วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2565

อย่าผูกขาด

 

อย่าผูกขาด

>>> อย่าผูกขาดความถูกต้องไว้ด้วยวัยและตำแหน่ง

ถูกผิดอยู่ที่ความเป็นจริง มิใช่อยูที่ใจใคร

คุณวุฒิควรสอดคล้องกับวัยวุฒิ

อย่าให้ใครกล่าวหาว่าสิ้นเปลืองวันเวลา <<<



เวลาเดินทางเข้าเดือนสี่อย่างรวดเร็ว แต่หลายเรื่องราวยังไม่จางหายไปตามกาลเวลา โรคระบาด โรคระเบิดจากสงครามยังผูกขาดอยู่กับมวลนุษย์อยู่ทุกี่วัน นั่นก็อาจจะมาจากที่ใจของคนเรามักผูกขาดความคิด ความถูกผิด ความยุติธรรมของแต่ละคนไว้อย่างแน่นหนา โดยมิได้ใช้จิตวิญญาณพินิจพิเคราะห์ความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เราก็เป็นเช่นนั้นกันทุกคน ผูกขาดการมองเห็นผู้อื่นเพียงสายตาตัวเอง เห็นคนอื่นผิดปกติ เห็นคนอื่นผิดเพี้ยน ยึดมั่นความดีงามไว้เพียงผู้เดียว เอาความยุติธรรมไว้เป็นเกราะห่อหุ้มตัวเองให้ปลอดภัย เรามิได้ก้าวไปด้วยหัวใจที่กว้างใหญ่ เรามิได้นำพาที่จะประคองผู้อื่นไปด้วยเมตตา ใช่หรือไม่ บางทีปกติเราอาจจะไม่ปกติของคนอื่นก็ได้ อย่าริไปผูกขาดสิ่งใดในโลกนี้เลย

ชายคนหนึ่ง แซ่ปัง แห่งรัฐจิ๋น  มีลูกชายที่ผิดปกติคนหนึ่ง ตอนเล็ก ๆ เขาก็ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเด็กทารกทั่วไป แต่เมื่อโตขึ้นหน่อยก็ผิดสังเกต เขาได้ยินเสียงเพลงเป็นเสียงร้องให้ แต่เวลาใครร้องให้ กลับได้ยินเป็นเสียงหัวเราะ! มองเห็นสีขาวเป็นสีดำ สีดำเป็นสีขาว เรื่องกลิ่นและเรื่องรสก็เหมือนกัน กลิ่นเหม็น เขากลับบอกว่าหอม รสขม กลับบอกว่าหวาน เรียกว่าประสาทสัมผัสของเขากลับตาละปัตร ผิดจากสามัญชนธรรมดาไปหมดก็ว่าได้

คนที่เดือดร้อนหนักก็คือพ่อของเขา ไม่รู้จะทำอย่างไร? จึงมีคนแนะนำว่า มีคนเก่ง ๆ หลายคนที่แคว้นลู่  บางทีเขาอาจรักษาลูกชายของท่านได้ ทำไมไม่ไปปรึกษาพวกเขาละ เขาตกลงใจเดินทางไปเมืองลู่ ในระหว่างทางพบท่าน เหล่าจื๊อ เขาจึงได้เล่าให้ เหล่าจื๊อ ฟังถึงอาการของลูกชายตน และความตั้งใจจะไปเมืองลู่ เพื่อหาคนมารักษา

เหลาจื๊อ กล่าวว่า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ลูกชายเจ้าผิดปกติ คนเราทุกวันนี้เข้าใจกันสับสนไปหมด จนไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรคุณ อะไรโทษ คนเราป่วยเป็นโรคสับสนนี้กันทุกคน จนไม่รู้ว่าตัวเองนั่นแหละผิดปกติ!เหลาจื๊อ กล่าวต่อ

สมมุติว่าคนทั้งโลกเป็นเหมือนลูกชายเจ้า ก็เจ้านั่นเองจะกลายเป็นคนผิดปกติ จงจำไว้ว่า "ความสุข ความทุกข์ ดนตรี ความงาม กลิ่น รส ถูก ผิด ไม่มีใครตัดสินยืนยันได้หรอก ข้าเองก็ยังไม่รู้เลย  ที่ข้าพูดนี้ผิดปกติด้วยหรึอเปล่า!

ปล่อยให้พวกคนผิดปกติแห่งแคว้นลู่ เขาอยู่ตามลำพังเถิด ไม่มีใครแก้ความผิดปกติของคนอื่นได้หรอก ทางที่ดีเจ้ารีบกลับบ้านเถิด อย่ามัวเสียเวลาเสียเงิน กับเรื่องผิดปกติเหล่านี้เลย !”   (เรื่องโดย :  ประวิทย์  ทรัพย์ทวีนนท์)

ในทุกวันนี้เราต่างก็ทำตัวเป็นคนเก่งทุกคน แล้วก็ผูกขาดความคิด ผู้ขาดความดีงามเอาไว้เป็นของตนฝ่ายเดียว โดยเล่ห์เหลี่ยม ด้วยการพูดดี ด้วยการใช้ตำแหน่ง เพียงเพื่อให้มีตัวตนบนโลกใบนี้ ไม่มีใครเก่ง คนที่จะยืนหยัดด้วยตัวเองได้ตลอดไป เมื่อกาลเวลาพลัดพลากความแข็งแรงจากร่างกายไป เราก็ต้องพึ่งพาคนอื่น มีแต่ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณเท่านั้นแหละที่จะนำพาคนอื่นได้ทุกกาลเวลา แม้ในสายตาคนอื่น ณ เวลานี้อาจจะมองเราไม่ปกติ แต่สำหรับพระเจ้าพระองค์ปรารถนาให้เราเข้มแข็งทางจิตวิญญาณมากกว่า

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2565

สำคัญผิดคิดใหม่

 

สำคัญผิดคิดใหม่

>>> บางคนไม่เชื่อใครง่าย ๆ แต่กลับกลายเรียกร้องให้ทุกคนต้องเชื่อเขาเพียงผู้เดียว

ทุกยุคทุกสมัยเราทุกคนก็คิดว่าคนสำคัญที่สุด มิใช่ใครอื่น คือ เรานั่นเอง

เพราะหลงใหลใจจึงหลงทิศ ชีวิตจึงจมอยู่กับที่ ไม่ไปไหน <<<

ป้ายหาเสียงเริ่มติดรกรุงรังตามริมถนน ขว้างหนทางเดิน เบียดบังทางเข้าออก หลายป้ายดูตลก เพราะถูกตบแต่งจนเกินเลย บางป้ายไม่รู้จะรีบร้อยทำไปถึงไหนหรืองบน้อย ภาพที่ออกมาดูไม่สมจริง แต่งจนดูสวยดูหล่อ แต่ลืมรายละเอียดบางอย่าง หน้าเนียนไร้รอย คิ้วสองข้างไม่เหมือนกันก็มี และอื่น ๆ รถโฆษณาหาเสียงเริ่มวิ่งเข้าหมู่บ้าน ซอยที่พักถี่ขึ้น เปิดเสียงดังยิ่งกว่างานวัด พูดแต่สิ่งที่ตัวเองคิดให้คนอื่นเชื่อ บางทีหนักหน่อยพูดอวดตัวจนน่าหมั่นไส้ อยากจะบอกว่า สิ่งที่ทำอยู่นี่มันคือการไม่เคารพคนอื่น รบกวนผู้คนในบ้านเรือนที่มีคนป่วย ที่ต้องพักผ่อนแบบไม่น่าให้อภัย ยิ่งคำโฆษณาคำพูดที่บอกออกมามันยิ่งชวนให้คิดไกลไปว่า เหตุใดคนเราจึงหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดกันเสียเหลือเกิน!!!

ในด้านของปัจเจกบุคคล คนทั่วไปก็มีพฤติกรรมที่เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ดูได้จากการสื่อสารทางออนไลน์ การแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ เห็นเลยว่าเราต่างคนต่างเอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิด เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองพูด จนไม่มีใครฟังใคร และหลงใหลในความคิดความสามารถของตัวเองจนเกินไป บางคนคิดไปไกลว่า เป็นเพราะฉันทุกอย่างจึงเป็นดูดีดูเข้าท่า เลยเถิดไปอีกเมื่อมีคนมาสมทบ กดถูกใจในความคิดนั้นมาก ๆ ก็หลงคิดว่าเรา คือคนสำคัญ ทำไปทำมาต่างคนต่างคิดว่าตัวเองสำคัญไม่ต้องฟังใคร จึงไม่มีใครเชื่อใคร ต่างคนต่างสร้างโลกที่ยิ่งใหญ่ของตนบนโลกจอมปลอม ปล่อยโลกจริงทรุดโทรมจวนเจียนจะแตกสลาย มีเรื่องหนึ่งที่ได้อ่านมา เป็นเรื่องจริงที่วันนี้เรากำลังเผชิญอยู่

วันหนึ่ง จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (นักเขียนบทละครชาวไอริชผู้โด่งดัง) ว่างจากงานเขียน เขาไม่รู้จะทำอะไรจึงออกมาเดินเล่น และได้พบกับเด็กหญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง เขาพูดคุยและเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กหญิงคนนั้นค่อนวัน พอตกค่ำ ก่อนที่จะจากกันเขาได้บอกกับเด็กหญิงคนนั้นว่า

เด็กน้อย เมื่อเธอกลับไปถึงบ้าน จงบอกแม่ของเธอว่า วันนี้เธอได้พูดคุยและเล่นกับจอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์เกือบค่อนวัน

โดยคาดไม่ถึง เด็กหญิงตัวน้อยก็ได้ตอบกลับเขาไปว่า

คุณก็เช่นกัน เมื่อคุณกลับไปถึงบ้าน จงบอกแม่ของคุณว่า วันนี้คุณได้พูดคุยและเล่นกับแมรี่เกือบค่อนวัน

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ มักจะพูดต่อผู้คนทั้งหลายว่า

คนเรา อย่าได้มองว่าตนเองสำคัญกว่าใคร ๆ

 


เราต้องเรียนที่จะรู้จักตัวเอง โปรดอย่าได้ไปสำคัญตนว่าดีเลิศประเสริฐศรีกว่าใคร อย่าได้คิดว่าตนเองสำคัญจนหายไปไม่ได้ คนเรามีความมั่นใจในตนเองได้ แต่อย่าถือดีและทะนงตนจนเกินไป การเชื่อมั่นในตัวเองเกินไปจะทำให้เรากลายเป็นเย่อหยิ่ง แต่หากเราเชื่อมั่นในพระเจ้าจะมีแต่ความอ่อนโยนที่ไม่อ่อนแอ อย่าเรียกร้องการพิสูจน์จากสวรรค์ในวันที่เราก็เรียกร้องให้คนอื่นมาเชื่อในความคิดของเราฝ่ายเดียวกับเราเลย

(อย่าเชื่อในคนเขียนบทความนี้ เพียงเชื่อในสารในเนื้อหาที่คนเขียนต้องการสื่อออกมา)

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2565

ปัสกาทุกปีมีอะไรดีขึ้น

 

ปัสกาทุกปีมีอะไรดีขึ้น

>>> บางทีเราก็ใช้ความชอบธรรมทำร้ายผู้อื่น

บางทีเราทำตามรอยคนอื่น ทั้งที่เราเคยไม่เห็นด้วย

บางทีเราก็ยืมมือคนอื่นทำในนามความถูกต้องอย่างไม่รู้จักกาลเทศะ <<<

เห็นมดขึ้นบ้านเดินไปแถว เลยเอาผ้ามาเช็ดเพื่อให้ทางมดเดินนั้นหายไป แต่ไม่นานทางมดแห่งใหม่ก็เกิดขึ้น มดเปลี่ยนทางเดินแถวแต่ยังคงแน่วแน่เหมือนเดิม มดงานทำงานอย่างขันแข็ง แบกข้าวปลาอาหารกลับรวงรัง มันคือ สิ่งที่ดีงามตามธรรมชาติ แต่เรามนุษย์ผู้ที่ทำตัวใหญ่โต ก็ไปขว้างทางไล่บี้ ไล่ฆ่า ฉีดยาใส่ โดยที่เราเรียกแบบนี้ว่า ทำความสะอาด เราทำกันแบบไม่รู้ตัว หรือเราทำไปเพราะคิดว่าถูกต้องแล้ว เคยมีผู้ตั้งคำถามว่า ระหว่างความถูกใจกับความถูกต้องเราจะเลือกอะไร เป็นการหาคำตอบที่ยากมาก ความถูกต้องของโลกนี้มักมาจากความถูกใจของคนมีอำนาจ อาจจะเป็นอำนาจที่สามารถสร้างกฎกติกาได้ตามใจชอบ อาจจะเป็นอำนาจในเงามืดที่คอยชักจูง ชักนำผู้อื่นด้วยวาทะ ด้วยเล่ห์เหลี่ยมหรือแม้กระทั่งด้วยความน่าเชื่อถือ หลายเรื่องเราจึงนำความถูกต้องตามใจเราไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ไปเบียดบังคนอื่นแบบไม่รู้ตัว


ใช่หรือไม่ ในวันนี้เราฉลองการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าด้วยการทำให้พระองค์ยังคงตรึงแขวนอยู่ ไม่ต่างจากชาวยิวเมื่อครั้งกระโน้น เพราะชีวิตเรากลายเป็นแสงสว่างอันจอมปลอม แสงที่ส่องหาแต่ตัวเองมิใช่ส่องแสงให้กับคนอื่น หรือแม้กระทั่งบางทีบางคนหยิบยืมสถานการณ์บางอย่างมาแอบอ้างเป็นความดีความชอบของตัวเองไปเสียนี่ คนเราในทุกยุคทุกสมัยมักใช้ตัวเราเองเป็นศูนย์กลางที่ให้คนอื่นเข้าหา เรามิได้กางแขนออกเหมือนคนบนกางเขนนั้นเพื่อมอบความเอื้ออาทรต่อกัน เราไม่เคยเห็นอกเห็นใจใคร จนบ่อยไปที่เลยเถิดไม่เห็นหัวกันและกัน ต่างคนต่างหิวแสง ต่อเติมแสงเพิ่มแสงให้ตัวเองในที่มืด เรากำลังทำอะไรกันอยู่หรือ!!!ในนามความดีงาม ???

ความยิ่งใหญ่หาใช่การออกคำสั่งให้คนนั้นทำนั่นให้คนนี้ทำนี่ ให้ทำแบบนี้สิ คือ ความดี แต่ในหัวใจเรากลับไร้ความเมตตาและเห็นใจเข้าใจผู้อื่น เพียงคนเล็ก ๆ เรายังมองไม่เห็น สาอะไรจะไปเห็นใจคนทั่งโลกได้ คนใกล้ตัวเรามองข้าม ใยจะให้ใจกับคนไกลได้หรือ? มันก็แค่ของปลอม อย่าให้ชีวิตจริงเราทรยศหักหลังกันได้ตลอดเวลา หากวันใดเราทรยศผู้อื่นด้วยเล่ห์เหลี่ยม นั่นเท่ากับทรยศกับตัวเองและพระผู้สถิตอยู่กับเรา จะต่างอะไรกันยูดาสที่หลอกขายพระอาจารย์ ด้วยความคิดส่วนตัว ที่คิดว่านี่คือแสงสว่างแห่งสาธารณะที่กำลังจะเปล่งแสงเจิดจ้า แต่แล้วก็ต้องจมในความมืดมนจนตัวตาย



ในสังคมวันนี้เราต่างก็ยังคงตรึงแขวนพระเยซูกันต่อมา โดยที่มิได้นำสิ่งที่พระองค์ตรัสสอนมาดำเนินชีวิตกันเลย ยังข้ามผ่านตัวตนกันไม่ได้ มิเคยเลยที่จะให้ความรักต่อผู้คน มีแต่หวังจะใช้อำนาจ จะใช้หน้าที่ จะใช้เครื่องแบบ เปลือกนอกทำในสิ่งที่ถูกใจตัวเอง ซึ่งมันไร้ค่ากว่ามดงานมากต่อมากนัก ในวันที่เรายังทรยศต่อความงามในตัวเอง ชอบทำตามสิ่งที่ตัวเองคิดฝ่ายเดียว พร้อมทั้งใช้เล่ห์เหลี่ยมล่อให้คนอื่นหลงว่านี่คือความชอบธรรม ให้ทำตามโดยดุษฎี แอบอ้างความถูกต้องกันแบบนี้กันอยู่ นี่แหละเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดให้กับชายผู้ถูกตรึง แล้วใยเรายังมีหน้ามาฉลองวันกลับคืนชีพของชายคนนั้นกันอย่างเริงร่ากันได้อย่างไรเล่า ก้าวข้ามตัวเองกันให้ได้ก่อนจะดีกว่า อาแมน

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2565

รู้ทางตน

 

รู้ทางตน

>>>ทุกการเดินทางมักพบสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ

ทุกเส้นทางมีความงามข้างทางแฝงเร้นอยู่

ทุกจุดหมายปลายทาง ย่อมมีเส้นทางได้หลากหลายให้ไปถึง<<<

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ปลายทางอยู่ที่วังน้ำเขียว การไปที่นั่นมีเส้นทางให้เลือกหลายเส้นทาง ครั้งนี้เลือกที่จะไปทางถนนมิตรภาพ ตัดเข้าเขาใหญ่สู่วังน้ำเขียว เป็นเส้นทางที่คิดว่าน่าจะขับรถได้สะดวกในวันธรรมดา และด้วยความเพลิดเพลินผสมกับการตั้งค่า GPS นำทาง จึงหลุดเส้นทางที่ควรไปจากตรงแยกเข้าเขาใหญ่ พอรู้ตัวอีกกลายเป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน แต่ระบบนำทางก็พาเราไปทะลุที่นั่นที่นี่จนถึงหมุดหมายปลายทาง ในเส้นทางใหม่นี้ถนนหนทางหลายช่วงมีความงามของเส้นโค้งถนน แต่ด้วยว่าขับรถไปคนเดียวจึงมิอาจจะถ่ายภาพบันทึกความงามมาได้ จนเมื่อมาถึงที่พัก มีความคิดหนึ่งมาสะดุดหยุดลงตรงเหตุการณ์ การเดินทางของพระเยซูเจ้าจากกาลิลีสู่เยรูซาเล็ม ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจกลับถึงบ้าน หยิบหนังสือเล่มใหญ่ พระเยซูเจ้าในประวัติศาสตร์ ซึ่งคุณพ่อที่เคารพรัก คุณพ่อโกสเต มอบไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน อ่านจบไปนานแล้ว แต่ที่บังเอิญที่คั่นหนังสือคั่นไว้ตรงหน้าที่เกี่ยวกับเรื่อง เส้นทางอันตรายของพระเยซูเจ้าพอดี

ในเดือนนิซาน (Nisan) ของปี 30 ฝนฤดูหนาวค่อย ๆ หยุดลง ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นขึ้น ตามเนินเขาของกาลิลี ทำให้กิ่งก้านต้นมะเดื่อแตกยอดอ่อนทุกปี เป็นการเตือนให้พระเยซูทรงระลึกถึงพระอาณาจักรของพระเจ้าที่ใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้โลกเต็มเปี่ยมด้วยชีวิตใหม่ อากาศแจ่มใส ผู้คนต่างเตรียมตัวออกเดินทางจาริกแสวงบุญไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อเฉลิมฉลองปัสกา จากกาลิลีไปเยรูซาเล็ม ต้องใช้เวลาเดินทาง 3-4 วัน อาจต้องค้างคืนกลางแจ้งแบบง่าย ๆ มีพระจันทร์รูปครึ่งเสี้ยว และจะเต็มดวงเมื่อถึงวันฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าทรงประสงค์ที่จะเดินทางร่วมกับบรรดาผู้คนของพระองค์ พระองค์ทรงต้องการเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในฐานะผู้จาริกแสวงบุญโดยมีสานุศิษย์ ทั้งชายและหญิงร่วมเดินทางไปด้วย

แรงบันดาลใจของพระองค์คืออะไร พระองค์ทรงต้องการแค่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับประชากรของพระองค์เพื่อเฉลิมฉลอง ในฐานะผู้จาริกแสวงบุญเหมือนคนอื่น ๆ เท่านั้นหรือ พระองค์เสด็จไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์นี้ เพื่อรอคอยการเผยแสดงอันรุ่งโรจน์ของพระอาณาจักรพระเจ้าหรือ พระองค์ปรารถนา ท้าทายบรรดาผู้แทนศาสนาของอิสราเอล เพื่อกระตุ้นทุกคนให้มีคำตอบที่จะต้อนรับการมาถึงของพระเจ้าเช่นนั้นหรือ พระองค์ทรงต้องการตรัสแก่ประชากร และกระตุ้นพวกเขาให้ฟื้นฟูอิสราเอลขึ้นใหม่เช่นนั้นหรือ เราไม่ทราบอะไรแน่นอน จนถึงเวลานี้พระเยซูเจ้าทรงอุทิศพระองค์เองในการประกาศพระอาณาจักรในหมู่บ้านต่าง ๆ ของกาลิลี แต่พระองค์ทรงเรียกร้องอิสราเอลทั้งมวล เป็นเรื่องปกติที่เมื่อถึงกำหนดเวลา พระองค์จะต้องส่งสารของพระองค์ไปยังเมืองหลวงด้วยเช่นกัน

ทุกการเดินทางมีแรงบันดาลใจ ทุกเส้นทางมีความหวังเสมอ เราโชคดีที่รู้ปลายทาง แต่มิรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง แต่สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงรู้ว่านี่คือการใช้เส้นทางนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว มีความทุกข์แสนสาหัสคอยอยู่ เป็นเราจะกล้าก้าวเดินต่อไปได้หรือเปล่า ท่ามกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับ แต่ภายในระทมทุกข์ยิ่งนักในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ในเส้นทางชีวิตเราเองก็ต้องรู้จักเส้นทางของตน รู้จักที่จะเลือกเดิน และยอมรับในเส้นทางนั้น แม้จะพลัดหลง แม้จะเสียเวลาไปบ้าง  มีจะมีความสุข-ทุกข์ ระหว่างบ้าง ขอให้เส้นทางนั้นเป็นทางธรรม เป็นเส้นทางงามในนามของความดีมีเมตตาเสมอและตลอดไป

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2565

ก้อนหินก้อนนั้น

 

ก้อนหินก้อนนั้น

>>>หากยิ่งยอมยิ่งแบกไป หัวใจของเธอก็ต้องสั่น
หากยังทำตัวแบบนั้น ถามว่าปวดใจใช่ไหม
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง<<<

(เพลง ก้อนหินก้อนนั้น :โรส ศิรินทิพย์)

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปพักผ่อนที่หัวหิน บรรยากาศก็ร้อนแสนร้อน ลมทะเลก็ร้อน จะไปนอนเล่นชายหาดก็แสบตาแสบผิวเกินทน ยิ่งแสงพระอาทิตย์ยามที่สาดส่องมา บอกให้รู้เลยว่านี่คือฤดูร้อนแล้วนะ ต้องนอนตากแอร์ในห้องเป็นเสียส่วนใหญ่ ยามเย็นอากาศเริ่มดี จึงลงไปเดินเล่นเพลิน ๆ บนชายหาด แม้จะเป็นวันธรรมดาแต่ก็เห็นผู้คนหนาตาขึ้นมามากเลยทีเดียว ทั้งไทยทั้งเทศ แต่ก็ยังไม่ได้คึกคักนัก บนหาดที่กว้างเพราะช่วงเย็นน้ำจะลง เห็นร่องรอยหอย ปู วิ่งเล่น สร้างศิลปะบนพื้นทรายอย่างงดงาม โลกนี้มีมุมงามเสมอ


ใช้เวลาเดินไปเดินมาตามชายหาด ความคิดก็ลอยละล่องไป ความทรงจำเมื่อวันวานก็วนเวียนผ่านมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า หลายเรื่องก็คือความผิดพลาดระหว่างทางของเรา หลายเรื่องก็เป็นความอคติบนความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง บางเรื่องก็เป็นความยุติธรรมที่เราทำเพื่อปกป้องตัวเองและผู้อื่น เรื่องบางเรื่องสร้างความเจ็บปวดทางใจมาหลายปี สร้างรอยแค้น ความเกลียดชังต่อกันจนมิอาจจะคืนความสัมพันธ์ จากกันไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวด พอมีเวลาได้ไตร่ตรองได้มองย้อน บ่อยไปเราก็ใช้มาตรฐานเราไปตัดสินคนอื่น ใช้ความเคร่งครัดในกฎเกณฑ์บีบรัดผู้คนจนลืมที่จะผ่อนคลายให้กับตัวเรา ใช่หรือไม่ เรามักมีข้ออ้างในการกระทำของตัวเองเสมอ เพื่อให้ดูดีในสายตาผู้อื่น เพื่อเอาใจคนที่มีผลประโยชน์กับเรา แท้จริงความยุติธรรมที่เราแอบอ้างก็มีเพื่อตัวเองทั้งนั้น เรากระทำต่อผู้อื่น ไม่นานนักก็ต้องจากลาห่างหายกันไป  แต่หัวใจเรา จิตวิญญาณเราต่างหาก ที่จะคงอยู่กับเราตลอดไป เราจึงควรซื่อสัตย์ต่อตัวเองจนวันตาย

.           ฉะนั้นต้องเตือนใจอยู่เสมอ ว่าอะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน สิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น ตำแหน่ง หัวโขน ชุดที่สวมใส่ ก็ไม่เที่ยง ไม่ว่าเป็นอะไรก็กลายเป็นอื่นได้เสมอ เพราะเป็นของชั่วคราว ถ้าไปหลงคิดว่า มันเป็นของเราจริง ๆ หลงคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เปรียบเสมือนเรากำเพชรล้ำค่าไว้ ทั้งที่จริงมันคือก้อนหิน เราบีบเรารัดเราเก็บไว้ไม่ยอมปล่อยออกไป เราก็เจ็บมือตลอดไป หากจะนำไปขว้างปาใส่ในวันที่ต้องตัดสินลงโทษคนอื่น เราก็ไม่กล้า เพราะก้อนหินก้อนนั้นเราให้ค่ามันเกินไป จิตใจจิตวิญญาณของเราต่างที่ต้องแข็งแกร่งให้เป็นดังหิน ให้กลายเป็นเพชร แม้จะใช้ขว้างใส่ผู้อื่นมันก็คือ เมตตาและความปรารถนาดี

            ในทุกวันนี้เราต่างก็ใช้การตัดสินใครต่อใครกันมากมาย โดยฉพาะในโลกออนไลน์ เกือบทุกเรื่องในโลกใบนี้เรารู้ความจริงไม่หมด เราก็แค่เม็ดทรายบนชายหาดที่กว้างใหญ่ เราตัดสินไปเพราะอารมณ์พาไป เพราะพวกมากลากไป เพราะเชื่อสื่อที่ชี้นำ เพราะเราอ่อนแอเกินไป จึงหาทางปกป้องตัวเอง บางทีถ้าปล่อยหินก้อนนั้นลงบ้าง เป็นเราเองนั่นแหละที่สบายใจ เป็นเราเองนั่นแหละที่ไม่เป็นทุกข์ เดินหลีกทางออกจากการตัดสินผูอื่นกันบ้าง เราจะได้ไม่เจ็บที่บีบกำไว้ ถ้าเมื่อจำต้องปาออกไป เราจะได้ไม่ปาขว้างอารมณ์ใส่คนอื่นในนามความยุติธรรม เพราะแท้จริงแล้ว ความยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความเมตตาเสมอ