วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตจริงไม่มีอะไรแน่นอน

ชีวิตจริงไม่มีอะไรแน่นอน
ในโลกวันนี้ เราล้วนแล้วแต่จมปลักอยู่กับความเห็นแก่ตัว และชอบที่จะเข้าครอบครองพื้นที่ของคนอื่นอยู่ร่ำไป ในยุคข้อมูลข่าวสารที่เต็มไปด้วยการเบียดบัง เต็มไปด้วยข้ออ้าง อวดอ้าง แอบอ้าง และข่มขู่ผู้ด้อยกว่า มีการรับรู้เหตุการณ์ทั่วโลกได้อย่างทันใจเพียงลมหายใจเข้าออก เราก็ยิ่งถูกโถมทับด้วยอำนาจอยากได้ใคร่มี ทั้งๆที่ในบางเหตุการณ์นั้นได้เป็นการย้ำเตือนเราว่า แท้จริงแล้วชีวิตเราไม่มีอะไรแน่นอน มีแต่ต้องนอนถาวรแน่ๆไม่วันใดก็วันหนึ่ง วันนั้นต่างหากที่จะบอกว่าชีวิตเรา มีความจริง ความงาม ให้ปรากฏเห็นกับใคร  มากน้อยแค่ไหน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ความไม่แน่นอนในวิถีการดำเนินชีวิตนั้นเกิดได้เพียงชั่วพริบตา หากใครได้ติดตามข่าวของนักขับรถแข่ง F1 ผู้ครองแชมป์มาไม่รู้กี่สมัยต่อกี่สมัย จนชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก มิชาเอล ชูมัคเกอร์ หลังจากที่เริ่มอิ่มตัวกับความเร็วในสนามแข่งรถ และการครองความเป็นหนึ่งมาหลายสมัย เขาจึงใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น กำลังเริ่มต้นวิถีชีวิตแบบใหม่อย่างมีความสุข แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
อดีตยอดนักซิ่งวัย 45 ปี มีอาการโคม่า และนอนรับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองเกรอน็อบล์ ตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา หลังประสบอุบัติเหตุตอนเล่นสกีในรีสอร์ต เมอริเบล บนเทือกเขาแอลป์ส ทางฝั่งประเทศฝรั่งเศส จนศีรษะกระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างจัง ซึ่งก่อนหน้านี้เแพทย์เคยมีแผนจะปลุกเขาจากอาการโคม่า แต่ก็ต้องยกเลิกไป หลังอาการของเขาทรุดลง ครอบครัวของตำนานแห่งศึกฟอร์มูลาวัน ( F1 ) เชื่อว่า ชูมัคเกอร์ จะต้องกลับมาลืมตาดูโลกอีกครั้ง หลังเริ่มแสดงสัญญาณตอบสนองบ้างเล็กน้อย ระหว่างนอนรักษาตัว จากอุบัติเหตุขณะเล่นสกี
ทั้งนี้ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ยังได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์ หลังผ่านการผ่าตัด 2 ครั้ง เพื่อนำเลือดที่คั่งในสมองออก และกำลังอยู่ในกระบวนการให้ฟื้นขึ้น ซึ่งจะต้องใช้เวลานานพอสมควร ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า มิชาเอล ชูมัคเกอร์ จะเป็นเจ้าชายนิทรา หรือ หากลืมตาขึ้นก็จะอยู่ในภาวะทุพพลภาพ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีการเปิดเผยว่า เจ้าของแชมป์โลก เอฟ วัน 7 สมัย กำลังดูมีอาการดีขึ้นเล็กๆ แล้ว ซึ่งนั่นส่งผลให้ครอบครัวของเขามั่นใจว่า ชูมัคเกอร์ จะเอาชนะความยากลำบากครั้งนี้ และลืมตาขึ้นมาดูโลกได้อีกครั้งอย่างแน่นอน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ครอบครัว ชูมัคเกอร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะยอมทำความเข้าใจได้ว่า มิชาเอล ซึ่งเคยเอาชนะสถานการณ์ที่อันตรายมาได้หลายครั้ง กลับได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากเหตุการณ์ธรรมดาๆ มันเห็นได้ชัดตั้งแต่แรกแล้วว่า นี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน และยากลำบากสำหรับ มิชาเอล และเราจะร่วมต่อสู้ในครั้งนี้ไปพร้อมๆ กับทีมแพทย์ที่เราเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม
ชูมัคเกอร์ ได้เข้าร่วมการแข่งขันรถสูตรหนึ่งครั้งแรกในรายการเบลเยี่ยมกรังปรีซ์ ในปีค.ศ. 1991 ในฐานะนักแข่งตัวสำรองให้กับแบร์ทรอง กาโชต์ที่ถูกจำคุก ซึ่งชูมัคเกอร์ก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยการเข้ารอบคัดเลือกได้เป็นอันดับเจ็ด ต่อมาเขาก็ได้เข้าร่วมทีมเบเนตอง-ฟอร์ดในการแข่งขันครั้งต่อมา และได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันมากล้นในทันที ในปีถัดมา (ค.ศ. 1992) เขาก็ชนะการแข่งขันรถสูตรหนึ่งรายการแรกที่เบลเยี่ยมกรังปรีซ์ และได้อันดับที่สามในการจัดอันดับนักแข่งของรายการ
เขาสามารถเอาชนะการแข่งขันในสี่สนามแรกของฤดูกาลได้ และชนะการแข่งขันรวมทุกครั้งในเจ็ดครั้งแรก ในสองฤดูกาลแรกที่ชูมัคเกอร์ เข้าแข่ง เขาชนะการแข่งขัน 17 สนาม ได้ขึ้นโพเดี่ยม 21 ครั้ง ได้ตำแหน่งโพล 10 ครั้ง และในการแข่งขันทั้งหมด 31 ครั้ง มีเพียงครั้งเดียวที่เขาได้รับการคัดเลือกเพื่อออกสตาร์ทได้ต่ำกว่าอันดับที่ 4   นี่เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง ในสนามประลองความเร็วที่ต้องอาศัยสายตาให้ยอดเยี่ยม แต่ในวันนี้ในสนามชีวิตจริง เขากับต้องต่อสู้เพื่อให้สามารถลืมตามองดูโลกอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อได้อ่านข่าวนี้เมื่อปลายๆปีที่แล้ว และได้ติดตามข่าวอาการของเขามาอย่างต่อเนื่อง เพราะชื่นชอบในการขับรถแข่งของเขาเป็นการส่วนตัวมาอย่างยาวนานและด้วยความปรารถนาให้ ชูมัคเกอร์ ฟื้นกลับมาเป็นปกติ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
มีสิ่งหนึ่งที่สะท้อนสะเทือนเป็นอย่างมากจากเรื่องของชูมัคเกอร์ นั่นคือ ความไม่แน่นอนของชีวิต ชีวิตนักเร่งความเร็วที่สามารถควบคุมเครื่องยนต์ บังคับพวงมาลัยอย่างยอดเยี่ยม มองเห็นเส้นทางและตัดสินใจในสนามได้อย่างเยือกเย็น กลับต้องมาล้มลง หัวกระแทกพื้นบนลานหิมะ โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เอาเข้าจริงคนเราที่มักคิดว่าเราควบคุมบังคับโน่นนี่นั่นได้ แต่เราก็มิอาจจะควบคุมชีวิตให้อยู่ตลอดรอดฝั่งได้ สำหาอะไรกับการที่เรา เที่ยวไปควบคุมกำกับ บังคับ ผู้อื่นให้เป็นอย่างที่เราคิด แล้วคิดว่าเราสายตากว้างไกล เห็นโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง มองขาดในทุกกรณี จึงยึดมั่น ในความเป็นตัวเองที่คิดว่าเก่งฉลาดเลิศล้ำอย่างสุดโต่ง แต่เอาเข้าจริงมีเพียงความไว้วางใจในพระเจ้า แล้วประพฤติปฏิบัติตนตามหนทางธรรมเท่านั้น ที่จะทำชีวิตของเราให้อยู่ในโลกอย่างมีความสุข เพราะแท้จริงแล้วชีวิตนี้ไม่ใช่ของเราเลย 

พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกเพื่อพยายามเปิดตาเรา ให้มองเห็นความจริงในโลกนี้ วันนี้เราอย่าปล่อยให้โลกปิดตาเราให้มืดมัวด้วยความอยากได้ทุกสรรพสิ่งมาครอบครอง ใช่หรือไม่ ....บางครั้งที่เราก้าวย่างเดินไป เรามองไม่เห็นพระเจ้าเลย เพราะมัวเห็นแต่ตัวเราเท่านั้น... 

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

บนความสมถะ

บนความสมถะ
ในขณะที่โลกหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาลเคลื่อนไป อย่างมีระบบระเบียบตามกฎเกณฑ์แห่งการจัดสรรอย่างเที่ยงตรง มนุษย์เป็นสิ่งเล็กๆบนโลกก็หมุนๆวุ่นวายแต่กับเรื่องของตัวเอง พยายามขับเคลื่อนเลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมายบนความไร้จุดหมายปราศจากความเที่ยงตรง เรายังคงหาทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดเคลื่อนไปให้ไวกว่าเพื่อน เพื่อไปยังฐานที่มั่นแห่งความโดดเดี่ยว แถมในระหว่างทางที่ก้าวเคลื่อนไปนั้น ยังเที่ยวแวะระรานเพื่อนๆข้างทางไปตลอด พยายามถ่วงรั้ง สกัดกั้นให้คนอื่นเคลื่อนไปอย่างช้าๆ แล้วก็เก็บเกี่ยวปัจจัยข้างรอบกายกอบโกยไว้หวังใช้เป็นเสบียง ในวันที่หมายมั่น มีบ้างบางคนยังไม่ถึงไหนก็มีอันร่วงหล่นล้มหายตายจากไปโดยยังไม่เคยลิ้มลองสุขจากปัจจัยที่หามา

มนุษย์ทุกคนหวังความสุขสบาย จากปัจจัยจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงนั้นตามหลักธรรมคำสอนทางศาสนาทั้งปวงเฝ้าบอกเราว่า ความสุขไม่ได้เกิดจากวัตถุแต่อย่างใด ความสุขที่แท้จริงเกิดจากความพอใจมากกว่า คนโชคดี คือ ผู้ที่มีปัจจัยชีวิตที่พอเพียง และมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่
แต่ก็ไม่อาจจะต้านกระแสแห่งการเสพสุขปัจจัย ความศรัทธาในศาสนาเริ่มโรยราลงในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา แต่พระเจ้าผู้จัดสรร พระองค์จึงได้มอบองค์พระสันตะปาปาพระองค์ใหม่เมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา เพื่อให้เป็นบทเรียน แบบอย่างของการเคลื่อนหน้ามุ่งสู่เป้าหมายอย่างสมดุล อาศัยความเรียบง่าย และสมถะ เพื่อบอกให้โลกที่เร่งรีบ รวบรัด เพื่อร่ำรวย ว่าสิ่งที่หาๆกันอยู่นั้นหามีประโยชน์อันใด ที่จะเก็บครอบครองไว้เพียงผู้เดียว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนแต่พึ่งพาอาศัยกัน ไม่ควรเลยที่ใครคนใดคนหนึ่งจะมีสิทธิ์ครอบครอง ใช้สอยเพียงผู้เดียว ตำแหน่งแห่งหนบนโลกนั้นมีเพียงเพื่อให้เป็นผู้นำชีวิต นำความดีงาม  ความจริง หาใช่มีเพื่อใช้อภิสิทธิ์ครอบครอง ผู้นำหาใช่ผู้สั่งการ ผู้นำหาใช่ผู้จัดการ แต่ต้องเป็นผู้จัดสรร ให้แนวทางผู้คนปฏิบัติตาม
Pope Report
พระสันตะปาปาฟรังซิส ทรงเป็นชาวอาร์เจนตินา เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ปี 1936 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ในครอบครัวคนงานรถไฟที่อพยพจากอิตาลี พระองค์มีพี่น้อง 7 คน โดยบิดามารดามีเชื้อสายอิตาลี พระองค์บวชเป็นพระสงฆ์ขณะอายุ 32 ปี หรือเกือบ 10 ปี หลังจากสูญเสียปอดไปข้างหนึ่งจากโรคทางเดินหายใจ และลาออกจากการศึกษาเล่าเรียนเพื่อทำงานเป็นช่างเทคนิคทางเคมี  ทรงเป็นนักบวชในคณะเยสุอิต
คุณพ่อแบร์โก กลิโอ (ชื่อเดิมของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส) ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระสังฆราช เมื่อปี 1992 และได้รับเลือกเป็นพระคาร์ดินัล แห่งบัวโนสไอเรส ในปี 1998 เมื่อยังทรงเป็นพระคาร์ดินัล พระสันตะปาปามักเทศนาย้ำเตือนเรื่องความรักสามัคคีในสังคม และบ่อยครั้งที่ทรงตำหนิรัฐบาลอาร์เจนตินาที่ไม่ให้ความสำคัญต่อกลุ่มคนชายขอบเท่าที่ควร
การใช้ชีวิตอย่างสมถะของพระสันตะปาปาองค์ใหม่เป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ทรงเป็นที่ยกย่องชื่นชม ทรงมีพระอุปนิสัยเยือกเย็นสุขุม และเคร่งครัด พระองค์ทรงเคยโดยสารรถไฟใต้ดิน รถประจำทาง เหมือนปุถุชนทั่วไป และเมื่อจะเสด็จไปกรุงโรมก็ยังทรงเลือกบินชั้นประหยัด ที่พำนักของพระองค์ในกรุงบัวโนสไอเรสเป็นเพียงแฟลตที่ตบแต่งอย่างเรียบง่าย
เมื่อเสด็จมายังกรุงโรม พระองค์มักทรงเลือกสวมชุดบาทหลวงสีดำธรรมดา แทนที่จะเป็นชุดสีแดงและเสื้อสีม่วงตามศักดิ์ของพระคาร์ดินัล และว่ากันว่าแม้แต่เสื้อสีม่วงของพระองค์ก็ทรงรับต่อมาจากพระคาร์ดินัลแห่งบัวโนสไอเรสองค์ก่อน พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเป็น พลังแห่งความสมดุล แก่คริสตชน ด้วยทรงมีความเชื่อว่าพระศาสนาจักรควรมีบทบาทในการเผยแผ่ศาสนา เข้าถึงประชาชน และมีความกระตือรือร้น ควรเป็นพระศาสนจักรที่ส่งเสริมและทำให้ศรัทธาเป็นเรื่องง่าย มากกว่าจะมุ่งกำหนดกฎเกณฑ์เท่านั้น
Pope Report
หนึ่งปีผ่านไป พระองค์ยังนำความเรียบง่ายและสมถะในวิถีการดำเนินชีวิตของพระองค์ท่าน ทำให้โลกเห็นโดยไม่เสแสร้งแกล้งทำ ทุกคนจึงหันกลับมาศรัทธาในศาสนา แล้วค่อยๆปฏิบัติตามพระองค์ สิ่งนี้กลายเป็นสิ่งเล็กๆที่ได้ชำระล้างโลกแห่งวัตถุนิยมและละโมบนิยมให้ค่อยๆคลายตัวลง กลายเป็นการอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก ไม่แยกเขาแยกเรา พร้อมเดินไปด้วยกันสู่เป้าหมาย
ในระยะแรกๆหลายเสียงวิจารณ์ว่าพระองค์เป็นพวกสร้างภาพ ชอบแหกกฎ เป็นคนหลุดกรอบเกินไปหรือไม่ เพราะครั้นเมื่อได้รับตำแหน่ง พระกิริยาแรกที่งดงามด้วยการค้อมน้อมตัวลงทำความเคารพ สัตบุรุษผู้รออยู่หน้าพระมหาวิหารนักบุญเปโตรและผู้คนผู้เฝ้าชมอยู่ทางสื่อต่างๆทั่วโลก พร้อมกับคำตรัสที่ว่า สวดให้พ่อด้วย  และแม้เมื่อวันครบรอบปีในวันที่  13 มีนาคม ที่ผ่านมา พระองค์ท่านก็ตรัสเหมือนเดิม ช่วยสวดให้พ่อต่อไปนะ.

ความเรียบง่ายในนามของคำว่าสมถะ ของพระสันตะปาปาฟรังซิส แรกเริ่มที่ทรงดำรงตำแหน่ง เป็นยังไงมาวันนี้ยังเหมือนเดิม ล่าสุด สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงนั่งรถโค้ชและถือกระเป๋าเอกสารติดตัวไปเข้าเงียบ พร้อมนั่งรวมกลุ่มกับบรรดาพระคาร์ดินัล ระหว่างฟังเทศน์เข้าเงียบมหาพรตประจำปีของโรมันคูเรีย แล้ววันนี้เราจะไม่ลองทำตามต้นแบบของเรากันบ้างหรือ...

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

สุดท้ายที่รอคอย

สุดท้ายที่รอคอย
วีซ่าไปยุโรป: วันพุธรับเถ้าที่ผ่านมานับว่าเป็นวันแห่งการผจญอย่างยิ่ง เรามักจะถูกหลอกล่อในวันที่ต้องบำเพ็ญตบะเสมอๆ มีนัดหมายที่ต้องไปทำวีซ่าเพื่อไปยังประเทศหนึ่งในยุโรปในช่วงปลายๆเดือนเมษายนนี้ พอจะทราบข่าวมาว่าประเทศนี้ค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องเอกสาร การเดินทางครั้งนี้คนร่วมทางไป 4 คน จึงได้มีการนัดหมายตรวจเช็คเอกสารให้พร้อมเพรียง การไปขอวีซ่าด้วยกันจึงเกิดขึ้นในวันพุธรับเถ้าอย่างพอดิบพอดี พวกเราไปถึงเวลา 8.30 น. ได้รับบัตรคิวที่ 537 มีคนก่อนหน้าเรา 34 คิว ในแต่ละคิวใช้เวลามากพอสมควร คาดคะเนว่าต้องรอถึงใกล้ๆเที่ยง ถึงจะได้ยื่นเอกสาร เมื่อถึงเวลาใกล้เที่ยงเพิ่งถึงคิวที่ 535 หยุดพักเที่ยงหนึ่งชั่วโมง สรุปแล้วภาคเช้าทั้งภาคคือการนั่งรอเสียงเรียกหมายเลขและนั่งลุ้นว่าจะถึงหมายเลขของพวกเราหรือยัง เมื่อความหวังต้องหยุดพัก ความหวังใหม่ในภาคบ่ายของพวกเรา คือ กลุ่มแรกๆ ที่จะได้ยื่นเอกสารหลักฐานการขอวีซ่า 

ภาคบ่ายเปิด เสียงเรียกเลขคิวของเราเหมือนดังเสียงสวรรค์ กลุ่มเรายื่นเอกสารพร้อมๆกัน เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจดูคร่าวๆก็ให้เซ็นชื่อกำกับเอกสาร จากนั้นก็ให้เรากลับมานั่งรอ รออย่างไม่มีเป้าหมายเพราะเลขคิวเราผ่านไปแล้ว รอเรียกชื่ออย่างเดียว ไม่นานเจ้าหน้าที่คนเดิมเรียกกลุ่มเรา แอบดีใจใกล้เสร็จแล้วกระมัง แต่... เจ้าหน้าที่บอกเอกสารไม่ครบ ไม่มีตั๋วเครื่องบิน ก็ชี้ให้ดูเพราะเราซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ทำหน้างงๆ แล้วให้พวกเรากลับมานั่งรอต่อไป ผ่านไปเกือบๆชั่วโมง ขั้นตอนอันอึดอัดก็เสร็จเอกสารครบสมบูรณ์ จ่ายเงินนัดวันรับวีซ่า แต่...ยังไม่เสร็จ ทุกคนต้องไปเข้าคิวรอปั้มลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้ว ทีละคน เดินมารอตรงเข้าคิวเห็นคนรอเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ไปกับกลุ่มทัวร์ ด้วยความสงสัยเลยสืบถาม คำตอบคือ ใครที่จะเดินทางไปในเครือยุโรปต้องมาพิมพ์ลายนิ้วทุกคน เพิ่งเริ่มใช้ระบบนี้เมื่อสองเดือนที่แล้ว ระบบยังไม่เข้าที่เข้าทาง มีอาการขัดข้อง บางคนต้องกลับมาพิมพ์ใหม่ในวันถัดๆไป จึงทำให้มีการรอคอยกันเยอะ
และเช่นเคยในการพิมพ์ลายนิ้วมือไม่มีหมายเลขคิว รอเจ้าหน้าที่เรียกชื่อ เห็นห้องพิมพ์ลายนิ้วมือมีหลายๆห้อง ใจก็ชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ที่ไหนได้ มีเพียงสองห้องที่มีเจ้าหน้าที่ทำงาน ห้องแรกเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว พวกเรานั่งรออย่างไร้ความหวัง ไม่รู้จะได้ยินชื่อตอนกี่โมง และที่สำคัญเย็นวันนั้นมีนัดหมายที่สำคัญเสียด้วย จากอาการอดทนรออย่างมีความหวังเมื่อเช้า มาบ่ายนี้รออย่างไร้หวัง คนหนึ่งในพวกเราบอกว่า ให้ไว้ใจในพระ แต่ก็ไม่ทำให้อาการหงุดหงิดหยุดลงได้ รอลุ้นแล้วลุ้นอีก สามโมงเย็นชื่อแรกในกลุ่มของเราก็ถูกเรียกดังขึ้น สวรรค์โปรด!!! กลุ่มเราใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที ทั้งสี่ก็พิมพ์ลายนิ้วมือเรียบร้อย เราหมดเวลาไปกับการรอคอยเกือบทั้งวัน จนถึงนาทีนั้นเรารู้สึกโล่ง แล้วต่างแยกย้ายกลับมาทำภารกิจ มาเข้าวัดรับเถ้า
เครื่องบินสูญหาย: จากเหตุการณ์ส่วนตัวที่นำมาเล่าสู่กันฟังนี้ มีอะไรบางอย่างให้ย้อนคิดก็ตอนเมื่อเราได้ทราบข่าว        เครื่องบินของสายการบิน มาเลเซียแอร์ไลน์ส (MH370) ซึ่งนำผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 ชีวิต เดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังกรุงปักกิ่ง สูญหาย ขณะบินอยู่เหนือทะเลจีนใต้ 
 
ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย ตลอดจนฟิลิปปินส์ และจีน ต่างส่งทีมออกค้นหาเครื่องบินหลังจากเครื่องบินได้ขาดการติดต่อไป ประมาณ 2 ชั่วโมงหลังออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยเครื่องบินลำนี้มีกำหนดจะต้องเดินทางถึงกรุงปักกิ่งในเวลา 6.30 น. (5.30 น. ตามเวลาในไทย) ทว่าจนบัดนี้ผ่านมานานกว่า 12 ชั่วโมงก็ยังไม่สามารถระบุพิกัดของเครื่องบินได้
จนกระทั่งวันนี้เวลาผ่านมา 5 วัน (วันที่เขียนวันพุธ) ก็ยังไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็นว่าเครื่องบินประสบอุบัติเหตุหรือไปตกที่ไหน อย่างไร? คนที่เป็นญาติพี่น้อง ต่างรอคอยข่าวด้วยความเศร้าโศก ยิ่งไม่พบชิ้นส่วนอะไรเลย ยิ่งไม่มีสัญญาณอะไร ยิ่งทำให้การรอคอยนั้นน่าอึดอัด ยิ่งเป็นการรอคอยความเป็นความตายของชีวิตคนอันเป็นที่รักด้วยแล้ว เป็นเรื่องที่เศร้าใจเป็นยิ่งนัก การรอคอยทำวีซ่าของเราทั้งวันนั้นมันเปรียบไม่ได้เลยกับการรอคอยข่าวของบุคคลอันเป็นที่รัก ยิ่งมีการตั้งสมมติฐานการหายไปของเครื่องบินลำนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เกิดความทุกข์ในหมู่ผู้รอคอยมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเห็นมีการปลอมเอกสารในการเดินทาง เรายิ่งต้องขอบคุณเวลาที่เสียไปในการเคร่งครัดของการตรวจเอกสารเพื่อขอวีซ่าในวันนั้น อย่างน้อยๆก็เป็นหลักประกันความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง และที่สุด การค้นหาจากนานาชาติที่ออกมาช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดความหวังมากยิ่งขึ้น แล้วที่สุดของที่สุด...ความหวังของมวลมนุษยชาติก็ฝากไว้กับพระเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงในสากลโลก โดยอาศัยคำอธิษฐาน การสวดภาวนา ที่พร้อมใจกันสวดทั่วโลก


มหาพรต: ในชีวิตของเรายังมีการรอคอยในหลายต่อหลายครั้ง การรอคอยทำให้เกิดความหวัง บางครั้งเราก็หวังโดยไม่ได้คาดหวัง  ช่วงเวลามหาพรต คือ ช่วงเวลาแห่งการรอคอย แต่เป็นการรอคอยอย่างมีความหวัง เพราะเรารู้ว่าองค์พระเยซูเจ้านั้นทำให้ทุกข์แห่งการรอคอยกลายเป็นความชื่นชมยินดี แล้วเมื่อเรารู้ว่าปลายทางการรอคอยของเรานั้นมีความชื่นชมยินดี เราจะไม่แบ่งปันความชื่นชมยินดี ไม่แบ่งปันสุข ให้ผู้อื่นบ้างหรือ วันนี้เราจงมาร่วมกันสวดภาวนาเพื่อผู้เป็นทุกข์จากการรอคอยทั้งหลายทั้งปวง โดยเฉพาะผู้รอคอยจากเหตุการณ์เครื่องบิน สูญหาย ได้ประสบกับความสมหวังโดยเร็วที่สุด...

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

ในวันที่ต้องตบตีตัวเอง

ในวันที่ต้องตบตีตัวเอง
ช่วงนี้บ้านใครไม่มียุงกวนถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ทำไมช่วงนี้ยุงเยอะเหลือเกินก็ไม่รู้ มันเยอะจนขนาดบินชนกันเอง แล้วตกลงมาตายบนพื้นต่อหน้าต่อตา นี่เป็นคำบ่นที่ไม่ว่าจะคุยกับใคร คุยเรื่องอะไร ก็มักจะต้องมีเรื่องยุงที่ยุ่งๆแถมรวมอยู่ด้วยเสมอ ยุงกัด ยุงชุม(นุม)กลายเป็นปัญหาระดับชาติ จะอยู่บ้านหรือไปไหนก็ต้องเจอ !!!
วันนี้ดูเหมือนว่าเรากำลังถูกรุกล้ำสิทธิด้วยกองกำลังที่ทราบฝ่าย แต่มองไม่ค่อยเห็นตัว เพราะมันเป็นสิ่งเล็กๆที่กัดเจ็บและน่ารำคาญ รบกวนสมาธิ เรากำลังถูกรุกรานไปทุกๆที่ นอกบ้าน ในบ้าน ในรถ ในห้องนอน ยิ่งเฉพาะเวลานอน กำลังเคลิ้มจะหลับมิหลับแหล่ เสียงดังวุ้งๆวิงๆที่ข้างๆหูนั่นหน่ะ คือสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในชีวิต ในความมืดเราก็ได้แต่ใช้จินตนาการ  ค่อยๆยกมือขึ้น กะว่ามันยังคงอยู่บริเวณรูหูเป็นแน่แท้ ฝ่ามืออรหันต์ต้องพิฆาตผู้รุกล้ำให้ได้ ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่นซัดไปเต็มแรงเอาที่บ้องหูตัวเอง และก็บี้ๆขยี้หู ผลลัพธ์คือไม่มียุงสักตัว มันหายไปไหนหรือว่ามันเป็นผียุง เหลือไว้ที่อาการเจ็บหูจากแรงตบใส่ตัวเอง
ตามหลักการแล้ว มนุษย์ดึงดูดยุงให้เข้ามาหาจากคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากลมหายใจ กลิ่นเหงื่อ กลิ่นตัวและความร้อนจากร่างกาย คนเราไม่สามารถกำจัดยุง ให้หมดไปจากโลกนี้ได้ และคนบางคนก็มีสารเคมีในร่างกายไม่เหมือนกัน ทำให้สูตรการไล่ยุงสูตรหนึ่ง อาจใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน เราก็ได้แต่หาวิธีให้เหมาะสมกับตัวเองต่อไป
ที่สุด ในตอนกลางวันจึงพยายามเจรจากับยุงเพื่อขอคืนพื้นที่ ด้วยการไปซื้อยามาฉีด แต่ก็ยังไม่สำเร็จผล กลางคืนก็ถูกลอบกัดอีกจนได้ เมื่อไล่ไม่ได้ผลก็ต้องใช้อาวุธหนักมาฟาดฟัน ไม้เทนนิสไฟฟ้า พร้อมรบด้วยการชาร์ทแบ็ตเตอรี่ให้เต็มที่ แล้วก็ฟาดฟันหมู่ยุงอย่างบ้าคลั่ง มียุงบางตัว คงได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีบินใกล้เข้ามาในระยะประชิด ไม้เทนนิสพร้อมกดปุ่มไฟฟ้า ซัดเข้าไป ผลคือล่วงหล่นพร้อมเสียงร้อง แต่ไม่ใช่ของยุงนะ เป็นเสียงคนตีและที่หล่น คือ ไม้เทนนิสไฟฟ้า เพราะดันช็อตเข้าที่ผิวหนังตัวเอง แม่เจ้าให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวจริงๆ
ในขณะที่สู้รบตบมืออยู่กับยุงนั้น จำนวนยุงไม่ได้ลดน้อยหายไปเลย (กรมควบคุมโรค เผยยุงที่ชุกชุมในขณะนี้ เกิดมาจากช่วงรอยต่อของฤดูหนาวและฤดูร้อน เป็นยุงรำคาญ มาตามท่อระบายน้ำ เป็นพาหะของโรคไข้สมองอักเสบ แนะทายากันยุง) ทำไปทำไมเราก็ต้องตบตีใส่ตัวเองไปหลายครั้งหลายหน ในชีวิตจริงของคนเรา ก็มีไม่น้อย ที่เราคอยที่จะปกป้องตัวเอง แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำลายความเป็นคนของตัวเองลง ใช่หรือไม่ ในบางครั้งเราปกป้องตัวเองจากความจริงที่เราได้กระทำ แล้วไม่กล้ายอมน้อมรับ เมื่อมีคนอื่นมาชี้แจงตักเตือน เรากลับแค้นเคืองหาว่ามาหาเรื่อง จากนั้น เราก็แสดงความโกรธเกลียดใส่ผู้หวังดีไป เมื่อเราอยู่ลำพัง เงียบๆ มโนธรรมได้ย้อนกลับมากัดกร่อน ย้อนย้ำให้สำนึกผิด ทำให้จิตใจเราเริ่มว้าวุ่น พยายามหลบหลีกหนีหน้าจากความผิด แต่ก็ไม่อาจจะหลบพ้นจากห้วงมโนสำนึกไปได้ เหมือนกับที่เรารู้ว่ามียุงบินอยู่รอบๆตัวเรา แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราเห็นตัวเป็นๆและกำจัดมันได้ สิ่งเหล่านี้ได้โบยตีเรา ทำให้เกิดความทุกข์ระทม จวบจนเมื่อเราหาทางเผชิญกับความจริงได้ แอกนี้ก็ถูกปลดออก ส่วนใครทำไม่ได้หรือไม่ยอมทำตามมโนสำนึก ไม่รับฟัง ความชอกช้ำก็จะเกิดขึ้นตลอดไป จนไม่สามารถพบกับความสุข ความจริงก็จะโบยตีชีวิต จิตใจไปทุกๆวัน อย่างเจ็บแสบ
            ในอีกด้านหนึ่ง ความดีของการโบยตีตัวเรานั้น มันมาจากความรักและการเสียสละเพื่อคนที่เรารัก เพื่อผู้อื่น พ่อแม่หลายคนยอมทนยอมเจ็บปวด เพื่อให้ลูกๆของตนก้าวสู่หนทางแห่งชีวิตด้วยความสง่างาม มีจำนวนไม่น้อยที่ยอมกล้ำกลืนฝืนทน อดมื้อกินมื้อเพื่อนำเงินที่ได้จากความเจ็บปวดนั้นส่งให้ลูกๆได้รับการศึกษา หรือมีบ้างบางคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่ตัวรักได้สุขสบายขึ้น หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นหัวหน้า เป็นเจ้านาย ที่ยอมรับความเสี่ยงของการลงทุนไว้กับตน โดยมิได้บอกกล่าวลูกน้องลูกจ้าง ในวันที่สถานการณ์ย่ำแย่ก็ไม่ได้ปิดห้างร้าน ปล่อยลอยแพ ยอมควักเนื้อ ยอมขาดทุนกำไร เพราะรู้ว่ายังมีอีกหลายชีวิตที่ตั้งความหวังไว้กับตน นี่เป็นความงามของการโบยตีตัวเองเพื่อผู้อื่น
            ทุกอย่างในโลกนี้มีหลากหลายมิติ เหตุการณ์หนึ่งเราไล่ตบไล่ฆ่ายุง เพื่อให้มันหมดๆไปจากบ้าน จากที่เราอาศัย แต่ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งซึ่งได้ผลเหมือนกัน คือการไล่มันออกไปโดยไม่ต้องถึงกับฆ่ากัน หาทางกำจัดวงจร ใช้ยาทากัน ใช้สมุนไพรที่มีกลิ่นที่ยุงไม่ชอบ ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ที่จะทำให้ยุงหมดไปได้ เช่นเดียวกัน ในการดำเนินชีวิต การโบยตีตัวเราเพื่อผู้อื่นย่อมดีกว่าการเจ็บตัวเพราะการกระทำของเราเอง

           
แล้วในวันนี้ เราพร้อมหรือยังที่ต้องยอมเจ็บเพื่อผู้อื่นบ้าง อย่าเพียงแค่ยืนตะโกนเรียกร้องให้ผู้อื่นกระทำ เราเริ่มต้นกระทำด้วยตัวเราเอง เสียสละรอยยิ้มทักทายให้โลกงดงาม เสียสละเวลาเพื่อคนใกล้ๆตัว ให้กับครอบครัว ลดการอยู่กับเครื่องมาอยู่กับคน ลดเวลางานมาให้เวลาบ้านบ้าง มอบน้ำใจและมีเมตตาต่อกัน แทนที่จะให้เลือดกับยุงเราก็ออกไปบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาด หยุดการรุกรานรุกล้ำสิทธิส่วนตัวผู้อื่น ที่สุดแล้ว สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงชีวิตเรา คือ ยอมเจ็บปวดด้วยการให้อภัย แม้จะแสนเจ็บปวด แต่มันเป็นความเจ็บปวดเพียงเบื้องต้น ผลสำเร็จของมันนั้นคือความสุขที่แสนจะยาวนานและอิ่มเอม อย่าเพียงแต่บ่นว่า สังคมเราโหดร้ายลงทุกวัน แล้วทำไมเราไม่ช่วยกันคนละไม้ละมือ ทำให้โลกงดงามขึ้นมาบ้างเล่า ...