วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ตัวตนคนเช่นเรา

 

ตัวตนคนเช่นเรา

>>>ในสายตาของคนอื่น เราจะเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามองเราอย่างไร

หากอยากให้ใครต่อใครสรรเสริญ เราต้องทำให้เขารู้ว่าเรานี่แหละของจริงคนจริง

บ่อยครั้งเราแก้ไขปัญหาให้ใครต่อใครได้ แต่เมื่อเจอปัญหา กลับหาทางออกไม่เจอ<<<

ลมเย็น ๆ พัดมาในช่วงเวลาใกล้สิ้นปี ในบรรยากาศคริสต์มาสเช่นนี้ ย้อนรำลึกวันเก่าก่อน หลายปีที่คริสต์มาสไม่ได้สัมผัสกับอากาศที่เย็น ๆ สบาย ๆ แบบนี้มานาน แต่ทว่าปีนี้แม้จะมีอากาศเย็นสร้างบรรยากาศบ้าง  เรากลับต้องมาระแวดระวังตัวกันมากขึ้น เพื่อไม่ให้เจ้าโควิดมากัดกินชีวิตเราและคนรอบข้าง คงเป็นคริสต์มาสที่ไม่ใคร่จะรื่นเริงนัก แต่แลดูสงบ ซึ่งก็ตรงกับความเป็นจริงที่คืนนั้น เด็กชายคนหนึ่งลืมตาดูโลกอย่างเงียบ ในมุมเหลือบโลก ตัวตนของคืนคริสต์มาสจึงมิใช่การรื่นเริง แต่เป็นการชื่นชมในความรัก ที่เด็กชายคนหนึ่งมามอบให้กับทุกมุมโลกในวันนี้

 


ในขณะขับรถกลับบ้านท่ามกลางอากาศเย็น ๆ คลอด้วยเสียงเพลงที่เปิดไว้เป็นเพื่อนวนเวียนเปลี่ยนไปพอให้เพลินเพลิด บทเพลง when a child is born เวียนมา ฟังไปก็คิดตาม เราผ่านชีวิตที่เกิดมาเพื่อเป็นอะไร ผ่านพบผู้คนมามากมายหลากหลาย ชอบสังสรรค์ในวัยหนึ่ง ชอบอยู่เงียบ ๆ ในวัยนี้ ไม่วุ่นวายกับใคร ๆ ไม่ใช่เบื่อหน่ายผู้คน แต่เบื่อหน่ายความจอมปลอมของผู้คนมากกว่า บ่อยครั้งก็ยังรู้สึกว่าแท้จริงตัวตนเรา คือใครกันแน่??? เพราะในสายตาคนอื่นเราอาจจะเป็นฮีโร่ผู้ประเสริฐ ในสายตาอีกคนหนึ่งเราก็แค่คนไม่ฉลาด ขลาดเขลา คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งพึงพาเรา อีกคนหนึ่งผลักไสเรา แล้วเราในสายตาเรเองเป็นอย่างไร คำตอบนี้อยู่ที่เราต้องตอบให้ได้ โดยละทิ้งทุกสายตาทุกความคาดหวังในตัวเรา

การเกิดมาของคน ๆ หนึ่ง ย่อมมีความหมายเสมอ ไม่จำเป็นหรอกที่ต้องใช้ ชีวิตจอมปลอม เพื่อเอาใจคนอื่น จริงหรือปลอมดูกันไม่ยาก บางคนชอบสร้างภาพโอ้อวดออกสื่อ ยิ่งในยุคที่คำด่าหยาบคายถูกใจใครหลายคนโดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ จึงกลายเป็นหนทางสร้างชื่อเสียง ที่หลายคนปรารถนา ทำให้หลายคนหลงทาง เดินเข้าไปเพียงเพื่ออยากจะมีตัวตนกับเขาบ้าง ยอมละทิ้งตัวตนของตนเองไว้ข้างทาง เหมือนสับสนไม่ชัดเจนสักเรื่องในชีวิต หลอกตัวเองจนตัวเองเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง สร้างดราม่า สร้าวเรื่องเพื่อเรียกยอดไลค์ เพื่อให้ตัวเองดูดีที่ไม่ถาวร ก็คงต้องเหนื่อยไปทั้งชีวิต ตัวตนคนแบบนี้น่าสงสารเสียนี่กระไร เราจะเป็นกันแบบนี้หรือ ชีวิตที่เรียบง่าย กลับหายากในหมู่ผู้คนสมัยใหม่  ไร้การรับผิดต่อมโนธรรมสำนึกของตน

เราต้องมีความกล้าหาญเดินไปบนทางที่ตนเลือก อย่าใส่ใจการมองของคนอื่นให้มากนัก ชีวิตคนแสนสั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า เราสามารถปลดปล่อยพันธนาการจาก แค้น ชิงชัง ได้หรือไม่ต่างหาก! เราต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า เราก็คือพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าเป็นองค์ความรักและเมตตาใยเจาจึงไร้รักกับผู้อื่น เราจึงไร้เมตตาต่อผู้คน เพราะเราต่างหลงลืมตัวตน กุมารน้อยประสูติมาเพื่อเผยตัวตน แสดงความรักที่มีอยู่แล้วในตัวตนของเรา อย่าให้สิ่งอื่นมาบัญชาตัวตนคนเช่นเราให้ห่างไกลจากองค์ความจริงไปเลย



วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2564

โต้คลื่นชีวิต

 

โต้คลื่นชีวิต

>>> บางช่วงขณะชีวิตก็เหมือนกำลังต่อสู้กับคลื่นลมแรง

ที่พร้อมซัดสาดกระหน่ำถาโถมเข้าใส่ คนหัวใจแกร่งจึงพร้อมยืนสู้

ผู้ที่เข้มแข็งจะออกไปเผชิญหน้ากับคลื่นลมด้วยความเบิกบาน <<<

ทะเลดูเหมือนจะเป็นที่ที่ให้เราพักกายผ่อนจิต แม้จะมีเสียงคลื่นลมพัดพาดผ่าน แต่ก็มิได้ทำให้เกิดความวุ่ยวายใด ๆ กลับมีสันติสงบขึ้นภายใน เป็นอีกหนึ่งวาระที่ได้มานอนรับลมชมวิวหน้าหาดหัวหิน มีสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือ ทะเลฤดูนี้มีคลื่นลมที่แรงขึ้น และมีผู้คนมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเปิดประเทศ เห็นชาวต่างชาติหลากเชื้อชาติมาเดินเล่น ที่ออกจะแปลกตากว่าทุกครั้ง นั่นคือ ทะเลเบื้องหน้าเต็มไปด้วยนักเล่นกระดานโต้คลื่น โดยใช้ว่าวลากนำไปตามทิศทางลม ยิ่งมีลมแรง ยิ่งเห็นคนมาเล่นแบบนี้มาก เขาเล่นอะไรกัน? คำถามแรกที่ผุดขึ้นในใจ ลองหาคำตอบจากป้ายริมหาดที่เชิญชวนใช้บริการ เห็นเขียนไว้ว่า ไคท์เซิร์ฟ (kitesurf) หรือ ไคท์ บอร์ดดิ้ง (kite boarding) ลองหาข้มูลได้ใจความว่า เป็นกีฬาท้าทายทางน้ำสำหรับคนรุ่นใหม่ ความน่าตื่นเต้นของกีฬานี้ ก็คือ การที่จะได้ล่องลอย ท้าทายเกลียวคลื่นอย่างเป็นอิสระ เพียงแค่ให้อุปกรณ์สองอย่าง คือ ว่าว และ เซิร์ฟบอร์ด แต่การที่จะต้องบังคับว่าวให้ไปในทิศางที่ต้องการถือว่าเป็นความท้าทายไม่น้อย บงคับผิดก็คว่ำ ร่างกายต้องแข็งแรง ผ่านการฝึกฝน ผ่านการล้ม ล่ม จม ตระกาย ยืนให้เป็นบนกระดานเล็ก ๆ ถึงจะโลดแล่นไปได้ดังใจหมาย

นั่งดูนั่งลุ้นมือใหม่หลายคนฝึกเล่น เพลิดเพลินกับผู้ชำนาญโต้คลื่นลม ตีลังกา กระโดดล่องลอยบนยอดคลื่น ก็ทำให้คิดถึงชีวิตคนเรา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ตราบนั้นก็ยังคงต้องเผชิญกับคลื่นทุกข์คลื่นสุขคลุกเคล้ากันไป จะอย่างไรเสีย เมื่อเรายังมีลมหายใจ ชีวิตก็จำเป็นต้องเดินหน้าฝ่าทุกคลื่นกันต่อไป หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องหาทางสร้างความเบิกบาน หาทางเป็นอิสระจากความทุกข์ให้ได้ หากจะพูดไปแล้ว ชีวิตเราก็มักมีคลื่นทั้งเล็กและใหญ่สาดซัดเข้าหาตลอดเวลา ไม่มีใครสามารถไปยับยั้งได้ ถ้ากลัวคลื่น ชีวิตก็จะมีแต่ความหวาดหวั่นไม่เป็นสุข

นักเล่นกระดานโต้คลื่นกลับเห็นว่าคลื่นทะเล ทำให้พวกเขาสามารถเล่นกระดานโต้คลื่นได้อย่างสนุกสนาน เมื่อทะเลมีคลื่นลม นักเล่นกระดานโต้คลื่นก็จะเริงรื่นกับการโต้คลื่นในทะเล ทุกคนรู้ว่ากว่าจะเล่นกระดานโต้คลื่นได้อย่างสนุกสนานนั้น จะต้องเริ่มต้นด้วยการทำใจไม่ให้กลัวคลื่นก่อน หลังจากนั้นก็จะต้องฝึกร่างกายและกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพื่อที่จะสามารถประคองตัวต้านแรงคลื่นได้


คลื่นชีวิตก็เช่นกัน คนที่จะมีความสุขได้ก็ต้องทำใจให้เชื่อมั่นเสียก่อนว่า เมื่อเกิดมาบนโลกใบนี้แล้ว พระเจ้าไม่ทอดทิ้งเราแน่นอน เหมือนกับที่พระนางมารีย์เชื่อมั่นในการรับที่ตั้งครรภ์ โดยที่ยังไม่แต่งงาน คลื่นคำนินทาที่จะถาโถมย่อมมีแน่นอน ทุกสายตาด้วยความเหยียดหยามของคนรอบข้างจะพุ่งใส่ ด้วยการจะฝึกใจให้เข้มแข็งทำตามสิ่งพระเจ้าบอก เดินทางฝ่าออกไปไปตามทางของตัวเอง พระเจ้าประคองข้าง ทำให้แม่พระสามารถโต้คลื่นชีวิตได้อย่างเป็นสุข พบกับความยินดีในวันที่ได้พบพระนางเอลีซาเบ็ท วันนี้เราเพบความยินดีบ้างหรือยังท่ามกลางคลื่นทุกข์สุขของวันเวลา

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตเบิกบาน

 

ชีวิตเบิกบาน

>>> ชีวิตทุกวันนี้เราต่างแสวงหาความสุข ที่ยังไปถึงความเบิกบาน

ความสุขมักจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกที่เราแสวงหาไขว่คว้า

ความเบิกบานนั้นอยู่ที่เรียนรุ้ ยอมรับในทุกสถานการณ์ มองทุกสิ่งอย่างเป็นกลาง <<<

            เช้าวันพฤหัสฯที่ผ่านมา เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้น ครั้นเปิดดูก็รู้สึกใจหาย เศร้าใจ เพราะพี่ที่เคยกินนอน ทำงานด้วยกัน เมื่อครั้งเริ่มบุกเบิกองค์กร จากไปอย่างไม่มีวันห้วนกลับในร่างกายปกติ ความทรงจำเปิดประตูทะลักออกมา ในวันที่พวกเราต้องเช่าห้องอยู่ด้วยกัน 4-5 คน เพื่อให้ใกล้กับที่ทำงานใหม่ (ย้ายจากที่เก่าในภาวะจำยอม) ซึ่งไกลบ้านพักอาศัยของทุกคน เราต่างจับจองมุมห้อง มุมใครมุมมัน มีชีวิตร่วมกันเกือบ 24 ชั่วโมง เป็นความผูกพันที่ผ่านวันผันคืน ผ่านปีแล้วปีเล่า จึงก่อให้เกิดมิตรภาพที่มิอาจจะทิ้งขว้างลงได้ อยู่ร่วมกัน กินดื่มด้วยกัน สนุกด้วยกัน ทุกข์ร่วมกัน โกรธกัน ทะเลาะกัน มีครบทุกรสชาติของชีวิต

            หลังจากต่างเติบโต ต่างคนต่างก็เริ่มมีวิถีชีวิตของตัวเอง การติดต่อสื่อสารก็ยังพอมีอยู่บ้าง จวบจนเมื่อหลายปีก่อนได้ข่าวว่าพี่คนนี้ล้มป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล จึงนัดรวมตัวกันไปเยี่ยม รับรู้ว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงขั้นรุนแรง ต้องใช้เวลารักษาเยี่ยวยานานพอสมควร และต้องกลายเป็นคนป่วยที่นอนติดเตียง แต่เพราะกำลังใจที่เต็มเปี่ยม มีความเชื่อความศรัทธาในพระอย่างเต็มล้น จึงมีผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล จนกระทั่งได้ไปรักษาตัวในศูนย์เฉพาะทาง และกลายเป็นบุคคลต้นแบบในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์สื่อสารผ่านการสั่งด้วยการกระพริบตา ด้วยความมุ่งมั่นในการต้องมีชีวิตอยู่ เพื่อเห็นลูกสาวผู้น่ารักเติบโต จากคนป่วยกลายเป็นคนเปลี่ยน เปลี่ยนทัศนคติ ทำให้พวกเราพบกับความเบิกบานทุกครั้งที่ได้สนทนาผ่านตัวอักษร เราต่างหากที่ได้รับพลังจากพี่ที่ป่วยคนนี้ ความสุขที่เปลี่ยนจากการยอมรับ เรียนรู้ และพัฒนาตัวเองมันกลายเป็นความเบิกบานในชีวิตคน ๆ หนึ่งได้จริง

การมีจิตใจแจ่มใสสดชื่นไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม   แม้ในขณะที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแสนสาหัส              ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสได้  และยังเอาใจใส่ต่อทุกผู้คน นี่เป็นความเบิกบาน หาใช่ การใช้ชีวิตแบบเพลิดเพลิน  ที่มีนัยของการเสพสุขหรือหาความสุขจากสิ่งที่เสพเพียงด้านเดียว  ความสุขที่เราเสพเข้าไปอย่างเพลิดเพลินนั้นมันไม่เที่ยงแท้ถาวร ใช่ เราต่างแสวงหาความสุข แต่ที่สุดเราจะต้องไปให้ถึงความเบิกบาน ความยินดีในชีวิตด้วย

ความสุขขั้นพื้นฐานเริ่มต้นมาจากภายในตัวเรา ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่การมีอำนาจ หรือไม่ใช่ตำแหน่งทางสังคม สมบัติภายนอกไม่สามารถสร้างสันติในใจได้ ไม่สามารถนำความแช่มชื่นเบิกบานที่แท้จริงซึ่งเกิดอยู่ภายในได้เลย

“ความเบิกบาน นั้น ยิ่งใหญ่กว่า ความสุข ขณะที่ความสุขมักถูกมองว่าขึ้นกับเหตุการณ์ภายนอก แต่ความเบิกบานนั้นเกิดจากความรู้สึก ความเบิกบานเกิดขึ้นได้ทันทีทดแทนความทุกข์ คนเรานั้นมีทั้งกาย ใจ จิตวิญญาณ ชีวิตคนเราต้องมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  มีรอยยิ้มให้แก่กัน  ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ความทุกข์นั้นมาจากการสร้างขึ้นเอง ให้กำลังใจกับตัวเรา  ให้ทุก ๆ วันของเราเป็นวันที่มีความหมาย  ให้คนรอบข้างเราเป็นเหมือนกระจกไม่ควรละเลยที่จะใส่ใจกัน   เกื้อกูลซึ่งกันและกัน   รู้จักแบ่งปัน   เข้าใจผู้อื่น  และต้องเอาใจใส่ต่อกันและกัน  เพียงเท่านี้เรามีชีวิตก็ที่สงบสุขและเบิกบานได้ในทุกสภาพ



แด่ พี่ตั้ม วีรนนท์ ทรรทรานนท์ ผู้เป็นต้นแบบชีวิตที่เบิกบานในยามเจ็บป่วย

สัปดาห์แห่งความเบิกบานเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2564

พลังแห่งความช้า

 

พลังแห่งความช้า

>>> ค่อย ๆ ไป มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาข้างทาง

ช้าลงบ้าง อาจจะเสียเวลาสีชักหน่อย แต่ได้ความหนักแน่น ปลอดภัยมากขึ้น

ในความเร็วมีพลัง ในความช้าก็ย่อมมีพลังเช่นกัน <<<


            ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา
เวลาขับรถ คันที่ใช้อยู่เป็นประจำออกต่างจังหวัด มักจะใช้ความรวดเร่งไม่ต่ำกว่า 120 เพราะทั้งรถทั้งคนมีพลังล้นเหลือ วันนี้รถคันนี้แม้จะเป็นรถสำรอง แต่ก็ยังใช้มันอยู่ และด้วยทั้งคนทั้งเครื่องเริ่มโรยรา จะเร่งความเร็วมากไปความร้อนรถก็จะขึ้น เครื่องดับกลางทาง เวลาขับจึงจำต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป หาเวลาที่รถราบนถนนไม่คับคั้ง รถไม่ติดมาจึงออกเดินทาง ชีวิตมีความช้าลง รู้จักที่ใช้ชีวิตมากขึ้น มองเห็นความจริง มองเห็นและใส่ใจผู้คนมากขึ้น จนบางครั้งยอมเป็นคนไม่รู้ เพื่อรักษาน้ำจิตน้ำมิตรของคู่สนทนา

วันหนึ่งเมื่อขับมาถึงที่พักในยามเช้าตรู่ เห็นหอยทากตัวหนึ่งบนกำแพง หะแรกที่คิดทำไมมาไต่บนกำแพงบ้านเช่นนี้ ก็ปล่อยให้มันค่อย ๆ ไต่ไป จุดหมายมันตรงไหนมิอาจจะรู้ได้ และก็ไม่ควรจะไปรู้ มันค่อย ๆ คืบคลานไป ชีวิตไม่เร่งรีบ เลยทำให้เห็นว่า บางทีชีวิตเราก็ต้องเป็นเช่นนั้นบ้าง จะเร่งรีบไปกันทำไม การใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ ไม่ใช่ไม่กระตือรือร้น เพียงแต่รอบคอบ หาใช่การหยุดพัฒนาแต่วัฒนามากขึ้น  เพื่อชีวิตที่มีสุข ก่อเกิดพลังและมุมมองมากขึ้น  การช้าลงสักหน่อยก็ทำให้รู้จักโฟกัสมากขึ้น และทำอะไรน้อยอย่างลง ให้มีคุณค่ามากขึ้น แทนที่จะทำหลาย ๆ อย่าง เลือกทำสิ่งสำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียว และเก็บเรื่องอื่นไว้ทำในเวลาที่เหมาะสม ทำอะไรให้ช้าก็ต้องมีสติ ไม่คิดฟุ้งซ่าน อ่านหนังสือมากขึ้น ลดการใช้เทคโนโลยีให้น้อยลง จะได้ไม่ไปวิ่งไล่ตามความเร็วของกระแสแห่งการเอารัดเอาเปรียบ

เราอยู่ในยุคที่ต่างรีบต่างเร่ง ต่างเก่งต่างแกล้ง ละเลยความเป็นคนต่อกัน ถ้าวันนี้เราทำชีวิตให้ช้าลงแม้กำลังอยู่ในวันเวลาที่หมุนเปลี่ยนไป โดยหันมาใส่ใจผู้คน ครอบครัว และคนรอบข้างให้มากขึ้น ห่วงใย และเอื้ออาทรต่อกันอย่างจริงใจ ใส่ใจโดยไม่ใส่ความคิดของเราต่อคนอื่น ไม่ใช้มาตรฐานส่วนตนวัคนอื่น การช้าลงจะให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น แล้วนั้นเราจะเข้าใจคนอื่นง่ายขึ้น ไม่ปิดประตูที่จะเมตตาต่อผู้คน มองทุกผู้คนด้วยหัวใจที่อ่อนโยนไม่ใช่ด้วยสายตาแห่งการดูถูกหยามหยัน ไม่โอ้อวดโชว์เพาว์ในความรู้หรือไม่รู้ เพราะความรู้มนุษย์เราก็รู้แค่เพียงปลายจมูกตัวเอง

 เมื่อเราช้าลงจะมีเวลามากขึ้น ควรใช้โอกาสชื่นชมความงดงามของธรรมชาติ แม้จะเป็นเพียงต้นไม้ดอกไม้หน้าบ้าน นกทำรัง แมลงปอล้อลม ผีเสื้อลักน้ำหวานจากเกสรดอกไม้  ตื่นเช้ามาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ยืดแข้งยืดขา และที่สุดเมื่อความเสื่อมถอยของร่างกายมักเตือนเราว่า ร่างกายเราผ่านความสมบุกสมบันมามาก ก็ต้องหัดที่จะรับประทานของบำรุง มีเวลาสุนทรีย์กับอาหารด้วยฝีมือตัวเอง ค่อยๆ เคี้ยว เพื่อรับรู้ความอร่อยของรสอาหาร ระบบร่างกายก็จะค่อย ๆ ย่อย จะสร้างความรื่นรมย์ให้กับชีวิต

หาความสุขง่ายๆ และรื่นรมย์กับทุกอย่างที่พบเจอ ไม่ว่าจะทำอะไร ขอให้ทำด้วยความสุขและความเต็มใจ แม้แต่ เปิดเพลงเบา ๆ เพียงเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ นี่ใช่หรือไม่ เป็นการตระเตรียมตัวของเราเพื่อหนทางใหม่ในชีวิตที่ทุกคนจะต้องเดินไปถึงเหมือนกัน เดินช้าเห็นความงาม เดินเร็วไปไม่จะเห็นอะไรเลย หนทางชิวิตเราต้องเตรียมให้พร้อม ยิ่งรอบคอบ ยิ่งมั่นคง ทางนั้นจะราบเรียบ สะอาด และงดงาม

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เสียงปรบมือที่จางหาย

 

เสียงปรบมือที่จางหาย

>>> คนเราไม่มากก็น้อยมีความต้องการที่จะเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น

จึงพยายามมุ่งมั่นฝึกฝนจนชำนาญ แล้วก็หลงในความเก่งของตัวเอง

ขาดความอ่อนน้อม ปรารถนาเพียงเสียงปรบมือเท่านั้นเอง <<<


เป็นปกตินิสัยที่เมื่อตื่นนอนก็เปิดอ่านข่าว อ่านความเคลื่อนไหว อ่านความคิดเห็นของผู้คน ซึ่งวันนี้เราสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างอิสระ บางทีก็ขาดความเข้าใจ ขาดวิจารณญาณ พูดไปเรื่อย เขียนไปตามที่ตัวเองคิด หรือตามจริตส่วนตัว ซึ่งส่วนมากก็ออกไปในทางการอวดรู้ อวดเก่ง โชว์เพาว์ และยึดในความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง อิสระแบบนี้ช่างน่ากลัว เพราะเมื่อบ่มเพาะเข้าไปฝังรากลึกในตัวเราแล้ว ยิ่งเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณ ใช่หรือไม่ คนเราเกิดมาทุกคนย่อมยึดตัวตนว่าดีว่าเก่งว่าสำคัญเสมอ มากน้อยแตกต่างกันไป ถึงแม้ไม่พูดออกมาก็ตาม ยิ่งเมื่อใดเราไม่ยึดติดกับความว่าเราดีเราเก่งว่าสำคัญ ความทุกข์ความเครีตดก็จะไม่เข้ามาหาเบียดบัยน  ทำให้เข้าใจคน เข้าใจโลกอย่างง่ายดาย เราต้องรู้ตัวเองให้ชัดเจนก่อนแล้วจึงจะเข้าใจคนอื่นอย่างถ่องแท้

เด็กหนุ่มผู้ยิงธนูแม่น เดินทางไปโชว์ความสามารถของเขาที่ตลาดแห่งหนึ่ง เขามาที่นี่เพื่อโชว์เทคนิคการยิงธนูที่เขารู้สึกภูมิใจในตัวเอง เขายิงธนู 10 ดอกให้ชาวบ้านดู แต่ละดอกที่ยิง ได้รับเสียงปรบมือและโห่ร้องด้วยความชื่นชมจากชาวบ้าน เพราะทั้ง 10 ดอกที่เขายิง ต่างปักเข้าใจกลางของเป้าทุกดอก

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนชมอยู่ด้านหลัง เขากลับไม่ยอมปรบมือ เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังพอที่จะให้ชายหนุ่มได้ยินว่า โถ! ไม่ใช่เทคนิคหรอก มันก็แค่ฝึกฝนมานานเท่านั้นเอง!

เด็กหนุ่มได้ยิน รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่เขาอยากได้จากทุกคน ก็คือ เสียงชื่นชม ไม่ใชความเห็นต่างเหมือนที่ชายวัยกลางคนพูดเมื่อครู่นี้ เขาจึงเดินเข้าไปหาชายคนนั้น ที่พี่ชายบอกว่าไม่ใช่เทคนิค หมายถึงอะไร? ท่านทำได้อย่างข้าหรือเปล่า?” ชายวัยกลางคนตอบกลับว่า ข้าทำอย่างท่านไม่ได้ดอก! แต่ข้ามีอะไรให้ท่านดู

พูดเสร็จก็เดินเข้าไปที่ร้าน เขาหยิบแจกันใบหนึ่งที่มีรูปทรงเรียวยาวแต่ปากแจกันนั้น กลับมีรูที่เล็กแถมฐานแจกันกลับมีทรงกลมมนใบหนึ่งออกมา เมื่อวางแจกันไว้ที่พื้น เขาจึงยกถังน้ำมันใบใหญ่ขึ้นมาแล้วเทน้ำมันใส่แจกัน น่าอัศจรรย์ น้ำมันไหลลงสู่รูแจกันได้อย่างพอเหมาะพอดี โดยไม่หกเลยสักหยด!

จากนั้นเขาก็หันไปมองเด็กหนุ่มแล้วถามขึ้นว่า เจ้าทำได้อย่างข้าหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มส่ายหน้าบอกว่าทำไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยฝึกทำสิ่งนี้มาก่อน! ชายเจ้าของร้านขายน้ำมันจึงเอ่ยขึ้นอีกว่าข้ายิงธนูแม่นเหมือนเจ้าไม่ได้ เจ้าก็เทน้ำมันลงแจกันอย่างข้าไม่ได้ นี่แหละที่ข้าบอกเจ้าว่า ทักษะมันเกิดจากการฝึกฝนเรียนรู้ สิ่งที่ทำซ้ำๆเป็นประจำทุกวัน วันหนึ่งมันจะเกิดความชำนาน นี่ไม่ใช่เทคนิค (ที่มา : นุสนธิ์บุคส์)

เราเรียนรู้สิ่งใด? เราก็เชี่ยวชาญในสิ่งนั้น ไม่ว่าจะทางดีหรือร้าย! วันเวลาก้าวผ่านมาอย่างรวดเร็ว หลายคนแทนที่จะเรียนรู้ แต่กลับเรียกร้อง ต้องการเพียงเสียงปรบมือ ต้องการเพียงสิ่งวูบวาบ เสียงชื่นชมอยู่ไม่นาน เสียงปรบมือไม่นานก็จางหายไป แต่สิ่งที่เราพูก เราทำอย่างจริงใจ ซื่อสัตย์ จะคงอยู่ตลอดไป ฝึกฝนเป็นคนดีให้เชี่ยวชาญ เพื่อว่าความดีจากตัวเรา จากเพื่อพี่น้องเรา จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่านี้

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

แบบไหนที่ชอบ

 

แบบไหนที่ชอบ

>>> ในชีวิตของทุกคนปรารถนาจะได้ผู้นำที่ดี แต่ตัวเรากลับทำสิ่งตรงข้าม

หลายคนเรียกร้องให้คนอื่นเสียสละ แต่กลับเห็นแก่ตัวทุกกรณีที่มีโอกาส

เราชอบแบบไหน เราควรทำแบบนั้น เราจึงจะพบสันติสุข <<<


            
วันสิ้นปีก็ค่อย ๆ คลานเข้ามาใกล้ อีกไม่นานก็คริสต์มาส พระเยซูเจ้าบังเกิด เราผ่านการฉลองชีวิตพระองค์มากี่ครั้งแล้ว ชายคนหนึ่งที่เกิดเป็นผู้นำ ที่ไม่ใช่ผู้นำแบบมาตรฐานโลก เป็นผู้นำในฝัน ที่ไม่ค่อยพบเจอในชีวิตจริง เราพร่ำบอกว่าเรารักพระองค์ เราเชื่อในพระองค์ แล้วชีวิตเราปล่อยให้พระองค์เป็นนำทางมากน้อยเพียงใด การเป็นผู้นำที่ดีไม่จำเป็นต้องมียศมีศักดิ์ มีอำนาจ มีตำแหน่ง เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจจะกีดขวางให้เราก้าวสู่ความดีงาม และถอยห่างจากความสุขก็ได้

ครั้งหนึ่งมีหัวหน้าเผ่าคนหนึ่ง ใกล้ถึงวาระสุดท้ายชีวิต เขาไม่อาจตัดสินใจได้ว่า จะให้ลูกชายคนไหนขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าแทน จึงเรียกลูกชายทั้ง 3 คนให้เข้ามาหา และบอกให้พวกเขา พวกเดินทางไปยังภูเขาลูกหนึ่ง และปีนขึ้นไปให้ถึงยอด จากนั้นก็ให้แต่ละคนเก็บสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้คนในเผ่ามากที่สุดกลับมา

เวลาผ่านไปหลายวัน ลูกชายคนโตก็เดินทางกลับมาถึงก่อน พร้อมกับหินเหล็กไฟจำนวนหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้ทำอาวุธได้ ลูกชายกล่าวกับบิดาว่า นับแต่นี้ไป ผู้คนของเราไม่ต้องกลัวพวกศัตรูอีกแล้ว เพราะข้ารู้แล้วว่า แหล่งของหินเหล็กไฟพวกนี้อยู่ที่ไหน

ลูกชายคนที่สองได้พบกับป่าใหญ่ที่อุดมไปด้วยแมกไม้ที่สามารถนำมาเป็นเชื้อไฟได้ เมื่อกลับลงมาก็รายงานว่า นับแต่นี้ไป ผู้คนของเราจะไม่ต้องทนกับอากาศที่หนาวเย็นในฤดูหนาวอีกต่อไปแล้ว เพราะข้าได้พบกับป่าไม้ที่ใหญ่มากซึ่งจะนำมาเผาให้ความอบอุ่นและช่วยในการหุงต้มอาหารของพวกเราได้

ในที่สุดลูกชายคนที่สาม ก็เดินทางกลับมา แต่กลับมามือเปล่า ซึ่งเขาได้ให้เหตุผลว่า เมื่อข้าขึ้นไปถึงยอดเขา ข้าไม่พบอะไรที่มีค่าพอที่จะนำติดตัวลงมา ข้าก็มองตรงไปยังขอบฟ้า และแล้วข้าได้พบว่า ตรงขอบฟ้านั้นมีดินแดนแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยป่าไม้ ทุ่งนา ภูเขา และหุบเขา มีทั้งฝูงปลาและสัตว์ใหญ่น้อย เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความงามและความสันติสุขแท้จริง แผ่นดินแห่งนั้นยังอยู่ไกล แต่ข้าก็จะต้องไปให้ถึงสักวันหนึ่ง และที่ข้ากลับมาช้า เพราะข้าคิดวางแผน ที่จะไปถึงดินแดนแห่งนั้น และได้วางแผนที่ จะทำให้คนของเผ่าเรามีทั้งความสุข มีทั้งความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในดินแดนแห่งใหม่นั้นด้วย และนี่ก็คือแผนของข้า


ที่สุดลูกชายคนที่สามก็นำเอาแผนการที่วางไว้โดยละเอียดมาเปิดให้ดู ทำให้ดวงตาของหัวหน้าเผ่าเป็นประกาย เขารั้งร่างของลูกชายคนที่สามมากอดไว้ พร้อมกับประกาศว่า เขาจะแต่งตั้งให้ลูกชายคนนี้เป็นหัวหน้าเผ่าต่อจากตน อันที่จริงลูกชายสองคนแรกก็ได้นำเอาสิ่งมีค่า สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตมาให้ ซึ่งถือว่ามีคุณสมบัติเป็นหัวหน้าที่ดีในปัจจุบัน แต่ลูกชายคนที่สามนี้เป็นบุคคลที่สามารถมองเห็นการณ์ไกล มีวิสัยทัศน์และยังมีการวางแผนในการไปสู่ดินแดนแห่งความสุข

 ในโลกนี้จะมีผู้นำสักกี่คนที่มองเห็นความสุขสันติเป็นเรื่องจำเป็นที่สุด พระเยซูเจ้าคือบุคคลเช่นนั้น

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เวลาพาเปลี่ยน

 

เวลาพาเปลี่ยน

>>> เวลาไม่เคยเอาอะไรไปจากเรา มีแต่จะให้ “ให้โอกาส”

แม้บางเวลาเราอาจสูญเสียบางอย่าง ในขณะเดียวกันเราก็จะพบการเริ่มต้นสิ่งใหม่ 

หากเวลาเดินผ่านไป เรายังอยู่ในจุดเดิม เราอาจมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง

เราอาจจะพลาด โอกาสที่ดีกว่าไปอย่างน่าเสียดาย <<<

ลมหนาวอ่อน ๆ พัดโชยปะทะใบหน้า ตื่นขึ้นมาเปิดบ้านในยามเช้า ใบไม้พัดล้อเล่นลมอย่างเริงร่า เวลาของปฎิทินใบสุดท้ายของปีนี้เกือบมาถึงแล้ววันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต หลายอย่างผ่านไป หลายสิ่งวิ่งเข้ามา เราคว้าอะไรมาใส่ในชีวิตเราบ้าง? เวลาดี ๆ มีให้เราทำดีเสมอ แต่เราอาจจะหลงลืมปล่อยเวลาเหล่านี้ผ่านไปทุก ๆ วัน  เวลาเป็นสิ่งที่ได้มาฟรี ๆ แต่ก็มีอยู่อย่างจำกัด ใช้แล้วย่อมหมดไป เก็บสะสมไม่ได้ ไม่สามารถซื้อหามาได้ตามร้านสะดวกซื้อ เรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน มีบ้างบางคนบ่นว่า ไม่มีเวลา

         
 
อาจจะเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อผัดวัดผ่อนคืนในสิ่งที่ตนเองมองไม่เห็นความสำคัญ ไม่เห็น “ค่าเวลา” ด้วยการ “ฆ่าเวลา”  สาละวนอยู่กับจอเล็ก  ๆ รูดไปมา ถูไถได้ทั้งวัน  เวลาหมดไปกับข่าวชาวบ้าน กับเรื่องการอวดอ้างสารพัดในโลกเสมือนจริง ที่เข้าสิงและกลืนกินเวลาของชาวโลกไปอย่างมิอาจจะคิดคำนวนได้ เรามีเวลาอยู่กับสิ่งเหล่านี้มากกว่าเวลาที่จะอยู่ด้วยกัน อยู่กับคนในครอบครัว เรามีโลกใบใหม่ที่มีเวลาเพื่อครอบตัว วันนี้หลายคนยังไม่สามารถที่จะรักษาและรู้จักการจัดการเวลาในชีวิตประจำวันได้เลย หน้าที่อย่างหนึ่ง คือ เราต้องกระตือรือร้นรักษาเวลา และบริหารจัดการเวลาในฐานะเป็นสัญญาณเตือนตนที่สำคัญ

            พูดถึงเรื่องเวลา เราก็มักจะคิดถึงนาฬิกา มีบทความหนึ่งพบในอินเตอร์เน็ต เรื่องเวลา กับนาฬิกา เขียนไว้ว่า

            “เวลา... เดินไปข้างหน้า นาฬิกา… เดินอยู่ที่เก่า

             เวลา… เราไม่อาจย้อนกลับ นาฬิกา… เราหมุนย้อนมันได้

             เวลา… เมื่อสูญเสียไปแล้วไม่อาจเรียกร้องคืน นาฬิกา… เสียก็ซ่อม หรือซื้อใหม่ไปเลย

             เวลา…ได้มาฟรี ๆ ไม่ต้องแลกกับอะไร นาฬิกา… ยิ่งสวยยิ่งแพง ใช้เงินซื้อมันมาทั้งนั้น

ใช่หรือไม่ ถ้าไม่มีนาฬิกา จะรู้เวลาได้หรือ และถ้ามีแต่นาฬิกา แต่ไม่รู้จักเวลา จะมีประโยชน์อะไรเล่า ถึงสองสิ่งนี้จะแตกต่างกัน แต่ถ้ามันจะคู่กันแล้ว ย่อมมีจุดร่วมกันเสมอ

 


            ในสังคมโลกยุคปัจจุบันเราให้ค่ากับอะไรมากกว่ากัน เวลา หรือ นาฬิกา เอาเข้าจริงนาฬิกาก็เป็นเพียงเปลือกนอก ต่อให้มีเป็นของดีเพียงใด ถ้าใช้เวลาในชีวิตไม่เป็นก็ไร้ค่า ในวันที่อะไรต่อมิอะไรเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนยังคงฉกฉวย เก็บสะสมสิ่งภายนอก จนหลงลืมเวลาที่จะทำดี เวลาที่จะทำดีมีมาบ่อย ๆ แต่เราก็มักมองข้าม มองผ่าน มองไม่เห็น รู้ว่ามี แต่มองไม่เห็น จึงขาดการเรียนรู้ ขาดการตระเตรียม ในขณะที่เรากำลังก้าวสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน เรายังคงจมอยู่ในวังวนเดิม ๆ หรือยังคิดว่าเวลาเป็นของเรา เราเป็นนายเหนือกาลเวลา สถานการณ์เปลี่ยนไป เราเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด ได้เรียนรู้ พัฒนาจิตวิญญาณตามกาลเวลาหรือยัง อย่าลืมว่า สิ่งที่ทุกคนยังมี คือ เวลา แม้ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม…..


วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เป็นสุข

 

เป็นสุข

>>>  เราทุกคนต่างก็อยากเป็นสุข ด้วยการมีสิ่งอำนวยความสะดวกใช้สอย

เราทุกคนอยากเป็นสุขที่ได้มีเงินทองใช้จ่าย มียอดสะสมมาก ๆ

เราทุกคนอยากเป็นสุข ให้คนอื่นยกย่อง เห็นพ้องไปกับความคิดของเรา

ความสุขแบบนี้ เที่ยงแท้จริงหรือ!!! เป็นความสุขที่เห็นเพียงด้านเดียวหรือไม่??? <<<

ความก้าวหน้าของโลกลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำให้เราถอยห่างจากความจริง เป็นเพียงแค่โลกเสมือนจริง คือ โลกที่ไม่จริง โลกปลอม ๆ ระบบการเงินก็กำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ใช้จ่ายในอากาศ เป็นเงินเหรียญดิจิตอล เงินที่เราสะสมมากำลังถูกเปลี่ยนไป สิ่งที่เราเห็นคิดว่าเที่ยงแท้ สิ่งที่เราเคยคิดว่ามั่นคง  มาวันนี้อาจจะไม่ใช่ ทุกสิ่งที่เราเห็นมันเป็นจริงเพียงด้านเดียว ยิ่งถ้าเรามองเพียงสายตาธรรมดา เราก็เห็นเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่หากเรามองด้วยสมอง ก็จะเห็นกว้างขึ้น และถ้าเรามองด้วยหัวใจ และเพ่งพิศด้วยจิตวิญญาณเราจะพบเห็นสิ่งที่ทำให้เป็นสุขแท้จริง อาจจะดูยากเย็นสักหน่อย ทำบ่อย ๆ เราจะเข้าใจโลก และใส่ใจผู้คนรอบข้างมากขึ้น

ในสังคมวันนี้เราต่างถกเถียงกันเพียงสิ่งที่เห็นด้วยสายตาเท่านั้น แล้วก็เอาสิ่งนั้นเป็นบรรทัดฐานไปเที่ยวตัดสินคนอื่น ทั้ง ๆ สิ่งที่เห็นกับความจริงมันอาจจะไปใช่แบบนั้นก็ได้ เพราะโลกวันนี้ก็เพียงโลกเสมือนจริงเท่านั้น เรานั่งดูการแข่งขันกีฬา ทีมที่เราชอบเราเชียร์เล่นไม่ได้ดังใจเรา เราก็วิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา ทีมนั้นเขาไม่เห็นไม่ได้ยินสิ่งที่เราพูด เพราะเขาอยู่สนามจริง เห็นเพียงสิ่งตรงหน้า แก้ปัญหา ตามปัจจัย ตามเวลาที่อยู่ตรงนั้น เราอาจจะเห็นด้วยมุมของเรา เขาก็มีมุมของเขา และถ้าเราจะเป็นสุขได้ เราก็ต้องหมั่นมองด้วยมุมของหัวใจ เหมือนกับพระราชา มิใช่เหมือนเด็กน้อยสองคนนี้ในเรื่องนี้

วันหนึ่งรถม้าของพระราชาได้วิ่งผ่านถนนที่มีเด็ก 2 คนกำลังโต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พระราชาจึงเดินลงจากรถแล้วถามเด็กน้อยทั้งสองคนว่า พวกเจ้ากำลังโต้เถียงเรื่องอะไรกัน?”


เด็กทั้งสองคนจึงเล่าต้นสายปลายเหตุว่า ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันเรื่องพระอาทิตย์ว่า ระหว่างตอนเช้ากับตอนเที่ยง เวลาไหนพระอาทิตย์อยู่ใกล้แผ่นดินมากกว่ากัน เด็กคนแรกสันนิษฐานว่า ตอนเช้าพระอาทิตย์อยู่ใกล้แผ่นดินมากกว่า เพราะพระอาทิตย์ยามเช้านั้นดวงใหญ่ เท่ากับล้อรถ แต่พอตอนกลางวันกลับหดเล็กลงเหลือขนาดเท่าชามข้าว ส่วนเด็กอีกคนสันนิษฐานว่า ตอนเช้าพระอาทิตย์ไม่ร้อน แต่พอตอนกลางวันกลับแผ่ความร้อนจนคนเหงื่อท่วม แปลว่า ตอนเช้าพระอาทิตย์อยู่ห่าง
แผ่นดิน ตอนกลางวันพระอาทิตย์อยู่ใกล้แผ่นดินต่างหาก

พระราชาได้ฟังความเห็นของเด็กทั้งสองแล้วก็เกิดความลำบากที่จะให้คำตอบ จึงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบว่า ข้าไม่อาจตัดสินได้ว่าความเห็นข้อไหนถูก เพราะข้าก็ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อน

เด็กสองคนได้ฟังคำตอบก็ต่างกล่าวว่า แม้แต่ท่านพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ยังจนปัญญา แล้วเด็กอย่างพวกเราจะมีความรู้สักเท่าไหร่กันเชียว แต่กลับยืนกรานหัวชนฝาในความคิดของตัวเองว่าถูกอยู่ฝ่ายเดียว ช่างโง่เขลา ๆ เสียจริง

เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยคนดื้อด้าน ใจคอคับแคบ ไม่ยอมรับฟังความเห็นหรือมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น มีความรู้เพียงแค่น้อยนิด แต่กลับเชื่อมั่นในความเห็นของตัวเอง เถียงกันจนหน้าดำคร่ำเครียด เพราะยึดในสิ่งที่ตัวเองเห็นมา แล้วก็นำมาเสนอ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย เราควรเปิดใจให้กว้าง เปิดใจรับความคิดใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ใช่มีแต่ความคิดคับแคบแล้วเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง เราจะอยู่อย่างเป็นสุขได้นั้น ต้องมองและตัดสินทุกอย่างด้วยหัวใจ ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องออกหน้าทุกครั้ง ไม่จำเป็นต้องคิดทุกอย่าง อ่อนโยนบ้าง ทำหัวใจให้ใสสะอาด เพื่อใช้มองผู้คนอย่างเข้าใจ เห็นใจ ใส่ใจ โดยไม่เอาแต่ใจเรา เท่านี้แหละความสุขในชีวิต