วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ในทางที่เดินสวนกัน

ในทางที่เดินสวนกัน
ท่ามกลางผู้คนมากมายหลากหลายในระหว่างการเดินทางประจำวัน เราอาจจะเดินสวนทางกับคนรู้จัก กับเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมา กับญาติพี่น้องที่ห่างหาย กับคนจากบ้านเก่าถิ่นเกิด หรือในระหว่างทางบนรถยนต์ที่นั่งรอสัญญาณไฟ ในระหว่างวิ่งไปมาบนท้องถนน อาจจะมีคนเคยคุย เคยวิ่งเล่นในวัยเด็ก เคยหยอกล้อหัวเราะด้วยกัน สวนทางกันไปมา แต่เรามองไม่เห็นเขาและเขาก็ไม่เห็นเรา หรืออาจจะเป็นเพราะความรีบเร่ง การแข่งขันแย่งชิงพื้นที่ เราจึงไม่มีเวลาที่จะละสายตาไปเพื่อสิ่งอื่น หรืออาจจะเป็นเพราะยุคที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารที่รวดเร็ว ผู้คนจึงถูกกำหนดให้มีสายตาเพียงแค่เปลือกตาเลือกที่จะอยู่ในโลกหน้าจอ ขอคุยด้วยปลายนิ้ว ไม่ชินกับการสบตาหาความจริงใจ ในยุคที่ใครต่อใครบอกว่าเป็นยุคแห่งโลกกว้าง แต่...ผู้คนกับกักขังตัวเองในโลกแคบส่วนตัว สร้างโลกของตัวเองแล้วก็คิดเองว่า นี่คือโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล

ในยุคที่เราขาดแคลนน้ำใจและความเอาใจใส่ต่อกัน เราจึงไม่มีพื้นที่เหลือเพื่อกันและกัน เราจึงไม่เห็นความทุกข์ของคนรอบข้าง เราจึงไม่ใส่ใจในความระทมใจของคนคุ้นเคย เราจึงไม่ใส่ใจในความยากลำบากของคนอื่น ในยุคที่ผู้คนมัวแต่สร้างภาพให้ตัวเองดูดี ดูเก่ง เลิศล้ำในโลกเสมือนจริง สิงวิญญาณช่างภาพในทุกวินาที เห็นอะไรเป็นถ่าย เห็นคนเจ็บปวด เห็นคนลำบากยากเข็ญข้างหน้าก็ยังขอถ่ายเพื่อเอาไปแอบอ้างว่าเป็นนักบุญใจพระที่สวรรค์ส่งมาโปรด และอัพขึ้นสเตตัสเรียกยอดกดไลค์ และก็ภาคภูมิแบบปลอมๆ ปลอบประโลมเอาว่าเป็นที่ชื่นชมของทุกคน แต่ชีวิตจริง เรากลับเมินเฉยต่อคนใกล้ชิด ต่อญาติสนิทมิตรสหาย
ในยุคสมัยหนึ่งเราทักทายผู้คนที่เดินสวนไปมาได้อย่างสนิทใจ มายุคนี้เราทักทายผู้คนด้วยตัวสติกเกอร์แล้วชะเง้อดูว่าเค้าจะอ่านแล้วตอบกลับมาหรือเปล่า ในยุคสมัยหนึ่งเรารู้จักกันทั้งหมู่บ้านลูกเด็กเล็กแดงจนถึงคนแก่ชรา เราเป็นห่วงเป็นใยว่ากล่าวตักเตือนและน้อมรับการตักเตือนกันได้ มาวันนี้ไม่มีใครกล้าที่จะว่ากล่าวตักเตือนใคร และเราก็มิอาจจะรับได้ถ้ามีใครมาตักเตือนเรา ยุคสมัยเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยนไป แข็งกร้าวมากกว่าแข็งแกร่ง อ่อนแอมากกว่าอ่อนโยน เอาเปรียบมากกว่าจะที่เอาใจใส่ เรากำลังเดินสวนทางกับความเมตตาด้วยอัตตาที่มีมากล้นเกินไปหรือเปล่า คนยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ด้วยอำนาจ คนที่จะเป็นตำนานส่วนมากมาจากการมอบให้ผู้อื่นอย่างหมดจิตหมดใจ เมตตาที่หัวใจไม่ใช่เมตตาที่มาด้วยผลประโยชน์แลกเปลี่ยน

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ Northern Virginia หลายปีมาแล้ว ชายแก่คนหนึ่งนั่งหนาวสั่นและรอผู้ที่มีม้าจะข้ามแม่น้ำเพื่อจะขอติดหลังม้าไปด้วย มีผู้ขี่มาเพื่อข้ามแม่น้ำหลายคนแต่เขาก็ปล่อยให้คนเหล่านั้นผ่านไปทีละคน โดยไม่พยายามแม้แต่จะขอให้เขาช่วยเลย ที่สุด คนสุดท้ายที่ขี่ม้ามาถึง ชายชรามองไปที่ตาของชายคนนั้นแล้วพูดว่า
“คุณครับ คุณจะว่าอะไรมั้ยครับหากจะให้คนแก่ติดม้าข้ามฝั่งไปด้วย”
“แน่นอนครับ ขึ้นมาได้เลย”
เขาลงจากม้ามาช่วยคนแก่นั้นให้ขึ้นหลังมาได้ และเขาไม่เพียงแต่พาชายแก่ข้ามแม่น้ำเท่านั้น เขายังพาไปส่งถึงบ้านเพราะอยู่ห่างไปเพียง 2-3 ไมล์เท่านั้น ก่อนถึงบ้าน เขาถามชายชราว่า
“คุณครับ ผมสังเกตว่าคุณปล่อยให้หลายคนผ่านไปโดยไม่ขอให้เขาช่วยพาข้ามฝั่งเลย แต่พอผมมาถึง คุณกลับขอให้ช่วย ผมอยากรู้ว่าคุณรอคนสุดท้ายทำไม ในเมื่อมันหนาวถึงขนาดนี้และถ้าผมปฏิเสธที่จะช่วย คุณจะทำอย่างไร?
ชายชราตอบว่า “ผมอยู่แถวนี้มานานแล้ว ผมรู้จักผู้คนดี ผมเพียงมองเข้าไปในตาของพวกเขา ผมก็จะรู้ว่าเขาสนใจที่จะช่วยหรือไม่สนใจอะไรเลย ถามหรือขอให้พวกเขาช่วยก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่เมื่อผมมองเข้าไปในดวงตาของคุณ ผมเห็นความใจกว้างและความเมตตากรุณาอยู่ในนั้น ผมรู้ทันทีว่า จิตวิญาณที่อ่อนโยนของคุณจะเปิดรับโอกาสที่จะช่วยผมในเวลาที่ผมต้องการความช่วยเหลือ”
คำเหล่านี้ประทับใจชายคนนั้นมากเขาพูดว่า “ผมขอบคุณมากครับสำหรับสิ่งที่คุณพูดมา ขออย่าให้ผมยุ่งอยู่กับเรื่องราวของตนเองจนกระทั่งไม่มีแก่ใจจะช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจกว้างและใจเมตตากรุณาเลยนะครับ”
พูดเสร็จ Thomas Jefferson ก็ขี่ม้าของตนเองกลับไปที่ทำเนียบขาว (เขาคือประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 3 ดำรงตำแหน่งระหว่าง 4 มีนาคม ค.ศ. 1801 - 4 มีนาคม ค.ศ. 1809 และเป็นผู้ประพันธ์ “คำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา” (Declaration of Independence) ของสหรัฐอเมริกา เขาคือหนึ่งในบุคคลที่น่ายกย่องที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
ทอมัส เจฟเฟอร์สันเป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏบนธนบัตรราคา 2 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญนิกเกิล (5 เซน)


การเป็นผู้นำที่แท้จริงต้องมีจิตใจเมตตากรุณา สุภาพถ่อมตนและช่วยเหลือผู้คนด้วยใจกว้างและใจจริง แน่ล่ะ... เราไม่ใช่ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนที่มีอำนาจเหนือใคร เราเป็นเพียงคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่เราต้องเป็นผู้ที่มีหัวใจ สามารถทำสิ่งที่มีค่าด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักต้องรู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่นมากกว่าการเป็นผู้ขอรับ ให้มากกว่าที่ต้องการ ใช่หรือไม่ ความรักและการเอาใจใส่ผู้อื่นนั้นมักจะแสดงออกทางสายตาได้ การเสแสร้งแกล้งทำว่าเอาใจใส่นั้น ไม่สามารถปกปิดใครได้ ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจเสมอ แล้ววันนี้วันที่เดินสวนทางกับผู้คนมากมาย วันที่เราเดินสวนทางกับคนคุ้นเคย เพื่อนสนิทมิตรสหาย เรามองกันด้วยสายตาแบบไหน ขอให้เราเป็นคนที่มองเห็นทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้วยสายตาแห่งความเมตตา ดังที่พระเจ้าทรงมองเราด้วยสายพระเนตรแห่งอาทรเสมอในทุกวันเวลา

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ที่สุดแล้ว


ที่สุดแล้ว
ในขณะที่มีลมหายใจ แขนขามีแรง หัวใจยังแกร่ง เรามักจะมีความะยานอยากกันด้วยทุกคน แต่ยามที่ร่างโรยราไร้เรี่ยวแรง ใจคอห่อเหี่ยว ความทะยานอยากก็พลันมลายหายไป และจะมีสักกี่คนที่พร้อมน้อมรับและอยู่ในโลกนี้ อยู่กับผู้คนอย่างรู้คุณค่า อยู่อย่างรู้จักเพียงพอ อยู่เท่าที่อยู่ได้โดยมิต้องสะสมกอบโกยเก็บเกี่ยว และรู้จักที่จะเอื้อเกื้อกูลในสิ่งที่ได้มาจากความเชี่ยวชาญ จากพรสวรรค์ เพื่อผู้คนที่ยังยากไร้ ชีวิตก็เท่านี้ ที่สุดแล้วเราทุกคนล้วนต้องจากไปและไม่ได้ใช้สิ่งที่เราพยายามครอบครอง มันคือสัจธรรมที่หลายคนค้นพบก่อนวันนั้นจะมาถึง แล้วเราเข้าถึงสัจจะข้อนี้มากน้อยเพียงใด

มองดูผู้คนมากมายเวียนวนเข้าออกโรงพยาบาลในวันหนึ่งๆ เป็นจำนวนมิใช่น้อย ดูเหมือนว่าความเจ็บความป่วยของผู้คนมีมากขึ้นๆ ไม่ว่าโรงพยาบาลจะมีขนาดใหญ่สักเพียงใดก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับกับคนป่วยได้ บางที่บางแห่งต้องรอเข้าแถวต่อคิวกันเป็นวันๆ เพื่อจะได้รับการรักษา และในวันที่ต้องมีภารกิจเฝ้าดูแลคนใกล้ชิดในโรงพยาบาล ทำให้มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตมากขึ้น คนเราอวดรู้เพื่ออะไรที่สุดแล้วก็ต้องพึงพาคนอื่นอยู่ดี คนเราแสวงหาทรัพย์สมบัติให้เกินตัวเพื่ออะไร? ที่สุดแล้วก็ไม่แคล้วต้องมานอนบนเตียงดูเพดานขาวๆ สายระโยงระยาง คนเรายโสทะเลาะขัดแย้งกันเพื่ออะไร? ที่สุดแล้วก็ต้องการใครสักคนมานั่งพูดคุย มาให้กำลังใจข้างๆ เตียง ในวันที่นอนโดดเดี่ยวคนเดียว บางทีหนทางชีวิตที่เรียบๆ ง่ายๆ ไม่มากมายไม่รุงรังปังเวอร์ ย่อมเป็นหนทางแห่งความผาสุก แม้จะไม่ถูกจริตกับกระแสโลก แต่ที่สุดแล้วมันคือสิ่งสุดท้ายของทุกผู้คนที่ปรารถนาถึง
Chuck Feeney ชายชรา เช่าบ้านอาศัยอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกกับภรรยา เขาไม่เคยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม เขาไม่ชอบทานอาหารหรู ที่เขาชอบที่สุดคือแซนวิชชีสย่างมะเขือเทศที่ราคาแสนถูก เขาใช้แว่นตาเก่าๆ ใส่นาฬิกาธรรมดา และไม่มีรถขับ การเดินทางก็มักใช้บริการรถโดยสาร หากคุณไปทานอาหารกับเขา เขาจะตรวจสอบบิลอย่างละเอียด หากคุณอาศัยอยู่ในบ้านของเขา ก่อนที่จะเข้านอน เขาจะเตือนให้คุณปิดไฟอย่างแน่นอน นจนที่มัธยัสถ์เช่นนี้ คุณรู้ไหม เขาได้ทำอะไรมาบ้าง
เขาได้บริจาคเงิน 588,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล โดยห้ามมหาวิทยาลัยไม่ให้ประกาศชื่อผู้บริจาค บริจาค 125,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย  และบริจาค 60,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต
เขายังได้ลงทุน 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง และอีก 2 แห่งในไอร์แลนด์เหนือ เขาจัดตั้งกองทุนการกุศล ให้ค่ารักษาพยาบาลฟรี สำหรับเด็กปากแหว่ง ในประเทศที่กำลังพัฒนา เขาได้บริจาคเงินทั้งสิ้น 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีอีก 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ รอที่จะบริจาค
ชายชราผู้ใจกว้างมากท่านนี้ เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของ DFS บริษัทดิวตี้ฟรีอันดับ 1 ของโลก เขารักการหาเงิน แต่จะใช้เงินอย่างประหยัดมาก ขณะนี้ Chuck Feeney มีความปรารถนาว่า ก่อนปี 2016 เขาจะบริจาคเงินที่เหลือให้หมด เพื่อจะได้ตายตาหลับ ขณะนี้เงินที่เหลืออยู่ได้กระจายไปทั่วโลกให้พื้นที่จำเป็น ในอัตรา 400,000,000 เหรียญสหรัฐต่อปี เขาเป็นตัวอย่างสำหรับคนรวยที่ว่า ในขณะที่มีความสุขกับชีวิต ให้แบ่งปันความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วย
การทำการกุศลของ Chuck Feeney เป็นที่โด่งดังมาก ผู้สื่อข่าวจำนวนมากเดินทางมาถึงบ้านของเขา ทุกคนล้วนแปลกใจ และถามว่า Chuck Feeney คุณมีทรัพย์สินมากมาย ทำไมถึงไม่ไปใช้ชีวิตที่สวยหรู...
เพื่อตอบข้อสงสัยของทุกคน Chuck Feeney ยิ้มและบอกเล่าเรื่องราว “สุนัขจิ้งจอก พบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้ อยากจะเข้าไปในไร่ เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่ แต่มันอ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไปไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน และแล้วตัวมันก็ผอมลง และมุดผ่านรั้วไปได้!
เมื่อกินอิ่มเป็นที่พึงพอใจแล้ว แต่ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือก มันเลยต้องอดน้ำอดอาหาร อีกสามวันสามคืน สุดท้ายแล้วท้องของมันตอนที่ออกมาก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไป
เมื่อเล่าเสร็จ Chuck Feeney กล่าวว่า บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็ จากไปมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งกลับไปได้
สื่อถาม Chuck Feeney ว่าทำไมต้องบริจาคออกไปจนหมด คำตอบของเขาง่ายมาก และไม่มีใครคาดถึง
เขากล่าวว่า เพราะถุงศพไม่มีกระเป๋า
ที่จริงแล้วความจนของเขา เกิดจากการบริจาคเงินมหาศาล เขาช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สิ่งที่เขาได้มา ได้ส่งคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด มันทำให้เขามีความสุขมากกว่ามีเงินเป็นหมื่นล้านเสียอีก...Chuck Feeney ถึงแก่กรรม ปีนี้ 2016 รวมอายุได้ 85 ปี(จากนิตยสาร Forbes)
แน่ล่ะ บางคนอาจจะมีข้อโต้แย้งว่า ก็เราไม่ได้มั่งมีเหมือนอย่างเขา เราจึงทำอย่างนั้นไม่ได้ เรากำลังอยู่ในช่วงหาให้มีก่อน มีแล้วจึงจะแบ่งให้คนอื่นได้ (แต่ไม่ถึงจุดอิ่มตัวสักที) นั่นเพราะเราชอบตีค่าสิ่งใดๆ ในโลกด้วยมูลค่า โดยไม่ได้คิดว่ามีอีกหลายสิ่งหลายอย่างมีคุณค่าต่อชีวิตคนเรา ความเมตตาที่มอบให้กันไม่จำเป็นต้องออกมาในรูปของทรัพย์สินเงินทองเสมอไป ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ ความใส่ใจ ต่อคนรอบข้าง การมอบความรัก ให้อภัยต่อกันก็นับมาเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่และนำความเป็นหนึ่งเดียวมาสู่สังคม ชีวิตของแต่ละคนมีบ้าง ไม่มีบ้างไม่เหมือนกัน แต่ที่สุดแล้วปลายทางก็ไม่แตกต่างกัน ใช่หรือไม่ หาก กาย ใจ จิตวิญญาณ ของเราร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ เราก็จะเห็นคุณค่าในทุกสิ่งและมีเมตตาต่อทุกคน ความสันติสุขก็จะบังเกิดขึ้น

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

มหัศจรรย์สิ่งสร้าง

มหัศจรรย์สิ่งสร้าง
การใช้ชีวิตต่างที่ต่างถิ่นต่างกลิ่นอาย มีสิ่งที่ให้พบเห็นมากมาย นำมาซึ่งความตื่นตาตื่นใจ แน่ล่ะ...สิ่งใดที่เพิ่งเคยพบเคยเห็นย่อมนำความตื่นเต้นมาให้ สิ่งใดที่อยู่ใกล้ตัวที่เห็นเป็นประจำก็มักจะหมดความน่าสนใจไปในที่สุดนี่คือวิถีชีวิตของคนทั่วๆ ไป ฝรั่งมังค่าชอบมาอาบแดดเมืองไทย คนไทยชอบที่จะเดินชมเมืองกลางความหนาวเย็น แต่จะแลกเปลี่ยนที่อยู่กันเลยก็คงไม่มีใครเอา ใช่หรือไม่ ความอัศจรรย์อย่างหนึ่งของชีวิตคนเราคือการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี แต่เป็นเราเองนี่แหละเลือกที่จะอยู่ในที่ที่คุ้นเคยมากกว่า เพื่อความปลอดภัย สถานที่หลายแห่งที่เราไปเยี่ยมชมสร้างความตื่นตาตื่นใจมิใช่น้อย สิ่งสร้างที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นบนความอัศจรรย์มีให้เราค้นพบในทุกยุคทุกสมัย ในกรุงลอนดอนมีสถานที่เยี่ยมชมมากมาย ทั้งสิ่งสร้างใหม่ๆ และสิ่งสร้างเมื่อหลายสิบหลายร้อยปีที่ผ่านมา
พระราชวังบักกิงแฮมแต่เดิมชื่อ คฤหาสน์บักกิงแฮม” (Buckingham House) สิ่งก่อสร้างที่เดิมทีเป็นคฤหาสน์สำหรับจอห์น เชฟฟิลด์ ดยุคแห่งบักกิงแฮมในปี ค.ศ. 1703 ต่อมาในปี ค.ศ. 1761 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ทรงซื้อจากดยุคแห่งบักกิงแฮมเพื่อเป็นพระราชฐานส่วนพระองค์ ที่รู้จักกันในชื่อ วังพระราชินี” (The Queen's House) พระราชวังบักกิงแฮมกลายมาเป็นพระราชฐานที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียขึ้นครองราชย์เมื่อปี ค.ศ. 1837 บางครั้งพระราชวังบักกิงแฮมก็เรียกกันเล่นๆ ว่า บักเฮาส์ ผู้คนมักมายืนรอดูเหล่าทหารเปลี่ยนเวรยามในช่วง 11.00 น.
ทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge) คือ สะพานที่มีรูปแบบของสะพานยกและสะพานแขวนอยู่รวมกัน ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน สร้างขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1886-1894 เพื่อเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับหอคอยแห่งลอนดอน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสะพานว่า “ทาวเวอร์บริดจ์” หรือ “สะพานหอคอย” และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของกรุงลอนดอน ประกอบด้วยหอคอย 2 หอ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่านี่คือสะพานลอนดอน ซึ่งจะอยู่ห่างกันออกไปอีกสะพานหนึ่ง สามารถมองเห็นได้จากสะพานแห่งนี้ บนสะพานมีทางให้ผู้คนเดินกว้างกว่าช่องทางให้รถแล่นเสียอีก

หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (Clock Tower, Palace of Westminster) หรือรู้จักดีในชื่อ บิ๊กเบน เป็นหอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันใช้เป็นรัฐสภาอังกฤษตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวัง หอนาฬิกานี้ถูกสร้างหลังจากไฟไหม้พระราชวังเวสต์มินสเตอร์เดิม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2377 หลายคนเข้าใจว่าบิ๊กเบนเป็นชื่อหอนาฬิกาประจำรัฐสภาอังกฤษ แต่แท้ที่จริงแล้ว บิ๊กเบนเป็นชื่อเล่นของระฆังใบใหญ่ที่สุด หนักถึง 13,760 กิโลกรัม ซึ่งแขวนไว้บริเวณช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา ทั้งนี้มีระฆังรวมทั้งสิ้น 5 ใบ โดย 4 ใบจะถูกตีเป็นทำนอง ส่วนบิ๊กเบนจะถูกตีบอกชั่วโมงตามตัวเลขที่เข็มสั้นชี้บนหน้าปัดนาฬิกา คนส่วนใหญ่กลับใช้ชื่อบิ๊กเบนเรียกตัวหอทั้งหมด
สิ่งมหัศจรรย์ที่พลาดไม่ได้ในการเยือนอังกฤษในครั้งนี้นั่นคือสโตนเฮนจ์ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี (Salisbury Plain) บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะบริเวณโดยรอบนั้นไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นใดเลย มีจำนวนแท่งหินทั้งหมด 112 ก้อน ตั้งเรียงเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง และวางเรียงในลักษณะที่ต่างกัน ทั้งวางนอน วางพาดกัน และวางตั้งขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณอายุของหินกลุ่มนี้
พบว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 3,000–2,000 ปีก่อนคริสตกาล สรุปคืออายุกว่า 5,000 ปีเลยทีเดียว การก่อสร้างสโตนเฮนจ์ใช้เวลาสร้างต่อเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี คำนวนจากการที่หินแต่ละก้อน แต่ละชั้นมีอายุไม่เท่ากัน มาจากต่างยุคกัน ตั้งแต่ยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้น สิ่งที่น่าสงสัยคือ บริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้อยู่เลย มีคำอธิบายความเป็นไปได้มากที่สุดคือมาจาก “ทุ่งมาร์ลโบโร” (Marlborough Downs) ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร และยังมีหินสีน้ำเงินหนักสี่ตัน ซึ่งพบได้บริเวณภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์ (ใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก)น่าแปลกใจมิใช่น้อย คนในยุคนั้นเขาใช้อะไรมายกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน แถมยังต้องลากมาจากสถานที่อื่นอันห่างไกล มีเครื่องทุ่นแรงอะไรช่วย ไหนจะเรื่องที่ต้องนำหินมาขัดแต่งให้เป็นเหลี่ยม เป็นมน มีสลัก และเดือยซึ่งจะทำให้หินพาดกันได้อย่างพอดี มีความมั่นคง จึงเป็นที่มาว่าอาจจะเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลก โดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการสร้าง บ้างก็ว่าเป็นผลงานศิลปะของยักษ์ในยุคก่อน แต่ที่แน่ๆ นี่คือความมหัศจรรย์ในสิ่งสร้างที่เรามิอาจจะล่วงรู้ได้ ใยมิต้องไปแสวงหาคำตอบแห่งการก่อเกิดจักรวาล

การใช้สมองของเรามนุษย์ตัวเล็กๆ เพื่อทำความเข้าใจพระเจ้าพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่ และวิถีทางของพระองค์นั้น ไม่มีทางที่เราจะเรียนรู้และเข้าใจได้ทั้งหมดเลย สิ่งเดียวที่เราต้องมีเพื่อน้อมรับความอัศจรรย์ทั้งหลายทั้งปวงนั่นคือการมีความเชื่อแบบเด็กเล็กๆ แบบที่ไม่ต้องการเหตุผลมากมายมารองรับ เพียงสิ่งสร้างที่มนุษย์สรรสร้างขึ้นมาเรายังทึ่ง สำหาอะไรกับการสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทรงเนรมิตขึ้นมาในทุกวี่วันที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แค่เพียงร่างกายเราก็คือสิ่งมหัศจรรรย์ที่เรายังมิอาจจะเข้าใจได้ทั้งหมดทั้งสิ้น การมีความเชื่อทำให้เรามีความสุขในการมองเห็นสิ่งสร้าง เราต้องต้อนรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงเป็นอย่างไม่มีเงื่อนไขและดำเนินชีวิตอยู่ในความดี มีเมตตา ดูแลร่างกายจิตใจให้มีความสมบูรณ์ที่สุด เราจะรู้จักและรักในองค์พระผู้สร้างมากขึ้น จะมีความมั่นคงแม้ในวันที่เหน็บหนาว จะไม่กระวนกระวายในวันที่ร้อนแดดแผดเผา เราจะฉ่ำเย็นสุขอุราในวันที่ฝนฟ้าพัดผ่านมา เพราะเราคือสิ่งสร้างที่มหัศจรรย์สิ่งหนึ่งในสิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวงที่ล้วนนำมาซึ่งความเป็นหนึ่งเดียว

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กำแพงแรงศรัทธา

กำแพงแรงศรัทธา
สิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ในการมาเยือนทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ และการเข้ามายังสกอตแลนด์ นั่นคือ การเที่ยวชมเมืองและปราสาทโบราณ ซึ่งมีความยิ่งใหญ่และสวยงามอยู่มิใช่น้อย บางครั้งในขณะยืนมองปราสาทเหล่านั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าคนสมัยก่อนนั้นเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรกัน ใช้เทคโนโลยีอะไรสร้าง สิ่งที่มีแน่ๆ นั่นคือศรัทธา ที่ทำให้เกิดความงดงามอลังการได้เช่นนี้ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพภูมิอากาศที่เต็มไปด้วยความหนาวและสายลมที่พัดจัด ซึ่งก็มีกำแพงที่ช่วยป้องกันภัยจากธรรมชาติและภัยจากการรุกราน
  

ปราสาทเอดินเบอร่ะ Edinburgh Castle แต่คนไทยมักจะคุ้นว่าเมือง เอดินเบิร์ก (Edinburgh เอดินเบอร่ะ) ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงผิด เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของสกอตแลนด์ เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยกลาง  ที่ตั้งของปราสาทเอดินเบอร่ะเป็นทำเลที่ได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในสมัยก่อน โดยรอบภูเขาถูกปรับพื้นที่เป็นคูเมืองเพื่อประโยชน์ในเชิงการทหาร รอบนอกเป็นที่ราบลดหลั่นเป็นขั้น ๆ กระจายออกโดยรอบ และมีฐานปืนใหญ่ที่มีศักยภาพสามารถที่จะยิงข้ามคูคลองในระยะไกลได้ ปราสาทเอดินเบอร่ะเป็นปราสาทที่เป็นสถานที่เปิดตัวของหนังสือเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงฉากเมืองแม่มดในท้องเรื่อง
ปราสาทลินคอล์น ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับมหาวิหารลินคอล์น มีกำแพงรอบปราสาทถือว่าเป็นกำแพงที่มีสภาพสมบูรณ์มากที่สุดในอังกฤษ สามารถเดินชมได้รอบปราสาท ถูกสร้างขึ้นในยุควิคตอเรีย ด้านในเป็นคุกกักขังนักโทษ มีสุสานฝังศพนักโทษที่เสียชีวิตลงด้วย  ยังมีอาคารที่เป็นศาลพิจารณาคดีใหญ่ๆ ในลินคอล์นMain County Court และยังใช้เป็นศาลอยู่จนถึงทุกวันนี้



สำหรับมหาวิหารลินคอล์น (Lincoln Cathedral) มีชื่อเป็นทางการว่า “The Cathedral Church of the Blessed Virgin Mary of Lincoln” หรือ “St. Mary's Cathedral” เป็นมหาวิหารสำคัญ มหาวิหารลินคอล์นแห่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกอยู่ 200 ปีแต่ยอดกลางมาหักลงเมื่อศตวรรษที่ 16 และมิได้สร้างใหม่จึงเสียตำแหน่ง มหาวิหารที่มีชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สมลักษณะสิ่งก่อสร้างที่ดี จอห์น รัสคินนักเขียนสมัยพระราชินีนาถวิคตอเรียบรรยายว่า “...มหาวิหารลินคอล์นเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นที่สำคัญที่สุดในอังกฤษ และมีคุณค่าเท่าสองมหาวิหารที่เรามี

อีกแห่งหนึ่งเป็นเมืองโบราณที่ถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงเมือง และมีวิหารที่งดงามเช่นกันนั่นคือ ยอร์ก (York)  นครยอร์กตั้งอยู่ในบริเวณแม่น้ำอูสและแม่น้ำฟอสส์ ยอร์กเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีบทบาทมาเกือบตลอด 2,000 ปีที่ก่อตั้งมา เมืองยอร์กก่อตั้งเป็นเมืองป้อมปราการเอบอราคุม (Eboracum) ในปี ค.ศ. 71 โดยโรมัน และได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงของบริทาเนียน้อย (Britannia Inferior) ระหว่างสมัยโรมันบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เช่นจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมือง จักรวรรดิโรมันทั้งหมดปกครองจากยอร์กเป็นเวลาสองปี โดยจักรพรรดิเซปตีมิอุส เซเวรุส (Septimius Severus) ระหว่างทางเรายังผ่านเมืองต่างๆ ในแต่ละเมืองก็จะมีลักษณะบ้านเมืองสิ่งปลูกสร้างเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละที่ไป ดูแล้วไม่ซ้ำหรือเหมือนกันเสียทีเดียว (ข้อมูล: วิกิพีเดีย)
สิ่งที่เห็นและได้เล่ามาให้ฟังในข้างต้นนั้น จะเห็นว่าแต่ละที่มักมีกำแพงเมืองหรือป้อมปราการอยู่ล้อมรอบตัวปราสาท เป็นเสมือนด่านหน้าที่ใช้ปกป้องตัวปราสาทราชวัง ระหว่างทางมีบ่อยครั้งที่นั่งคิดพิจารณาว่า ในตัวคนเราแต่ละคนที่มีความแตกต่างก็เช่นกัน มีไม่น้อยเลยที่เราชอบสร้างกำแพงมาเพื่อปกป้องตัวเองให้ปลอดภัย บางคนก็สร้างไว้สูงจนปิดบังความงามของจิตใจซึ่งเปรียบเหมือนปราสาทอันงดงาม จนไม่มีใครเห็นคุณค่า และก็เปื่อยเน่าไปในที่สุด บางคนมีกำแพงไม่สูงแต่กลับหนาตัน เป็นกำแพงแห่งการอวดรู้ กำแพงแห่งอคติ ก็ย่อมทำให้คุณค่าของความงามในชีวิตลดหายไปได้ มีไม่น้อยคนที่สร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อป้องกันภัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกมาทำลายจิตใจให้สั่นคลอน สิ่งที่สำคัญของการดำเนินชีวิต ศูนย์รวมความงามของคนเราอยู่ที่จิตใจและจิตวิญญาณ เรามีศรัทธาที่จะพัฒนาศูนย์รวมนี้อย่างไรในชีวิต การป้องกันด้วยกำแพงก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่จะทำอย่างไรให้กำแพงนั้นมีทางเข้าออก มีทางเชื่อม ทางเดินเพื่อให้เราได้มอบความงาม ความดี นั้นออกมาสู่ผู้อื่นที่ผ่านพบด้วย นี่คือศรัทธาที่เราต้องสร้าง กำแพงมิใช่สิ่งที่ปกป้องศัตรูมาทำร้ายทำลาย แต่เราต้องใช้กำแพงแรงศรัทธาเป็นที่ป้องกันภัยจากคลื่นลมแรงให้ได้ด้วย




            ในยุคสมัยนี้เรามักใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน ไม่ค่อยจะพึ่งพาอาศัยกันสักเท่าไร หรือมักจะมีความระแวงระวังในปฏิสัมพันธ์ของกันและกัน เราจึงก่อกำแพงขึ้นทีละนิดๆ แบบไม่รู้ตัว เป็นกำแพงแห่งความยโส กำแพงแห่งการอวดดี ไม่มีทางเข้าทางออก และนับวันแต่ละคนก็แข่งกันสร้างให้สูง เพื่อหลีกเร้นจากคนภายนอก ดูเหมือนว่าโลกเราพัฒนามามากขึ้น แต่เราก็ยังไม่อาจจะรู้ว่าคนสมัยก่อนเขาสร้างสิ่งต่างๆ ให้สวยงามได้อย่างไร นั่นเป็นเพราะเราขาดศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขาดศรัทธาต่อชีวิตตัวเองและผู้คนรอบข้าง ความเมตตาอารีต่อกันมักกลายเป็นเครื่องต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับกลับคืน คนเราเกิดเป็นทางเข้า ตายเป็นทางออก แต่ในระหว่างมีชีวิตเราเป็นหนทางให้กับใครได้เข้ามาสัมผัสความงามของชีวิตเราบ้าง มีใครได้ก้าวข้ามกำแพงที่เราสร้างขึ้นไว้สักกี่คน บนหนทางชีวิตที่แท้จริงแล้ว เราควรที่จะช่วยกันสร้างความงาม ช่วยกันปลูกความดีเพื่อเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายจากสิ่งภายนอก มากกว่าการที่จะซ่อนเร้นสิ่งภายในไม่ให้ใครเข้าใกล้และมองเห็น ชีวิตเรามิได้ยืนยาวและยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เราคิดไว้เลย