วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

นิ้วสัมผัสหรือจะสู้ใจสัมพันธ์

นิ้วสัมผัสหรือจะสู้ใจสัมพันธ์

เทคโนโลยีในยุคสมัยใหม่ค่อยๆแทรกซึมเข้าในเส้นเลือดของผู้คนอย่างไม่รู้ตัว แม้จะมีหลายคนกลัวเกรงที่จะใช้มัน แต่ถึงที่สุดก็หยุดวิถีทางดิจิตัลไม่พ้น เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทและกลายเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตเราไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของการสื่อสาร ซึ่งได้นำเอาวัฒนธรรมใหม่ๆรูปแบบใหม่ๆเข้ามาสู่ชีวิตและกำลังพลิกผันเป็นเรื่องปกติวิสัย

เราคงได้ยิน คำว่า สังคมเครือข่าย สังคมออนไลน์ มากขึ้นในปัจจุบัน มีการตั้งเป็นชุมชนในโลกไซเบอร์เกิดขึ้นมากมาย มีเพื่อนใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ทุกชั่วโมง ทั้งๆที่บางคนไม่เคยรู้จักหรือเคยเห็นหน้าเห็นตาเห็นตัวเป็นๆกันเลย เพียงเป็นเพื่อนของเพื่อน ของเพื่อน สถานะ กิจวัตร ความคิดเห็น วาจาและการใช้เวลาที่เข้ามาร่วมสังคมของบุคคลเหล่านี้ ก็ทำให้เรารับรู้โดยปริยาย แต่หลายคนก็หาใช่จะใส่ใจในเรื่องของคนอื่นที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นเป็นการส่วนตัว ได้เห็น ได้อ่านเพียงผ่านๆไป ไม่กล้าที่จะเข้าไปแสดงความคิดเห็น ...

แต่เมื่อโลกมีความหลากหลาย คนก็ย่อมมีอุปนิสัยหลายหลากแตกต่างกัน ทำให้มีบ้างบางคนบางส่วน ชอบที่จะเข้าไปร่วมวงสนทนา แสดงความคิดเห็น เข้าไปอวดภูมิ อวดถ้อยวาจาและความคิดเห็นให้สาธารณะชนได้รับรู้ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรกับความเป็นจริงบนโลกน้อยใบนี้ เพียงแต่คนที่ชอบแสดงความคิดเห็นในทุกๆเรื่องมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่แสดง โอ้อวด โชว์เพาว์ ออกไป ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าจริง รูปภาพส่วนตัวเอารูปอะไรมาลงก็ได้ สิ่งนี้จึงกลายเป็นสิ่งบันเทิงของคนอีกประเภทหนึ่ง ที่ขอให้ได้แสดงออก ได้ระบาย ได้โชว์แค่นี้ก็โก้แล้ว....

สิ่งต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นและพูดถึงนี้ถูกเรียกว่า โลกเสมือนจริง และเมื่อเราได้หลงใหล เข้าไปอยู่ในกระแส เกิดอาการเสพติด คิดที่จะใช้สังคมเสมือนจริงนี้อย่างจริงจัง อันตรายก็จะตามมา เราจะกลายเป็นคนที่ยึดติดกับความคิดเฉพาะตนมากยิ่งขึ้น เราจะกลายเป็นคนไม่รู้จักคุณค่าของเวลา และความสวยงามตามธรรมชาติ ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง อีกไม่ช้าไม่นานเราคงจะพบข่าวคนถูกรถชนตายในขณะที่มือยังกดเครื่องเชื่อมสังคมเสมือนจริง เราจะเห็นคนเดินชนกันไปมาโดยไม่ได้สนใจใคร เราจะเห็นคนเดินตกท่อในขณะเดิมก้มหน้าก้มตาเล่นบีบี หรือแชทอยู่กับเพื่อน เราจะเห็นคนเป็นใบ้มากขึ้น ในห้องอาหาร ร้านรวงก็จะเกิดความเงียบจนแมลงวันตกใจ เพราะต่างคนต่างหมกมุ่นอยู่กับเครื่องมืออันนั้น จะเห็นคนเป็นนิ้วล็อคมากขึ้น สวมแว่นตาเลนส์ขยายกันมากขึ้น จะเห็นคนใกล้ตัวกลายเป็นซุป(เปอร์)ตาร์ ที่ถ่ายภาพโชว์รูปร่าง เรือนกายให้คนหลายล้านได้ยลโฉม เกิดอาการหลงใหลได้ปลื้มในตัวเองกันอย่างแรง

แน่นอนข้อดีในการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือเหล่านี้ย่อมมีมาก ความลับหรือสิ่งซ่อนเร้นจะลดน้อยลง ความจริงจะถูกเปิดเผยจนกระทั่งทำให้ผู้ที่มีจิตคิดคดโกงต้องถูกสาปแช่งอย่างหนักหน่วงจนอาจจะย้ายไปอยู่ดาวดวงอื่น การบอกเล่าข่าวคราว การขอและให้ความช่วยเหลือก็จะรวดเร็วยิ่งขึ้น การแบ่งปัน ให้กำลังใจกัน จะเปิดพื้นที่กว้างขวางขึ้น สังคมจะโปร่งใสและบริสุทธิ์มากขึ้น การประกาศพระวาจา และข่าวดี พระธรรมคำสอน ถ้อยคำจรรโลงใจ ก็จะมีช่องทางเผยโฉมเพื่อชำระจิตวิญญาณให้ผู้แสวงหาชีวิตภายในค้นพบหนทางธรรมมากยิ่งขึ้น การช่วยชีวิตคนที่ห่างไกลก็ใกล้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ความรู้จะถูกพัฒนาต่อยอดอย่างยิ่งใหญ่ เกิดระบบการค้าการขายแนวใหม่ การเชื่อมโลกทำให้ไร้พรมแดนก็จะเป็นจริง แต่ก็เป็นเพียงเสมือนจริง..

เครื่องมือการสื่อสารยุคใหม่ เน้นอยู่ที่ระบบสัมผัส ใช้นิ้วจิ้ม นิ้วเขี่ย ใช้แตะย่อขยายหน้าจอ การเข้าถึงข้อมูลเฉพาะด้านเฉพาะตนก็ง่ายดาย ไม่เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร มีแต่มหาสมุทรแห่งดิจิตัลเข้าท่วมจนสำลักจนเลือกไม่ถูก ผู้คนจะสับสนในบุคลิกส่วนตนมากขึ้น มีเพื่อนต่างหน้ามากมาย แต่เพื่อนในโลกจริงหาไม่ได้สักคน ความเหงา ความโดดเดี่ยว อ้างว้างจะเป็นเงาตามคนสมัยใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงสนับสนุนให้คริสตชนใช้สื่ออินเตอร์เน็ตและสื่อดิจิตัลสมัยใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่าติดของพวกนี้จนงอมแงมจนลืมปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องร่วมสังคม ในการแถลงข่าวเปิดตัวสารวันสื่อมวลชนสากล ครั้งที่ 45 ในหัวข้อ ความจริง การประกาศพระวรสาร และความถูกต้องของชีวิตในยุคดิจิตอล (Truth, Proclamation and Authenticity of Life in the Digital Age) ใจความสำคัญของสารฉบับดังกล่าวพระสันตะปาปาทรงเตือนเยาวชนทุกคนว่า สังคมออนไลน์ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการสื่อสาร เป็นการสื่อสารด้านเดียว มีความเสี่ยงสูงจะทำให้เราติดอยู่กับตัวเอง ซึ่งสามารถทำให้เรากลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง

บรรดาเยาวชนกำลังมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบสังคมออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ในการแสวงหาการแบ่งปันและค้นหาเพื่อนใหม่ จึงเป็นความท้าทายต่อความถูกต้องและความเชื่อว่า เราต้องไม่หลงติดไปกับโครงสร้างการปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เป็นแบบธรรมชาติเช่นนี้ มันสำคัญมากที่เราต้องเตือนตัวเองเกี่ยวกับการติดต่อปฏิสัมพันธ์ที่เสมือนจริง มันไม่สามารถแทนที่การปฏิสัมพันธ์แบบจริงๆเชิงมนุษยสัมพันธ์ได้ นิ้วสัมผัสหรือจะสู้ใจสัมพันธ์ คนต้องอยู่กับคน อย่าปล่อยให้คนอยู่กับเครื่อง.....

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

จากเขาค้อ…เราจงอย่าท้อ

จากเขาค้อเราจงอย่าท้อ


อยู่ๆคุณยายเจ้าของร้านอาหารที่เคยฝากท้องเป็นประจำตลอดสิบปีที่ผ่านมา ก็บอกว่าต่อไปนี้คงไม่ได้เจอกันที่ร้านอาหารแห่งนี้อีกแล้ว ต้องรบกวนให้ไปฝากท้องมื้อเที่ยงที่ร้านอื่น เพราะว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาไม่ค่อยมีคนเข้ามากินเลย ทั้งๆที่ร้านนี้ทำกับข้าวได้อร่อยเลยทีเดียว ปัจจัยหนึ่งก็คือมีร้านอาหารบริเวณนี้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนคนขายจะมากกว่าคนซื้อ ปัจจัยที่สองข้าวของมันมีราคาแพงขึ้นทุกวัน ทุกคนจึงเข้าสู่หมวดประหยัดรัดเข็มขัด อะไรพอทำกินกันได้ก็ทำกินกันเอง ปัจจัยที่สามเจ้าของร้านอายุอานามเริ่มเข้าสู่วัยชราก็คงต้องมีเวลาหยุดพักเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน สุดท้ายคือรายได้ไม่พอกับรายจ่ายทำไปก็มีแต่ขาดทุน มีแต่เพิ่มทุกข์


ใช่ว่าจะมีแต่คุณยายเจ้าของร้านอาหารประจำแห่งนี้เท่านั้น ที่มีความทุกข์เรื่องเกี่ยวกับรายได้ไม่พอกับรายจ่าย หลายคนต่างก็ต้องทุกข์ร้อนกับเรื่องพรรค์อย่างนี้ ไม่ว่าจะทำงานอาชีพไหน ก็มีแต่เสียงบ่นปนต่อว่ารัฐบาล ซึ่งพูดด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ผู้คนต่างก็มีความทุกข์เรื่องรายได้ เรื่องข้าวของแพงขึ้นกันทั้งนั้น... แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่เป็นทุกข์เพราะเรื่องอื่น บางคนทำงานหนักไปมากไปก็เหนื่อย ก็เบื่อ ก็ล้า สาอะไรกับคนที่ตกงาน ไม่มีรายได้เป็นประจำ ทำไปทำมาดูเหมือนว่าคนเมืองหลวงน่าจะเป็นคู่ควงกับความทุกข์ลำบากเสียจริงๆ...


ระหว่างวันหยุดสิ้นปี ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เป็นเวลาพักผ่อนจากหน้าที่การงานเพื่อให้คลายทุกข์ลงบ้าง แต่ก็มีอีกหลายคนต้องทำภารกิจหน้าที่ในช่วงเวลานั้น และเลือกที่จะพักในยามที่ผู้คนเริ่มต้นกลับสู่สภาวะปกติ สำหรับคนคุ้นชินใกล้ชิดก็เป็นเช่นนั้น เมื่อได้มีเวลาพักผ่อนตอนที่ผู้อื่นเริ่มต้นทำงานจึงออกปากเชิญชวนให้ร่วมขบวนพักผ่อนไปด้วยกัน จากอุปนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบกินชอบเที่ยวตอนเทศกาลที่มีผู้คนเยอะๆอยู่แล้ว จึงได้จังหวะร่วมก๊วนครั้งนี้ด้วย จุดหมายปลายทางคือ เขาค้อ เพื่อสัมผัสไอหมอกและความหนาวเย็น โดยทิ้งเรื่องเครียดๆค้างๆคาๆไว้เบื้องหลัง


เมื่อมาถึงที่เขาค้อมักจะพบเห็นคำว่า พักเขาค้อหนึ่งคืนอายุยืนหนึ่งปี พวกเราพักสองคืนอายุจะยืนถึงหมื่นปีหรือเปล่าหนอ... เป็นคำที่เพิ่มให้เรามีรอยยิ้มและจิตแจ่มใสขึ้นได้มากเลยทีเดียว แล้วสิ่งที่เราต้องการก็มาเผชิญกับเราเต็มๆนั่นคือ ความหนาวเย็น เราก็พร้อมจะยอมรับมันโดยดุษฎี นอนหนาวกลางหุบเขา น้ำเย็นจนมือแข็ง แต่มันไม่ใช่ความทุกข์ ทั้งๆที่หลายคนเป็นทุกข์เพราะภัยหนาว แต่เรากลับโหยหาตามหามัน ชีวิตเรานี้ก็มีมุมอะไรที่แปลกแยกอยู่มิใช่น้อย ความทุกข์ของอีกคนหนึ่งกลายเป็นความสุขแสวงของอีกคนหนึ่ง


เราร้องไห้เมื่อมีเรื่องเศร้า แล้วเราก็มักปาดน้ำตาเวลาพบเจอเรื่องที่สวยงามด้วยเช่นกัน เราหัวเราะให้กับเรื่องตลกหรือสิ่งที่น่าเกลียด บางทีเราเศร้าเมื่อเจอเรื่องดีๆ เพราะเรารู้ว่ามันจะไม่อยู่กับเราตลอดไป แล้วเมื่อเราเริ่มหัวเราะกับอะไรที่น่าเกลียด ก็เพราะเราเข้าใจว่ามันเป็นแค่เรื่องตลก เป็นประโยคหนึ่งในหนังสือเรื่อง ภาพผ่านกระจกหม่นมัว เขียนโดย โยสไตน์ กอร์ดอร์ และแปลเป็นภาษาไทยโดย วนุศ (หนังสือเล่มนี้ถูกหยิบขึ้นมาบนรถพร้อมกระเป๋าเดินทาง) เป็นประโยคที่เหมาะสมกันเหลือเกินกับสิ่งที่ได้พบเห็นและเป็นอยู่ ณ ที่เขาค้อ


ใช่...น้ำตาแท้จริงแล้วมีได้ทั้งในขณะสุขหรือทุกข์ และไม่มากก็น้อยทุกคนย่อมเคยหลั่งน้ำตาให้กับทั้งสองสิ่งนี้ในชีวิต แต่ใครเล่าจะยอมจมน้ำตาให้กับความทุกข์ตลอดกาล บนหนทางการดำเนินชีวิตของเราย่อมต้องมีบ้างที่ต้องออกไปท้ารบกับความหนาวเหน็บ มีบ้างที่ยอมจำนนกับความร้าวราน ใครเล่าล้มแล้วจะไม่ยอมลุกขึ้น ใช่หรือเปล่า...หากเราต้องการไปเขาค้อย่อมไม่ท้อกับความหนาวเย็นและความยากลำบาก เพื่อเราจะได้มีอายุยืนขึ้น และหากเรากำลังอยู่ในภาวะที่ตรมทุกข์ก็อย่าหมดศรัทธาในความกล้าหาญของตน พยุงทรงกายให้ขึ้นแล้วออกแรงเดินหน้าอีกสักครั้งวิ่งชนเพื่อเข้าหาความสุข ทุกคนทำได้ และต้องทำให้เป็นประจำ อย่าปล่อยให้ความทุกข์ซ้ำซากเข้าไปบากให้ลำต้นชีวิตต้องบิ่นเบี้ยว วันนี้หาเงินไม่ได้ด้วยวิธีนี้ก็เลือกหาวิธีใหม่ๆที่สุจริตทำ เงินทองไม่ใช่ของใครเลย มันมีไว้สำหรับคนที่ขยันและรู้จักเริ่มต้นใหม่เสมอๆ


ยามเหนื่อยล้า ก็พักกายพักใจกันบ้าง ให้เวลากายาผ่อนคลาย จิตใจจะได้สบายโปล่งโล่ง แล้วองค์พระจิตก็จะทำงานในช่วงเวลาเหล่านั้น สิ่งหนึ่งที่ผู้สันทัดกรณีด้านชีวิตให้ข้อเตือนเราเสมอ คือ ชีวิตต้องมีช่วงพักบ้าง อย่าตึงจนเกินไปและอย่าหย่อนจนเกินงาม ยามอยู่บนยอดดอยแห่งขุนเขา เรามองเห็นทุกอย่างยกเว้นเห็นตัวเอง แต่หากเรายืนเงียบอยู่ในที่สงบเราย่อมเห็นความเป็นตัวตนของเราเห็นส่วนลึกของจิตวิญญาณปรารถนา ด้วยเหตุประการเช่นนี้ พระเยซูเจ้าจึงมักมีเวลาที่จะปลีกตัวเองออกสู่ที่เปลี่ยว อยู่เงียบๆนิ่งๆสงบๆ แล้วเมื่อพระองค์คืนสู่ประชาชนคนติดตามพระองค์ก็มักได้รับสิ่งดีๆคำเทศนาที่งดงามเสมอ จนมีการจดบันทึกมาถึงพวกเราวันนี้


มาพักเขาค้อหนึ่งคืนอายุยืนหนึ่งปี มาพักพิงอยู่กับพระองค์จะมั่นคงตลอดกาล เรามีพระองค์เป็นที่พักพิงอยู่เสมอ ใครท้อแท้กับชีวิตอยู่ขณะนี้ก็ลองหยุดพักเสียบ้าง มาหาพระองค์ในธรรมชาติ ในความเงียบ แล้วชีวิตจะมีค่าและยืนยาวยิ่งขึ้น อย่าได้ท้อ ยิ้มสู้ทั้งน้ำตาก็ไม่เห็นเป็นไร แล้ววันหนึ่ง มันจะกลายเป็นน้ำตาแห่งความเปี่ยมสุข.....

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

ไม่ถูกที่ แต่..ถูกทาง

เคยเจอแบบนี้หรือเปล่า!!!! ที่บางสิ่งบางอย่างบางห้วงเวลาการกระทำอันบริสุทธิ์ใจของเราไปสร้างความไม่พึงพอใจให้กับใครคนอื่น ถูกโกรธเคืองอย่างไร้เหตุผล จนกลายเป็นเรื่องที่บาดหมางไม่มองหน้าหลบสายตากัน ไม่มากก็น้อยเราต้องพบต้องเจอกับเหตุการณ์เยี่ยงนี้ และยิ่งถ้าเราไม่มีความมั่นคง ไม่นิ่งพอ เราก็จะกลายเป็นทาสของอารมณ์ เป็นไฟที่ปลิวว่อนร่อนลงกองฟืนเสียเอง...

การดำเนินบนหนทางชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะทำให้ถูกใจคนทั้งโลกเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ จะทำให้คนรักทั้งพื้นพิภพก็เป็นเรื่องในนิยาย ชีวิตจริงย่อมมีทั้งคนรัก คนชัง และย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา คนที่เคยชังอาจจะกลายเป็นคนที่รู้ใจเรามากที่สุด ส่วนคนที่รักอาจจะสร้างความร้าวรานให้มากที่สุดก็เป็นไปได้ สิ่งสำคัญเราต้องเรียนรู้จักตัวตน อุปนิสัย ของเราให้แตกฉาน และเรียนรู้อุปนิสัยของคนอื่นอย่างข้าใจ เรียนรู้ถึงกาลเทศะว่าสิ่งใดควรทำตอนไหนเวลาใด ความรับผิดชอบของเราคืออะไรมีขอบข่ายแค่ไหน หากเราไม่ทำ แล้วมีคนอื่นทำแทนก็ควรที่จะน้อมรับความจริงด้วยหัวใจอ่อนโยนว่า บางสิ่งมันก็อาจจะเกินความรับผิดชอบ เกินความสามารถของเรา เราไม่ใช่ทำได้ทุกอย่าง สิ่งที่เราทำได้คือการหาคนที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกระทำแทนเรา แล้วเราค่อยหนุนนำ ให้คำปรึกษาก็เพียงพอ ในมุมกลับถ้าเราเป็นคนที่เห็นว่าคนที่รับผิดชอบนั้นไร้ความสามารถก็เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องลงไปแก้ไขปัญหา ก็ต้องมีศิลปะในการแทรกตัว ออกตัวโดยให้เกียรติคนที่มีความรับผิดชอบอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะทางแง่ของการล้ำหน้าล้ำเส้น ไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดคิดว่าจะมาแย่งเด่นแย่งดัง ทั้งๆที่เราทำไปด้วยใจบริสุทธิ์และเห็นแก่ส่วนรวม...

คนเรานั้นมีร้อยพ่อร้อยแม่ ต่างจิตต่างใจ ต่างการอบรมเลี้ยงดู ทุกคนต่างมีภูมิหลังและโลกเป็นของตัวเราเองที่แตกต่างกัน มีความเห็นแก่ตัวของเราเอง มีความภาคภูมิใจในตัวเอง มีความหลงใหลในตัวเองเป็นทุนเดิม บางคนขาดในด้านหนึ่งก็เที่ยวเติมเต็ม บางคนก็มีจนเหลือล้นก็ต้องปลดปล่อยมันออกมา แต่โลกงดงามยามมีมุมที่แตกต่าง สังคมงดงามเพราะมีแง่มุมให้เปรียบเทียบ ไม่ว่าเราจะมีความต่างกันอย่างไร สิ่งหนึ่งที่มีติดตัวเราเสมอ คือ จิตสำนึกหรือมโนสำนึก ปัญหามันเกิดตรงที่เราไม่ค่อยได้ฟังเสียงเรียกแห่งจิตใจเราก่อน ก่อนที่จะกระทำลงไป

เคยมีพระสงฆ์มิชชันนารีท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ในสมัยก่อนพ่อแม่มักจะให้เด็กๆมาอยู่ช่วยพระสงฆ์ตามวัด เพื่อให้ได้รับการอบรม ได้รับการเรียนรู้วิชาคำสอน วิชาการต่างๆ เด็กบางคนก็เฟี้ยว ก็ดื้อแสนดื้อ จำต้องมีการทำโทษลงทัณฑ์กันตามข้อตกลง ตามระเบียบ แต่เมื่อถึงคราวต้องทำโทษเด็กๆ พระสงฆ์ต้องเข้าวัดเพื่อสวดภาวนา อยู่เงียบๆเพื่อที่จะให้พระจิตทำงานว่าควรจะกระทำอย่างไร เพื่อให้การลงโทษครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้กระทั่งในโรงเรียนคาทอลิกที่พวกมิชชันนารีได้เปิดทำการสอน ก็ได้ใช้วิธีการเดียวกันนี้เป็นแนวทางการตัดสินใจลงโทษเด็ก หรือเวลาพบปัญหา ก็จะเข้าวัดเงียบๆขอให้พระจิตนำทาง ความเงียบมักมาพร้อมคำตอบให้กับการดำเนินชีวิตเสมอ

ใช่หรือไม่ ในยุคสมัยที่เราเงียบกันไม่เป็น การฟังเสียงจากภายในก็มักไม่ค่อยได้กระทำ ความโกรธเคืองกัน การทำร้ายทำลายกัน การทะเลาะเบาะแว้ง ความหวาดระแวง จึงมีอยู่เต็มสังคมไปหมด การใส่ใจผู้คนรอบข้าง การเอาใจเขามาใส่ใจเราก็หดหาย ใครที่ไม่ทำตามใจไม่ทำตามความคิดเรา คนนั้นก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา เป็นศัตรูกับเรา ทั้งๆที่การกระทำของทั้งสองฝ่ายล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ดี เพียงต่างวิถีการ และสิ่งหนึ่งที่กัดกินคนในสังคมเราคือ เราต่างฝักใฝ่ในอำนาจมากเกินความจำเป็น จนไม่เป็นอันทำอะไร...

สิ่งหนึ่งที่มักทำให้คนเราเปลี่ยนไป ก็ตอนเมื่อมีอำนาจอยู่ในความครอบครอง แล้วก็เที่ยวอวดอ้างอำนาจกลบลบปมด้อยในวันวานของตัวเอง หารู้ไม่ว่า ผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงย่อมไม่แสดงตัว ตรงกันข้ามกลับยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนกับต้นหญ้าที่พร้อมน้อมค้อมหัวคารวะต่อผู้เพียงผ่าน ไม่มีทางเลยที่ต้นหญ้าจะหักโค่นล้มลงมา ต่างไปจากต้นไม้ใหญ่ที่ดูเหมือนว่ามีพละกำลัง มีอำนาจมหาศาลเมื่อพายุพัดกระหน่ำเพียงชั่วพริบตาเดียวก็หักโค่น ความหลงในอำนาจนั้นทำลายคนมานักต่อนัก แล้วไยเรายังโง่เขลา เบาปัญญาเที่ยวแสวงหาอำนาจมาครอบครอง ยังหลงยึดติดกับสิ่งลวงอย่างไม่ลืมหูลืมตา

แล้วเรามีชีวิตอยู่นั้นเพื่ออะไร ใจของเราวันนี้เหมือนถิ่นทุรกันดาร หากเราหยุดทุรนทุรายหมายเพียงเพื่อตัวเอง เราก็จะได้ยินเสียงตะโกนในถิ่นทุรกันดารแห่งจิตใจเราว่า จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วทางของพระองค์เป็นแบบไหนเล่า เป็นทางเพื่อสู่อำนาจหรือ เป็นทางที่สร้างความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นหรือ เป็นทางที่เต็มไปด้วยคำสรรเสริญจอมปลอมที่เราต้องการเพียงเพื่อปลอบประโลมใจไปวันๆหรือ ทางของพระองค์คือทางที่เต็มไปด้วยรักและอภัย เป็นหนทางแห่งสันติภาพ... บางสิ่งในชีวิตที่เรากระทำอาจจะไม่ถูกที่ หากแต่ว่าถูกทางของพระองค์ก็จงเก็บรักษา แล้วหาที่เพื่อสร้างทางแห่งสันติภาพนี้ให้บังเกิดขึ้นให้ได้ เมื่อทุกอย่างถูกที่ถูกทางปีกแห่งสันติภาพก็พร้อมจะกางออก แล้วโบยบินสู่สังคมอย่างไม่ต้องสงสัย...

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

ผ่านทางสายน้ำ

ผ่านทางสายน้ำ

ชีวิตเรามักมีความผูกพันกับธรรมชาติเสมอ เอาเข้าจริง...เราก็มักโหยหาการกลับคืนสู่ธรรมชาติ อยู่กับแม่น้ำลำธาร ท้องทะเล ภูเขา ป่าไม้ ไม่ว่าวิถีชีวิตประจำวันจะดิ้นรน ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยแห่งการดำรงอยู่อย่างไร ก็มักมีห้วงเวลาที่หัวใจเรียกร้องกลับคืนสู่รังเรือนธรรมชาติ ในความเชื่อของเราธรรมชาติก็คือพระเจ้า เมื่อเรากลับมาสัมพันธ์กับธรรมชาติก็หมายถึงการเข้าแนบสนิทใกล้ชิดกับพระเจ้านั่นเอง

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านไปชีวิตผ่านไปอย่างรวดเร็ว คละเคล้าด้วยสุขเศร้าเป็นอนิจจัง ที่ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราก็เปลี่ยนตัวเราเพื่อการดำรงอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วอย่างรู้ตัว รู้ทัน อย่างมีจิตสำนึกได้ โดยพยายามรักษาฐานมั่นแห่งจิตวิญญาณที่เชื่อว่า ความดี ความงาม ยังคงอยู่ในชีวิตนี้ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ

วันว่างเว้นภารกิจ ทำงานที่ใช้ทั้งแรงกาย แรงสมองมาอย่างยาวนานและสมบุกสมบัน พรรคพวกเพื่อนฝูง คนรู้จักคุ้นชิน ที่รู้ว่าถิ่นเกิดกาย อู่มารดาตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ต่างก็ยกมือยกไม้ ขอไปใช้ชีวิตแนบอิงรับไออุ่น ลมสบายชายตลิ่งริมเจ้าพระยากันสักครา รถราพาหนะพร้อมเสบียงอาหาร อุปกรณ์บันเทิงเพรียบ เมื่อถึงที่หมายหลายคนตื่นที่เพราะต่างถิ่น เห็นแม่น้ำสายใหญ่สายสำคัญของประเทศไทย นวยนาดอยู่ต่อหน้าต่อตา หลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือแม่น้ำเจ้าพระยา หลายคนยังสงสัยว่าเจ้าพระยาที่เคยท่วมท้นถนนหนทาง บัดนี้ ไฉนลดลงไปอย่างไม่น่าเชื่อสายตา

แม่น้ำเจ้าพระยา เกิดจากการไหลมาบรรจบกันของแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ที่ปากน้ำโพ นครสวรรค์ ไหลผ่านลงมายังจังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯ แล้วไปออกทะเลอ่าวไทยที่ ตำบลแหลมฟ้าผ่า ตำบลท้ายบ้าน จังหวัดสมุทรปราการ มีความยาว ประมาณ 360 กิโลเมตร

และแล้วการพักผ่อนที่ไร้รูปแบบก็เกิดขึ้นโดยพลัน ต่างคนต่างหามุมกันเอง ใครชื่นชอบมุมไหน ตามสะดวก มีไม่น้อยเดินลงไปยังริมสายน้ำเพื่อรับลมเย็นๆ บ้างก็เหวี่ยงเบ็ดตกปลาที่ไม่ได้มุ่งหวังที่ตัวปลา แต่มุ่งหวังเพียงเพื่อทดสอบความชำนาญการส่งเบ็ดคันงามลงร่องน้ำ และด้วยความเป็นเจ้าบ้าน จึงอาสารับใช้พายเรือให้ผู้ที่สนใจลงล่องเรือเคล้าเสียงเพลงจากกีตาร์ตัวน้อยด้วยศิลปินผู้มากความสามารถ แสงแดดยามเย็นเมื่อตกกระทบกับสายน้ำ ภาพศิลปะ ก่อให้เกิดจินตการบรรเจิด... สุดท้ายตามด้วยบริการเด็กๆผู้ร่วมขบวนที่ขอลงเล่นน้ำให้เบิกบานอุรา จวบจนตะวันลับแนวทิวไม้ เสียงระฆังวัดดังขึ้น กลุ่มผู้อยู่ริมน้ำก่อสวดบทเทวทูตถือสารฯ นี่เป็นกลุ่มคริสตชนกลุ่มย่อย ณ ริมน้ำเจ้าพระยา แล้วการดื่มด่ำกับเจ้าพระยาก็สิ้นสุด แต่ละคนคงมีความประทับใจและความทรงจำที่งดงามแตกต่างกันไป

ในขณะพายเรือนำส่งผู้มาเยือนข้ามฝั่ง หลายเรื่องก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ ย้อนกลับไปเมื่อครั้งได้เดินไปยังแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ และได้ไปนั่งพักที่ริมแม่น้ำจอร์แดน ได้ไตร่ตรองได้รำพึงถึงความสำคัญของสายน้ำนี้ในช่วงสมัยของพระเยซูเจ้า พระองค์ก็อาศัยลุ่มน้ำ ริมชายฝั่ง เทศนาสั่งสอน ทรงรับศีลล้างจากท่านนักบุญยอห์นผู้มาปูทางเดินให้พระองค์ ณ ที่แม่น้ำจอร์แดนแห่งนี้ ทุกวันนี้ผู้แสวงบุญจำนวนมากมาทำพิธีล้างในสถานที่แห่งเดียวกันนี้

แม่น้ำจอร์แดนมีคุณลักษณะพิเศษ คือไหลคดเคี้ยวเป็นเกลียวจากหุบเขาสูงชัน มีปริมาณน้ำจำนวนมาก เป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญมากในเชิงศาสนา เป็นความสัมพันธ์ของการเผยแสดงถึงพระเจ้าที่ทำให้แม่น้ำสายนี้ยิ่งใหญ่เหนือแม่น้ำสายใดในโลก เป็นพรมแดนของดินแดนแห่งพันธสัญญา โมเสสไม่ได้รับอนุญาตให้ข้ามแม่น้ำสายนี้

พิธีล้างที่กระทำที่แม่น้ำจอร์แดนเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตพระเยซูเจ้า เมื่อพระจิตเจ้าเสด็จลงมายังพระเยซูเจ้า และเสียงจากพระบิดาเจ้าบนสวรรค์ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นบุตร เพื่อแสดงให้เห็นการเริ่มต้นภารกิจของพระเยซูเจ้าที่จะนำประชากรเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า สันนิษฐานกันว่า พิธีล้างกระทำ ณ ชายฝั่งตะวันออก
หลังจากพระเยซูเจ้ารับพิธีล้างที่แม่น้ำจอร์แดน พระองค์เสด็จไปยังที่เปลี่ยวเพื่อภาวนาและพลีกรรมเป็นเหตุให้ปีศาจมาผจญล่อลวงพระองค์ และนั่นเองก็เป็นต้นกำเนิดของศีลล้างบาป

มีหลายคนเข้าใจข้อความเชื่อแบบผิดๆ คำในพระคัมภีร์ที่ว่า ใครที่ไม่ได้ผ่านทางน้ำนี้ก็จะไม่สามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ และพูดว่าสวรรค์เป็นของชาวคริสต์อย่างเดียวหรือไร คนที่นับถือศาสนาอื่นไม่มีสิทธิ์หรือไร.. อันที่จริงสิ่งที่คำสอนในพระคัมภีร์กล่าวถึงนั่นมีความหมายหลายอย่าง พูดแบบชาวบ้านๆ น้ำนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการชำระล้าง เพื่อให้เกิดความสะอาด นั่นก็หมายความว่า คนที่จะได้เข้าสวรรค์นั้นต้องสะอาด ต้องชำระล้างจิตวิญญาณให้สะอาด พระคัมภีร์ใช้น้ำเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องลงไปจุ่ม ไปแช่ในแม่น้ำแล้วจึงจะรอด เปรียบได้ดังเช่น การขึ้นบ้านเรือนไทยในสมัยก่อน ต้องมีการล้างเท้าก่อนขึ้นเรือน คนเราก็ยังต้องอาบน้ำชำระร่างกายก่อนเข้านอนทุกวันมิใช่หรือ... พายเรือผ่านลำน้ำแล้วเพลิดเพลินชวนให้คิดว่าน้ำนำมาซึ่งความสะอาดของผู้คน แต่คนเรากลับทำน้ำให้สกปรก เฉกเช่นจิตใจเราที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว เราต่างหากที่ทำให้จิตใจสกปรก และน้ำที่จะทำให้คนเรากลับมาใสสะอาดได้ก็คือ น้ำใจที่เรามีให้กัน....