วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ขอ 3 คำ ใน 3 โลก


ขอ 3 คำ ใน 3 โลก
วลีหนึ่งที่ชาวไซเบอร์ชอบใช้เพื่อให้ผู้คนร่วมแสดงความคิดเห็น ได้ระบายอารมณ์ต่อภาพหรือต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่ได้นำมาพูดถึง ด้วยการใช้เพียงคำ 3 คำ และคำสั้นๆเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นการแสดงออกที่ชัดเจน ตรงไปตรงมาจนถึงขั้นหยาบและรุนแรง ยังเห็นน้อยมากที่ขอ 3 คำ สำหรับเรื่องดีๆเรื่องที่งดงามจรรโลงใจ แต่...มีคำคำหนึ่งในโลกที่แสนจะสั้น เปี่ยมไปด้วยความงดงาม และมีอยู่ในทุกผู้คน สามารถเกิดขึ้นในทุกวันในทุกโลกคำนั้นคือ รัก ความรักนำมาซึ่งการแบ่งปัน การให้อภัย ถ้อยทีถ้อยอาศัย เชื่อมสามโลก คือ ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง ขับเคลื่อนชีวิตให้ผ่านพ้นไปในทุกย่างก้าวบนหนทางอย่างสง่างาม แต่ในวันนี้ ยุคนี้คุณค่าของคำสั้นๆนี้กำลังกลายพันธุ์ ใช้กันเพื่อบำเรอความเห็นแก่ตัว ชนิดว่าเกิดอีกทั้งสามโลกก็ยังไม่สามารถพบความสุขได้เลย 3 คำที่พบกันบ่อยๆ ที่เบียดเอารักกระเด็นหายไป คือ เห็นแก่ตัว ไร้น้ำใจ เก็บกอบโกย
หากเราได้เห็นคู่สามีภรรยาอยู่กันจนแก่จนเฒ่า เดินเคียงคู่กันไป เราจะรู้สึกทึ่งและรับรู้ถึงความรักที่แท้จริง มีคนเคยถามตายายคู่หนึ่งว่า ทำยังไงถึงรักกันได้มาตั้ง 65 ปี คุณยายตอบว่า เราเกิดมาในยุคที่เมื่อมีอะไรพัง เราก็ซ่อม ไม่ได้โยนทิ้ง แล้วซื้อใหม่ คำตอบนี้สะท้อนสะเทือนอะไรได้หลายๆอย่าง ใช่หรือใหม่ เราอยู่ในยุคที่เครื่องใช้ไม้สอยมันดูจะเสื่อมและหมดอายุอย่างรวดเร็ว เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ มักใช้ได้ไม่นานก็เสียก็พัง แล้วก็ซ่อมยาก ซ่อมแล้วไม่คุ้มกับราคาอะไหล่ที่แสนแพง สู้ซื้อเครื่องใหม่ดีกว่า แถมยังมีรุ่นใหม่ๆเกิดขึ้นมายั่วเงินในกระเป๋าให้กระเด็นกระดอนโดยไม่ต้องทอน ในการถอยเครื่องรุ่นใหม่มาใช้เพิ่มรสนิยม หลอดไฟก็มีเวลาในการให้แสงสว่าง เมื่อถึงเวลาก็ต้องซื้อมาเปลี่ยนใหม่ ทั้งๆที่ความเป็นจริงมนุษย์นั้นสามารถคิดหลอดไฟที่ไม่มีวันหมดอายุได้ แต่เพราะมันไม่ถูกจริตกับยุคทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจการลงทุนเพื่อหวังผลเป็นกำไร แทนที่จะผลิตเครื่องที่ใช้ได้ทนทาน ก็ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นเสื่อมสลายได้ง่ายดาย เพื่อหวังให้สายการผลิตเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ถ้ามันทนทานก็ไม่มีใครจะซื้อหาสิ่งใหม่ โรงงาน บริษัทก็จะขาดทุน สิ่งนี้เองที่ค่อยๆซึมลึกลงในวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ๆ ที่ต้องเปลี่ยนของใช้อยู่เรื่อยๆ ความรักของคนยุคใหม่จึงกลายพันธุ์เป็นของใช้ที่หมดอายุง่ายและหาเปลี่ยนกันใหม่เป็นว่าเล่น คุณค่าของความรักจึงจางหายไป เหลือเพียงแต่ความพึงพอใจแบบชั่วครั้งชั่งคราวยาวนานหน่อยก็สักปีสองปี ความรักที่แท้จริง คือ ความรักที่ยืนยาว ความรักที่มีความอดทนนานและเข้าใจกัน ร่วมกันสร้างทางเดิน เพื่อจะได้เดินไปด้วยกัน สามคำที่สำคัญมากสำหรับวิถีแห่งรัก คือ ฉันรักคุณ แม่(พ่อ)รักลูก ครูรักศิษย์ เรารักษ์โลก สามคำเหล่านี้ต้องมาจากใจ อย่ารักด้วยสมองที่มองหาเหตุผลอย่างเดียว ดังตัวอย่างของตายายชาวจีนคู่หนึ่ง
หลิว โกวเจียง ชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ บึกบึน สมกับวัย 19 ปี เกิดไปตกหลุมรัก ซู เฉากวิน แม่หม้ายลูกติดวัย 29 ปี ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของเหล่าญาติมิตร และผองเพื่อน เพราะด้วยวัยที่ห่างกันของทั้งคู่ ซึ่งในช่วงเวลานั้นถือว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรมมาก ที่ชายหนุ่มจะรักกับผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า พร้อมๆ กับความจริงที่ว่า ซู แต่งงานมีลูกแล้ว แต่ หลิว ไม่หวั่นกับคำครหาต่างๆนานา เขาพา ซู หลีกหนีการดูถูกของสังคมและผู้คน ไปอาศัยอยู่ในถ้ำร้างแห่งหนึ่งในเมืองเจียงจิน(Jiangjin) เมืองชนบททางตอนใต้ของเขตปกครองตนเองชงกิง มณฑลเสฉวน    
ช่วงเริ่มต้นชีวิตของทั้งคู่ เรียกได้ว่าเริ่มจากศูนย์เลยทีเดียว เพราะรอบๆ บริเวณนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าและอาหาร ทั้งคู่ต้องกินหญ้าหรือพืชที่เป็นหัวๆ ที่พบอยู่บริเวณภูเขา จากนั้น หลิว ก็ได้ประดิษฐ์ตะเกียงน้ำมันก๊าด เพื่อให้แสงสว่างแก่ตัวเองและคนที่รัก   หลิว และ ซู ก็ครองคู่อยู่ด้วยกันในถ้ำแห่งนั้น และ หลิว ก็เริ่มแกะสลักบันไดหินด้วยมือตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้คู่ชีวิตของเขาเดินลงจากภูเขาได้ง่ายๆ
เวลาผ่านไป ทั้งคู่ยังคงใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบราบรื่น มีลูกด้วยกันถึงเจ็ดคน จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่ หลิว ในวัย 72 ปี กลับมาจากทำงานในไร่ จู่ๆ เขาก็ล้มลง ซู ในวัย 82 ได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนให้กับสามีของเธอ แต่แล้วมัจจุราชก็ได้พราก หลิว ให้จากไป ภายใต้อ้อมกอดของเธอ ด้วยมือที่เกาะกุมกันไว้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต พร้อมๆ กับคำพูดที่กลั่นออกมาจากใจของ ซู ว่า คุณสัญญาว่าจะดูแลฉัน คุณจะอยู่กับฉันเสมอจนถึงวันที่ฉันตาย แต่ตอนนี้คุณจากฉันไปก่อน ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีคุณ ซึ่ง ซู ใช้เวลาหลายวันพูดแต่ประโยคนี้ซ้ำๆ แผ่วๆ และสัมผัสโลงศพของสามีด้วยน้ำตานองหน้า  อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2001 นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปสำรวจบริเวณภูเขาแห่งนั้น และก็ต้องประหลาดใจ ที่ได้พบบันไดหินแกะสลักกว่า 6,000 ขั้น!!! 
ใช่หรือไม่...ในยุคนี้เรามัวแต่บูชาและสะสมความเห็นแก่ตัว ที่ออกมาในรูปของทรัพย์สมบัติ เงินทอง เครื่องใช้ไม้สอยกันอย่างมากมาย และรับเอาวัฒนธรรมวัตถุที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีวันหมดอายุในการใช้สอยมาใช้กับความรักที่เป็นเรื่องของจิตใจและจิตวิญญาณ ที่มิอาจมีวันเสื่อมสลายลงไปได้ คนที่นำความรักไปใช้ไม่เป็น ไม่ช้าไม่นานชีวิตส่วนตัว ครอบครัว ก็จะล่มสลายเสื่อมสูญไป รักด้วยทรัพย์กับรักด้วยใจมันต่างกัน ทรัพย์สมบัติของท่านเสื่อมสลาย เสื้อผ้าก็ถูกมอดกัดกินหมดแล้ว เงินทองของท่านก็เป็นสนิม และสนิมนั้นจะเป็นพยานปรักปรำท่าน มันจะกัดกินเนื้อของท่านประดุจไฟซึ่งท่านได้สะสมไว้สำหรับวันสุดท้าย มีแต่ รักด้วยใจเท่านั้นที่จะเป็นนิรันดร์ไม่ว่าโลกนี้หรือทั้งสามโลก...     

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

พระอาทิตย์ยังขึ้นทางตะวันออกอยู่ใช่ไหม


พระอาทิตย์ยังขึ้นทางตะวันออกอยู่ใช่ไหม
คงจะน่าตกใจไม่ใช่น้อยที่อยู่ๆเราตื่นนอนขึ้นมาพระอาทิตย์ย้ายทิศไปขึ้นฝังตรงข้าม พอยามเย็นก็ไปตกยังทิศที่เคยขึ้นมาชั่วนาตาปีสิ่งเหล่านี้คงเป็นไปไม่ได้ เพราะด้วยกฎระเบียบแห่งธรรมชาติย่อมซื่อตรงในครรลองเสมอไม่เหมือนความเป็นมนุษย์ที่มักเปลี่ยนแปลงกลับทิศกลับทางได้เสมอๆ ครรลองที่งดงาม ความดีคุณธรรมของวันวานวันนี้กลายเป็นเรื่องไร้สาระเป็นเรื่องกลายพันธุ์ ความรู้สึกหวาดเสียวแปล๊บเข้ามาในจิตใจ เมื่อได้เห็นโพลล์ที่ว่าด้วยเห็นอย่างไรกับการโกงการคอร์รัปชั่น ผลออกมาในแต่ละครั้งมันเริ่มพลิกขั้วกลับด้านไปอยู่ในฝ่ายที่เห็นด้วยกับการโกงมากขึ้นเรื่อยๆ    ผลโพลล์เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา (ก็อย่าไปรู้เลยว่าสำนักไหน)เพราะเดี๋ยวนี้หัวข้อแบบนี้ผลออกมาใกล้เคียงกันอย่างมาก เกือบ ๗๐% เห็นดีเห็นงามยอมรับการคอร์รัปชั่น ถ้าตัวเองได้ประโยชน์ด้วย คือ โกงมาก็ขอแบ่งกันมั่ง แล้วจะเหยียบให้มิดไม่ปากโป้ง อะไรทำนองนั้น  โกงกับไม่โกง มันช่างต่างกันมากมายเหลือเกินแต่สังคมไทยโดยรวมกลับแยกไม่ออก ศีลธรรมเราเสื่อมถึงขนาดนั้นจริงหรือ...
ในสังคมวันนี้หลายสิ่งหลายอย่างมันเริ่มกลับตาลปัตรก็เพราะวิถีชีวิตแห่งการแข่งขันปลูกฝังกันตั้งแต่ซื้อที่ให้ลูกเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆคุณธรรมที่สอนสั่งก็เป็นเพียงบทท่องจำให้นำไปสอบให้ผ่าน โตขึ้นก็ซื้อตำแหน่งยัดเงินหมื่นเงินแสนเพื่อแลกตำแหน่งที่ได้รับเงินเดือนเพียงหลักพัน ประกันได้เลยวิถีเยี่ยงนี้นำไปสู่การรีดไถและกอบโกงทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กำไรจากสิ่งที่ลงทุนไป  ยามพลาดยามเผลอทำผิดแทนที่จะยอมรับยอมถูกปรับก็อวดเบ่งอวดเก่ง อ้างบารมีใช้ฐานะตำแหน่งชื่อเสียงเพื่อให้พ้นข้อกล่าวหาและเมื่อทำได้บ่อยๆก็กลายเป็นนิสัยและการโม้โอ้อวดว่าข้านี้ใหญ่ มีเส้นมีสายเที่ยวเดินกร่าง ไม่กลัวเกรงกฎหมาย ไม่กลัวเกรงกฎแห่งกรรมยิ่งทำยิ่งเพิ่มดีกรีความต่ำลงไปเรื่อยๆ สังคมกำลังบูชาสิ่งเหล่านี้ เทิดทูนยกย่องคนเหล่านี้วิกฤติในใจคนกำลังก่อร่างสร้างให้เป็นกำแพงหนา... จิตวิญญาณกลวงโบ๋ความสัมพันธ์มิตรภาพเป็นเพียงข้อแลกเปลี่ยน คบกันก็เพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ความเป็นมิตรสหายมันสูญหายตายไปจากผู้คน จนทำให้วันนี้เราแต่ละคนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหลียวมองหาคนจริงใจด้วยยากยิ่ง ซ้ำร้ายเมื่อความจริงใจที่เรามีให้ไปถูกข่มขืน ข่มขู่จนเกิดความหวาดระแวงในทุกความข้องเกี่ยวบนเส้นทางสู่ประตูสวรรค์จึงเห็นเพียงต่างคนต่างเดิน ไม่เห็นใครจูงใครเราอยากเห็นสังคมชุมชนแห่งความเชื่อของเราไหลล่องไปตามกระแสอย่างนี้หรือ
ในสถานการณ์โลกที่คนไม่รู้ทิศรู้ทางถูกครอบงำด้วยแรงยั่วยุด้วยความเห็นแก่ตัวของคนไม่กี่คน สามารถที่จะพาโลกไปสู่ความรุนแรง การนำเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือเพื่อนำไปสู่สงครามแย่งชิงทรัพยากรโลก เป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นในนามของเสรีภาพ หลายคนพูดว่าสันติภาพมักเริ่มต้นด้วยสงคราม เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์ถูกเพาะปมค่านิยมนี้จนหลงลืมหลักความเป็นจริงที่ว่า สันติภาพต้องเริ่มต้นด้วยความรักและความเข้าใจพูดคุยกันฉันมิตร
ในขณะที่โลกของเรากำลังระอุด้วยความแค้นเคืองเนื่องด้วยมีผู้กล่าวอ้างว่าเป็นชาวคริสต์นิกายคอปติกออร์โธด็อกซ์คนหนึ่งชื่อว่า นาย นาโคอูลา บาเซลีย์ นาโคอูลาชายชาวอเมริกันเชื้อสายอียิปต์ วัย 55 ปี หรือใช้นามแฝงว่าแซม บาไซล์  สร้างภาพยนตร์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือดูถูกหยามเหยียดคนต่างความเชื่อทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าความคิดเยี่ยงนี้จะนำไปสู่ความรุนแรง ก็สร้าง ก็ยังปล่อยให้มีการเผยแพร่ศาสนาจึงกลายเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชังไป (นิกายคอปติกออร์โธด็อกซ์ : Coptic Orthodox Church ofAlexandria เป็นชนกลุ่มใหญ่ในประเทศเอธิโอเปีย เอริเทรีย และเป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยที่มีจำนวนมาก( 10 %) ของประเทศอียิปต์ ศาสนาคริสต์นิกายคอปติกนี้แยกตัวออกไปในปี ค.ศ.451 ชาวคอปติกเป็นผู้ก่อตั้งอารามแห่งแรกในโลกและหลักปฏิบัติในการถือสัญโดษ เป็นส่วนสำคัญของความศรัทธา นิกายคอปติกเป็นนิกายใหญ่ที่ผู้คนนับถือกันมากในอียิปต์ )ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่เกี่ยวกับทางศาสนาคริสต์คาทอลิกแต่ประการใด
ขณะเวลาเดียวกัน ในวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา องค์สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ได้เสด็จเยือนประเทศเลบานอนประเทศมุสลิม จึงทำให้บรรยากาศแห่งความร้อนระอุของความแค้นเคืองผ่อนคลายลงไปบ้าง พระองค์ได้ตรัสไว้ในระหว่างพบปะกับเยาวชนไว้ว่าพ่อขอทักทายเยาวชนมุสลิมที่มาร่วมงานกับเราในเย็นวันนี้การแสดงออกของพวกเธอ (เยาวชนมุสลิม)นับว่าสำคัญมากๆ  พ่อต้องการให้กำลังใจพวกเธอทุกคน(คริสต์และมุสลิม)จงกลับไปบอกคนในครอบครัวและเพื่อนๆด้วยว่า พระสันตะปาปาส่งความปรารถนาดีมาให้พระองค์ไม่เคยลืมพวกเขาในคำภาวนา จงบอกพวกเขาว่าพระสันตะปาปาเป็นทุกข์เมื่อได้ยินข่าวร้ายๆในทวีปนี้เฉพาะอย่างยิ่งในซีเรียและการสร้างภาพยนตร์ดูหมิ่นศาสดามูฮัมหมัด สำคัญสุดพ่ออยากบอกพวกเธอทุกคนว่านี่คือช่วงเวลาที่ชาวมุสลิมและชาวคริสต์ต้องก้าวไปด้วยกันเพื่อจะได้ทำให้สงครามและความรุนแรงต่างๆนั้น สิ้นสุดลงเสียที แปลโดย Pope Report
ศาสนาที่แท้จริง คือ ความจริงที่พระอาทิตย์ยังขึ้นในทิศทางเดิมๆอยู่เสมอคือหนทางที่จะพยุงโลกนี้ให้พบกับความผาสุก แล้วเราจะอยู่ในโลกแบบไหนกัน โลกที่ยังมีพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกหรือเรากำลังไปหลงเชื่อว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกกันเล่า??? อย่าโกหกตัวเองอย่าหลอกลวงผู้อื่นและอย่าเอามือปิดตาเพื่อบังโลกนี้เลย หันคืนสู่ความเป็นสัจธรรมปลุกคุณธรรมให้คืนสู่จิตใจเราและทำให้มันเข้มแข็งยิ่งๆขึ้น เพื่อวันใหม่เราจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกและรับไออุ่นแห่งแสงอรุณรุ่งพร้อมๆกัน....

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

เป็นคนไหนในโลกที่บอกเราว่า 2+2=5


เป็นคนไหนในโลกที่บอกเราว่า 2+2=5
ในขณะที่กำลังเตรียมเนื้อหาเพื่อไปบรรยายพิเศษที่บ้านเณรใหญ่แสงธรรม สามพราน ในหัวข้อเรื่อง นวัตกรรมยุคใหม่ในเส้นทางแห่งความเชื่อ  คิดหาบทสรุปเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ฟังว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร ที่จะเปิดประตูแห่งความเชื่อออก เพื่อบอกให้โลกได้รับรู้ว่า เรา (ผม/คุณ)...ผู้ที่มีความเชื่อ คนที่ไว้วางใจในพระ รักความจริง แม้จะอยู่ในสังคมจอมปลอม สังคมที่ถูกกดทับด้วยการสร้างกระแส และความต้องการพิสูจน์ทุกเรื่องด้วยตรรกะของสมองคนคิด อย่างลำบากเพียงใด แต่หากมีหัวใจและจิตวิญญาณของเรา(ผม/คุณ)ที่มั่นคง เราก็อาจจะเป็นประกายไฟเล็กๆที่ส่องสว่างในท่ามกลางความมืดมนก็เป็นไปได้ จึงทำให้คิดถึงคลิปหนังสั้นเรื่องหนึ่ง เป็นหนังสั้นของอิหร่านชื่อเรื่องว่า “2+2=5” เป็นบทสรุปการบรรยายน่าจะดีที่สุด วันนี้จึงขอนำมาแบ่งปันในที่นี่ด้วย เรื่องมีอยู่ว่า ....

 เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในชั้นเรียนที่ถูกสมมุติขึ้น ห้องเรียนสีทึมๆ บรรยากาศชวนให้อึดอัด ครูหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง สั่งให้ทุกคนเงียบแล้วฟังเสียงครูใหญ่ ที่มองไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียงผ่านเครื่องขยายเสียง ประกาศให้นักเรียนทุกห้องได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือกับครูที่สอน อำนาจทั้งหมดขอมอบให้ครู จากนั้นครูหนุ่มคนนั้น ก็จดชอล์คลงบนกระดานดำว่า “2 + 2 = 5”  พร้อมทั้งย้ำให้นักเรียนทั้งชั้นพูดตามว่า สอง บวก สอง เท่ากับ ห้า ซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนสะกดจิตให้รับรู้ว่า สองบวกสองเท่ากับห้า 
หลังจากนั้นมีนักเรียนคนหนึ่งลุกขึ้นโต้เถียงว่า ก็ครูเคยสอนว่า 2+2 เป็น 4 ครูแก้ว่าต้องตอบใหม่ว่า 5  แล้วครูก็ไปถามอีกครั้ง นักเรียนคนเดิมก็ยังตอบ 4 เหมือนเดิม เขาเข้มแข็งมาก ยืนกรานว่าตอบ 4 จนครูโมโห แล้วต้องออกไปตาม นักเรียนดีเด่นสามคนของโรงเรียน เข้ามา ในขณะที่ครูออกนอกห้องไปนั้น เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆในชั้น ต่อว่า นักเรียนคนนั้นที่ตอบคำถาม ว่า แกกำลังจะทำให้พวกเราเดือดร้อน!!!
เมื่อครูกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนแห่งนั้น เพื่อมาฟังคำตอบของเด็กในห้องอีกครั้ง เด็กคนนั้นก็ยังตอบเหมือนเดิม ครูเลยให้ออกไปเขียนคำตอบบนกระดานหน้าห้อง โดยมีเด็กดีเด่นสามคน ทำท่าเล็งปืนไปยังตัวเด็กคนตอบ (ปืนที่มองไม่เห็น แต่มันคืออาวุธในการข่มขู่) เด็กคนนั้นก็ยังตอบ 4 เหมือนเดิม พร้อมกับเสียงปืนลั่นขึ้น หยดเลือดกระเซ็นไปติดกระดานดำ เด็กที่ตอบ 4 นอนตายอยู่ที่พื้น ครูก็ไปลบคำตอบ 4 บนกระดานที่เปื้อนเลือดออก แล้วเขียนคำตอบ 5 ตัวโตๆ ลงไปแทน
ในท้ายเรื่อง ครูก็ให้นักเรียนท่องๆ แล้วเขียน 2+2=5 ลงไปในสมุด นักเรียนคนหนึ่งก็เขียนตามบอกไป จนวินาทีสุดท้ายก่อนจบ เขาก็ขีดฆ่าเลข 5 ออก แล้วเขียนเลข 4 ลงไปแทน 
“Two And Two” เป็นภาพยนตร์สั้น ผลงานกำกับโดย บาบัค อันวารี ผู้กำกับชาวอิหร่านที่อาศัยในอังกฤษ ออกฉายเมื่อปี 2011  ได้รับเกียรติให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ อาทิ เทศกาลภาพยนตร์เรนแดนซ์ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฟอยล์ โดยเมื่อต้นปี 2012 หนังได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงในสาขาภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยม รางวัลบาฟต้า หรือเทียบเท่ารางวัลออสการ์ของสหรัฐฯและได้รับความนิยมอย่างมากในโลกไซเบอร์

ดูหนังสั้นแล้วมาย้อนดูชีวิตอันสั้นๆของเราดูบ้าง ใช่หรือไม่ ในชีวิตจริงของเราเชื่อเสียงที่เราไม่เคยเห็นตัวตนมากมาย รวมทั้งเสียงภายในของเราด้วยซึ่งก็คือ เสียงของพระเจ้า แต่เอาเข้าจริงเมื่อมีเสียงอื่นๆมาสั่ง มากล่อม มาหลอก ให้เราหลงตาม เราก็ลืมเสียงภายในที่เป็นเสียงแห่งความจริงที่มีอยู่ในมโนสำนึก ด้วยความรักตัวกลัวตาย กลัวตกยุค กลัวไม่เหมือนคนอื่นหรือไม่ เราจึงเลือกที่จะเชื่อเสียงที่ทรงอิทธิพลเหล่านั้น เสียงที่ชี้นกเป็นหนูเราก็เชื่อ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาว่าไปตามกระแส ทั้งๆที่ใจย่อมรู้ว่า อะไรคือความจริง อะไรคือไม่จริง สร้างความจริงอันจอมปลอมจนเป็นที่ยอมรับ ใครไม่เชื่อก็ถูกไล่ต้อนให้ออกไปให้พ้นๆ เราจึงเกิดความกลัว เสียงแห่งมโนสำนึกจึงลดหายตายจากจิตใจ ปล่อยให้จิตวิญญาณร้างว่างเปล่า...
ในด้านความเชื่อของเราคริสตชน อยู่ๆถ้ามีเสียงที่มองไม่เห็นมาบอกเราว่า ไม่มีพระเจ้าจริง พระเจ้าตายไปแล้ว โลกนี้มีเงินตราเป็นพระเจ้า ละทิ้งความเชื่อเก่าๆซะ แล้วมานับถือค่านิยมนี้แทน ไม่งั้นอยู่ไม่ได้แน่ในสังคมพร้อมทั้งเตรียมตัวตายได้เลย เราจะเป็นเด็กคนไหนในห้องเรียนสีทึมๆห้องนั้น เรากล้าที่จะยืนขึ้นแล้วตอบว่า ข้าฯเชื่อว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียว เชื่อในพระบุตร พระจิต หรือว่าเรากลับไปท่องแบบซ้ำๆซาก เงิน + เงิน = พระเจ้า หรือว่าเราเชื่อแบบแอบๆ โดยที่ไม่ให้ใครได้รู้ได้เห็นการเป็นพยานความเชื่อของเรา
แน่นอน การรักตัวกลัวตาย การเอาตัวรอดเป็นยอดคน เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม คือ สิ่งที่เราต้องเดินตาม กระแสไหลไปทางไหนเราก็ไปทางนั้น ความเชื่อในพระก็เช่นกัน เราเชื่อเพราะรู้ว่าสิ่งนี้คือความจริงแน่แท้ หรือเชื่อเพราะเขาบอกให้เชื่อ เชื่อแล้วกล้าทำตามความเชื่อนั้น หรือแค่แอบๆเชื่อ แอบๆทำ แน่ล่ะ...เราคงไม่กล้าเหมือนมรณสักขีที่ยืนขึ้นพลีเลือดเนื้อ (ถ้าเราอยู่ในบริบทเช่นนั้นเรากล้าทำได้ก็ประเสริฐ) สิ่งที่เราจะทำได้ในยุคนี้ เวลานี้ คืออยู่ในโลกทุนนิยม ด้วยคุณธรรมนิยม อยู่ในยุควัตถุนิยมด้วยวัตรศรัทธานิยม แม้จะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆก็อาจจะเป็นพลังที่หนุนนำเพื่อให้โลก ให้สังคมส่วนใหญ่ไม่เอนเอียงไปมากกว่านี้...
เรารับไม่ได้ที่เกลือจะกลับกลายไร้รสชาติและแสงสว่างจะถูกเก็บซ่อนไว้ (เทียบ มธ. 5:13-16)  สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงประกาศให้มีปีแห่งความเชื่อด้วยประโยคสำคัญนี้..