วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อย่าเก็บทุก(ข์)สิ่งไว้

อย่าเก็บทุก(ข์)สิ่งไว้
จากการที่ได้นั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาไม่เว้นแต่ละวัน โดยพยายามที่จะไม่ไปยึดติด เกี่ยวโยงกับบางสิ่งบางอย่างมากเกินไปนัก แต่ก็อีกนั่นแหละ อยู่นิ่งๆเฉยๆก็ยังมิวายมีสายลม แสงแดด ฟ้าฝน ให้ข้องแวะอยู่ร่ำไป มิพักต้องกล่าวถึงผู้คนที่เวียนแวะพบเจอ ในส่วนลึกแล้วไม่อยากจะให้คนที่พบปะพบเจอ มองว่าหน้าตามีแต่ความทุกข์ ปรารถนาที่จะยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ใช่ว่าดัดจริต แต่อยากจะให้จริตตนอยู่บนความสบายใจมากกว่า ยิ่งเราไปยึดติดกับสิ่งใดสิ่งนั้นก็เข้ามาบีบรัดเรามากขึ้น เป็นบ่วงให้เกิดความไม่สบายใจ จนก่อให้เกิดก้อนทุกข์ขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ แน่ล่ะ...เราหนีทุกข์ไม่ได้ แต่...เราต้องมีวิธีที่จะอยู่กับทุกข์อย่างเข้าใจมัน อย่างสันติ นี่คือคำตอบที่เฝ้ามองดูอยู่ทุกวัน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
การยึดมั่นในอุดมการณ์มากเกินไป โดยไม่ได้มองดูให้รอบด้าน ก็ไม่อาจจะแก้ปัญหาได้ การนั่งเฝ้าบ่นด่าทุกสิ่งรอบตัวโดยไม่ลงมือทำอะไรเลยก็กลายเป็นสิ่งเล็กๆที่ไร้ค่ามากที่สุดในโลก การมองคนอื่นด้วยสายตาอิจฉา ชิงชัง ก็มีแต่นำไฟมาสุมทรวง ใช่หรือไม่ การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้านั้นอีกนัยยะหนึ่ง คือ การปลดเปลื้องจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงที่เราล้วนสร้างเป็นมายาขึ้นมา เพื่อให้ถูกจริตของตนเอง
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเล่าไว้ว่า... 
มีชาย-หญิงคู่หนึ่งแต่งงานอยู่ด้วยกัน จนกระทั่งถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรกันเลยทีเดียว
ฝ่ายหญิงมีกล่องเก็บของอยู่ใบหนึ่งวางในตู้เสื้อผ้า และกำชับแกมขอร้องสามีว่าอย่าได้เปิดดูหรือถามใดๆ ทั้งสิ้น ฝ่ายสามีก็ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน ไม่เคยปริปากถามเรื่องกล่องใบนั้นเลย
วันเวลาผ่านไปหลายสิบปี อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายหญิงป่วยหนักมาก หมอลงความเห็นว่าเธอคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เธอจึงวานให้สามีช่วยไปหยิบกล่องใบนั้นจากตู้เสื้อผ้ามาให้เธอ
หลังจากที่ฝ่ายชายกลับมาพร้อมกับยื่นกล่องให้เธอ เธอเปิดฝากล่องขึ้นมา พบว่ามี ตุ๊กตาถักไหมพรมกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง (ประมาณว่า 1,000,000 บาท) บรรจุอยู่ข้างในกล่องใบนั้น
ฝ่ายหญิงเริ่มเอ่ย ในวันแต่งงานของเรา คุณย่าของฉันได้ให้บทเรียนสอนใจ ท่าน ว่าไว้ เรื่องครอบครัว คู่สมรสเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัยกันและกัน อดทนให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไว้เนื้อเชื่อใจ มีความรักให้แก่กัน และที่สำคัญ คือ มีความเข้าใจกัน
เธอหยุดพูด พร้อมกับยื่นมืออันแทบจะไร้เรี่ยวแรงลูบตุ๊กตาไหมพรมไปมา
คุณย่าได้แนะเคล็ดลับให้ว่า เมื่อใดก็ตาม ที่ความรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้น หรือรู้สึกโกรธมากๆ ขึ้นมา ให้ถักตุ๊กตาไหมพรมเก็บไว้ 1 ตัวเสมอ
ฝ่ายชายเหลือบมองเข้าไปในกล่อง เห็นมีตุ๊กตาไหมพรม 2 ตัววางอยู่ เขาเบือนหน้าไปอีกทาง เพื่อหลบหยดน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ เขารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของภรรยามีต่อเขาเป็นยิ่งนัก ชีวิตสมรสที่ยาวนานกว่า 50 ปี มีตุ๊กตาไหมพรมเพียง 2 ตัวเท่านั้น แทนจำนวนครั้งที่ภรรยาได้โกรธเคืองเขา หลังจากปาดคราบน้ำตาแล้ว เขาหันกลับมา
ฝ่ายภรรยาพูดต่อ เธอคงแปลกใจกับเงินก้อนนี้ด้วยสินะ
ทั้งคู่จมอยู่ในความเงียบ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
………………………………………………………………….
ฝ่ายหญิงหยิบมันขึ้นมา แล้วพูดต่อว่า มันเป็นเงินที่ได้มาจากการทยอยขายตุ๊กตาไปทีละตัวๆ ค่ะ JJJJ
ตอนอ่านเรื่องนี้ใกล้ๆจะจบ รู้สึกซาบซึ้งตรึงใจในความรักของสามีภรรยาคู่นี้เป็นยิ่งนัก แต่เมื่อเรื่องถึงจุดจบกลับมีรอยยิ้ม เพราะเรื่องมาหักมุม การหักมุมนี้มิใช่เพื่อให้เกิดรอยยิ้มเท่านั้น มันมีความหมายแฝงอยู่ในตัวด้วย เราจะเก็บความทุกข์ไว้ทำไม ทิ้งๆหรือขายมันออกไปบ้าง ทำอะไรก็ได้ที่จะแปลงความทุกข์ให้เป็นความสุข ยิ่งเก็บความทุกข์ไว้ความสุขเราก็ยิ่งลดน้อยหดหายไป
ยิ่งในสถานการณ์ที่บ้านเมืองเราถึงวาระถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนผ่าน ผ่านแล้วจะดีหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ต้องยอมให้เดินหน้าต่อไป จะมามัวจมอยู่กับสิ่งเดิมที่มิอาจจะก้าวไปทางไหนได้เลย อย่างน้อยๆวันนี้ เราต้องช่วยกันลดราวาศอกในเรื่องที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง หลีกได้ก็หลีกอย่าได้ปะทะอารมณ์ด้วยยึดมั่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจับไว้เหนี่ยวหนึบเกินไป เลี่ยงได้ก็เลี่ยงในการพูดคุย เพราะทุกคนต่างก็ยึดโยงบางสิ่งบางอย่างเอาไว้แล้ว อย่าได้พยายามไปดึงไปรั้ง โดยบอกว่าสิ่งนั้นไม่ดีไม่จริง ทุกคนมีเสรีภาพ ที่จะเลือกเชื่อ เลือกศรัทธาตามจริตของตน ในโลกนี้จะว่าไปมันไม่มีอะไรเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว กฎนี้อาจจะเหมาะกับสถานการณ์แบบนั้น แต่อาจจะไปใช้กับอีกสถานการณ์อื่นๆไม่ได้ เปิดใจและสวดภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองช่วยเหลือ ถ้าเราไม่ไว้วางใจในพระแล้วเราจะวางใจในอะไรเล่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีเสมอในสายพระเนตรของพระเจ้า

สิ่งที่อยากเรียนนำเสนอ คือ ชีวิตนี้มีเรื่องอีกมากมายให้ต้องทำ อย่ามัวเมาเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับตัวและนำมาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเลย ไม่เช่นนั้น เราจะไม่ได้ลิ้มลองความสุขสบายใจในโลกนี้เลย แล้ว...คิดหรือว่าเราจะก้าวสู่สุขในสวรรค์ได้...

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เห็นเขามองเรา

เห็นเขามองเรา
เห็นเขา…หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแห่งศรัทธาที่วาติกัน จึงมีโอกาสใช้เวลาพักผ่อน โดยเดินทางไปยังดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ดินแดนที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำ ดินแดนที่บนยอดภูเขามีแต่หิมะปกคลุม ดินแดนที่มีน้ำตกน้อยๆ อันเกิดจากหิมะละลายสลายกลายเป็นสายน้ำไหลลงมารวมเป็นแหล่งน้ำ เป็นทะเลสาบ ดินแดนที่ผู้คนทั่วโลกต่างหลงใหลพากันมาเยี่ยมชม ดินแดนที่เล็กกะทัดรัดแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ นี่คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ละครไทยหลายๆเรื่องมีฉากเริ่มต้นและฉากจบ ณ ดินแดนแห่งนี้ (ที่เพิ่งจบไป “อย่าลืมฉัน”) การได้เดินทางมายังดินแดนแห่งความสมบูรณ์นี้ เป็นการเพิ่มเติมพลัง เป็นการจุดประกายชีวิต ให้ได้คิดงามทำความดีต่อไป ทำดีอย่างจริงจังและจริงใจ ยึดถือซื่อสัตย์ต่อเสียงมโนธรรมโดยไม่ต้อง “มโน”
 

มองเรา.... เช้าตรู่ของวันอังคารที่ผ่านมา ตื่นขึ้นมาในยามเช้าตามปกติ แต่ได้เจอกับสิ่งไม่ปกติกับการประกาศกฎอัยการศึกที่ไม่เคยมีการใช้มาร้อยกว่าปีแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อความสงบ เพื่อลดการสูญเสียเลือดเนื้อของพี่น้องคนไทยด้วยกันเอง สิ่งนี้จึงอาจจะเป็นตัวช่วยให้เป็นชาติของเราหลุดรอดจากวันคืนอันโหดร้ายได้ จากบทรำลึกที่คิดๆไว้ว่าจะเขียนเป็นบันทึกถึงประเทศสวิตพลันต้องหันกลับย้อนมามองประเทศเราดูด้วย ประเทศไทยใช่ว่าจะไม่สมบูรณ์ ใช่ว่าจะขาดแคลนอดอยาก ดินแดนแห่งนี้มีพร้อมข้าวปลาอาหาร ทั้งแหล่งน้ำ พืชผักผลไม้ มีเพียงแต่ความขัดแย้งแห่งอุดมการณ์ทางการเมืองเท่านั้น ที่ทำให้ประเทศเราติดจมอยู่อย่างนี้ ความคิดที่เรียกว่าอุดมการณ์นั้น แท้จริงก็เป็นมายาที่มาเฟื่องฟูเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง ถูกสร้างให้เป็นมโนครอบงำว่า “นี่คือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” และต้องคิดแบบนั้นแบบนี้แล้วก็ยึดติด ยึดมั่น เป็นสรณะ เอาเป็นเอาตายเพื่อรักษาความคิดที่ถูกจริตนี้ไว้ ต่างคนต่างเลือกตามความศรัทธา บ้างก็ไร้เหตุผล บ้างก็ไร้การไตร่ตรอง เพียงฟังแล้วเชื่อ เชื่อแล้วศรัทธา ประเทศเราจึงติดหลุมหลุดไปไหนไม่ได้ เสียดายความสมบูรณ์ของทรัพยากรที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง เพราะความโลภเพียงเพื่ออำนาจ

เห็นเขา.... การเดินทางท่องเที่ยวเยี่ยมชมประเทศสวิตในครั้งนี้ เป็นการเที่ยวแบบแบกกระเป๋าไปกันเอง โดยมิต้องพึ่งพาบริษัทนำเที่ยว จึงต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูลกันพอสมควร และด้วยว่าในกลุ่มของเรามีผู้นำที่เก่งและคล่อง จึงทำให้สิ่งที่วางแผนไว้ เป็นไปตามนั้นอย่างแม่นยำ ประจวบกับความมีระเบียบวินัยในเรื่องการตรงต่อเวลาของระบบคมนาคมในประเทศสวิต การเดินทางด้วยรถไฟเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในประเทศนี้ และตารางเวลาการเข้าออกแม่นยำถึง 99.99 % เราจึงไม่เคยเสียเวลาในการรอคอย ที่น่าทึ่งและแปลกใจมิใช่น้อย ระบบรางรถไฟประเทศสวิตในหลายๆเมืองมิได้เป็นระบบรางคู่ที่ขบวนรถวิ่งสวนกัน ยังคงเป็นระบบรางเดี่ยวอยู่ แต่การสับเปลี่ยน รอขบวนเชื่อมต่อกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมาก ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ประเทศสวิตแห่งนี้ จะขึ้นชื่อเรื่องของเวลา และเป็นแหล่งของนาฬิกา มิได้มีเพื่อขายมีเพื่อโชว์เท่านั้น แต่ผู้คนชนชาวสวิตซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อเวลาเป็นอย่างมาก นาฬิกาจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น นี่จึงเป็นเรื่องที่ถึงกับต้องรำพึงออกมาว่า “เขาทำได้ไงอ่ะ”
มองเรา.... ความขัดแย้งและความสับสนของสังคมไทย ใช่หรือไม่ ส่วนหนึ่งมาจากการขาดวินัยในตนเอง เรื่องง่ายๆ เช่น เรื่องการตรงต่อเวลา เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ถูกปล่อยปละละเลยมาอย่างยาวนาน จนทำให้เราเข้าใจกันว่าเวลานัดอะไรกับใคร อย่างน้อยๆต้องเผื่อเวลาไว้เป็นชั่วโมง และคนที่มาล่าช้าก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไรใหญ่โต และมักมีข้ออ้างที่มิอาจจะมีข้อแก้ต่าง ข้อท้วงติงอะไรได้เลย คือ “รถติด”  เพราะระบบการคมนาคมที่ไม่เป็นระบบของไทย สิ่งเหล่านี้ถูกปลูกฝัง ความไร้วินัยของคนในชาติ นำมาเป็นข้ออ้างถึงความเห็นแก่ตัว คนไทยมีคนเก่งมากมาย แต่คนที่มีวินัยในตัวเองนั้นมีน้อยเหลือเกิน คนที่รักษาวินัย คนที่ตรงต่อเวลาจะกลายเป็นคนประหลาดแปลกแยกไปแล้วในสังคมไทย ใช่หรือไม่ เราไม่เคร่งครัดต่อตัวเอง แล้วเราจะไปเรียกร้องให้คนอื่นมาเคร่งครัดมาเคารพกฎกติกาอย่างไรได้ สังคมก็จะกลายเป็นสังคมที่หละหลวมและอ่อนแออย่างที่เห็น
เห็นเขาประเทศสวิตเป็นประเทศเล็กๆ แต่กลับมีผู้คนที่หลากหลาย เมืองที่อยู่ติดกับประเทศฝรั่งเศสก็จะใช้ภาษาพูดฝรั่งเศส เมืองไหนติดประเทศเยอรมันก็พูดภาษาเยอรมัน เป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายสูง ค่าครองชีพสูงมากประเทศหนึ่ง เพราะเป็นประเทศที่ค่าแรงสูง ของกินของใช้ที่ประเทศนี้แพงจริงๆ กินข้าวแบบธรรมดาๆมื้อละเป็นพันขึ้น แต่... คนที่นี่กลับกลายเป็นคนที่มีคุณภาพสูงมาก เป็นคนที่มีวินัย เป็นคนที่ต้อนรับทุกคนอย่างเป็นมิตร เห็นเราทำท่าจะข้ามถนนเขาจะหยุดรถให้ทันที ไม่มีการบีบแตรไล่ ไม่มีการลดกระจกมาต่อว่า ร้านรวงจะปิดตอนประมาณหนึ่งทุ่ม ในเมืองต่างๆ มีโบสถ์ วิหาร ที่งดงามและที่สร้างความพิศวงเป็นอย่างยิ่ง คือ ในหลายๆที่จะมีทั้งโบสถ์ของคาทอลิกและโปแตสแตนท์ตั้งอยู่คู่กัน เวลาหกโมงเย็นเสียงระฆังก็ดังขึ้นประสานเสียงกันอย่างลงตัว 

มองเรา... สังคมไทยของเราก็หลากหลาย มีหลายวัฒนธรรม มีหลายศาสนา เราก็อยู่ร่วมกันมาอย่างผาสุกและยาวนาน แต่สิ่งที่ทำให้คนในสังคมไทยเริ่มหมดสุข เพราะความที่เรานำเอาวัตถุนิยมมาเป็นมาตรวัด เราเริ่มดูหมิ่นหยามเหยียดคนที่คิดต่าง และไม่ยอมให้ใครได้ดีเกินกว่าตน หลักคุณธรรมจรรยาบรรณหลุดหายไป มีแต่หัวใจแห่งการเอาชนะ ที่พาคนเราสู่ทะเลแห่งความเกลียดชัง ไม่ได้นำความต่างมาใช้ให้สอดประสานกัน ความร่มเย็นแห่งความเป็นไทยถูกยึดไปกับความต้องก้าวหน้า เรามิได้พัฒนาจากรากจากแก่นฐานของเรา ใช่หรือไม่ประเทศไทยเราก็มี วัดโบสถ์ วิหาร มากมาย แต่เรากลับไม่ใช้สิ่งเหล่านี้มาขัดเกลาวิถีชีวิตให้งดงามขึ้นเลย
เห็นเขา มองเรา ...เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่เห็นแล้วมองย้อนกลับมายังถิ่นที่เราอาศัยอยู่ ใช่เราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย เราจะทำอย่างไรเล่า? เราคงต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักเคารพวันเวลา มีความเที่ยงตรงและใช้วันเวลาให้มีค่า รู้จักที่จะตรงต่อเวลา อย่างน้อยๆมาเข้าร่วมมิสซาให้ตรงเวลา ใช้เวลาในวัดอย่างมีค่าเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิต นี่คงเป็นอีกบทเรียนหนึ่งของการก้าวออกไปยังโลกกว้าง….

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ที่สุดแล้ว

ที่สุดแล้ว
กรุงโรม คือ ที่ที่เคยมาเยี่ยมชม 5-6 ครั้งแล้ว ในแต่ละครั้งก็มีความแตกต่างกันออกไป บางโอกาสได้มาแสวงบุญกับบริษัทนำเที่ยว ที่มักจะพาไปเยี่ยมชมมหาวิหารทั้งหลายที่อยู่รอบๆกรุงโรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 4 มหาวิหารที่สำคัญ คือ มหาวิหารนักบุญเปโตร (Basilica di San Pietro) มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง (Basilica di San Paolo fuori le mura) มหาวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน (Arcibasild Pica di San Giovanni in Laterano) มหาวิหารแม่พระแห่งภูเขาหิมะ (Basilica di Sancta Maria Maggiore) เป็นสถานที่ที่ทุกคนไปโรมจะต้องได้ไปเยี่ยมชม แต่สำหรับครั้งนี้เป็นการเดินทางกันเอง จึงได้มีโอกาสไปเยี่ยมวิหารอีกหลายๆแห่ง ที่อยู่รายรอบกรุงโรม เรียกได้ว่าเดินไปทางไหนก็เจอวัด เจอวิหาร และแต่ละแห่งล้วนมีเอกลักษณ์และความงดงามไม่เหมือนกัน อย่างเช่น วิหารนักบุญอักเนส ที่บ้านนักบวชคณะรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ (สติ๊กมาร์ติน) ที่มีภาพเรื่องเล่าของท่านนักบุญที่งดงาม และเท่าที่ทราบตามคำบอกเล่าของ คุณพ่อ(มองซินญอร์)วิษณุ ธัญญอนันต์ (ผู้นำชม) สถานที่แห่งนี้นิยมใช้เพื่อประกอบพิธีแต่งงาน
อีกวิหารหนึ่งเป็นของคณะเยสุอิตที่มีความงดงามไม่แพ้กัน มีชื่อว่า วัดพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู (Chiesa del Santissimo Nome di Gesù all'Argentina) หรือ ภาษาอังกฤษว่า “Church of the Most Holy Name of Jesus” ด้านหน้าของโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรกที่แท้จริงแห่งแรก แบบวัดแห่งนี้ใช้เป็นตัวอย่างในการก่อสร้างวัดของคณะเยสุอิตต่อมาอีกมากมายทั่วโลกโดยเฉพาะในทวีปอเมริกา วัดนี้ตั้งอยู่ที่จตุรัสเจซูในกรุงโรม


นักบุญอิกญาซิโอแห่งโลโยลาผู้ก่อตั้งคณะเยสุอิต เป็นผู้ริเริ่มความคิดในการก่อสร้างในปี ค.ศ. 1551 และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปศาสนาคาทอลิก วัดนี้เป็นสำนักงานกลางของมหาธิการคณะเยสุอิต ในขณะที่ไปถึงวัด กำลังมีพิธีบวชพระสงฆ์ใหม่ จึงทำให้มีผู้คนเป็นจำนวนมาก
และยังมีอีกหลายวิหารที่ได้ไปเยี่ยมชมได้สวดภาวนา อีกสถานที่ที่หนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ “สุสาน” เราไปเยี่ยมชมทำไม “สุสาน” หรือ “ป่าช้า” เมื่อถึงตรงนี้เราก็มักคิดถึงความตาย ซึ่งคนทั่วไปมักจะกลัวความตาย เพราะความตายไม่เพียงพรากเราไปจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารักและหวงแหนเท่านั้น ยังนำมาซึ่งความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างยิ่งยวด ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป ความตายที่ไม่เจ็บปวดจึงเป็นยอดปรารถนาของทุกคนรองลงมาจากความปรารถนาที่จะเป็นอมตะ แต่ความจริงที่เที่ยงแท้แน่นอนก็คือ เราทุกคนต้องตาย             การได้มาเยี่ยมชมเหมือนเป็นการย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงความตาย สุสานใหญ่ที่สุดในกรุงโรม คือ สุสานเวราโน่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี คนดังๆแทบทุกคนจะฝังที่นี่ รวมทั้งนักบวชในคณะต่างๆสุสานนี้ตั้งอยู่ใกล้ๆกับมหาวิหารนักบุญลอเร็นโซ่ (ลอว์เร็นซ์) นอกกำแพงกรุงโรม

นอกจากสุสานที่นี่แล้ว ยังมีโอกาสเดินทางออกไปนอกกรุงโรม ไปยังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Sora ขับรถประมาณชั่วโมงกว่าๆจากกรุงโรม เป็นเมืองที่น่ารัก สวยงามและอากาศดีมากๆ อยู่ภายใต้อ้อมกอดของขุนเขา ที่เมืองแห่งนี้มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมสุสานประจำเมือง เมื่อไปถึงทำให้ความคิดเรื่องความตาย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป สถานที่แห่งนี้มีชีวิตชีวา มีดอกไม้จากผู้คนในเมือง ลูกหลาน ญาติมิตร ต่างแวะเวียนเอาดอกไม้มาผลัดเปลี่ยน มีการจัดสร้างอาคารเป็นหลังๆสำหรับบรรจุศพเป็นแถวเป็นแนว มีการจัดทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา เป็นสถานที่ร่มรื่น มีโอกาสสวดให้บิดาของเพื่อนชาวอิตาเลี่ยนผู้มีน้ำใจดีที่พาไปเยี่ยมชมเมืองแห่งนี้ ที่ท่านเพิ่งชีวิตไปได้ไม่นาน น่าแปลกแค่ไหน เราอยู่กันคนละพ้นขอบฟ้า วันหนึ่งก็ได้มาพบกันในคำภาวนา แสดงถึงความเป็นพี่น้องกันในสายสัมพันธ์หนึ่งเดียวในองค์พระผู้เป็นเจ้า
และเช่นเคยเมื่อเดินอยู่ในสุสานแห่งนั้นก็รำพึงถึงวาระสุดท้ายปลายชีวิตของเราว่า จะเป็นเยี่ยงใดหนอ ??? ไม่มีใครรู้ มีแต่ทุกคนต้องพานพบ ใช่หรือไม่ เราทั้งหลายต่างก็รู้ว่าจะต้องตายไม่ช้าก็เร็ว แต่แทนที่จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า แต่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะ ไปตายเอาดาบหน้า มากกว่า ความตายมาถึงเมื่อไร ค่อยว่ากันอีกที วันนี้ขอใช้ชีวิตสนุกๆหรือขอหาเงินก่อน ผลก็คือ เมื่อความตายมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า จึงตื่นตระหนก ร่ำร้อง ทุรนทุราย ต่อรอง ผัดผ่อน ปฏิเสธผลักไส ไขว่คว้าขอความช่วยเหลือ ถึงที่สุดตอนนั้นก็ยากที่จะมีใครช่วยเหลือได้
จะว่าไปแล้วชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็คือโอกาสสำหรับการเตรียมตัวครั้งสำคัญนี้ สิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตล้วนมีผลต่อการตายทั้งนั้น ไม่ว่าการคิด พูด หรือทำดีก็ตาม ชั่วก็ตาม การกระทำแม้เพียงเล็กน้อยไม่เคยสูญเปล่าหรือเป็นโมฆะ ที่สำคัญก็คือการตายมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีการแก้ตัว หากพลาดก็มีความทุกข์ทรมานเป็นผลพวงจนสิ้นลมหายใจ นี่แหละที่สุดของชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นสุสาน หรือ วิหาร ที่ได้เยี่ยมชม ต่างบอกเรา ชี้ให้เห็นว่า ที่สุดแล้ว ชีวิตก็ต้องจบลง มีเพียงร่างที่จะถูกนำมายังสุสาน แล้ววิหารที่แท้จริง คือ จิตวิญญาณของเรานั้นสวยงามเพียงพอไหม ในวันที่ยังมีลมหายใจ วิหารนี้ได้ถูกตบแต่งด้วยความดีงามมากน้อยแค่ไหน พร้อมเพียงใด ความตายเป็นสิ่งน่ากลัวสำหรับผู้ใช้ชีวิตอย่างลืมตาย แต่จะไม่น่ากลัวเลยสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี ความตายนั้นมิใช่เป็นแค่ วิกฤตเท่านั้น แต่ยังเป็น โอกาส อีกด้วย เป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ร่างกายกำลังเสื่อมสลาย หากวางใจได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถพบกับความสงบ มีผู้คนเป็นจำนวนมากได้สัมผัสกับความสุขและรู้สึกโปร่งเบาอย่างยิ่งเมื่อป่วยหนักในระยะสุดท้าย เพราะความตายมาเตือนให้เขาปล่อยวางสิ่งต่างๆ ที่เคยแบกยึดเอาไว้ ขณะที่อีกหลายคนเมื่อรู้ว่าเวลาเหลือน้อยแล้วก็หันมาให้อภัยกับทุกคนที่เคยล่วงเกิน ก่อนความตายมักเป็นเวลาสำคัญที่พระเจ้ามอบให้เป็นครั้งสุดท้าย และเมื่อความตายมาถึง มีคนจำนวนไม่น้อยที่จากไปอย่างสงบ และที่สุดวันนั้นของเราล่ะ จะไปแบบไหน เรารู้ เราเตรียมได้ แล้วเราจะยังไม่คิดทำอีกหรือ….

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
เวลาช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ได้มีโอกาสมาที่หน้าวาติกันเกือบจะทุกวัน แต่มีอยู่ 2 วัน ที่เป็นช่วงมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต เป็นเวลาที่นับว่าดีที่สุด ในวันที่มีการเข้าเฝ้าทั่วไป นับว่าเป็นวันแรกที่ได้เข้ามานั่งอยู่หน้าลานมหาวิหารนักบุญเปโตร ฝนตกตั้งแต่กลางคืน ตื่นเช้าเราจึงจำเป็นต้องนั่งแท็กซี่จากที่พักสู่หน้าวาติกัน ไม่ต้องถามว่าค่ารถเท่าไหร่ พูดได้คำเดียวว่า “แพงมาก” มาถึงตอนเจ็ดโมงเช้า มีคนรอเข้าแถวต่อคิวอย่างมากมาย ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาไม่ยอมหยุด กว่าจะเข้าประจำที่ใช้เวลาเป็นชั่วโมง  และกว่าจะถึงเวลาที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เสด็จออกมาก็ต้องรออีกนับเป็นชั่วโมงๆ สายฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ร่มสีสันต่างๆหน้าลานถูกกางออก ทำให้เกิดความงามอีกแบบหนึ่ง 
และแล้วเมื่อถึงเวลา 10 โมงเช้า เสียงเพลงต้อนรับพระสันตะปาปาดังขึ้น แต่ขบวนรถโมบิลพระสันตะปาปาก็ยังไม่เคลื่อนออกมา ช่วงจังหวะรออยู่นั้น สายฝนก็หยุดลง เงยขึ้นมองท้องฟ้า เห็นแสงแดดลอดช่องก้อนเมฆออกมาทอแสง จากที่หนาวเหน็บเยือกเย็นกลายเป็นอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ร่มทุกคันถูกเก็บ ทำให้เห็นว่ามีผู้คนมากมายมารอรับเสด็จ เวลาผ่านไปไม่นานรถโมบิลพระสันตะปาปา (Pope Mobile) ก็ออกมา แล้วก็วิ่งผ่านไปท่ามกลางหมู่มวลประชาชนที่พร้อมใจกันปรบมือต้อนรับพระองค์ พระสันตะปาปาทักทายทุกคน รถวนไปรอบๆลานหน้ามหาวิหาร เมื่อครบรอบพระองค์ก็ขึ้นมายังเก้าอี้กลางประรำพิธี แล้วก็เริ่มสวดภาวนา อ่านพระวาจาประจำวัน และที่สำคัญในวันนี้เป็นวันฉลองนักบุญจอร์ช นักบุญองค์อุปถัมภ์ของพระองค์ท่าน จึงมีการอวยพรให้พระองค์ท่านถึง 7 ภาษา เมื่อพิธีสิ้นสุดลง พระองค์ก็ออกทักทายแขกคนสำคัญๆที่นั่งอยู่ด้านข้างประรำพิธีอย่างใกล้ชิด ไม่น่าเชื่อว่าจากสายฝนที่น่าจะตกตลอดครึ่งวันวันนั้นกลับหายไป มีแต่แสงแดดอันอบอุ่นเหมือนไออุ่นจากบิดาที่รักยิ่งที่แผ่มายังมวลประชาคาทอลิก
นั่นคือความมหัศจรรย์แรกที่มีให้เห็น แล้วงานใหญ่ในวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน ถนนทุกเส้นมุ่งสู่วาติกัน การสถาปนานักบุญองค์ใหม่ 2 องค์ นักบุญผู้เคยเป็นพระสันตะปาปาที่นำพาพระศาสนจักรสู่ยุคใหม่ ผู้นำสันติไปสู่มวลมนุษยชาติ นักบุญจอห์น ที่ 23 และ นักบุญจอห์น ปอล ที่ 2 ผู้คนเรือนล้านต่างมุ่งสู่โรมเพื่อการณ์นี้ เพื่อร่วมเป็นหนึ่งในสหพันธ์นักบุญ โดยมิได้คำนึงถึงความยากลำบาก ทุกคนต่างยินดีที่จะเสียสละความสุขสบาย เพื่อร่วมในพิธีวันนั้น แม้จะต้องอยู่ห่างไกลจากพระแท่นพิธี หลายคนต่างตื่นเฝ้าศีลมหาสนิททั้งคืน โดยวัดรอบๆวาติกันจะเปิด 24 ชั่วโมง ให้ผู้คนได้เฝ้าศีล มีไม่น้อยใช้บริเวณหน้าวัดเหล่านั้นเป็นที่พักผ่อนนอนเอาแรง แม้เพียงสักงีบก็ยังดี และด้วยความขอบคุณอย่างยิ่งที่สภาพระสังฆราชแห่งประเทศไทย ได้ให้การรับรองในการเป็นผู้แทนนักข่าว มงซินญอร์ วิษณุ ธัญญอนันต์ และ อาจารย์ชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ที่ช่วยประสานงานในการขอบัตรนักข่าว ทำให้มีโอกาสเข้าใกล้ชิดพระแท่นและประรำพิธี 
จำได้ว่าในคืนนั้นตื่นตั้งแต่ตี 3 เดินมาขึ้นรถไฟใต้ดินแต่สถานียังไม่เปิด ต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถเมล์ ที่ทุกคันมีเป้าหมายเดียว คือ ส่งผู้โดยสารไปให้ใกล้ลานมหาวิหารนักบุญเปโตร รถคันที่นั่งมาส่งได้ใกล้ๆสะพานข้ามแม่น้ำไทเบอร์ เห็นผู้คนเดินเท้าเป็นหมู่เป็นคณะ บ้างก็สวดสายประคำ บ้างก็ขับร้องบทเพลงพระ แล้วทุกคนก็หยุดรอเพื่อให้ปะตูทางเข้าลานเปิดในเวลา 6 โมงเช้า ส่วนนักข่าวเข้าได้ตั้งแต่ตี 5.30 น. แต่... หาทางเข้าสำหรับสื่อมวลชนไม่เจอ รอจนคุณพ่อ(มงซินญอร์) วิษณุ มาพบแล้วพาเดินอ้อมไปอีกทางตามคำบอกของหน่วยบริการ ใช้เวลาเดินอีกประมาณครึ่งชั่วโมง จึงได้เข้าประจำตำแหน่งบนนั่งร้านสี่ชั้นที่เตรียมไว้สำหรับตัวแทนนักข่าวของแต่ละประเทศ เราเลือกทำเลที่ชั้น 2 ไม่มีที่นั่ง มีเพียงที่ยืน ตั้งแต่ตี 5 - 2 โมงเย็น คือ การยืนตลอด แต่ก็ไม่มีความรู้สึกว่าเมื่อยหรือเหนื่อยอย่างใด มีแต่ปลาบปลื้มใจ และเช่นกันก่อนเริ่มพิธีฝนก็ตกลงมา ร่มถูกกางออก ครั้นพอเริ่มพิธีมิสซาและโดยเฉพาะช่วงประกาศแต่งตั้งนักบุญ ท้องฟ้ากลับสดใส แสงแดดอบอุ่นทอลงมา นี่เป็นอัศจรรย์ครั้งที่ 2 ในลานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
สำหรับพิธีมิสซาในวันนี้ เริ่มด้วย พระคาร์ดินัล อันเจโล่ อมาโต้ ประธานสมณกระทรวง ประกาศการเป็นนักบุญอ่านคำร้องขอให้พระสันตะปาปาทรงประกาศสถาปนานักบุญใหม่ทั้งสอง มีการอัญเชิญพระธาตุของนักบุญใหม่ทั้ง 2 องค์ โดยพระธาตุของนักบุญจอห์น ที่ 23 เป็นเนื้อผิวหนังของพระองค์ ส่วนนักบุญจอห์น ปอล ที่ 2 เป็นโลหิตของพระองค์ ทั้งนี้ ผู้ที่ทำหน้าที่อัญเชิญพระธาตุของนักบุญจอห์น ปอล ที่ 2 ได้แก่ ฟลอริเบ็ธ โมรา ดิอาซ สตรีชาวคอสตาริก้าที่ได้รับอัศจรรย์จากการวอนขอพระเจ้าผ่านคำเสนอวิงวอนของนักบุญจอห์น ปอล ที่ 2 จนเธอหายจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกได้อย่างอัศจรรย์ นอกจากนี้ ในบทภาวนาเพื่อมวลชน หนึ่งในผู้อ่านได้แก่ ซิสเตอร์ มารี ซิมง เปียร์ ชาวฝรั่งเศส ผู้ได้รับอัศจรรย์ให้หายจากโรคพาร์กินสัน จนนำไปสู่การสถาปนาสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เป็นบุญราศีนั่นเอง
พิธีมิสซาและพิธีกรรม การเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส สั้นกระชับ เพื่อพระองค์จะได้มีเวลาทักทายมวลสัตบุรุษ หลังจากทักทายบรรดาผู้นำประเทศ พระองค์เสด็จขึ้นโป๊ปโมบิล (Pope Mobile) ไปรอบๆลาน แล้วเหนือความคาดเดา พระองค์ให้รถแล่นออกไปยังถนนหน้าลาน เพื่อให้คนที่มิอาจจะเข้าไปร่วมพิธีหน้าลานได้พบกับพระองค์ ทุกคนต่างยินดี เด็กหนุ่มสาวบางคนถึงกับโยนผ้าพันคอให้พระองค์ขึ้นไปบนรถคันนั้น


ในเวลากลับแทบไม่ต้องเดิน คลื่นคนชนคาทอลิกไหลพาร่างเราไปตามทาง กว่าจะพ้นออกมาได้กินเวลาอีกเป็นชั่วโมง จากนั้นฝนก็ตกลงมา ในขณะที่เดินกลางสายฝน ใจคิดถามตัวเองขึ้นมาว่า รู้สึกเสียดายเงินที่ต้องซื้อตั๋วเครื่องบิน จ่ายค่าที่พัก ค่ารถบ้างไหม เพราะเป็นเงินส่วนตัวล้วนๆ คำตอบ คือ เงินทองนั้นหาเมื่อไรก็ได้ แต่แรงบันดาลใจ แรงศรัทธาในความเป็นหนึ่งร่วมกับพระศาสนจักรสากลที่สืบทอดจากพระคริสตเจ้านั้นหาได้มีมาบ่อยๆนัก ความลำบากแค่นิดหน่อย สู้ไม่ได้กับความรักของพระเจ้าที่มีมาทุกยุคทุกสมัยผ่านทางผู้แทนของพระองค์ แล้วเมื่อมีโอกาสในความเป็นหนึ่งนั้น เรามิอาจจะปฎิเสธเสียงเรียกนี้ได้  และคิดไม่ผิดเลยที่ตัดสินใจออกเดินทางสู่วาติกันในครั้งนี้ เพื่อร่วมความเป็นหนึ่งในพระคริสต์...

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

คิดอย่างไรกับชีวิต

คิดอย่างไรกับชีวิต
เราแต่ละคนล้วนมีรูปแบบและวิถีทางชีวิตที่แตกต่างกัน แต่มีจุดหมายเดียวกันคือมุ่งสู่ความดี ส่วนใครจะเลือกหนทางใดวิธีการแบบไหนก็เป็นเรื่องของแต่ละคนตามจริต ตามสิ่งแวดล้อม และตามมโนธรรมสำนึกที่ปลูกฝังมาก บางคนเสียสละความสะดวกสบายของตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือแม้กระทั่งเพื่ออุดมการณ์ร่วมกันของกลุ่มคนที่คิดตรงกัน มีบ้างบางคนในระหว่างที่มุ่งสู่ความดีเกิดพลัดตกทาง หลงทาง และเดินไปสู่ทางแห่งความมืดมน จนไม่สามารถจะเลี้ยวกลับมาเริ่มต้นในเส้นทางนี้ได้อีกเลย แล้วคิดว่าทางนั่นแหละคือทางสู่ความดีโดยการหลอกลวงตัวเอง และหาพวกมาเข้ากลุ่ม เพราะกลัวจะเหงาเกินไปในทางที่มืดมนนั้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ในกระแสสังคมคนเมืองและทุกผู้คนต้องมี ต้องเป็น ต้องเก่ง ต้องเลิศ ทุกคนจึงทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงหลักชัยอันแปลกปลอม เมื่อต้องการมากจึงดิ้นรนมาก ต้องไขว่คว้าเสาะหาสะสมอย่างไม่มีวันหมดอายุ แต่สุดท้ายแล้วหมดแรง หมดแรงที่จะดำเนินชีวิต ปล่อยให้มีลมหายใจเข้าๆออกๆไปวันๆ หมดสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อทุ่มไปหมดสุดแรงเกิดแล้ว เมื่อล้าอย่างที่สุด เหนื่อยหน่ายจนอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด ก็มักหาเหตุผลว่า “ปลงเสียแล้ว” ไม่อยากดิ้นรน ไม่อยากแข่งขันกับใคร อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่แบบพอเพียง ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงอาจจะเป็นเพียงข้อแอบอ้างเพื่อให้ดูดีขึ้น จริงๆแล้วการมีชีวิตที่ไม่ต้องไปแข่งขันกับใครย่อมเป็นสิ่งประเสริฐ แต่ต้องไม่ใช่การอยู่เฉยๆเฉื่อยชาไปเรื่อย ชีวิตนั้นควรจะต้องมีค่า ทำประโยชน์กับผู้อื่น กับสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวบ้าง การใช้ชีวิตแบบพอเพียงนั้นแท้จริงคือการรู้จักกินรู้จักใช้ตามฐานะ ตามทรัพย์สมบัติที่หามาได้ด้วยความสุจริต แล้วแบ่งปันส่วนที่เหลือให้กับผู้ยากไร้บ้าง
โลกนี้เกิดขึ้นเพื่อให้เราเกื้อกูลกัน ให้มีเมตตาต่อกัน ช่วยเหลือกัน เพื่อให้รู้ว่า ชีวิตเรามีค่าเพียงใด ไม่ใช่ว่าชีวิตร่างกายเป็นของเรา จะทำอะไรก็ได้ ไม่ทำอะไรเลยก็ได้ ร่างกายคือสิ่งสร้างที่ถูกสร้างมาเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่สร้างมาเป็นสิ่งประดับโลกที่รอวันทรุดโทรมไปเพียงเท่านั้น อย่าได้คิดเหมือนชายคนนี้เลย
ชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าเก่าขาด ท่าทางเฉื่อยชา เอาแต่นั่งทอดหุ่ยปล่อยให้แสงแดดโลมเลียร่างกาย สลับกับหาวหวอดๆ เป็นระยะ เมื่ออาจารย์เซนเดินผ่านมาพบคนผู้นี้เข้า จึงเกิดความประหลาดใจจนต้องเอ่ยถามว่า
“พ่อหนุ่ม อากาศดีๆ ในฤดูกาลที่นานๆ จะเวียนมาถึงเช่นนี้ เหตุใดเอาแต่มานั่งเปล่าประโยชน์ ใยไม่ไปลงมือทำสิ่งต่างๆ ที่ควรทำ เจ้าไม่เสียดายช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้หรอกหรือ?
ชายหนุ่มถอนใจครั้งหนึ่ง พลางตอบว่า “บนโลกใบนี้ นอกจากร่างกายแล้ว ไม่มีสิ่งใดเป็นของข้าสักอย่าง เช่นนั้นใยต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยเล่า?
“เจ้าไม่มีบ้านหรือ?” อาจารย์เซนถาม
            “ไม่มี หากมีบ้านก็ต้องเป็นภาระคอยดูแลเช่นนั้นไม่ต้องมีเสียเลยดีกว่า” ชายหนุ่มตอบ
“เจ้าไม่มีคนที่เจ้ารักหรือ?” อาจารย์เซนถามต่อ
“ไม่มี หากมีคนรัก เมื่อหมดรักก็กลายเป็นความเกลียดชัง สู้ไม่มีเสียเลยดีกว่า” ชายหนุ่มว่า
“แล้วมิตรสหายเล่า มีหรือไม่? ” อาจารย์เซนไม่ละความพยายาม
“ไม่มี เมื่อมีเพื่อน สักวันก็ต้องสูญเสียเพื่อน แล้วจะมีไปทำไม” ชายหนุ่มท้วง
“เจ้าไม่คิดจะทำงานหาเงินบ้างหรือ? ” อาจารย์เซนยังคงถามต่อไป
“ไม่คิด ได้เงินมาสุดท้ายก็ต้องจับจ่ายออกไป เช่นนั้นใยต้องไปสิ้นเปลืองพลังงานหามาตั้งแต่ต้น” ชายหนุ่มกล่าวแย้ง
“อ้อ” สุดท้ายอาจารย์เซนพยักหน้ารับรู้ แต่ยังคงกล่าวว่า “ท่าทางข้าต้องรีบไปหาเชือกมามอบให้เจ้าสักเส้นหนึ่งแล้ว”
“เหตุใดต้องมอบเชือกให้ข้า? ” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัยใจ
“ให้เจ้าผูกคอตาย” อาจารย์เซนตอบ
ชายหนุ่มได้ยินก็ถามกลับไปด้วยความโมโหว่า “ท่านอยากให้ข้าตายหรือไง? 
อาจารย์เซนจึงตอบว่า “ถูกแล้ว เพราะคนเราทุกคนล้วนต้องตาย หากคิดตามตรรกะของเจ้า ในเมื่อสุดท้ายต้องตายแล้วคนเราจะเกิดมาทำไม และหากเป็นเช่นนั้นก็แปลว่า การมีชีวิต มีตัวตนของเจ้าในวันนี้นับเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ด้วยเช่นกัน ก็ในเมื่อเปล่าประโยชน์แล้ว ใยไม่รีบผูกคอตายไปเสียเลยเล่า?
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ใช่หรือไม่ การใช้ร่างกายเพื่อแสวงหาทรัพย์สมบัติมากไปก็ไม่ดี การไม่ใช้ร่างกายเพื่อก่อประโยชน์ใดเลยก็ยิ่งไม่ดี จุดสำคัญของการมีชีวิตคือการรักษาสมดุลให้เกิดขึ้น ชีวิตไม่ได้มีเพียงร่างกายเท่านั้น ยังประกอบไปด้วยจิตใจและจิตวิญญาณ หากเราปล่อยให้ชีวิตเราเฉื่อยชา จิตใจจิตวิญญาณมีหรือที่จะกระฉับกระเฉง หากใช้ร่างกายอย่างบ้าคลังจนอ่อนล้าและหมดเรี่ยวแรง จิตใจจิตวิญญาณย่อมอ่อนระโหยตามไปด้วย

ในวัดของเรามีคุณพ่อท่านหนึ่งที่ท่านใช้พลังกายอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างจิตวิญญาณ โดยเฉพาะจิตวิญญาณของผู้อื่น ด้วยการสอนคำสอน พูดคุยเรื่องความรักของพระเจ้า สอนให้ทุกคนรักในความเป็นลูกของพระอย่างมั่นคง คุณพ่อสหพล ตั้งถาวร ต้นแบบของผู้ที่รู้จักใช้ร่างกาย รู้จักใช้พระพร เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คน คุณพ่อสอนทุกคนที่ต้องการจะเรียนรู้เรื่องความรักของพระเจ้า ไม่ว่าเวลาไหน ใครสะดวกเมื่อไร ทั้งกลางวันกลางคืน สอนอย่างมีชีวิตชีวา วันนี้ถึงวาระที่คุณพ่อต้องไปรับหน้าที่ใหม่ พวกเราชาวเซนต์หลุยส์ ขอขอบคุณคุณพ่อและเราสัญญาว่าแบบอย่างของคุณพ่อ คำเทศน์สอนจะคงอยู่ในใจเราเสมอไป ด้วยจิตคารวะอย่างสูง