ๆ จัง ๆ มิใช่มีแค่ช่วงเวลาหายใจร่วมกัน แต่แล้วใจนั้นล่องลอยไปกับสื่อที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของชาวโลกเต็มหน้าจอ

ในยุคที่เรากำลังถูกเทคโนโลยีครองเมือง ถูกไอทีชี้นำวิถีชีวิต ศาสนาดั้งเดิมเป็นเพียงสิ่งเคยชิน ระบบการศึกษาค้นคว้าแสวงหาจากนอกห้องเรียน การอุปถัมภ์ค้ำจุนที่ต่างตอบแทนกลายเป็นบุญคุณที่ไร้แก่นสาร สังคมกำลังถูกคลื่นไอทีกระแทกแทรกซึมเข้ามาจนทำให้หลายองค์กรเสียหลัก ตั้งตัวไม่ติด ยิ่งไม่เริ่มก้าวยิ่งถอยห่างจากความเป็นจริง ยิ่งไม่ปรับตัวเรายิ่งเจ็บปวด เราอยู่ในโลกเราต้องก้าวไปกับโลกแต่ต้องไม่หลงไปกับกระแสโลก การปรับตัวด้วยการนำสิ่งดีงามมาประยุกต์ใช้จึงเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ ใช้วิธีการใหม่ ๆ กับความดีงามอันเป็นนิรันดร์ต้องถูกนำมาใช้อย่างถูกกาละเทศะ ความเชื่อความศรัทธาต้องมั่นคง และส่งเสริมให้มีความรู้สึกที่ดีรับผิดชอบทางสังคมให้มากขึ้น ใช้ความรู้สึกของเราเพื่อสัมผัสความรู้สึกของคนอื่นให้เป็น สร้างความร่มเย็นแก่กัน อย่ากดดันด้วยคำพูด ด้วยการดูถูกหยามเหยียด อย่าเบียดเบียนกันด้วยความอวดเบ่งอวดเก่ง อย่าผลักดันให้คนอื่นเดินตามทางของตัวเรา การสร้างอาณาจักรสวรรค์ในแผ่นดินเริ่มจากการดูแลความรู้สึกซึ่งกันและกัน มิใช่แค่เพียงถามว่ารู้สึกอย่างไร!!! เราต้องเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของคนอื่นนั้นอย่างจริงจังด้วย หากว่าสื่อแล้ว พูดแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้น ก็ควรหลีกออกมาตั้งสติ คิดไตร่ตรอง บางทีอาจจะเห็นว่า ณ ตรงนั้นเราควรยืนอยู่แค่ตรงไหน อย่าคิดว่าเราสำคัญสุด หยุดหาตัวตน ไม่จำเป็นต้องมีบทบาทในทุกกรณี ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เล่นถ้าเรารู้ตัวว่าเราไม่เหมาะ คนเราไม่ได้ชำนาญไม่ได้เก่งทุกเรื่อง เหมือนอย่างที่ศาสนาไอทีชี้นำเสมอไป เรายังจำเป็นต้องพึ่งพากัน และบางครั้งในวันที่รู้สึกต้องการใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ ในวันที่เหนื่อยและล้าแล้วมีคนนั้นเข้าใจความรู้สึกเรา โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นมากเลยทีเดียว
ในวันที่เราผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาด้วยกัน เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องย้ำเตือนตัวเองให้มากและบ่อย ๆ ว่า “อย่าเอาความรู้สึกคนอื่นมาแค่บอกผ่าน แต่เราต้องเอาความรู้สึกของเราเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของคนอื่นให้มากขึ้น” ใช้ไอทีมาแบ่งปันความดี ใช้เทคโนโลยีชี้นำคำสอน ใช้ความรู้สึกสร้างความรัก ใช้ความเมตตาลดแรงกดดัน เพื่อให้เกิดสวนสวรรค์ในพื้นที่ที่เราก้าวเดิน “จิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์”

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ฝากไว้กับคนอื่น


ฝากไว้กับคนอื่น
ผ่านไปเดือนกว่า ๆ สังคมโลกตื่นตระหนกตกอยู่กับความหวาดกลัว ทั้งเรื่องโรคระบาด สงคราม เศรษฐกิจซบเซาทำเอาหลายคนตกงานอย่างปัจจุบันทันด่วน หลายคนยืนงงในดงของการเปลี่ยนผ่าน จนทำตัวไปไม่ถูก จากเคยสุขสบายคิดว่ามั่นคง มีกินมีจับจ่ายใช้สอย หลายคนไม่เคยคิดที่จะวางแผนและตั้งรับการเปลี่ยนครั้งใหญ่เหล่านี้ไว้ล่วงหน้า ไม่มีการรองรับหากเกิดการเปลี่ยนแปลง ฝากชีวิตทั้งหมดไว้กับคนอื่น ฝากความหวังไว้กับเงินทอง ยามเมื่อต้องยืนเดี่ยว เหลียวหาใครไม่มี จึงจัดการกับหนทางชีวิตแบบงง ๆ ไปไม่เป็น

หากเราได้เรียนรู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนครั้งนี้ ในระดับมหภาค สังคมที่มีผู้คนเป็นจำนวนมาก การจัดการอย่างเป็นระบบเป็นระเบียบเด็ดขาด ไม่ฝากความหวังไว้กับใคร ใช้วิธีปิดเมือง ปิดประเทศ ควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส อาจจะทุกข์ยากมากในช่วงแรก แต่สิ่งนี้คือการสะสมพลัง สะสมความเข้มแข็งเพื่อก้าวเดินหน้าต่อไปอย่างแข็งแกร่ง สร้างภูมิให้กับตัวเอง ไม่พึ่งพิงคนอื่นมากไปนัก มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะก้าวข้ามผ่านไปด้วยกันอย่างมั่นคง เราเห็นการสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในช่วงเวลาไม่ถึง 10 วัน เราเห็นการเสียสละของเหล่าแพทย์คนจีนที่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่รอคอยความช่วยเหลือจากประเทศอื่น หรือหากประเทศใดจะช่วย ก็พร้อมน้อมรับเฉพาะในสิ่งที่จำเป็น
แล้วเราลองหันกลับมาพิจารณาตัวเราแต่ละคนกันบ้าง เราผ่านวันเวลา ผ่านการเปลี่ยนแปลง ผ่านผู้คนมามากน้อยแตกต่างกัน หลายครั้งบางช่วงเวลาชีวิตเราก็ฝากไว้กับคนอื่นมากเกินความจำเป็น จนบ่อยครั้งเมื่อเกิดเรื่องราวความทุกข์เข้ามาก็ทำอะไรเองไม่ได้ เหมือนกับบทความบทนี้ที่นำมาแบ่งปัน บทความที่ชื่อว่า “กุญแจแห่งความสุข”
แม่บ้านคนหนึ่งกล่าวว่า
“ฉันไม่เคยมีความสุขในชีวิตครอบครัวเลย เพราะสามีของฉันมักไปประชุมต่างจังหวัดอยู่เสมอ!” เธอนำกุญแจแห่งความสุขของตัวเองฝากไว้ในมือของสามี
คุณแม่คนหนึ่งกล่าวว่า
“ลูก ๆ ของฉันดื้อมาก พวกเขามักทำให้ฉันโมโหอยู่เสมอ” เธอฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือลูก ๆ
ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวว่า
“เจ้านายไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา ผมจึงไม่เคยได้แสดงความสามารถ” เขาฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือเจ้านาย
แม่สามีกล่าวว่า
            “ลูกสะใภ้ของฉันไม่กตัญญู ฉันช่างโชคร้ายเหลือเกิน” นางฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือลูกสะใภ้
เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินออกจากร้านกาแฟหรูแล้วตะโกนออกมาว่า
“แย่ ๆ บริกรร้านนี้นิสัยแย่มาก ฉันจะไม่มาเหยียบร้านนี้อีกเลย” เขาฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือบริกร
พวกเขา ทำในสิ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือ ฝากกุญแจแห่งความสุขของตนไว้กับมือของคนอื่น! เมื่อใดที่เรายอมให้คนอื่นควบคุมอารมณ์ของเรา เราจึงมักรู้สึกว่าเป็นฝ่ายถูกทำร้ายอยู่เสมอ และเวลานั้น สิ่งที่เราเลือกก็คือโมโหและโกรธแค้น เราเริ่มโทษพวกเขา และป่าวประกาศกับใคร ๆ ที่พบเจอว่า “ที่ฉันเป็นอย่างนี้ เพราะพวกเธอเป็นคนทำ พวกเธอต้องรับผิดชอบ!” เราจึงผลักโทษมหันต์เหล่านี้ไปที่คนอื่น (เพจ : นุสนธิ์บุคส์)



เราต้องเป็นคนสร้างสะสมพลังแห่งความสุขของตน ไม่เฝ้ารอความสุขจากคนอื่น เพราะเรายิ่งรอ เรายิ่งหวัง และเมื่อผิดหวังเราจะยิ่งทุกข์หนักขึ้น ในทางกลับกัน เรายังจำต้องเป็นผู้หยิบยื่นความสุขที่มีให้กับคนรอบข้างเราด้วย รู้จักปันสุข เพื่อให้มวลความสุขขยายใหญ่ขึ้น อย่าปล่อยให้สภาพแวดล้อม สิ่งของ ผู้คน คำพูดหรือการกระทำใด ๆ ของคนอื่นคอยฉุดรั้งความสุขไปจากเรา ที่มาของความสุขนั้น เกิดจากตัวเราเอง หาใช่ใครอื่น! ความทุกข์เป็นของคนอื่นอย่าได้นำมาใส่ตัวเรา แต่เราต้องคอยช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นทางทุกข์   
ใช่หรือไม่ บ่อยครั้งเมื่อเรามีความสุขเรามักจะหลงลืมคนอื่น เราต้องนำความสุขนั้นไปยังผู้อื่น ถ่ายเทพลังความสุขนั้นให้กันและกัน โดยไม่ฝากความสุขไว้กับคนอื่น เราเป็นเกลือเป็นแสงสว่างที่จะต้องนำความมั่นคง นำพาให้ผู้คนพบกับความสุขที่แท้จริงไปพร้อม ๆ กัน อย่าทำตัวให้คนอื่นคาดหวังจากเราฝ่ายเดียว และเช่นกัน ต้องไม่ไปฝากความหวังทั้งหมดกับคนอื่น ทำตามหน้าที่ ทำในสิ่งที่เราชำนาญด้วยความรัก  ทำความดีด้วยความไม่อวดดีไม่ดูถูกดูแคลนกัน แล้วเราจะผ่านวันเวลาที่มีทั้งทุกข์และสุขอย่างเปรมปรีดิ์ตลอดไป เป็นแสงส่องทางโดยไม่ต้องชี้ทาง เป็นเกลือดองโดยไม่ใส่ความบูดเน่าลงไป สังคมในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไรเราไม่สามารถล่วงรู้ได้ สร้างความสุขปัจจุบัน สร้างความงามในวันนี้ สร้างความดีให้พร้อมพรัก สร้างความรักให้มั่นคง เพียงเท่านี้ชีวิตเราจะพบกับสันติสุขในทุกช่วงเวลานาที...

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ตื่น


ตื่น
นับเป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ เดินทางด้วยรถไฟฟ้าเที่ยวแรก ๆ ของวันใหม่ ในรถที่ดูจะว่าง ๆ ไม่ต้องเบียดเสียดเหมือนตอนออกเดินทางยามสาย ๆ มีหลายคนตื่นเช้าออกจากบ้านมาทำงานเหมือนกัน ตื่นเช้าอาจจะมีเหตุผลเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่กับผู้คนเยอะ ๆ ไม่ต้องไปแย่งชิงพื้นที่ยืนกับใคร ยิ่งในวันที่เราต่างตื่นกลัวกับการระบาดของโรคโคโรน่า ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่กำลังแพร่ระบาดหนักในอู่ฮั่น หูเป่ย ประเทศจีน ที่ฉุดรั้งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วเป็นร้อยในเวลาอันรวดเร็ว สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก การตื่นมาเดินทางแต่เช้าแบบนี้ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะได้ไม่ต้องไปสูดหายใจร่วมกับคนหมู่มาก และไม่ต้องผจญมลภาวะฝุ่นพิษ ซึ่งตอนเช้ายังดูว่าจะน้อยกว่าตอนสายที่รถราเริ่มวิ่ง เริ่มจอดเริ่มติดยาวเหยียดบนท้องถนน


การตื่นเช้ามาก ๆ ยังมีโอกาสมองเห็นการเปลี่ยนสีของท้องฟ้า จากมืดมิดสู่แสงสว่าง เห็นตึกรามอาคารเริ่มปรากฏโฉมจากความมืดดำ แสงจากไฟฟ้าเริ่มถูกแทนที่ด้วยแสงอ่อนจากเจ้าที่ยามเช้าเห็นผู้คนดิ้นรนในหนทางของตัวเอง พ่อค้าแม่ขายเริ่มตั้งร้านรวง ซึ่งก็เป็นวิถีปกติของบางคน เราคนที่นาน ๆ ตื่นเช้าที ก็เลยมองเห็นมุมมองใหม่ เฉกเช่นในความทุกข์ย่อมมีสุขเปื้อนปนอยู่ การที่ผู้คนกำลังจมอยู่กับความทุกข์จากมหันตภัยร้ายของวันนี้ เราก็พบเห็นด้านดีงามของมวลมนุษยชาติอีกมากมายที่ร่วมมือร่วมใจกัน เราต่างส่งกำลังใจให้กัน ท่ามกลางข่าวคราวมากมีเราต่างตื่นรู้ช่วยกันคัดกรองข่าว ไม่ให้ระบาดหนักพอ ๆ กับไวรัสร้าย ทำให้หาข้อมูลมากขึ้น รู้จักคัดกรองข้อมูลสังเคราะห์ วิเคราะห์ก่อนที่จะเชื่ออะไรกันง่าย ๆ เหมือนที่ผ่านมา

การตื่นขึ้นมาเดินทางเป็นเรื่องปกติของผู้คน แต่ในการเดินทางนั้นไม่ว่าจะออกมาเวลาไหนก็เป็นเหมือนที่มีผู้เคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตคนเรามีสองทางเดิน ทางหนึ่งต้องใช้ใจเดินทางเส้นนี้เรียกว่าความฝัน อีกทางหนึ่งต้องใช้เท้าเดิน ทางเส้นนี้เรียกว่าความจริง ทางที่ต้องใช้ใจเดินต้องหมั่นฝึกฝนการตื่นตัว โดยไม่ตื่นตูมและตื่นเต้นเป็นเจ้าเข้าในเวลาที่มีเรื่องราวร้าย ๆ ใจที่นิ่งสงบย่อมสยบได้ในทุกสิ่ง ส่วนทางเดินด้วยเท้า ต้องอาศัยความจริง ต้องมีความรู้ ต้องตื่นรู้และไม่จมอยู่กับความรู้เดิม ต้องหมั่นก้าวเดินไปในความจริงของวันเวลา และถ้าทั้งสองเส้นทางเดินไปด้วยกันแสงสว่างจึงจะมีมา ขอเพียงสงบใจ เราจะพบเห็นความจริงในทุกสิ่ง เรื่องบางเรื่อง ต้องใช้สติและการตื่นรู้ จึงจะเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นความผิดพลาดในการเลือกเดิน และสามารถที่จะหันหลังกลับมาเริ่มต้นใหม่ หรือเลือกทางใหม่ในสิ่งที่ถูกต้อง เรื่องบางเรื่อง ในขณะที่ตัดสินใจ ไม่ได้ว่าถูกหรือผิด? อย่าเพิ่งร้อนรน ลนลาน ควรหยุดดูเสียก่อน แล้วเราจะเห็นความจริง และที่สำคัญยิ่งเราจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของความจอมปลอมของโลกใบนี้
มีหมอดูคนหนึ่ง ประกาศว่าตัวเองเป็นหมอเทวดา ใครมาถามอะไรก็ไม่ต้องบอกเขาก่อน เพราะเขาสามารถล่วงรู้ใจได้ในทันที เป็นคนตาทิพย์
อยู่มาวันหนึ่ง หญิงชราคนหนึ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดได้มาดูหมอ หมอดูจึงเริ่มทำนาย
“คุณมีความทุกข์ที่บอกใครไม่ได้ใช่ไหม?”
หญิงชราส่ายหัวไปมาแต่ไม่ได้พูดอะไร
“ลูกสาวอกตัญญูใช่ไหม?”
หญิงชราส่ายหัว
“สามีของคุณมีเมียน้อยใช่ไหม?”
หญิงชรายังคงส่ายหัวเหมือนเดิมไม่ว่าหมอดูจะทำนายอะไรออกไปก็ไม่ถูกสักอย่าง ยิ่งถามก็ยิ่งไม่ถูก จึงทำให้หมอดูยิ่งร้อนรนความมีชื่อเสียงกำลังสั่นคลอน
เขาจึงเอ่ยกับหญิงชราไปว่า
“แล้ววันนี้คุณมาดูหมอทำไม?”
“ฉันแค่อยากจะมาถามหมอว่า โรคส่ายหน้าของฉันเนี่ย เมื่อไหร่มันจะหาย!”.....!!!


ในสังคมวันนี้เราก็มีคนประเภทนี้มากทีเดียว ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ จึงมักทะนงตนเองว่าเก่งเหนือคนอื่น จึงเดาใจคนอื่นอยู่เสมอทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้รู้อะไรเลยหรือไม่ก็เป็นคนที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้มีองค์ความรู้เยอะ มีข้อมูลมาก สิ่งนี้คือความจริงที่สุด ใครมาฉุดรั้งจากนี้คือสิ่งผิด ทั้ง ๆ ที่ความจริง ความรู้ ทฤษฎีหลายเรื่องก็มีความคลาดเคลื่อนอยู่เสมอ หลายคนยึดติดกับความเชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินที่จะรับฟังความคิดของคนอื่น คิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษวิโส โอหังมีพลังเหนือใคร ๆ แต่เรื่องราวในโลกนี้มีมากมายเกินกว่าสมองกลหรือสมองคนจะรับรู้ได้ การตื่นตัว ตื่นรู้ ตื่นจิต นำไปสู่ความจริงความนิ่งได้เสมอ


เรื่องบางเรื่อง แค่รู้ที่จะหยุด คำตอบซึ่งเป็นความจริงก็จะปรากฏใช่หรือไม่ วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า เราปล่อยวางลงบ้างแล้วเท่าไหร่? คิดแล้วคิดเล่า ได้มาครอบครองมากน้อยแล้วเท่าไหร่?วางแผนแล้ววางแผนเล่า พลาดพลั้งไปแล้วเท่าไหร่? หวังแล้วหวังเล่า เป็นทุกข์มาแล้วตั้งเท่าไหร่? โลภโมโทสันสะสมกอบโกยไม่สิ้นสุด ทำบาปกับผู้คนมาแล้วเท่าไหร่? สร้างรอยแค้นลบรอยรักให้กับใคร ๆ มาแล้วเท่าไหร่? เมื่อวันสุดท้ายมาเยือน เอาอะไรไปได้สักเท่าไหร่? ตื่นเถิด ตื่นรู้ ตื่นตัว ไม่กลัว ไม่ตื่นตูม ไม่ตื่นเต้น ไม่ตื่นตระหนก รับรู้เรียนรู้ กับวันเวลาอย่างสันติ ความสว่างของวันใหม่มีมาให้เห็นได้ทุกวันหากเราตื่นมารับรู้และสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมั่นคงและไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า.....