วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

เก็บรักษา

 

เก็บรักษา

>>> การรักษาใจ รักษายากยิ่งกว่าสิ่งทั่วไปในโลก <<<

            เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งของคนเรา เวลาที่เรารักหรือชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น เรามักจะเก็บรักษา และไม่ค่อยนำสิ่งนั้นออกมาใช้งานสักเท่าไหร่ เราจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี บางทีเก็บจนลืม เก็บจนเก่าเลย ฉะนั้นแล้วการเก็บรักษาที่ดี คือ การนำออกมาใช้ประโยชน์ตามสภาพที่ควรจะใช้ เฉกเช่นในเรื่องร่างกาย จิตใจ ของเรา บางทีเราก็ใช้ไม่เป็น บางทีก็เก็บก็ซ่อนไว้จนไร้ประโยชน์ หรือบางครั้งก็ใช้โดยไม่รู้จักรักษา เสื่อมโทรม ผุพังไป ไม่รักษาสมดุล จนเสียสมดุลเซซวน รวนเอาง่าย ๆ หรือ เพราะบางครั้งเราไม่ยึดติดกับค่านิยมที่ถูกฝังชิปมาจนหลงลืมความเป็นตัวตนไป

ใช่หรือไม่ ตอนเป็นเด็ก เราถูกทำให้เข้าใจว่า คนที่เรียนได้คะแนนสูง อันดับดี ๆ สอบติดมหาวิทยาลัยดี ๆ มีปริญญาหลาย ๆ ใบ “คือคนเก่ง”  พอโตขึ้นมาหน่อย ก็เข้าใจว่าคนที่ทำงานเก่ง เงินเดือนสูง ๆ หรือ มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตาของสังคม “คือคนเก่ง”  มาวันนี้ ที่ผ่านวันเวลา ผ่านผู้คนจนผ่านพ้นอะไรต่อมิอะไรมามากมาย ล้วนเข้าใจผิดมาตลอด คนที่เก่งจริง คือ คนที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงเวลากินก็ได้กิน ถึงเวลานอนก็ได้นอน มีเวลาว่างไปท่องเที่ยว มีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาให้ครอบครัว มีเวลาอยู่กับเพื่อน ๆ และ ตัวเอง สมดุลในทุก ๆ เรื่อง ในแบบฉบับของตัวเอง รู้รักษาความสุข นี่ต่างหากคือคนที่อยู่กับโลกได้


คนส่วนมากจะเอาแต่ดูแลร่างกาย ให้สวยให้งาม ไม่ให้หิว ไม่ให้ปวด ไม่ให้เมื่อย ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ป่วย สิ่งนี้เป็นหน้าที่ที่เราต้องดูแลรักษา สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เราช่วยต่อยอดการสร้างโลกของพระองค์ แต่ว่าหน้าที่เราไม่ได้มีแค่นั้น เรายังมีหน้าที่ต่อจิตใจด้วย ต้องดูแลเอาใจใส่กับจิตใจ รักษาใจไม่ให้ความทุกข์มารัดเกี่ยว บีบคั้นจิตใจของเรา อย่าไปมัวเรียกร้องให้คนอื่นมาช่วยดูแล อย่ามัวที่จะเก็บรักษาใจโดยมิได้นำหัวจิตหัวใจออกมารับใช้เรา ออกมาแสดงให้คนอื่นเห็นความดีงามที่ซ่อนอยู่ มันก็ไร้ค่า และจะเสื่อมสลายไปอย่างน่าเสียดาย

โลกไม่ได้อยู่ยาก แต่การอยู่ร่วมกัน กับคนหมู่มากต่างหาก ที่อยู่ยาก บางคนมองกันที่ “เปลือกนอก” บางคนคบกันที่ “ผลประโยชน์” บางคนทำเพื่อ “หวังผลตอบแทน” บางคนเกลียดกันด้วยการ “ฟังเขาเล่ามา” ยิ่งใส่ใจ ยิ่งยึดมั่นกับสิ่งใด ก็จะยิ่งเป็นทุกข์กับสิ่งนั้น บุคคล เรื่องราว วัตถุ ล้วนเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในกฎของอนิจจัง ไม่เที่ยง แปรเปลี่ยน ดำรงโดยไม่มีเจ้าของเที่ยงแท้ เมื่อคิดจะฝืนความจริงของธรรมชาติ พยายามที่จะยึดถือเหนี่ยวรั้ง ผลลัพธ์อาจมีหลากหลาย แต่สุดท้ายย่อมลงเอยด้วยความทุกข์ มิสู้ทำความเข้าใจเรื่องดีและร้าย บุคคลใด ๆ สิ่งของทั้งหลาย ยามที่เข้ามา ก็สนองรับ รักษา ดูแลให้ดีที่สุด ยามผ่านไป ก็อวยพร แล้วปล่อยวาง เพราะสุดท้าย ทุกสิ่งย่อมมีวิถี ทุกคนย่อมมีเส้นทางของตน แม้ไม่ต้องการวาง ยังคงต้องวาง อยู่ที่จะเลือกวางอย่างวางใจ หรือจะเลือกวางอย่างทุกข์ใจ (Cr : Bodhisat Heart)

            โลกจะเป็นอย่างไรก็เรียนรู้ที่จะอยู่ให้เป็นสุข  อย่าไปกังวลมากนัก  รักษาใจเราไว้ดีกว่า  อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ดี  แม้เป็นเรื่องของคนอื่น เสียอะไรก็เสียไป  แต่อย่าให้  ใจเสีย ทุกคนต้องเผชิญ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากสูญเสีย ถ้าไม่รู้รักษาใจก็จะเกิดความทุกข์เศร้าโศก แม้ว่าร่างกายมีวันเสื่อม แม้ว่าร่างกายจะป่วย แต่ใจไม่ป่วยตามไปด้วย อันนี้สำคัญมา และถ้าคนหนึ่งมีจิตใจนิ่งสงบ  ก็สามารถช่วยลดทอนอารมณ์ของผู้อื่นได้ เริ่มต้นที่ตัวเรา เมื่อรักษาจิตใจดีแล้ว ก็อย่าได้เก็บซ่อนเอาไว้ นำเอาจิตวิญญาณที่เป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐนั้นออกมา เพื่อรักษาสังคมโลกวันนี้ต่อ ๆ กันไป อย่ามัวแต่เก็บไว้จนเก่าจนขึ้นสนิม มันน่าเสียดาย....


วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

จิตระรา

 

จิตระราน

 

>>> จิตที่นิ่ง คือ จิตวิญญาณที่แท้จริง <<<

เวลาที่ถูกใครลุกล้ำ ระรานชีวิตส่วนตัวมาก ๆ เรามักจะโกรธเคือง หงุดหงิด เป็นธรรมดา เพราะเราต้องการความเป็นส่วนตัวบ้างในบางโอกาส แต่ในชีวิตจริงบ่อยไปที่เรากลับระรานจิตใจของตัวเอง ด้วยการสร้างวัชพืชทางใจให้รกรุงรัง ให้กลายเป็นป่าทึบ จนยากที่จะรื้อร้างลงได้ ใช่หรือไม่ เรามักปล่อยจิตใจเราไปกับกระแสโลก ล่องลอยจนไม่อยู่กับร่องกับรอย ชีวิตลิขิตด้วยโลกและโลภ เปรียบเทียบกับคนอื่นตลอด เห็นสิ่งดีในชีวิตคนอื่นแล้วลืมความดีงามในจิตใจของตน จึงพยายามให้เป็นเหมือนคนอื่น ๆ หมื่นแสน ถามว่าเหนื่อยมั้ยกับชีวิตแบบนี้

แน่นอน คนเรามักมีสองด้าน งดงามและเลวทราม เป็นเราที่ต้องช่วยกันกำจัดสิ่งไม่งามออกจากตัวเรา พัฒนาเพาะบ่มความงามออกมา ออกมาหาใช่เพื่ออวด เพื่อโชว์อย่างฉาบฉวย แต่นำมาใช้ให้เป็นเครื่องสื่อถึงพระเจ้าผู้ทรงความรัก นำความรักเมตตาสู่ปวงชนเหมือนพระคริสต์ โดยเริ่มจากการเอาใจใส่คนรอบตัว อย่ามัวใส่ใจคนที่ไม่คุ้นเคย เราต้องไม่มีจิตระรานเป็นข้าวละมาน ไปแทรกซึมในพื้นที่ของคนอื่น


ในทุ่งกว้างดิจิตอลเสมือนจริง ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยพืชหลากหลายชนิด ที่แข่งกันยืนต้น ต่างเบียดเสียดขึ้นมาหาแสง โดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เชื่ออะไรก็เชื่อเช่นนั้น ใครจะมาก้าวก่ายปรับแต่งไม่ได้ วิจารณ์คนอื่นได้แต่ห้ามใครมาวิจารณ์ เบื่อง่ายหน่ายเร็ว ไหลตามกระแสโดยไม่สนข้อเท็จจริง หลงในรูปภายนอก เห็นข้าวละมานเป็นข้าวพันธุ์ดีกันไปหมด เนื้อหาสาระดี ๆ ความสวยงามในนามความเป็นมนุษย์ถูกฉุดรั้งดึงจมธรณี วันนี้เราบูชากระแสที่ปรุงแต่ง ที่มาปั่นให้จิตใจเราป่วนรวนเรไปหมด สิ่งที่ทำได้ คือ เราต้องยึดมั่นในความดี เชื่อถือคนดี ๆ มีจิตใจเมตตา ไม่ใช่จิตใจที่ระรานหากไม่ได้ดังใจหวัง เพียงเท่านี้เราก็เป็นเม็ดพันธุ์ที่ดีในทุกๆที่ แม้ที่ตรงนั้นไม่เหมาะกับเราก็ตาม

เลิกติดตาม / unfollow

 

เลิกติดตาม / unfollow

>>> อย่าให้โลกออนไลน์ ทำให้เราสร้างความแปลกปลอมใส่กัน <<<

ในสมัยหนึ่งก่อนหน้าที่เราจะมีโลกอีกใบที่เรียกกันว่า “โลกออนไลน์” เหมือนเช่นวันนี้ ใครจะโกรธเคืองใครก็เป็นเรื่องส่วนตัว ใครจะเลิกลาห่างหายจากกันไปเหตุเพราะความคิดเห็นไม่ตรงกันก็จากลากันไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ต้องให้เป็นข่าว แล้วมานั่งแถลงข่าว มาสมัยนี้เพียงแค่ดารา unfollow กดเลิกติดตามกันในสื่อโซเชี่ยลก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ต้องขุดคุ้ยหาสาเหตุ เขาทะเลาะกันเขาต้องมีอะไรขัดกัน นักข่าวก็ละเลงเพลงใส่สีสันตามจังหวะหวังผลอย่างเมามัน ทำไมวันนี้เราปล่อยให้โลกออนไลน์มันกลืนกินขนาดนี้ สร้างความเกลียดชัง สร้างการนินทาสาธารณะ  ในขณะที่บางคนก็ฉวยเอาจุดนี้สร้างกระแส สร้างราคาความเด่นดัง เป็นการสมรู้ร่วมคิด สร้างให้เกิดเรื่อง เพื่อผู้คนจะไม่ลืมเลือนตน ฉะนั้นแล้วบางสิ่งในโลกเสมือนจริงก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อถือทั้งหมด มันก็แค่พื้นที่ทิพย์ ปลอม ๆ ทุ่งโล่ง ๆ ที่ให้ใครสร้างอะไรก็ได้ตามความอยาก ตามความเห็นแก่ตัว

บางทีเราแค่ไม่ชอบตัวตนในโซเชี่ยลของคนอื่น แต่ในชีวิตจริง ๆ ได้รู้จักกลายเป็นคนดี  เราอยู่ในสังคมที่ถูกปรุงแต่งไปด้วยความฉาบฉวย และการโอ้อวด อวดรวย อวดสุข อวดดี อวดฉลาด  อวดเก่ง อวดความสมบูรณ์แบบของชีวิต จริงเช่นนั้นหรือ ไม่มีใครรู้หรอก บางคนหนี้สินท่วมหัว แต่ทำตัวร่ำรวย บางคนใจแคบ แต่ทำตัวเป็นป๋าใจใหญ่ บางคนสร้างภาพประสบความสำเร็จ ทั้ง ๆ ที่ชีวิตล้มเหลวในทุกด้าน



หนทางชีวิตของเราต่างกัน ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม เราเห็นสิ่งที่คนอื่นโพสต์ ก็อย่าคิดว่านั่นคือชีวิตทั้งหมดของเขา สำคัญอยู่ที่เราควรสนใจชีวิตตัวเอง หาความสุขให้ได้ในทุกวัน อยู่ในหนทางของเราและเต็มที่กับชีวิต อย่าให้สิ่งที่ปรุงแต่งมาทำให้เรา “ป่วย” (ทางใจ) กลับมามองสิ่งดี ๆ ที่อยู่รอบตัว ใครชีวิตดี ก็ควรยินดีก็เท่านั้น

            ใช่หรือไม่ เรามัวแต่สนใจกับเรื่องราวของคนอื่นในทุ่งกว้าง แต่เราหลงลืมเรื่องราวทางจิตวิญญาณในพื้นที่ของเรา บ่อยครั้งเราดันเลิกติดตามสิ่งที่ช่วยขัดเกลาความงามชีวิตภายใน หลายครั้งเราก็เลิกติดตาม unfollow พระเจ้าไป เพราะโกรธเคืองพระองค์ที่ไม่ได้ดังใจ วอนขออะไรก็ไม่เคยได้ เพราะเราเองเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ โดยหารู้ไม่ว่าความรักความดีที่พระประทานให้เรานั้น ผ่านเข้ามาทุก ๆ วัน แม้กระทั่งในความทุกข์ยากก็มีความสวยงาม

            เด็กหนุ่มคนหนึ่งปรารถนาที่จะหาพื้นที่ ในดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุขสมบูรณ์ จึงออกเดินทางเสาะหา วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว จากที่หนึ่งไปที่หนึ่งก็ยังไม่พบดินแดนดั่งใจหวัง หลายครั้งที่เดินทางเหน็ดเหนื่อยพบต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่น เขาก็เดินไปใต้ต้นนั่งพักรับลมเย็นสบาย เผลอหลับไปก็มี ตื่นมาก็ออกเดินทางต่อ ผ่านลำธารน้ำใสไหลเย็นฉ่ำ มีเวลาลงเล่นน้ำชำระร่างกาย ได้ดื่มด่ำน้ำดับกระหาย เมื่อรู้ตัวก็ขึ้นจากธารน้ำแต่งตัวออกเดินทาง ผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ เห็นลุงป้านั่งกินข้าวกับผักต้ม เห็นแล้วก็หิว เข้าไปขอซื้อมากิน ทั้งสองกลับเชิญชวนให้กินด้วยกัน ร่วมวงสนทนา กับข้าวไม่กี่อย่างแต่รสชาติแสนอร่อย นั่งเล่าเรื่องราวที่ผ่านมา และสิ่งที่เสาะหา เมื่อนึกขึ้นได้ก็กล่าวลาลุกจากมา วันหนึ่งเกิดสะดุดก้อนหินล้มลง เกิดแผลเลือดไหล อยู่ ๆ ก็มีสาวชาวนามาพบ พากลับมารักษาที่หน้าบ้าน เอาสมุนไพรมาประคบจนอาการบรรเทา หญิงสาวเชิญชวนให้พักผ่อนสักคือสองคืน แต่นางมิได้สวยงามอะไร หนุ่มคนนี้จึงขอตัวเดินจากไป

            ปีแล้วปีเล่า ผ่านเรื่องราว ผ่านเมืองผ่านผู้คนมากมาย ก็มิอาจจะพบสิ่งที่ใจหวัง ที่สุดก็หมดลมหายใจไม่มีเรี่ยวแรงจะเดินทางต่อไป ก่อนลมหายใจครั้งสุดท้าย เขาก็ย้อนความสุขเล็ก ๆ ริมทางที่ผ่านมา แล้วจึงพบว่า นั่นมันคือความสุข ความดีงามอย่างแท้จริง บางทีไม่ต้องออกเสาะแสวงหาให้เหนื่อยเปล่า ชีวิตคนเราก็เช่นนี้แหละ เสาะหาในสิ่งที่ต้องการไปเรื่อย ๆ ไม่ได้อยู่กับร่องกับรอย ไม่ได้ติดตามพระคริสต์ เป็นศิษย์ที่มัก UNFOLLOW พระอาจารย์

วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

ผ่านไปวัน ๆ

 

ผ่านไปวัน ๆ

>>> ปัญญาประดิษฐ์หรือจะสู้จิตใจที่เข้มแข็งได้ <<<

ในจังหวะชีวิตที่ต้องสาละวนกับการเยี่ยมและช่วยจัดการคนในบ้านที่ เข้า-ออก โรงพยาบาลอย่างกับนัดหมายกันป่วย ขณะนั่งรอคุณหมอ เห็นหุ่นยนต์ทำความสะอาดเคลื่อนวนเวียนไปมาอยู่หลายรอบ ถ้าเป็นคนคงได้รับรางวัลพนักงานดีเด่นเป็นแน่ ขยันจริง ๆ ใช่หรือไม่ เรากำลังอยู่ในยุคปัญญาประดิษฐ์ที่มีพัฒนาการที่สูงมาก แม้กระทั่งจะสร้างตัวเราให้เป็นแบบไหนก็ได้ จะสร้างเรื่องราวให้สมจริงก็ดูจะเนียน จะให้ทำงานแทนคนก็ดูจะแข็งขันมีประสิทธิภาพสูง

หันกลับมาดูชีวิตจริงของผู้คนที่ยังคงวนเวียน ตื่นนอน อาบน้ำ เดินทาง ทำงาน เดินทางกลับบ้าน เข้านอน ตื่นนอน วนลู๊ปไปเช่นนี้ เหน็ดเหนื่อยก็จำทน เบื่อหน่ายก็กัดฟันหายใจลึก ๆ ลำบากก็ระบายลงกับคนในบ้าน คนใกล้ชิดนี่แหละ แล้วทำไมเราไม่ทำตัวเราให้เป็นที่พักพิงซึ่งกันและกัน หาใช่ปล่อยผ่านไปวัน ๆ เช่นนี้

แน่ล่ะเราถูกปลูกฝังไปด้วยความกลัว กลัวไม่หล่อ กลัวไม่สวย กลัวไม่ทันสมัย กลัวแก่  กลัวไม่เท่าเทียมคนอื่น ๆ กลัวไม่เป็นไปตามมาตรฐานสังคม คนที่ฉลาดกว่าก็คิดผลิตเครื่องไม้เครื่องมือออกมากระตุ้นลดความกลัว กรอกหูทุกวัน จนเราเชื่อว่าสิ่งนั้นจำเป็นต้องมี หาเงินได้มา ก็จ่ายให้กับสิ่งที่จำเป็นต้องมี ยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อสิ่งนี้ ปล่อยให้จิตวิญญาณแล้งไร้ค่าไปวัน ๆ

มีผู้นำจิตวิญญาณหลายท่านพยายามช่วยดึงจิตวิญญาณ ให้กลับมาเพื่อจะได้เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนกลายเป็นสิ่งโบราณ เพราะวันนี้เราใช้ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์ ที่โดนโปรแกรมว่าต้องควรตามเทรนด์อะไร โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เรื่องจิตวิญญาณต่างอ่อนล้า และเจ็บป่วยกันเป็นทิวแถว เราอยู่ในโลกก็ตามโลกได้ แต่อย่าตกเป็นทาส แล้วตายไปอย่างหมดอะไรตายอยาก มาช่วยทำแต่ละวันให้มีคุณค่าแม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ ....

วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

เราเป็นใคร

 

เราเป็นใคร

>>> การเตือนตนว่าเราเป็นใคร เป็นการย้ำเตือนให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น <<<

เหตุการณ์เรือดำน้ำขนาดเล็กไททัน ที่ดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลลึก เพียงเพื่อไปดูซากเรือไททานิค ที่จมลงและนอนนิ่งเป็นประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์มาอย่างยาวนานนั้น เป็นเครื่องตอกย้ำว่า คนเราบางคนบางครั้งก็ไม่ได้เจียมตัวว่า เรามันก็เพียงสิ่งเล็ก ๆ เศษเสี้ยวจักรวาล จะทำอะไรเกินตัว เกินธรรมชาติ ท้าทายความตายเป็นหมุดหมายนั้นมิสมควร เราต้องเตือนตนและสำนึกเสมอ ๆ ว่า “เราเป็นใคร” เพื่อเราจะได้รู้ตัว ไม่หลงไปกับตำแหน่งแห่งตน หลงไปกับทรัพย์สินที่ครอบครอง ไม่หลงไปกับความรู้ข้อมูลที่มี จนกลายเป็นการอวดเก่ง เบ่งใส่กัน

ในยุคที่เราพัฒนาเทคโนโลยี เครื่องมือสื่อสาร จนเข้าสู่ระบบ AI ปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถสร้างฝันให้เป็นจริงได้ (แต่เป็นจริงก็หาใช่สิ่งที่แท้จริงไม่) กำลังทำให้เราหลงทาง หลงไปกับความเจริญ ละทิ้งคุณธรรม ละเลยกฎระเบียบ แอบอ้างเสรีภาพ ทำอะไรก็ได้ เพราะทุกคนเท่าเทียมกัน ใช่หรือไม่ ความก้าวหน้าทั้งหลายทั้งปวงล้วนแต่มาจากความแตกต่าง มาจากแรงกระตุ้น จากเห็นต่างทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญสุด คือ เราต้องรู้จักตัวตนของเราให้ดีก่อนว่า เราคือใคร มีหน้าที่อะไร ทำทุกอย่างเพื่อใคร ไม่ใช่ให้ใครมายกย่องจนล่องลอย เราหาใช่คนที่สำคัญสุด เก่งที่สุด ดีที่สุด เราล้วนมีความอ่อนแอแอบซ่อนอยู่กันทั้งนั้น เราล้วนมีข้อด้อย ข้อพกพร่องกันทั่วหน้า

สิ่งที่ทำให้เราก้าวข้ามผ่านวันเวลาได้อย่างมีคุณค่า คือ การรู้ตัว ก่อนเข้านอน ตอนตื่นนอน ลองสำรวจตัวเองกันบ่อย ๆ ว่า เรามีชีวิตวันนี้เพื่ออะไร เรามีหน้าที่มีตำแหน่งเพื่ออะไร ตัดเอาความเป็นตัวเราออกจากการทำกิจการทุกอย่างลงบ้าง วางความทนงลงไว้ข้างทาง เห็นความงามของทุกผู้คน เท่านี้แหละความเท่าเทียมก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่การเรียกร้องให้ทุกคนต้องคิดแบบเรา เป็นอย่างที่เราคาดหมาย เป็นเช่นที่เราวาดหวัง เช่นนี้แล้วเราจะได้ เป็นลูกของพระ ให้พระองค์นำทาง หากเราพยายามจะเดินแซงหน้าพระองค์ไป เราจะเดินสู่หุบเหวในทันที