วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เวลาและความเปลี่ยนแปลง

 

เวลาและความเปลี่ยนแปลง

>>> หากโลกยังหมุนอยู่ เวลาและการเปลี่ยนแปลงก็จะคงเดินหน้าต่อไป <<<

และแล้วก็หมดไปอีกปี ยิ่งมีอายุยิ่งรู้สึกว่าเวลาเดินรวดเร็วเหลือเกิน ดูเหมือนเพิ่งจะฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ไปไม่นาน อ้าว..ฉลองอีกแล้วเหรอ เมื่อพูดถึงเวลาก็ต้องคิดถึงการเปลี่ยนแปลง สองสิ่งนี้คู่กันเสมอ วันสิ้นปีเช่นนี้เราก็มาทบทวนว่าชีวิตเรานั้นเปลี่ยนแปลงเช่นไร ดีขึ้นมากน้อยเพียงใด ยิ่งชีวิตภายใน ที่บ่อยครั้งเรามักจะละเลย เพิกเฉย พัฒนาขึ้นหรือแย่ลง สังเกตง่ายๆว่าเรามีความสุขมากขึ้นหรือน้อยลง ...

“เวลา” ไม่เคยรอใครอยู่ข้างหน้าและไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะเดินของมันไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าไม่เร็วและไม่หยุดเดิน มีแต่ความรู้สึกของเราที่ไปวัดความช้าเร็วของวันเวลา เราต่างหากที่ไม่เคยเที่ยงตรงเหมือนเวลา เวลาไม่มากำหนดกฎเกณฑ์ แต่คนเราต่างหากที่ใช้มันมากำหนดสิ่งต่าง ๆ จนคิดกันไปว่า “เวลา” สำคัญและมีค่ามากกว่า “คน”  เวลาช่วยทำให้เรามองเห็นใจคนชัดเจนขึ้น เราอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ ในจังหวะที่ทำให้เรามีความสุข จนไม่อยากปล่อยให้ผ่านพ้นไปสักวินาทีเดียว ยามเราทุกข์เกิดเรื่องไม่สบายใจ เรากลับอยากให้เวลานั้นผ่านพ้นไปเร็วที่สุด สุดท้ายแล้ว เวลาก็เดินไปอย่างซื่อสัตย์ ไม่เคยเข้าข้างใคร


“ความเปลี่ยนแปลง” เป็นธรรมดาของโลกนี้ที่เราต้องเรียนรู้ ยอมรับและเตรียมพร้อมที่จะอยู่กับมัน ความเปลี่ยนแปลง อาจจะทำให้เราเจ็บปวดบ้างในบางหน แต่เราต้องอดทนเข้มแข็ง เฉกเช่นความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล   ที่ทำให้รู้ว่า ทุกอย่างในชีวิตต้องใช้เวลารอคอยจนกว่ามันจะผ่านไป คนจำนวนไม่น้อยมักคิดว่า เมื่อเลือกอะไรไปแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คิดไปกันเองว่าเราเชี่ยวชาญอันนี้ก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ได้เลือกไปแล้วมันไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุข ก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะเลือกก็ต้องคิดอย่างรอบคอบว่า นี่คือ สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ทบทวน เรียนรู้ ยอมรับ แล้วเราจะพบว่า “เรื่องเลวร้ายที่สุด” เกิดขึ้นได้ “เรื่องที่ดีที่สุด” ก็เกิดขึ้นได้ ทุกเวลาทุกการเปลี่ยนแปลง “ยังมีสิ่งดี ๆ รออยู่เสมอ” เพราะพระเจ้าทรงเห็นว่าทุกอย่างนั้น “ดี”

วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เพื่ออะไร?

 

เพื่ออะไร?

>>> อย่าปล่อยให้การเกิดมาของเราเป็นการสูญเปล่า ใช้ชีวิตเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับโลกใบนี้ <<<

เส้นทางชีวิตของคนเราก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพบความสุขได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเศรษฐี ชาวบ้านหรือยาจก ก็ย่อมมีความทุกข์ท้อในรูปแบบของตนเอง คำถามที่ว่า “เราเกิดมาเพื่ออะไร” บางคนอาจบอกว่าเกิดมาเพื่อชดใช้บาปกรรม บางคนอาจมีเพียบพร้อมก็เกิดมาเพื่อเสวยสุข บางคนค้นพบความสุขในแบบของตัวเองเพื่อหลุดพ้นในทางธรรม บางคนค้นพบความสุขด้วยการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง จัดการสมดุลของวิถีทาง ตัดความอยากได้อยากมี ก็พอหาความสุขแบบไม่มีหนี้สิน


หากมาย้อนดูชีวิตตามวัย เรามีวัยเด็กแค่ 3 ปี (สมัยก่อนก็อาจจะ 5- 7 ปี) ก่อนถูกส่งเข้าเรียนอนุบาลและเรียนหนังสืออีก 20-25 ปี กว่าจะจบปริญญาตรี จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน สร้างฐานะสร้างครอบครัว อีกสัก 30-35 ปี เป็นช่วงชีวิตที่ต้องดิ้นรน ไขว่คว้า สุขมากทุกข์มากก็ช่วงนี้แหละ เกษียณตอนอายุ 55- 60 มีบ้างบางคนได้ทำงานต่อ บางคนมีเงินเก็บ บางคนมีธุรกิจรองรับ บางคนเป็นข้าราชการมีเงินบำนาญใช้ บางคนโชคดีมีลูกหลานเลี้ยงดู แต่...หลายคนไร้โชค ต้องอยู่โดดเดี่ยว ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีรายได้ มีโรคภัยรุมเร้า ป่วยติดเตียง แต่หากคนที่เตรียมพร้อม และรู้ว่าเราเกิดมาย่อมมีคุณค่าในตัวเอง แล้วใช้คุณค่านั้นอย่างดี ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีความสุขสันติ

ชายผู้ยากจนคนหนึ่งถามผู้บรรลุธรรมว่า “เหตุใดข้าจึงยากจนยิ่งนัก? ผู้บรรลุธรรมตอบว่า

“ท่านไม่รู้จักการให้และวิธีให้” ชายผู้ยากจนจึงพูดต่อว่า “ทั้งที่ข้าไม่มีสิ่งใดให้นี่นะ?ผู้บรรลุธรรมตอบว่า “ท่านนั้นมีอยู่ไม่น้อยเลย ใบหน้าท่านซึ่งสามารถให้รอยยิ้ม ความสดใส สดชื่น เบิกบาน ปากท่าน สามารถชื่นชมให้กำลังใจหรือปลอบประโลมผู้อ่อนแอ ปัญญาท่านก็สามารถให้ความรู้ ให้แสงสว่างแก่ผู้คน หัวใจอันยิ่งใหญ่ของท่าน สามารถเปิดออกกับผู้อื่น ให้ความจริงใจใสบริสุทธิ์ ให้ความเมตตากับผู้ผ่านพบ ดวงตาท่านก็สามารถมองดูผู้อื่น ด้วยสายตาแห่งความหวังดี ด้วยความโอบอ้อมอารี ที่สุดร่างกายท่านซึ่งสามารถใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ฉะนั้นแท้จริงแล้ว ท่านมิได้ยากจนเลย” ความยากจน ในจิตใจ คือ ความยากจนอันแท้จริงต่างหาก...

วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เบิกบาน เบิกบุญ

 

เบิกบาน เบิกบุญ

>>> “เมื่อท่านหัวเราะ โลกก็จะร่วมหัวเราะไปกับท่าน

แต่เมื่อท่านร้องไห้ ท่านจะต้องร้องไห้เพียงคนเดียว” <<<

ได้รับคำเชิญชวนให้ไปช่วยนำกิจกรรมสันทนาการให้กับเด็ก ๆ ในการ “แบ่งปันคริสต์มาส” ของชมรมผู้สูงอายุวัดเซนต์หลุยส์ร่วมกับอาสาโคเออร์ ที่ศูนย์บ้านพระบิดา  แถวสวนผึ้ง ราชบุรี ได้รับรู้เพียงว่าจะมีเด็ก ๆ ร่วมกิจกรรมประมาณสัก 40 กว่าคน ส่วนข้อมูลอื่น ๆ สถานที่เป็นอย่างไร มีเครื่องมืออุปกรณ์อะไรบ้าง คาดเดาไม่ถูก คิดเพียงว่าเราจะต้องทำให้เด็กสนุกสนานร่าเริง


และผู้ร่วมทางสายบุญครั้งนี้ หลายคนก็เพิ่งพบปะกันเป็นครั้งแรก เมื่อออกเดินทางการพูดคุยก็ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป บรรยากาศฉันท์มิตรคริสตชนก็เริ่มสร้างชีวิตชีวาในระหว่างทาง ความเบิกบานก็บังเกิดขึ้น เราแวะขอพรที่วัดนักบุญอักแนส ชัฐป่าหวาย ต่อด้วยการรับพรจากคุณพ่อที่วัดแม่พระฟาติมา ห้วยคลุม จนกระทั่งเราไปถึงศูนย์เกือบ ๆ เที่ยง ได้เวลาอาหาร เมื่อรถจอดเพื่อนำสิ่งของที่มีผู้บริจาคฝากมาเต็มคันรถลง เด็ก ๆ ต่างก็วิ่งมาทักทาย หลายคนพูดเป็นภาษาอังกฤษ
What is your name? เด็กที่นี่พูดภาษาอังกฤษเก่ง เพราะผู้ดูแลศูนย์เป็นชาวฟิลิปปินส์ และได้ทำอาหารฟิลิปปินส์ต้อนรับคณะเราด้วย ระหว่างทานอาหารก็เห็นเด็ก ๆ คละเคล้าทั้งเด็กโตและเด็กเล็ก และน่าจะฟังภาษาไทยพอรู้เรื่อง แต่...ไม่มีห้องประชุม มีเพียงลานปูนเล็ก ๆ หน้าศูนย์ มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ไม่มีเครื่องเสียงแถมติดกับถนน กิจกรรมที่เตรียมไว้จำต้องยกเลิกเพราะสถานการณ์ไม่เอื้อ คิดอะไรได้ก็ทำ เมื่อเริ่มกิจกรรมทุกสิ่งก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ พระจิตนำทาง มีจุดมุ่งหมายเพียงสร้างความสนุกสนาน รื่นเริงให้เกิดขึ้น บางทีประสบการณ์มีค่ามากกว่าหลักการ แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สร้างความสนุกสนานและการมีส่วนร่วมของเด็ก ๆ กับคณะที่เดินทางไปครั้งนี้ เด็กเบิกบานด้วยการเบิกบุญของพวกเรา ทำให้ทุกคนสดใสขึ้นมา ใช่หรือไม่ การมีชีวิตที่เบิกบานนั้น มันมีค่ายิ่งนัก การให้ที่ยิ่งใหญ่ คือ การให้ชีวิตที่เบิกบานกับผู้คน




ผู้ที่มีหัวใจเบิกบาน บางครั้งก็ช่วยให้รอดพ้นจากภยันตรายในชีวิตได้ การที่จะฝึกใจให้มีความเบิกบาน ไม่ใช่เป็นเรื่องยาก ต้องหัดมองเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแง่ดี วางใจในพระ เพราะพระองค์นำทางเราเสมอ มองในทางบวก เมื่อเราประสบเรื่องทุกข์ร้อนใด ๆ ก็อย่าให้ความทุกข์นั้นมากัดกร่อนกินให้ใจสลาย แก้สถานการณ์ด้วยประสบการณ์ อย่างมีสติ อย่ายึดติดกับหลักการและอุดมการณ์จนเกินงาม อดทนต่อความยากลำบาก และการได้อยู่กับผู้ที่รื่นเริงเบิกบาน แจ่มใส่ ก็ทำให้จิตใจเราเบิกบานไปด้วย รู้จักหาความสุขจากสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่อิจฉาริษยาผู้อื่น ไม่โลภในสิ่งที่เราไม่มี ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงเกินเอื้อมมือคว้า

ในชีวิตจริงของเรานั้นสิ่งที่จะทำลายความเบิกบาน ก็คือ หัวใจที่จมในความทุกข์ ความวิตกกังวล เราจงอย่ายอมให้จิตใจเป็นเช่นนั้น ระบายความวิตกทุกข์ร้อนบ้าง ทำบุญให้ทาน หากชีวิตยังมีแรงยิ้ม มีแรงหัวเราะ ก็ยิ้มและหัวเราะเสียบ้าง จิตใจเราย่อมสัมพันธ์กับร่างกาย การยิ้มการหัวเราะอยู่เสมอ สามารถขับไล่ความทุกข์ร้อนออกไป พระเยซูเจ้าสอนเราว่า “อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งก็จะมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีความเดือดร้อนของมันพออยู่แล้ว” (มัทธิว 6: 34) จงรักษาความเบิกบานไว้ เพราะนี่คือความสุข เมื่อมี “ความสุข” ก็รักษาความสุขนั้นให้คงอยู่ตลอดไป มาเตรียมรับเสด็จพระกุมารคริสตเจ้าด้วยหัวใจที่เบิกบาน ในวิถีชีวิตประจำวัน ด้วยหัวใจแห่งการให้ซึ่งกันและกัน ให้ด้วยหัวใจที่เบิกบาน....

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2566

หล่อเลี้ยงด้วยรัก

 

หล่อเลี้ยงด้วยรัก

>>> การทำงานโดยปราศจากความรักคือการเป็นทาส : นักบุญเทเรซา แห่งกัลกัตตา <<<

            ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนเรื่อยมาจนถึงสิ้นปี จะเห็นการจัดงานแต่งงานกันมากมาย แม้แต่ที่วัดเซนต์หลุยส์ก็มีหลายคู่ที่มาทำพิธีแบบคาทอลิก เป็นที่น่ายินดีที่เราเห็นทุกคนมีความรักและคนที่พร้อมจะสร้างครอบครัวไปด้วยกั เช่นกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราก็เห็นข่าวการเลิกรา การหย่าร้าง ของคนในสังคมมากขึ้น บางทีก็คิดว่า เวลาเปลี่ยน ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง วิถีผู้คนก็เปลี่ยนไป เราอดทนต่อกันน้อยลง เราไม่ค่อยใส่ใจดูแลกันเหมือนวันที่เราสัญญา ทำกันเพียงให้เป็นพิธีกรรมที่ดูดีดูเท่ในวันนั้น ๆ คนเราวันนี้ต่างก็เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ คิดว่าเราเก่ง เราเริดสุดแล้ว เราไม่ได้ใช้ความรักหล่อเลี้ยงชีวิต เราใช้ความอวดเก่งห่อหุ้มชีวิตกัน บางทีเราก็แยกไม่ออกระหว่าง ความเชี่ยวชาญชำนาญ กับ ความเก่ง ถ้าจะเป็นคนเก่ง ต้องมีความลุ่มลึก แตกฉาน ต่อยอดในสิ่งนั้น ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องมีความรักในการทำสิ่งนั้น หลายคนทำเพราะต้องทำ แต่ไม่ได้มีความรักในสิ่งนั้น มีความเชี่ยวชาญแต่ไม่มีความสุข

 


ถ้าเรามีความรักจนมอบชีวิตจิตวิญญาณให้กับสิ่งที่รัก ก็จะไม่มีอีโก้ จะซื่อสัตย์ ไม่อิจฉาริษยา จะไม่เป็นทุกข์อะไรง่าย ๆ เพราะชีวิตจิตวิญญาณของเราได้มอบให้กับสิ่งที่รักแล้ว สิ่งที่รักจะอยู่ในจิตวิญญาณของเรา  คนที่มีความรู้สึกเช่นนี้ จะไม่มีความกลัวสิ่งใด ๆ ไม่รู้สึกความต่ำต้อยไร้ค่า ไม่ได้ยึดติดกับความสวยความหล่อ ความร่ำรวย ไม่ยึดติดกับกิเลสตัณหา ความโลภความหลง อำนาจบารมี ไม่กลัวความยากลำบาก มีความอดทนเป็นที่ตั้ง ดังเช่นมารีย์และโยแซฟ  มุ่งหน้าสู่เบธเลแฮม โดยมีรักของพระเจ้านำทางและหล่อเลี้ยงชีวิต

เราต้องเริ่มรักตัวเองให้เป็น ก่อนที่จะไปรักคนอื่น ถ้าเรายังไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วเราจะไปคาดหวังให้คนอื่นมารักเรา นี่ก็คือการเห็นแก่ตัวชนิดหนึ่ง ถ้าเรารักตัวเอง เราจะเห็นคุณค่าของเรา การรักตัวเองคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการมีความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ให้ความรักนำทางเรา อย่าให้ความเก่งวิ่งแซงไป....

วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2566

กว่าจะเป็นเช่นวันนี้

 

กว่าจะเป็นเช่นวันนี้

>>> สิ่งที่เห็นและเป็นเช่นวันนี้ ย่อมผ่านพ้นหนทางทุกข์สุขมาด้วยกันทั้งนั้น <<<

การจากไปของคุณพ่อปีแอร์ ลาบอรี ในวัย 98 ปี ที่ใช้ชีวิตรับใช้พระศาสนจักรไทยมาค่อนชีวิต ได้ทำให้เราย้อนรำลึกถึงพระคุณของท่าน โดยเฉพาะที่วัดเซนต์หลุยส์ ท่านเป็นผู้ก่อร่างปูทางในหลายสิ่งที่เราเห็นเช่นวันนี้ คุณพ่อเกิดวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1925  ที่ฝรั่งเศส  บวชเป็นพระสงฆ์ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1949  อีกสามเดือนต่อมาท่านก็มาถึงประเทศไทย เรียนภาษาไทยที่นครชัยศรีภายในสามปี มาเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสที่วัดอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ  ไปช่วยงานที่เชียงใหม่  ที่โนนแก้ว นครราชสีมา  กลับมาช่วยงานที่กรุงเทพฯ


กระทั่งในปี ค.ศ. 1960-1967    ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดเซนต์หลุยส์ กรุงเทพฯ  องค์ที่ 2
  ต่อจาก พระคุณเจ้าลังเยร์ ที่ได้รับการแต่งตั้งไปเป็นพระสังฆราชนครสวรรค์ ตลอด 7 ปี มีมากมายที่เกิดขึ้น ท่านได้จัดตั้งโรงเรียนวิริยาลัย แยกนักเรียนชายไปเรียนที่นั่น (ปัจจุบันคือวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ ซอย1)  ได้ปรับเปลี่ยนพระแท่นในวัดให้มาอยู่ตรงกลางตามสังคายนาวาติกันที่ 2 ที่ให้พระสงฆ์หันหน้าหาสัตบุรุษเวลาประกอบพิธีมิสซา ซึ่งช่วงนั้นสัตบุรุษหลายคนไม่เข้าใจ บางคนก็ต่อต้านการปรับย้ายครั้งนั้น ด้วยความอดทนทำตามพระศาสนจักรกำหนดอย่างเต็มที่ เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็ลืมเรื่องราวเหล่านั้นและมา “ร่วมพิธีมิสซา” อย่างดี มิใช่มาเพียง “ฟังมิสซา”

คุณพ่อเอาใจใส่และเยี่ยมเยียนชุมชน ช่วยเหลือสัตบุรุษที่ขัดสน ให้การศึกษากับนักเรียนที่ไร้ทุนทรัพย์ เอาใจใส่ในกิจกรรมต่าง ๆ ของวัด สนับสนุนพลมารีทุกรุ่น กลุ่มผู้สวดภาวนาผู้ล่วงลับภาษาจีน วินเซนเดอปอล เครดิตยูเนี่ยนและเยาวชน นักขับร้อง เด็กช่วยมิสซา เปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับวัด แม้กระทั่งสารวัดก็เริ่มในสมัยคุณพ่อ

หลังจากนั้นคุณพ่อไปช่วยงานสังฆมณฑลนครสวรรค์  ในช่วงปี ค.ศ. 1992-1995 ท่านต้องกลับไปเป็นอธิการบ้านพัก ที่มองเบอตอง ฝรั่งเศส เมื่อหมดวาระคุณพ่อก็ขอกลับเมืองไทย มาช่วยงานที่สังฆมณฑลนครสวรรค์ จนวาระสุดท้าย  ในวันฉลองวัดเซนต์หลุยส์  เมื่อปี 2019 คุณพ่อปิแอร์ ลาบอรี่ ได้มาเป็นประธานพิธีฉลองวัด คุณพ่อได้กล่าวไว้ว่า ผมจะอยู่กับคนไทยตลอดไป ผมรักประเทศไทย นี่คือสิ่งที่เห็นเป็นวัดเซนต์หลุยส์เช่นในวันนี้ ผ่านทางคุณพ่อปีแอร์ ลาบอรี ผู้แข็งแกร่ง และสงฆ์นิรันดร์ ...

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ในความเงียบของวันนี้

 

ในความเงียบของวันนี้

>>> จะมีใครบางคนที่คุยได้ทุกเรื่อง คนนั้นอยู่ในความเงียบ <<<

วัน ๆ หนึ่งบางทีเราก็เจอะเจอคนนั้นคนนี้ มีคนรู้จักใหม่ ๆ  ได้พูดกันตามแต่ละสถานการณ์ บางคนคุยเรื่องงาน บางคนก็คุยตามวาระประชุม บางคนคุยแบบทักทาย บางคนคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว บ่อยครั้งเราก็คุยกันแบบไม่ออกเสียง ซึ่งกำลังนิยมมากในยุคสมัยสื่อสารครองโลก คุยกันด้วยตัวอักษร ด้วยสติกเกอร์ อิโมชั่น เอาเข้าจริง แล้วเรามีสักกี่คนที่คุยกับเราได้ทุกเรื่อง เล่าให้ฟังได้ทุกอย่างทั้งในยามทุกข์ ยามสุข คน ๆ นั้นเราต้องไว้วางใจได้ เพราะบางเรื่องมันเป็นความลับ เป็นความในใจที่อยากจะหาใครสักคนรับฟัง ในโลกใบนี้หาคนแบบนี้ได้น้อยลง ๆ ทุกที

ใช่หรือไม่ บางทีเราหวังจะเล่าอะไรบางเรื่องให้คนหนึ่งฟัง แต่ก็ต้องพลาดเพราะว่าสมาธิคนเราสั้นลง หันไปคุยเรื่องอื่นแทน ทิ้งเรื่องที่ตั้งใจจะเล่าค้างคาใจตลอดไป ยิ่งในวงสนทนาก็ไปกันใหญ่ คุยกันไปเรื่อยเปื่อย สนุกสนาน แต่จำอะไรแทบไม่ได้ เพราะคนนั้นพูดทีคนนี้พูดที ดูสับสนว้าวุ่นกันไป หันกลับมาดู การพูดคุยกับคนภายใต้หลังคาเดียวกัน วันนี้เราก็คุยกันน้อยลงอย่างน่าใจหาย เพราะต่างคนต่างมีสังคมเฉพาะตัว มีมุม มีเพื่อนทางไกลให้คุยกันมากขึ้น เรามักตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันท่ามกลางคนกันเอง เรามักต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพื่อคุยเพื่อดู เพื่อถูเพื่อไถมือถือ ไม่มีเวลาสนใจกัน เรามีคนติดต่อเป็นร้อย แต่ถามจริง หาคนที่ปรึกษาหารือได้สักกี่คน และเราไว้วางใจได้สักกี่เปอร์เซนต์ เรามักบอกว่าต้องการความเงียบความเป็นส่วนตัว แล้วจะเกิดสมาธิ เกิดความสงบสุขภายใน แต่ความเงียบแบบทุกวันนี้กลับกลายเป็นความเงียบที่น่ากลัว

มีคนเคยบอกว่า ความเงียบสามารถสอนให้เรารู้ว่าเราคือใคร ความเงียบสามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณและเปิดมุมมองใหม่ให้แก่เรา แต่วันนี้ความเงียบก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น โรคซึมเศร้า ความเงียบวันนี้เป็นความเงียบที่ดังที่สุด ที่แต่ละเก็บกดทับเอาไว้ จะบอกใคร ก็ไม่มีใครได้ยิน ได้แต่กึกก้องอยู่ข้างใน รอวันระเบิดเพราะระบายออกมาไม่ได้ ชีวิตผู้คนในวันนี้ที่เต็มได้ด้วยเสียงดัง ที่ใช้กลบเกลื่อนความบอบช้ำ เพราะว่าเราอยู่กับความเงียบไม่เป็น เพราะว่าเราอยู่ในโลกที่ต้องแสดงออกตลอดเวลา เพราะสังคมโลกเต็มไปด้วยการแสวงหา ไขว่คว้า ก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา ความเหนื่อยล้า อ่อนล้า ไม่ได้ช่วยให้เกิดความเงียบ แต่นำพามาซึ่งความวิตกกังวล และความสับสน การตัดสินใจจึงไม่ได้อยู่บนฐานของคุณค่าของชีวิต


สำหรับบางคน ความเงียบเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา แต่สำหรับบางคนก็ไม่ใช่ บางคนทนเสียงดังอึกทึกไม่ได้ เช่นเดียวกับที่บางคนก็ทนอยู่กับความเงียบไม่ได้ เป็นความจริงที่ว่าทั้งเสียงและความเงียบ ต่างก็สามารถทำให้เรารู้สึกอึดอัดได้พอ ๆ กัน แต่ในวันนี้ดูเหมือนทุกคนต้องการความเงียบ แต่กลับอยู่กับความเงียบนั้นไม่เป็น เงียบแต่กระวนกระวาย เงียบแต่ไม่สงบ เงียบแต่ไม่ฟัง คนที่จะครอบครองใจคนอื่นได้นั้นต้องเป็นผู้ฟังที่ดี แล้วคิดดูสิ เรายังไม่รู้จักที่จะฟังตัวเองเลย แล้วเราจะฟังใครได้ เรายังครองใจตัวเองไม่เป็น แล้วเราจะเป็นที่ไว้วางใจให้ใครได้เล่า? เราต่างก็กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เราต่างก็เงียบใส่กัน แล้วเช่นนี้ เราจะรู้จักใส่ใจกันได้เช่นไร...

เราต้องอยู่กับความเงียบให้เป็น และคุยกับตัวเราให้ได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าเราได้คุยกับพระเจ้าผู้ทรงสถิตในตัวเรา หมั่นที่จะคุยทุกเรื่องเพราะพระองค์รับฟังเราได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งให้คำตอบเราได้เสมอ เพราะพระองค์คือองค์กษัตริย์ผู้ครอบครองหัวใจของเราในทุกวันเวลา เป็นผู้ปกครองที่พร้อมรับฟังอย่างเงียบแต่ทรงพลังที่สุดยิ่งนัก ในความเงียบมีพระสุรเสียงของพระองค์เสมอ ตั้งใจฟัง แล้วเราจะได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ชีวิตก็เช่นนี้

 

ชีวิตก็เช่นนี้

>>> ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด

การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น <<<

เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้รับข่าวการจากไปของ “ป้าพวง” (บางคนเรียก เจ้พวง เรียก คุณนายพวง) ซึ่งเคยเป็นผู้จัดเตรียมวัด จัดเตรียมมิสซาที่วัดเซนต์หลุยส์ หลายคนคงคุ้นเคยและเคยสนทนากับป้าพวงบ่อย ๆ เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ป้าพวงได้ลาออกไปพักรักษาตัวจากโรค SLE (โรคแพ้ภูมิตัวเอง) สิ่งที่ผุดขึ้นจากข่าวการจากไปครั้งนี้ คือ เหตุการ์ณเมื่อกลางดึกคืนหนึ่ง ญาติป้าพวงโทรมาขอความช่วยเหลือ เพราะป้าพวงมีอาการเพ้อ พูดจาไม่รู้เรื่อง เหมือนถูกผีสิง พวกเรารีบนัดไปเจอกันยังบ้านเช่าแถวเซนต์หลุยส์ ซอย 3 เพื่อพาไปโรงพยาบาล ผ่านไปเป็นชั่วโมงกว่าจะพากันลงมาขึ้นรถ แล้วก็เริ่มจากโรงพยาบาลแรกก็ไม่รับ แนะนำไปโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ไปถึงก็ไม่รับรักษาเพราะในยามค่ำคืนไม่มีหมอ พากันขับรถเวียนหาที่รักษา ด้วยสภาพอัดกัน 5-6 คน จนเริ่มหมดหนทาง ก็คิดว่า ยังไง ๆ คืนนี้ต้องทำให้ป้าพวงสงบ เหมือนพระจิตดลใจให้คิดถึงยานอนหลับ จึงหาร้านขายยา และรีบผสมกับน้ำดื่มหลอกให้กิน ไม่นานอาการนิ่งขึ้นและหลับไป ก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่า ๆ


ภายหลังได้ทราบข่าวว่าป้าพวงไม่ค่อยได้กินยาตามหมอสั่ง จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ ลามไปถึงระบบประสาท ทำให้เข้าใจสภาพการเจ็บป่วยของป้าพวงมากขึ้น เมื่อร่างกายดีขึ้นป้าก็มาไหว้ขอบคุณอย่างสวยงาม จากนั้นไม่นานก็ออกจากงานที่วัดไปพักรักษาโดยมีลูกสาวดูแล ได้ข่าวอีกทีว่าป่วยหนักเริ่มพูดไม่ได้ พักอาศัยอยู่คอนโดแถว ๆ สำนักงานเขตสาทร... ข่าวล่าสุดลูกสาวพาแม่กลับ จ.ยโสธรที่บ้านเกิดในสภาพติดเตียง แล้วป้าก็จากไปด้วยวัย 56 ปี พ้นทุกข์ทรมาน

ระหว่างทางกรุงเทพฯถึงยโสธรอันยาวไกล มองดูทิวทัศน์ระหว่างทางมีทั้งฝนตก ท้องฟ้าแจ่มใส ท้องทุ่งสีทอง นี่คือชีวิตจริง นี่คือชีวิตหนึ่ง มีสุขทุกข์ระคนกันไป ขอให้ดวงวิญญาณ อังเยลา พวงทิพย์ ปั้นทอง ได้พบกับสันติสุขตลอดนิรันดร์ และได้เตรียมพระแท่นอันงดงาม เพื่อว่าวันหนึ่งเราจะได้ร่วมพิธีมิสซาด้วยกันบนสวรรค์ ….

วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

Pause เพื่อผ่าน

 

Pause เพื่อผ่าน

>>> ทุกสรรพสิ่งมีจังหวะตามกาลเวลา <<<

ยิ่งโตยิ่งเติบใหญ่ เวลายิ่งเดินไว ผ่าน วัน เดือน ปี ไปเร็วดุจดั่งสายลมหนาวที่ผ่านเพียงชั่ววูบแล้วก็หดหายไป แต่มันก็ผ่านมาทุกปี เวลามักทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปได้เสมอ สิ่งที่ต้องย้ำเตือนตนให้คำนึงถึงบ่อย ๆ ก็คือ มีอะไรงอกเงยงอกงามขึ้นมาบ้างหรือไม่ ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน แน่ล่ะ คงวัดกันลำบาก แต่เราวัดได้ด้วยตัวเราเอง

ยิ่งโตขึ้น เรายิ่งต้องรู้สึกว่า เรื่องราวบางเรื่องราว เงียบ ๆ ไว้จะดีกว่า ถึงพูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำร้ายจะยิ่งแย่กว่าเดิม ในบางทีและในบางเรื่อง ก็ต้องทำนิ่ง ๆ เฉย ๆ บ้าง โวยวายไปก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง วันเวลาสอนให้เรารู้จักเย็นลง รู้จักจังหวะอันไหนควรอันไหนไม่ควร จะเป็นขวานผ่าซากก็ต้องเป็นขวานที่คมด้วย พยายามโมโหให้น้อยลง อดทนอดกลั้นให้เป็น ยามมีความสุขก็สุขให้เต็มที่ ชีวิตอยู่กันไม่นานนักหรอก เรามีหนทางในการตัดสินใจเปลี่ยนผ่าน หรือจะปล่อยผ่าน ....

ใช่หรือไม่ ในเวลาที่เราฟังเพลง หรือดูคลิป ดูสื่อในโทรศัพท์มือถือ จะเห็นว่ามีปุ่มอยู่หลายปุ่มให้เรากดเลือก มีอยู่ปุ่มหนึ่งจะอยู่คู่กันหรือไม่ก็ใช้ตำแหน่งเดียวกัน ใช้เพียงเพื่อเปลี่ยนสถานะ นั่นคือ ปุ่ม Play และ ปุ่ม Pause เล่นหรือหยุดชั่วคราว อาจจะหยุดไว้เพื่อรอจังหวะหาโอกาสกลับมาเล่นเดินหน้าต่อ ช่วงนี้แหละเป็นเวลาที่จะทำให้มีเวลาที่จะคิดว่า พอเท่านี้หรือไปต่อ ชีวิตคนเราบางทีก็มีจังหวะที่จะต้องกดหยุดชั่วคราวกันบ้าง หยุดเพื่อสังเกต หยุดเพื่อเปลี่ยนผ่าน ก้าวไปต่ออย่างมั่นคง

ในระหว่างทางของการผลัดเปลี่ยน มีอะไรบางอย่าง เป็นสัญญาณเตือนเราเสมอ เตือนเราว่าได้เวลาโต เตือนเราว่าถึงเวลาใกล้ตาย ในเวลาที่เหมาะที่ควรแล้ว เวลาที่เปลี่ยนไปนั้นจึงมีค่าเสมอ เราอาจจะเล่นใหม่ หรือจะตัดสินใจเปลี่ยนออกจากวิถีเดิม ๆ เลยก็สุดแต่ใจ หนทางที่เลือกนั้นมีทั้งดีและไม่ดี หากไม่ดี ไปต่อไม่ได้ ก็หยุดพัก แล้วเลือกใหม่ได้เสมอ ชีวิตมีหลากหลายจังหวะให้เลือกให้เปลี่ยน เลือกเพื่อให้พบกับสิ่งดี ๆ เลือกให้พบกับความงาม เลือกให้พบกับสันติสุข และความเบิกบาน เพื่อก้าวผ่านไปเป็นส่วนหนึ่งในพระราชัยสวรรค์

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2566

แผ่นดินแห่งน้ำนมและน้ำผึ้ง

 

แผ่นดินแห่งน้ำนมและน้ำผึ้ง

>>> แผ่นดินพระสัญญาแท้จริงอยู่ในใจเรา ใยต้องฆ่ากันเพื่อยึดครองทางกายภาพด้วยเล่า <<<

สถานการณ์การสู้รบกันของอิสราเอล กับกองกำลังฮามาส ปาเลสไตน์ ยังไม่จบสิ้นและจ้องทำท่าว่าจะลามเป็นสงครามใหญ่ สื่อมวลชนแต่ละที่ต่างก็ขุดเอาประวัติดินแดนบริเวณนี้มานำเสนอ ซึ่งเป็นความเชื่อทางศาสนาของแต่ละชนชาติ ว่าดินแดนแห่งนี้ (คานาอัน) คือ ดินแดนที่พระเจ้ามอบให้ ต่างคนต่างพยายามเข้ายึดครองตามคำกล่าวอ้าง ทั้ง ๆ ที่ความจริงพระเจ้ามิทรงมีเจตนาที่จะทำให้เกิดการรบราฆ่าฟันกัน เพราะทุกคนคือบุตรพระเจ้า อิสราเอลในพระคัมภีร์เป็นคำที่แทนมวลมนุษยชาติ หาใช่กลุ่มชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะหากยึดเพียงคำตามตัวอักษรมันก็คือความเห็นแก่ตัว และแทนที่ดินแดนแห่งนี้จะสงบสุข ที่เต็มไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง กลับกลายเป็นดินแดนแห่งหยดน้ำตาและเลือดหลั่งนอง ….


ใช่หรือไม่ พระเจ้าเป็นของทุกคน เป็นองค์ความรัก เราทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงกรรมสิทธิ์บางอย่างเพียงเท่านั้นหรือ
? เราช่วงชิงความเป็นเจ้าของความรักของพระองค์มายึดครองเพียงผู้เดียวหรือ? เราคิดเอาเองว่า การนับถือพระเจ้าตามแบบของแต่ละศาสนา คือ การทำเพื่อพระเจ้าหรือ? พระเจ้าของใครกันเล่า? พระองค์คงไม่ปลื้มที่เราต้องสังเวยด้วยชีวิตเด็ก สตรี และคนชราที่ไร้ทางสู้ ที่กลายเป็นเครื่องต่อรองของการช่วงชิงอำนาจ… มันเศร้าใจนัก ที่ข่าวสารทำให้เราต้องเลือกข้าง เศร้าใจนักที่ไม่รู้ความจริงหนึ่งเดียวคือเช่นไร

สิ่งที่เราต้องช่วยกันทำให้เกิดแผ่นดินแห่งพันธสัญญาอันแท้จริง นั่นคือ การทำจิตใจของเราให้เต็มไปด้วยความเอื้ออาทร เต็มไปด้วยความรัก การเห็นใจกัน รู้จักแบ่งปันกัน สร้างแผ่นดินในใจเราให้เต็มไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เมื่อนั้นแหละพระเจ้าจะทรงพอพระทัยยิ่งนัก เพราะเราทำให้แผ่นแห่งพันธสัญญากลายเป็นสรวงสวรรค์....

วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2566

คนของพระจริงหรือ???

 

คนของพระจริงหรือ???

>>> คนของพระเจ้าย่อมมีความรักปักในใจ เสียสละตนได้แม้ชีวิตส่วนตัว <<<

ทั้งโลกต่างตกใจกับการที่กลุ่มฮามาส(ปาเลสไตน์) ยิงจรวดถล่มใส่อิสราเอลหลายพันลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ เป็นจำนวนมากและกำลังจะก่อให้เกิดสงครามขึ้นมาอีกขั้วหนึ่ง ทางยูเครนรัสเซียยังไม่จบ โลกนี้ไม่เคยสงบจริง ๆ หลายคนคงเป็นแบบเดียวกันที่เห็นข่าวอิสราเอลก็คิดเข้าข้างทันที เพราะว่าเป็นประเทศต้นกำเนิดความเชื่อของพวกเรา และเชื่อว่าเป็น “คนของพระ” ใช่หรือไม่ พระเจ้าคงไม่ปรารถนาให้มนุษย์มาเข่นฆ่ากันเช่นนี้ เป็นคนเรานี่แหละที่แอบอ้างเอาพระเจ้าเป็นของตัวเราฝ่ายเดียว คนอื่นเป็นปิศาจไปหมด ขึ้นชื่อว่าสงครามอย่างไรเสียก็ต้องฆ่ากัน แค่นี้ก็ผิดต่อความรักของพระเจ้าแล้ว อย่าคิดเพียงว่าเราเป็นคนของพระ เป็นบุตรพระเจ้าเพียงฝ่ายเดียว

           
เพราะเหตุใดเล่าสงครามจึงมิเคยหมดไปจากโลกใบนี้เพราะใจคนเรามักมาก จิตไม่สงบ ความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว ไม่เคยเห็นใจคนอื่น ใช้ความเป็นคนของพระไปเคร่งครัดต่อคนอื่น แต่ละเลยต่อตัวเองด้วยมีเหตุผลนานาประการ เอาดีใส่ตัว อ้างความชอบธรรม อ้างคนของพระละเลยอะไรก็ได้ ไม่เคยปฏิบัติตัวในความรัก แต่มักปฏิบัติด้วยการสร้างภาพลักษณ์ บำรุงบำเรอเสพสุข บนกองทุกข์ของคนอื่น อ้างบุญกุศลที่แฝงเร้นไปด้วยหวังเพียงชื่อเสียงและการยกย่อง เราพากันก้าวพลาดให้สิ่งปรุงภายนอกรุกรานภายในแบบสมยอม เช่นนี้แล้วสันติจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
? วอนขอความสงบจะเกิดขึ้นได้เช่นไรเล่า ?

สร้างสันติในจิตวิญญาณของเราให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อลดภาวะสงคราม หยุดสิ่งที่ปฏิบัติแบบผิด ๆ กันเสียบ้าง สวดด้วยจิตวิญญาณบริสุทธิ์ สร้างความสงบโดยสยบยอมถ่อมตัวเราลงบ้าง มองเห็นความทุกข์ของคนรอบข้างด้วยหัวใจชอบธรรม เห็นคุณค่าของผู้คน อย่าเอาคำว่า “คนของพระเจ้า” เอาเปรียบคนอื่น ออกจากตัวเองให้มาก เพื่อสันติสุขจะได้เกิดขึ้น อย่าให้ภาวะสงครามเข้าครอบงำจิตใจจนเกินจะเยียวยา ประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม ยิ่งถ้าคิดว่าเราเป็นคนของพระจริง ๆ ยิ่งต้องสละตนเองเพื่อสันติสุข เช่นนั้นแล้วเราก็เป็นคนของพระเพียงในนามเท่านั้น….

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2566

เด็กวันนี้ที่เจ็บปวด

 

เด็กวันนี้ที่เจ็บปวด

>>> หัวใจเด็กที่ปวดร้าว เพราะก้าวเร็วไปตามที่สิ่งผู้ใหญ่ต้องการ <<<

เหตุการณ์กราดยิงในห้างโดยเด็กอายุเพียง 14 ปี เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อว่าสังคมไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ? มันหดหู่ หมดหวัง เห็นแต่เชื้อร้ายที่กำลังเข้ามาทำลายสังคมแห่งสันติ มันเจ็บปวด ที่เห็นเด็กวันนี้กำลังเดินไปบนทางแห่งความรุนแรง จะโทษอะไรดี!!! โทษเกมส์ก็ไม่ใช่ โทษความเจริญที่รวดเร็วเกินไปก็ไม่เชิง โทษตัวเราทุกคนนี่แหละ ที่ปล่อยให้เชื้อชั่วเข้ามาสู่ชีวิตโดยมิได้ช่วยกันสร้างภูมิ เพราะมัวเอาแต่ตัวใครตัวมัน เสพสุขส่วนตัวอย่างเดียว

ลองหันมาจริงจังกับการปลูกฝังเด็ก ๆ โดยการคำนึงถึงว่า เราปรารถนาจะให้เด็กเป็นอย่างไรเราก็ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องไปกดดัน บังคับ ให้พวกเขาทำตามใจเรา ดังที่ โดโรธี ลอว์ โนลตฺ นักเขียนชาวอเมริกัน เขียนบทกวีนี้ไว้


ถ้าเด็กอยู่กับการวิพากษ์วิจารณ์
  เขาเรียนรู้ที่จะตำหนิติเตียน ถ้าเด็กอยู่กับความเป็นอริ เขาเรียนรู้ที่จะสู้ ถ้าเด็กอยู่กับความหวาดกลัว เขาเรียนรู้ความวิตกกังวล ถ้าเด็กอยู่กับความสงสาร เขาเรียนรู้การเสียใจในตัวเอง ถ้าเด็กอยู่กับการหัวเราะเยาะ เขาเรียนรู้ความประหม่าขัดเขิน ถ้าเด็กอยู่กับความริษยา เขาเรียนรู้ความอิจฉา ถ้าเด็กอยู่กับความละอาย เขาเรียนรู้ที่จะรู้สึกผิดในตัวเอง ถ้าเด็กอยู่กับการให้กำลังใจ เขาเรียนรู้ที่จะมั่นใจในตัวเอง ถ้าเด็กอยู่กับขันติ เขาเรียนรู้ที่จะอดทน ถ้าเด็กอยู่กับคำชมเชย เขาเรียนรู้จักการชื่นชม ถ้าเด็กอยู่กับการยอมรับ เขาเรียนรู้ที่จะรัก ถ้าเด็กอยู่กับการเห็นดีเห็นงาม เขาเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ถ้าเด็กอยู่กับการเห็นพ้องยอมรับ เขาเรียนรู้ว่า มันดีที่จะมีเป้าหมาย

ถ้าเด็กอยู่กับการแบ่งปัน เขาเรียนรู้ความโอบอ้อมอารี ถ้าเด็กอยู่กับความซื่อสัตย์ เขาเรียนรู้การมีวาจาสัตย์ การพูดความจริง ถ้าเด็กอยู่กับความเป็นธรรม เขาเรียนรู้ความยุติธรรม ถ้าเด็กอยู่กับความเมตตากรุณา เขาเรียนรู้การเคารพนับถือ ถ้าเด็กอยู่กับความจริงใจ เขาเรียนรู้ที่จะมีศรัทธาในตัวเองและในคนอื่นรอบตัว ถ้าเด็กอยู่กับความเป็นมิตร เขาเรียนรู้ว่าโลกนี้เป็นสถานอันน่าอยู่  (วิภาดา กิตติโกวิท แปล)

วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2566

ชอบแบบไหน ?

 

ชอบแบบไหน ?

                             >>> ทำชีวิตให้ง่ายขึ้น ชอบสังคมแบบไหน ก็สร้างแบบนั้นขึ้นมา <<<

ในสังคมการทำงานเรามักจะประสบพบเจอคนสองประเภท พวกแรก คือ ทำงานขยัน แต่มักไม่ค่อยได้รับคำชื่นชมหรือได้รับรางวัล ก้มหน้าก้มตาทำไป ประจบสอพลอไม่เป็น อะไรทำได้ก็ทำอะไรที่ต้องฝืนทำก็ไม่รับปาก แต่จะใช้ความพยายามที่จะทำให้ได้ ประเภทที่สอง ก็ตรงกันข้าม คือทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ชอบเสนอหน้า เอาหน้า พูดจาดี เก่งต่อหน้าหัวหน้า เอาเข้าจริง คือ ของปลอม และเชื่อหรือไม่คนพวกนี้มักได้ดีในช่วงระยะแรกหรือช่วงที่ความจริงยังไม่ปรากฏ ที่สำคัญเป็นอะไรไม่รู้มันเหมือนกันค่อนโลกที่หัวหน้า เจ้าของบริษัท มักหลงเชื่อ หลงชื่นชม ให้ตำแหน่งกับคนประเภทหลังนี้เสียด้วย

แล้วเราชอบคนจำพวกไหน? ในเชิงทฤษฎีส่วนมากชอบคนจำพวกแรก แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ เกือบทั้งร้อยเลือกคนจำพวกหลัง เพราะเราล้วนแต่ชอบให้คนมาเอาใจ เราล้วนแต่ชอบมีบริวารล้อมหน้าล้อมหลังกันทั้งนั้น แต่ผู้เจริญแล้วย่อมเรียนรู้ที่จะใช้คนทั้งสองจำพวกให้เป็นตามกาลเทศะ และให้คุณค่าทั้งสองพวก ถ้าเราต้องการสร้างสิ่งแวดล้อมแบบไหน เราก็ควรเรียนรู้ที่จะเป็นแบบนั้นจะได้หล่อหลอมให้เราเติบโตขึ้นในลักษณะนั้นเสียก่อน


หากเราสร้างสังคมให้มีแต่เสียงติเตียนสังคมนั้นก็จะเต็มไปด้วยคนที่ชอบโทษคนอื่น หากเราไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของคนรอบข้าง ก็จะกลายเป็นคนชอบหาเรื่องกัน อยู่ในที่ที่มีความอิจฉาตาร้อน จะกลายเป็นคนชอบต่อต้านคนอื่น แต่ถ้า...เราร่วมกันสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยใจที่ให้อภัย เราก็จะมีชุมชนคนที่มีจิตใจอดทน อยู่ท่ามกลางกำลังใจ จะกลายเป็นคนมองโลกในแง่บวก รู้จักซาบซึ้งน้ำใจคนอื่น เราก็จะได้สังคมแห่งความกตัญญูรู้คุณ รู้จักแบ่งปัน จะได้เพื่อนฝูงที่มีน้ำใจ มีความซื่อสัตย์ สร้างความเป็นมิตร จะได้รับการใส่ใจจากคนรอบข้าง สร้างความสงบสุข ก็มีจิตเมตตา มาสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับสังคมของเรา มีจริยธรรมและจิตใจที่งดงาม เพื่อเป็นความสุขนิรันดร์ แบบนี้เราไม่ชอบหรือ....????

วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2566

สุขจากการไม่คาดหวัง

 

สุขจากการไม่คาดหวัง

>>> การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยคาดหวังผลไว้ มักจะสร้างความผิดหวังตามมาเสมอ >>>

ตอนเด็ก ๆ เราล้วนมีโลกสวยงาม เห็นคนรอบข้างเป็นคนดี อยากจะโตขึ้นเป็นแบบนั้นบ้าง เราล้วนมีคนที่อยากเลียนแบบหลายต่อหลายคน เมื่อคนเหล่านั้นสนใจเรา พูดคุยด้วยแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ไม่เรียกร้องอะไร ความสุขในตอนเด็ก  เป็นความสุขที่แทบจะไม่มีปัจจัยเรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องผลประโยชน์อันใดมาเกี่ยวข้อง พอโตขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น รู้ถึงจิตใจคนมากขึ้น แต่ความสุขกลับลดน้อยถ้อยลงไป ยิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้คน เห็นความมืดในใจคนในแทบทุกวงการ ความสุขเรามันอยู่ไหน???

ใช่หรือไม่ เรามักเอาความสุขของราไปยึดโยงกับคนอื่น พอเริ่มหันกลับมาสร้างความสุขจากใจเราเอง ก็คงยังมีทุกข์อยู่บ้าง เพราะเราเอาความสุขไปผูกกับเงินและการงานมากเกินไป หลายครั้งมีคนแนะนำเราเสมอ ๆ ว่า ลองทำใจว่าง ๆ ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องเล็ก ๆ มีเงินก็สุขได้ ไม่มีก็สุขได้ มองหาสิ่งดี ๆ ในทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเราแก้ไขอะไรในอดีตไม่ได้ ที่สำคัญทำวันนี้ให้ดีที่สุด

 



NAZIM HIKMAT กวีเอกคนหนึ่งของตุรกีได้ขอให้ Abidin Dino เพื่อนของเขาซึ่งเป็นจิตรกรที่รู้จักกันดีของตุรกี ให้ช่วยวาดภาพแห่งความสุข Abidin Dino เลยวาดภาพของครอบครัวแห่งความสุขมาให้ ชื่อ “ความสุข” เป็นภาพของสมาชิกในครอบครัว ที่นอนเบียดเสียดกันในเตียงหัก ๆ แถมหลังคารั่ว ในห้องพักโทรม ๆ แต่ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มบนใบหน้า ภาพวาดนี้กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมาก

สุขเกิดจากการที่เราพอใจกับสิ่งที่เรามี ไม่คาดหวังเกินตัว ทุกข์ก็เกิดจากการที่เราพยายามแสวงหาในสิ่งที่เราไม่มี และก็หวังมากเกินไปนั่นแหละ สุขเกิดจากการที่เรามองเห็นจากสิ่งที่เรามีทุกข์เกิดจากการที่เราไปพยายามมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมี แล้วนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนเองไม่มี ความสมดุลของทุกข์และสุขจึงต่างกันตรงนี้ ฉะนั้นแล้วมันจึงอยู่กับเราเอง ต้องหาความพอดีของเราให้เจอ หาความพึงพอใจ ของเราเองให้พบ แล้วเราจะได้คำตอบว่า แท้จริงแล้วชีวิตของเราเต็มไปด้วยความสุข เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ และความสุขส่วนมากอยู่บนความเรียบง่ายอย่างแท้จริง ยิ่งหยุดตามหา ยิ่งได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ  เวลามีทุกข์ก็จะไม่ทุกข์มาก เช่นกันในเวลาสุขก็อย่าไปคิดว่ามันจะสุขตลอดไป เรามีชีวิตเพื่อเรียนรู้โลก ได้มองสิ่งสวยงาม แล้วก็ทำเรื่องที่สวยงามตามวิถีชีวิตเรา สร้างประโยชน์ให้คนอื่นบ้างโดยไม่ต้องหวังผลใด ๆ ถึงเวลาเราก็ต้องจากโลกนี้ไป จะเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ นอกจากความดี

ความสุขไม่ได้เกิดจากการไร้ทุกข์ แต่เกิดจากการยอมรับทุกข์ เห็นสิ่งดีรอบตัว หยุดกังวลกับสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ เอาเข้าจริง สุขจากการให้ นี่คือ ความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่การกอบโกยใส่ตัว รู้จักมองคนอื่นด้วยแววตาที่ชื่นชม รู้จักมอบรอยยิ้มให้คนอื่นด้วยความจริงใจ รู้จักพูดชื่นชมให้คนอื่นมีกำลังใจ เพราะเมื่อใดที่เราส่งผ่านสิ่งดี ๆ ส่งผ่านกำลังใจดี ๆ มอบและแบ่งปันให้ผู้อื่น เราก็พบกับความสุขแล้ว ความรักอย่างหนึ่งที่เรามีต่อคนอื่นนั้น คือ การแบ่งปันเพื่อให้คนอื่นมีความสุข เมื่อให้สิ่งใดกับคนอื่นไปสิ่งนั้นย่อมส่งผลสะท้อนกลับ เรามอบความสุขให้ใคร ใจเราย่อมได้รับสุขนั้นทันทีเรายื่นมีดดาบให้ใคร ใจเราย่อมเต็มไปด้วยของมีคม ที่หันมาทิ่มแทงตัวเราเอง ความสุขเป็นเรื่องที่สร้างไม่ยาก แต่เราไม่อยากจะสร้างกัน เพราะทุกสิ่งที่เราทำมันเต็มไปด้วยความคาดหวัง....

วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2566

*** ไม่น่าเชื่อ!!!***

 

 

 *** ไม่น่าเชื่อ!!!***

>>> ในยุคที่ความเจริญด้านวัตถุเติบโตขึ้น แต่ด้านจิตใจกลับยิ่งเลวร้ายลง <<<

ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีกหรือในยุคนี้ เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาหลังจากได้อ่านข่าวเหตุการณ์ยิงตำราวจในงานเลี้ยงบ้านกำนัลต่อหน้าเพื่อนตำรวจยี่สิบกว่าคน แสดงให้เห็นว่า วันนี้คนเรายังตกหลุมพรางแห่งอำนาจเงินกันอยู่  ใครมีเงินก็มีบารมี  ใครมีบารมีย่อมยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ เช่นนั้นหรือ เรายังนับถือเงินเป็นพระเจ้า หลายคนจึงทำทุกอย่างเพื่อพบพระเจ้าจอมปลอมนี้ พลีกายพลีใจรับใช้นาย ทั้ง ๆ ที่ เรามีคำสอนขององค์ศาสดาในทุกศาสนา ที่สอนให้เรามีจิตใจอ่อนโยน ระมัดระวังตนอย่าตกเป็นทาสของเปลือกภายนอกที่ทำให้เราลุ่มหลง แต่วันนี้เรากลับทำสิ่งที่ตรงข้าม โลกภายในของคนเรา ไม่เปลี่ยนเหมือนกับสิ่งอื่นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว


ใช่หรือไม่ การถ่อมตัวในการใช้ชีวิตมันไม่ใช่แค่ทัศนคติ แต่คือหลักปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิต ไม่ว่าเราจะมีชื่อเสียงมากขนาดไหน มีอำนาจมากแค่ไหน ร่ำรวยเท่าไร ก็ควรที่จะอ่อนน้อมถ่อมตัว ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็จะทำให้ต้องพบเจอกับปัญหาไม่วันใดก็วันหนึ่ง คนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตัวก็จะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในที่สุด บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะทำงานอะไร ทำการอะไร ก็จะได้รับการยอมรับง่ายขึ้น ถ้ารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ตรงกันข้ามคนที่โอ้อวดบารมี ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องพบกับจุดจบอย่างไม่คาดคิด

คนเราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้ เราไม่ได้แข็งแรงเสมอไป เราไม่อาจจะครอบครองตำแหน่งไว้ได้ตลอดกาล สักวันหนึ่งเราจะต้องลงจากบัลลังก์ การรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักกาลเทศะจะทำให้เราเป็นผู้มีบารมีอันเป็นที่รัก คำว่า “อยู่ให้เขารัก จากให้เขาคิดถึง” ยังคงใช้ได้ตลอดกาล นี่คือสิ่งที่เราทุกคนบนโลกต้องเรียนรู้และปฏิบัติ เป็นตำนานให้คนจดจำ แม้ในวันที่ไม่มีตำแหน่ง อย่าให้คนสาปส่งในวันที่หมดอำนาจเลย เพราะสวรรค์-นรก อยู่ตรงนี้นี่แหละ ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ

วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2566

อานุภาพของคำพูด

 

อานุภาพของคำพูด

>>> คำพูดง่าย ๆ หนึ่งคำ สำคัญอยู่ที่ว่า ได้ก่อเกิดประโยชน์ต่อผู้ฟังมากน้อยเพียงใด <<<

ความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเรา มักเริ่มมาจากคำพูดที่ฟังแล้วขัดหู ขัดใจ คำพูดที่ทำให้จิตใจว้าวุ่น หดหู่ แต่ก็มีหลายจังหวะชีวิตที่เราได้รับคำพูดที่ดี ๆ ที่ชื่นชมเราอย่างจริงใจ เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตให้เดินก้าวต่อไปอย่างร่าเริงและเข้มแข็ง ใช่หรือไม่ เราทุกคนก็รู้ว่าคำพูดที่ส่งเสริมกันมักจะทำให้เกิดพลังที่ดี แต่เรามักทำในสิ่งตรงข้ามกันเพราะความอิจฉา เพราะอคติที่จะเอาชนะกัน เพราะความดื้อรั้น ไม่สนใจใส่ใจใครทั้งนั้น ต่างก็ก่อมลพิษทางจิตใจกันและกันไม่หยุดหย่อน เราจึงมีสังคมที่เต็มไปด้วยความตรึงเครียด


ความล้มเหลวและความสำเร็จของคนเรา อาจจะมาจากคำพูดเพียงคำเดียว คำพูดหนึ่งประโยคที่มีประโยชน์ ดีกว่าคำพรรณนามากมายที่ไร้แก่นสาร มีผู้คนมากมายที่กลายเป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์เพียงเพราะคำพูดเพียงแค่ประโยคเดียว ดังเช่น เดล คาร์เนกี้ นักพูดผู้มีศิลปะในการพูดและสร้างแรงบันดาลใจ เปลี่ยนคนหลายล้านคนให้มีคุณค่ามากขึ้น มันเริ่มมาจากตอนที่คาร์เนกี้เป็นเด็ก ที่ซนมาก ๆ เมื่อเขาอายุได้ 9 ขวบ พ่อก็พาแม่ใหม่เข้าบ้าน (ปัญหาแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงเป็นเหมือนกันทั้งโลก) พ่อของเขาบอกกับแม่เลี้ยงคนใหม่ว่า

“หวังว่าคุณจะระวังเด็กแสบคนนี้ให้ดี เขาทำให้ผมกลัดกลุ้มมาก ไม่แน่นะ พรุ่งนี้เช้าเขาอาจเอาก้อนหินปาใส่คุณ หรือทำอะไรร้าย ๆ กับคุณก็เป็นได้!”

แต่สิ่งที่แม่ใหม่ปฏิบัติต่อ คาร์เนกี้ นั้นเกินกว่าที่ คาร์เนกี้และพ่อของเขาคาดคิดไว้มากมายนัก แม่ใหม่ได้แต่อมยิ้ม และเดินเข้ามาลูบหัวของเขา จากนั้นก็สำรวจเด็กชายตัวน้อย แล้วก็หันไปพูดกับสามีว่า

“คุณผิดแล้วค่ะ เขาไม่ใช่เด็กแสบอะไรเลย แต่เขาเป็นเด็กที่แสนฉลาด เพียงแต่ว่าเขายังไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวเขาเท่านั้นเอง”


เมื่อเด็กชายตัวน้อยได้ยินแม่ใหม่พูดถึงเขาอย่างนี้ น้ำตาของคาร์เนกี้ก็ไม่อาจเก็บอั้นไว้อีกต่อไปได้ เด็กชายปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาตามที่หัวใจมันเรียกร้อง เพราะคำพูดของแม่ใหม่ประโยคนั้น ได้เชื่อมสัมพันธภาพระหว่างเธอและคาร์เนกี้ให้สนิทชิดเชื้อกันมากขึ้น และก็เพราะประโยคนั้นของเธอ ทำให้คาร์เนกี้ได้จุดประกายพลังในการตั้งความมุ่งมั่นขึ้นในหัวใจ และเพราะคำพูดของเธอประโยคนั้น ทำให้คาร์เนกี้ได้เสริมสร้างผู้คนให้ประสบผลสำเร็จในชีวิตมากมายทั่วโลก

แค่เพียงหนึ่งพาทีดี ๆ ที่เราพูดไป สร้างร้อยล้านกำลังใจให้มี พูดคำดี ๆ สักประโยคหนึ่งแก่ผู้คนรอบข้าง จะทำให้ชีวิตที่กำลังอับเฉาแห้งแล้งได้ชุ่มฉ่ำหัวใจ เพียงคำให้กำลังใจก็ทำให้หัวใจที่อ่อนล้าใกล้หมดแรงได้มีพลังฮึกเหิมลุกขึ้นก้าวต่อไป ในเมื่อคำพูดมีอานุภาพได้ขนาดนี้ เหตุใดเราไม่พูดสิ่งที่ดีๆต่อกันเล่า? หันกลับมาพูดคำดี ๆ ให้มาก พูดคำร้าย ๆ ให้น้อย คิดก่อนแล้วค่อยพูด เพื่อสร้างโลกให้สดใส ใยไปคิดอะไรให้ใหญ่โตเกินตัว....