วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แชทเจน


แชทเจน
ระยะห่างของการพัฒนาการทางด้านการสื่อสารดูหดสั้นลงเรื่อยๆ มีสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาใช้อย่างไม่ขาดตอน ยังใช้สิ่งนี้ไม่คล่องสิ่งใหม่ก็เข้ามาแทน ยังใช้ประสิทธิภาพไม่ถึงร้อย ของใช้อันใหม่ก็จ่อจะให้เรียนรู้ วันนี้เลยลองรวบรวมการสื่อสารสมัยใหม่ที่นิยมใช้กัน ก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่า เรามีเครื่องอำนวยการสื่อสารมากมาย ใช้ง่าย แต่คนเรากลับพูดจากันไม่ค่อยจะรู้เรื่องและกลายเป็นเรื่องยากที่จะสื่อสารทำความเข้าใจกัน....
ลองเริ่มจากความนิยมใช้ E-mail ทำให้การเขียนส่งจดหมายหากันเลือนหายไป จากการตั้งตารอคอย เดี๋ยวนี้มีสิ่งวิ่งเข้าหาเรามากมายอย่างคิดไม่ถึง มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาลบทิ้งขยะและกากดิจิตัล ที่พรั่งพรูออกมาในแต่ละวัน..
 และเพียงแค่ไม่กี่ปีมานี้คนหลายสิบล้านคนได้รู้จักกับคำว่า แชท ได้เรียนรู้ที่จะใช้การแชทในการติดต่อสื่อสาร การแชท คือ การสนทนาหรือพูด เล่าเรื่องราวที่ไม่เป็นสาระ เป็นการพูดคุยกันทั่วไปไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายซ่อนเร้นอะไร เหมาะสำหรับคุยกันกับเพื่อนๆ แต่ไม่เหมาะสำหรับการสื่อสารที่จริงๆจังๆ จะได้ก็แต่ความรวดเร็ว ทันใจ
chat ย่อมาจากคำว่า chitchat ซึ่งแปลว่า ทักทายหรือพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยไปตามเรื่อง “Chat” ในภาษาอังกฤษ แปลว่า สนทนาอย่างเป็นกันเอง ผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือทางโทรศัพท์หรือระบบไหนก็ได้ การแชทเป็นการคุยโดยใช้วิธีพิมพ์ข้อความลงไปเท่านั้น ไม่ได้ใช้เสียง แต่ว่าปัจจุบันก็มีบางโปรแกรมที่สามารถคุยเห็นหน้ากัน ได้ยินเสียงกัน ถ้าหากผู้ใช้ต่ออุปกรณ์เสริม กล้องเวบแคม หรือไมโครโฟ
และปรากฏการณ์ที่มีผลทำให้การแชทมีบทบาทมากขึ้นนั่นคือ การกำเนิดของ โทรศัพท์ BB บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น (Research in Motion หรือ RIM) เป็นบริษัทจากประเทศแคนนาดา เป็นผู้พัฒนาอุปกรณ์ไร้สายที่มีจุดเด่นในการ ส่งอีเมลถึงมือถือผู้ใช้ ทุกที่ ทุกเวลา โดยรู้จักกันในชื่อว่า แบล็กเบอร์รี่ (BlackBerry)” เปิดตัวเมื่อปี 1999   ระยะแรกเมื่อปี 2001 “แบล็กเบอร์รี่เป็นเพียงเพจเจอร์ (Pager) ขนาดเล็ก ที่ผู้ใช้แต่ละคนสามารถพิมพ์ข้อความรับ-ส่งหากันได้เอง โดยมีหน้าจอขาวดำ และ แผงปุ่มกดเหมือนแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ แบล็กเบอร์รี่รุ่นแรกสำหรับรับ- ส่งอีเมล และเล่นอินเทอร์เน็ตบนมือถือ (WAP) ยังไม่สามารถโทรออกได้  แต่ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือแบล็กเบอร์รี่มีการพัฒนาไปมาก โดยจุดเด่นของมือถือนี้ก็คือ การมีแผงปุ่มกด ที่เป็นแป้นพิมพ์มาตรฐานเหมือนที่มีในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อความสะดวกในการพิมพ์ข้อความยาวๆเพื่อส่ง อีเมลหรือแชทเป็นเวลานานๆ
และต่อมาในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของการใช้งานสังคมเครือข่าย Social Network ในประเทศไทยอยู่ในอัตราที่สูงมาก จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น มีจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) เพิ่มสูงขึ้น ยอดขายของสมาร์ทโฟนเติบโตในระดับก้าวกระโดด (มียอดผู้ใช้มือถือมากกว่าจำนวนประชากร) ความนิยมของสมาร์ทโฟน กลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนบริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต และถูกเชื่อมโยงเข้าหากันผ่าน Social Network จึงเกิดพฤติกรรมการแบ่งปัน (เปิดเผย) การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารมากมาย จากแค่การแชทกันคุยกันเพียงไม่กี่คน วันนี้ผู้คนเริ่มแสดงออกมากขึ้น นำชีวิตส่วนตัวมาเปิดเผยมากขึ้น อยากรู้เรื่องราวและชีวิตส่วนตัวของคนอื่นมากขึ้น (สอดรู้สอดเห็น) และพฤติกรรมใหม่ล่าสุด ทุกคนล้วนอยากให้คนอื่นมาสนใจเรื่องของตัวเองมากขึ้น รอคอยการคอมเมนต์ ชอบแชร์รูป โพสต์สถานะว่าทำอะไร คิดอะไร หรืออยู่ที่ไหน มีการกด Like (ไม่กด Love)ล้วนแต่ตอบโจทย์พฤติกรรมของการแสดงออกของผู้ใช้ทั้งสิ้น
เมื่อมีการเปิดเผยเรื่องของตัวเองมากขึ้น เริ่มมีเพื่อน คนรู้จักมาให้ความสนใจมากขึ้น กลายเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นให้เปิดเผยเรื่องของตัวเองที่เคยเป็นเรื่องส่วนตัว จนหลายครั้งผู้ใช้เริ่มแยกแยะไม่ออก เรื่องใดควรเปิดเผยหรือไม่ควรเปิดเผย ควรเปิดเผยกับใครและไม่ควรเปิดเผยกับใคร โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น ที่เป็นวัยต้องการแสดงออกอยู่แล้ว นี่จึงเป็นเวทีหลักของพวกเขาเลยทีเดียว เริ่มขาดความระมัดระวังในเรื่องของการแชร์เรื่องของตัวเอง ขาดความตระหนักถึงภัยอันตรายที่เกิดจากความรู้ไม่เท่าทัน มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook.com ได้พูดไว้ว่า โลกของความเป็นส่วนตัวได้หมดไปแล้ว
หลายคนรู้จักและใช้การติดต่อสื่อสารสมัยใหม่ได้อย่างแคล่วคล่อง ได้อย่างจัดเจน แต่เป็นเรื่องแปลกที่คนวันนี้กับพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง การสื่อสารมักขาดความชัดเจน หรือเราติดนิสัยการแชท ต้องสั้นๆแปลกๆ หรือคิดว่าคนอื่นเข้าใจเหมือนเรา เราจึงเห็นความขัดแย้งทางการดำเนินชีวิตของคนในยุคสมัยนี้มากขึ้น ขัดแย้งกับตัวเองและส่งผลต่อการขัดแย้งต่อผู้อื่น มีความจัดเจนแต่ไม่มีความชัดเจน ชอบเปิดโลกส่วนตัวให้คนอื่นเยี่ยมชม แต่กลับไม่ยอมเปิดใจรับความคิดผู้อื่น ชอบโชว์เรื่องไร้สาระ แต่ความดีงามกลับไม่ได้เคยถูกนำมาแสดงอย่างเปิดเผย เราแชทกันเป็นอาจินแต่ไม่ได้ยินความรักจากหัวใจของกันและกัน
การใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารสมัยใหม่อย่างชาญฉลาด ต้องรู้จักนำมาใช้เพื่อพัฒนาทั้งชีวิตกายและชีวิตจิต แม้จะแชทกันแทบตายแต่ถ้าหัวใจไม่มีให้กัน มันก็แค่มายา แม้จะสนทนากันทุกวัน แต่การรังสรรค์ความดีงามไม่เคยมี แล้วสิ่งเหล่านี้จะส่งเสริมคุณค่าจิตวิญญาณได้อย่างไร??? และในเมื่อมันมีให้ใช้ก็ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ สร้างความชัดเจนในข่าวดี เพิ่มพูนความดี ทวีความรัก พร้อมพรักให้กับทุกคนที่สื่อสารกับเราได้สิ่งเหล่านี้กลับไป และสิ่งที่ดีๆสิ่งที่มีคุณค่าก็จะยังเหลืออยู่ในชีวิตเรามากกว่า12กระบุงเป็นแน่แท้...

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ถนน..หรือจะเรียบตลอดสาย


ถนน..หรือจะเรียบตลอดสาย
แม้ว่าหนทางจะยาวไกลเพียงใด หากว่าพื้นถนนหนทางราบเรียบ การขับขี่รถเดินทางก็จะเป็นเรื่องที่น่าภิรมย์ยิ่งนัก แต่...สำหรับถนนในประเทศไทยไม่เป็นเช่นนั้นถนนเส้นที่ราบเรียบเป็นระยะทางไกลๆไม่ค่อยมี จะมีก็แค่ช่วงสั้นๆ ผ่านไปได้สักพักก็จะเจอะเจอกับรอยปะ รอยต่อ หรือร้ายสักหน่อยเจอหลุมเบ้อเล่อเท่อ เล่นเอาหัวสั่นหัวคอนทั้งคนนั่งคนขับ หรือว่านี่เป็นนโยบายแห่งชาติที่ป้องกันการหลับในของผู้ขับขี่ ประมาณว่าถ้าถนนเรียบๆขับกันเพลินๆ ชิลล์ๆ แล้วเดี๋ยวจะเคลิบเคลิ้ม นำไปสู่การนิทรารมณ์กลางถนนขึ้นมาแล้วจะเกิดอุบัติเหตุ เลยต้องมีหลุมมีบ่อเป็นแห่งๆ ให้คนสัญจรคนขับขี่ได้ตื่นตัวตลอดเวลา ช่างมีน้ำใจอันประเสริฐ
และที่แปลกโดยไม่ต้องแยกกากแยกน้ำเลยก็คือ เมื่อมีการมาปรับปรุงพื้นถนนหนทางทีไร ทำไมหนอ???.. มันทำออกมาแล้วพื้นไม่เคยเสมอกันสักที ดูแล้วก็ไม่กลมกลืนกัน คุณภาพก็ต่างกัน และไอ้ตรงรอยแต่งรอยปรุนี้แหละที่ทำให้พื้นถนนเกิดการสะดุด กระเด้งกระดอนตอนขับรถผ่าน ยังคิดไม่ออกเลยว่า ส่วนผสมของวัสดุตอนที่สร้างถนนนั้นไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลไว้เพื่อเป็นมาตรฐานกันเลยหรือ เวลาปรับปรุงจะได้หาวัสดุที่มีคุณภาพเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันมาซ่อมบำรุง หรือว่าผู้รับเหมาเป็นคนละเจ้ากัน ไม่มีการประกันในการซ่อมบำรุงดูแล คิดแล้วก็ปวดใจ เรื่องต่อมาที่แปลกพอๆกัน คือ ถนนบางสายเพิ่งสร้างเสร็จยังไม่ทันไร ก็พังซะแล้ว ใช้งานในทางเรียบได้ไม่ทันถึงปีก็มีรอยปะเป็นระยะๆ หรือนี่คืออนุสรณ์แห่งการคดโกงของคนใหญ่คนโตในสังคมไทย
ส่วนใหญ่แล้วถนนสายหลัก ถนนสายใหญ่มักจะพบเจอกับปัญหาเหล่านั้นบ่อยมากๆ ขับรถบนถนนเช่นนี้จึงต้องมีความระมัดระวังและระแวงเป็นพิเศษ บางครั้งเห็นหลุม เห็นรอยปะที่ไม่เสมอกับพื้นก็ต้องขับทับผ่านไปเลย ปล่อยให้รถสั่นไหวขืนไปหักหลบมีหวังตกถนนไปนอนแช่น้ำอย่างไม่รู้ตัว ปัญหาถนนที่เห็นยามสัญจรจนปัญญาหาคำอธิบายจริงๆ มีแต่เพียงคิดด้านบวกเข้าไว้ อาจจะเป็นเพราะมีคนใช้เส้นทางอยู่ตลอดเวลา เวลาซ่อมแซมก็คงต้องทำกันแบบรีบๆ มันเลยไม่ค่อยเรียบ(ร้อย)สักเท่าไหร่ นี่ก็ไม่ได้แก้ต่างให้ใคร แต่จะพยายามมองในแง่มุมที่เข้าใจเพื่อนพี่น้องให้มากขึ้น
แต่ก็ยังมีถนนสายรองอีกหลายสายที่ถึงแม้ว่าจะเป็นเลนสวนกันไปมา แต่เวลาขับรถแล้ว รู้สึกสบายใจ สบายสายตาสำราญอารมณ์เป็นยิ่งนัก คงเป็นเพราะนานๆจะมีคนใช้ถนนสายนี้สักทีจึงทำให้การชำรุดทรุดโทรมมีน้อย แถมยังมีเวลาเหลือเหลือบแลทัศนียภาพสองข้างทาง ที่เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่ม รับรองได้เลยว่าการขับรถบนถนนสายหลักยากที่จะละสายตาไปจากเป้าหมายด้านหน้าได้ไม่เกิน10กว่าเมตร ไหนจะต้องเหลือบแลด้านซ้ายขาวและด้านหลังเป็นพักๆ.... ไหนจะต้องลุ้นหลบหลุมหลบบ่อเป็นพักๆ จะเข้าเลนซ้ายก็สั่นสะเทือนไปหมด เลนซ้ายมักชำรุดมากกว่าเลนขวาเพราะเป็นเลนที่รถบรรทุกใช้วิ่ง แล้วก็เช่นเคยบรรทุกเกินมาตรฐานแต่ผ่านได้ด้วยการจ่ายใต้โต๊ะ..
นั่งรำพึงถึงถนนหนทางหลังพวงมาลัยแล้วก็อดที่จะหวนคิดถึงชีวิตคนเราไม่ได้ ถนนชีวิตเราก็เป็นเช่นนั้น ใช่ว่าจะราบเรียบเสมอไป อย่างที่พูดๆกันว่า ชีวิตมิได้ปูด้วยดอกกุหลาบ ไม่ได้ราบเรียบตลอดไป เกิดเป็นคนธรรมดาที่ยังหาทางหลุดพ้นจากกองกิเลสไม่เจอ หนทางชีวิตย่อมต้องซ่อมต้องแซมกันอยู่บ่อยๆ ไม่ได้หอมหวนชวนชมทุกก้าวย่าง แต่เมื่อชำรุดเราก็ต้องบำรุงรักษา เมื่อต้องซ่อมแซมแล้วมันจะดีเท่าเก่า ดีกว่าเก่า หรือเลวร้ายกว่าเดิมไหม เราแต่ละคนนี่แหละที่จะเป็นผู้รับเหมาในการปรับปรุง เราใส่ใจในการซ่อมแซมมากน้อยเพียงใด มีการคดโกงขั้นตอนในการดูแลชีวิตมากน้อยเพียงใด
ใช่หรือไม่....คนบางคนอาจจะเป็นถนนที่ใหญ่โตเป็นหนทางหลักให้ผู้อื่นได้ผ่านมาใช้บริการ คนเหล่านั้นก็หวังในความราบเรียบของเรา มีบ้างบางครั้งที่ให้ผู้อื่นมาเหยียบย่ำ เมื่อถูกกระทำแบบนี้ซ้ำๆความชอกช้ำย่อมเกิดขึ้น ใครที่เข้าใจชีวิตก็จะมีวิธีการในการปรับสมดุลให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างราบเรียบ บางคนไม่ยอมที่จะปรับปรุงซ่อมแซมปล่อยให้ชีวิตเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ใครเข้ามาใช้ เข้ามาข้องแวะก็พร้อมที่จะหลีกหลบไปใช้คนอื่น หนทางอื่น ปล่อยให้คนนั้นกลายเป็นหนทางที่รกร้างไร้ค่า แล้วเราเลือกที่จะเป็นถนนเช่นไรเล่า...
สำหรับเราผู้มีถนนชีวิตของเราเอง ก็ต้องพึงสังเกตด้วยว่ามันยากมากที่จะทำให้ถนนหนทางชีวิตราบเรียบ ย่อมต้องพบเจอที่สะดุดให้หยุด ให้ผ่อนบ้าง แล้วเราก็ต้องเรียนที่จะรู้จักปรับปรุงทางสายนี้ให้ดีและงดงามอยู่ตลอดเวลา เราอาจจะเป็นเพียงถนนสายเล็กๆที่ไม่ค่อยมีใครนิยมชมชอบใช้ แต่เราก็เป็นถนนสายสวยที่มีคุณค่าในตัวเอง อาจจะเป็นสายที่ใครเวียนแวะเข้ามาแล้วรู้สึกสบายจิตสบายใจได้พักผ่อนหายเหนื่อย... คุณค่าคน คุณค่าถนน หาใช่อยู่ที่จะมีใครใช้หรือสัญจรผ่านไปมากกว่ากัน แต่มันอยู่ที่ให้ความปลอดภัยและความร่มรื่นที่มอบออกมาต่างหาก ถนนชีวิตจะเรียบหรือไม่เรียบ เราย่อมทำได้ เพียงแต่ไม่คิดจะคดโกงและซื่อสัตย์บนทุกย่างก้าว เราก็จะมีถนนชีวิตที่เรียบไม่ว่าเราจะเป็นถนนสายหลักหรือสายรอง บนหนทางชีวิตมีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งราบเรียบและขรุขระ เราควรขอบคุณพระเจ้าในสิ่งที่ดีและงดงามในตัวเรา และเรียนรู้ที่จะพัฒนาและปรับปรุงในสิ่งที่ด้อย ด้วยหัวใจแห่งความสุภาพน้อมรับ ในสิ่งผิดคิดแก้ไขหาใช่คิดแก้ตัว ถึงแม้ว่าถนนชีวิตจะไม่เคยเรียบตลอดสายแต่เราสามารถรอดปลอดภัยได้ด้วยความดีที่เรากระทำ....

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หวังอะไรในบุญ

หวังอะไรในบุญ
ณ ตลาดสดแห่งหนึ่งใกล้ๆบ้านพัก ขณะที่กำลังจะเดินไปรับของที่มีการนัดหมายกันเอาไว้ ท่ามกลางทางเดินมีผู้คนเดินจับจ่ายอย่างแออัด เดินเบียดเสียด แต่...ถึงตรงนั้นทุกคนต่างแยกทางออก บ้างก็เบี่ยงตัวหลบฉาก บ้างก็เบนสายตาไปยังจุดอื่น บ้างก็มองแบบงงๆแล้วก็เดินผ่านไป และเมื่อถึงคราวที่เราต้องก้าวไปยังจุดนั้น ภาพที่เห็น คือ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นกำลังเหวี่ยงสิ่งๆหนึ่ง ที่อยู่ตรงกลางระหว่างแขนทั้งสองข้างไปมาอย่างแรง สิ่งเล็กๆที่มีชีวิตนั่นคือทารกน้อยวัยไม่ถึงขวบที่กำลังส่งเสียงร้องเพื่อเรียกความสนใจแก่ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาตามต้องการของผู้หญิงคนนั้นอย่างไร้เดียงสา แทนที่จะได้เงินจากความสงสาร หญิงคนนั้นกลับได้แต่เสียงดูแคลนในความใจร้ายใจดำทำได้แม้กระทั่งเด็กเล็กๆ สิ่งนี้มันทำให้เราต้องมองผ่านไปอย่างใจจืดใจดำ ….
แล้วก็จำต้องเดินย้อนกลับมาสู่ทางเดิม แต่เราก็เลือกที่จะไม่ทำอย่างเดิมได้ใช่ไหม... ยิ่งเห็นเด็กคนนั้นร้องไห้เสียงดัง สตางค์จากกระเป๋าจึงถูกส่งลงกระป๋อง แต่เธอหญิงคนที่อุ้มเด็กกลับไร้ปฏิกิริยา ไร้การตอบสนอง จดจ่อกับการขืนใจให้เด็กส่งเสียงร้องไห้ออกมา ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีคำอวยพร ไม่สนใจใยดี ความรู้สึกแรกๆเกิดไม่สบอารมณ์อย่างมาก ทำไมไม่รู้จักที่จะขอบคุณกันบ้าง ระหว่างทางเดินเข้าบ้านพลันหวนคิดถึงคำพูดของพระสงฆ์ท่านหนึ่งที่เคยเทศน์สอนไว้ว่า “การที่ทำบุญให้ใครก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องได้รับความขอบคุณ ไม่ใช่นั้นแล้วเราจะไม่ได้รางวัลจากพระเจ้าเพราะได้รับจากคนที่ให้แล้ว และไม่จำเป็นต้องไปคิดว่า คนนั้นจะหลอกเราหรือไม่ เดือดร้อนจริงหรือเปล่า หรือกลัวว่าเราถูกหลอก หากคิดจะทำบุญก็เพียงเพื่อให้ได้บุญก็เพียงพอ ส่วนใครจะมาหลอกลวงเรา เขาผู้นั้นย่อมได้รับผลแห่งการหลอกลวงนั้นจากสวรรค์
ใช่หรือไม่ เวลาที่เราจะทำอะไรก็หวังจะได้รับการตอบแทนไม่มากก็น้อยด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งการทำความดี หรือการทำบุญ หลายคนก็หวังที่จะสร้างชื่อสร้างเสียง เสริมบารมีจากการบริจาค ทำไปทำมากลายเป็นค่านิยมที่สะสมยอดให้สูงๆเพื่อจะได้มีคนยกย่องในจิตใจแห่งการเสียสละอันยิ่งใหญ่อะไรประมาณนั้น แต่ในความเป็นจริงบุญกุศลที่เราทำมิได้ขึ้นอยู่ที่มูลค่า มันอยู่ที่คุณค่าแห่งการเสียสละต่างหาก ทำบุญทำความดีจากใจจริงสิ่งนี้คือกุศลอันประเสริฐสุดที่ไม่มีอะไรมาวัดค่าตีความได้
ครั้งคุณพ่อท่านหนึ่งได้รับมอบหมายให้ไปอภิบาลยังวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งร้างไร้ผู้ดูแลและเทศน์สอนมายาวนาน ท่านเทศน์สอนได้อย่างประทับใจเป็นที่ชื่นชอบจนได้รับความเคารพศรัทธายิ่งนัก ทุกครั้งที่มีพิธีมิสซา และการเทศนา ล้วนมีผู้คนมารอฟังอย่างเนืองแน่นจนกลายเป็นแออัด จึงมีผู้เสนอให้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสร้างวัดแห่งใหม่ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้มีศรัทธาจำนวนมากให้ได้มาร่วมพิธีมิสซา
เมื่อเห็นตรงกันจึงได้ทำการเปิดรับบริจาค มีชายผู้หนึ่งนำเงินสิบล้านมาบริจาคทันที โดยระบุว่าขอร่วมบริจาคเงินสร้างวัดแห่งใหม่ คุณพ่อจึงรับเงินมาแล้วก็เก็บไว้ จากนั้นลงมือทำกิจวัตรประจำวันต่อไปตามปกติ ชายผู้บริจาคเงินก้อนใหญ่เห็นดังนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เนื่องเพราะเขาเห็นว่าเงินสิบล้านจัดว่ามากโข คนธรรมดาสามัญ หาเช้ากินค่ำสามารถใช้เงินจำนวนนี้ดำรงชีวิตได้อย่างสุขสบายหลายปีทีเดียว ทว่าคุณพ่อท่านนั้นกลับรับเงินไปด้วยท่าทางเฉยเมย ไม่มีการอวยพร ไม่มีแม้แต่คำว่า “ขอบคุณ”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายผู้นี้จึงเดินไปเน้นย้ำต่อคุณพ่อว่า “คุณพ่อครับ ผมนำเงินมามอบให้ถึงสิบล้านเชียวนะ”
คุณพ่อได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับด้วยอาการสงบว่า “เราทราบดี เพราะท่านบอกเราแล้ว”
จากนั้นจึงเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมาอีก ชายผู้นั้นเห็นดังนั้นจึงขึ้นเสียงสูงร้องว่า “นี่ท่านครับ! วันนี้ ผมมอบเงินทำบุญถึงสิบล้าน ไม่ใช่เงินน้อยๆเลย แค่คำขอบคุณสักคำท่านก็กล่าวเพื่อตอบแทนข้าไม่ได้เชียวหรือ?
คุณพ่อท่านจึงได้หยุดและกล่าวว่า “ท่านทำบุญเพื่อเพิ่มพูนศีลธรรมบารมีให้ตัวท่านเอง แล้วเหตุใดเราต้องขอบคุณท่านด้วยเล่า”  (ดัดแปลงจากนิทานเซน)
การทำบุญเพื่อสร้างบารมีก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง การทำดีเพื่อให้ได้คำชื่นชอบก็เป็นการเอาหน้าโอ้อวดชนิดหนึ่งเช่นกัน ในยุคที่เรามักวัดค่าทุกการกระทำออกมาเป็นรูปธรรม ย่อมหนีไม่พ้นในการที่ผู้คนต้องเห็นผลตอบแทนในทุกเรื่องทุกการกระทำ สิ่งนี้กลายเป็นความชาชิน เป็นค่านิยมไปเสียแล้ว ชอบแข่งกันบริจาคเพื่อให้มีชื่อติดผนังข้างฝา แข่งกันประมูลบุญ เพื่อให้คนทึ่งในความหน้าใหญ่ใจกล้าบ้าบุญ เราจึงมักเห็นคนมีตังค์ออกสื่อมากกว่าคนที่ทำงานอุทิศตนรับใช้สังคมในมุมเงียบๆ คนรุ่นหลังจึงถูกปลูกฝังให้บริจาคมากๆเพื่อจะได้รับคืนมาให้มากร้อยเท่าทวีคูณ โดยหลงลืมแก่นแท้ของการทำบุญที่มาพร้อมกับความรักและการเสียสละ..
 แล้วเรามาลองนึกดูให้ดีๆ พิจารณาด้วยหัวใจ ด้วยจิตวิญญาณแห่งการเป็นลูกพระ เป็นศิษย์พระเยซูเจ้า เราทำบุญทำความดีวันนี้เราหวังอะไร ใช่หรือไม่...เราก็หวังแค่เพียงให้เรากลับไปหาพระองค์ร่วมอยู่กับพระองค์อย่างสงบสุขในวันสุดท้าย แล้วเรายังไปหวังอะไรนอกเหนือจากนี้อีกเล่า หรือว่าหวังเพียงใบเสร็จบุญเพื่อเบิกทางสู่สวรรค์ ถ้าคิดจะทำบุญก็ทำเลยอย่าหวังสิ่งตอบแทนในโลกนี้.....

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฟ้าไร้เมฆ

 ฟ้าไร้เมฆ
สายๆของวันพุธที่ 6 ก.ค. 54
รถติดหนึบอยู่บนสะพานตากสิน ในวันที่อากาศตอนกลางวันร้อนมากถึงมากที่สุด ถึงแม้จะเปิดแอร์รถยนต์จนสุดแรงเป่าก็ไม่อาจจะทุเลาความร้อนที่ปกคลุมลงมาได้เลย ชะโงกหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านกระจกรถ ท้องฟ้าวันนี้ดูสะอาด สดใส ว่างๆไร้เมฆหมอกมารบกวนทางสัญจรแสงแห่งอาทิตย์ มันช่างแตกต่างจากช่วงยามเย็น ช่วงเลิกงานในหลายๆวันที่ผ่านมา ที่ฟ้าปล่อยใจร้องไห้ออกมาเป็นสายฝน คนสัญจรต้องจอดรถบนถนนหนทางอย่างยาวเหยียด แต่ก็ฉ่ำเย็นจนถึงขั้นเหน็บหนาว และก่อนที่ฟ้าฝนจะเทกระจาย สิ่งหนึ่งที่เราพบเห็นเสมอ นั่นคือ มีเมฆดำก่อตัวรวมกันเพื่อให้เกิดพลังฝน เคลื่อนไปบดบังแสงแดด ก่อให้เกิดภาวะขมุกขมัว ..
 ท้องฟ้ามีหลายลักษณะแล้วแต่เราจะเลือกมอง เลือกคิด ท้องฟ้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของคนนั้นอาจจะเป็นสีเทาๆเหมือนฝนจะตก ของอีกคนอาจจะเป็นสีเหลืองทองอร่ามยามเย็น อีกคนอาจจะเป็นสีฟ้าจ้าสดใส นั่นเป็นเพราะว่า แต่ละคนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าไม่พร้อมกัน และมุมมององศาที่ต่างกันออกไป หรือว่าบางคนอาจจะไม่เคยเงยหน้าขึ้นมองฟ้าเลยก็มี...ท้องฟ้าที่บางวันครึ้มบางวันคลายสลายใส นี่ใช่หรือไม่ ย้ำเตือนเราไม่ให้ยึดมั่นในความผันแปร?
จิตใจคนเราก็เป็นเช่นท้องฟ้ามีเวลาหม่นหมองไม่ผ่องใส มีเวลาเริงรื่นชื่นหัวใจ
ในแต่ละวันที่ผันผ่าน มีเมฆหมอกมากมายหลายชนิดที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านพ้นไป หากว่าเราจะทำใจให้เหมือนฟ้าที่ไร้เมฆหมอก ให้ดอกหมอกที่รกรุงรังผ่านไปได้บ้างไหม!!! อย่าไปยึดอย่าไปแย่งแข่งขันเก็บกลีบเมฆดอกหมอกมาครอบครอง ซึ่งดูแล้วมันอาจจะมีขนาดใหญ่โต แต่เมื่อพยายามจะไขว่คว้ามาครอบครอง ก็มิอาจได้อะไรติดมือ แต่จะว่าไปคนเราทุกยุคทุกสมัย ต่างก็พยายามปั้นเมฆปั้นหมอก แอบอ้างหมายที่จะยึดครองเป็นของตัวเอง ที่สุดแล้วเราก็ยังสรุปไม่ได้สักทีว่า ก้อนเมฆนั้นเป็นของใคร ??? เราก็รู้ทั้งรู้ แต่ก็มิอาจที่จะหยุดเข้าไปคลุกกับเมฆหมอก เมื่อมีเมฆหมอกมากก็ย่อมทำให้หม่นหมอง แล้วก็พบเจอกันแต่ความทุกข์...
บางคนอาจจะพูดว่า ท้องฟ้าที่มีแต่สีฟ้าสดใส ถ้าไร้เมฆหมอก ดูไม่สวย  เฉกเช่นกับชีวิตคนเราคงจะไม่สวยงาม ถ้าไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคมาขวางกั้นเลย นี่...ก็ถูกต้อง หากแต่ว่าเรามีศิลปะในการดำเนินชีวิต รู้จักที่จะถักทอกลีบเมฆดอกหมอกให้สวยงาม รู้จักที่จะนำปัญหาเพื่อสร้างปัญญาได้อย่างไร นี่ต่างหาก คือ สิ่งที่ต้องพัฒนาอยู่ทุกวัน ในชีวิตจริงของผู้คนมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบทางเยี่ยงนี้ เห็นมีแต่วิ่งวุ่น ว้าวุ่นอยู่กับการสร้างเมฆหมอกเทียมๆเพื่อประดับศักดา ส่งเสริมบารมี โดยไม่รู้เลยว่า แท้จริงแล้วแสงที่เปล่งออกมานั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของแสงที่ถูกบดบังด้วยความอยากใหญ่ อยากเด่นดัง
สิ่งแวดล้อมและบุคคลต่างๆ อาจจะเป็นเมฆหมอกมาบดบังความสว่างในชีวิตเราได้ แล้วเราล่ะเคยเป็นเมฆหมอกเข้าไปปกคลุม ครอบครอง บดบัง ใครบ้างหรือเปล่า มันย่อมต้องมีบ้าง ที่เราไปสร้างให้ชีวิตคนอื่นพบแต่ฤดูกาลแห่งความเศร้าหมอง มีบางช่วงเวลาที่เราไปยึดติดคิดว่าเราเป็นเมฆหมอกเพื่อบังแสงให้ร่มเงาแก่ผู้อื่น แต่ไม่เคยรับรู้เลยว่า การเป็นเมฆหมอกแบบนั้นมันไปทำให้อีกหลายคนอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว ไปทำให้เพื่อนฝูงคนรอบกายอยากจะผละหนี ออกจากเงาร่มที่มาบดบัง ใช่หรือไม่...หลายครั้งเราก็อยากมองฟ้าที่ไร้เมฆ ในขณะที่คนอื่นต้องการฟ้าปนเมฆ หรือบางคราวเราต้องการฟ้าฉ่ำฝนในขณะที่คนอีกเป็นจำนวนมากต้องการฟ้าใสๆ..
การมองท้องฟ้าก็คล้ายๆกับการมองชีวิต หลายคนลืมคิดที่จะกลับมานั่งมองทบทวนว่ามีอะไรบ้างผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ท้องฟ้าของเราต้องเผชิญมรสุมกี่ครั้ง แดดออกสดใสไร้เมฆมากี่หน มีฝนพรำให้ความสดชื่นหรือสร้างความรำคาญให้ใครมาบ้าง มีสายรุ้งเจ็ดสีมาแต้มแต่งให้งดงามแล้วกี่ครั้ง  เราจะเป็นฟ้าหลังฝนที่ใสสดหรือเป็นฟ้าก่อนฝนที่มีแต่หดหู่และน่าหวาดกลัว
ใช่...บางคนอาจจะบอกว่าฟ้าที่ไร้เมฆมันมีแต่จะนำพาความร้อนรุ่มมาให้ นั่นก็เพราะเรามองในมุมของกายภาพ แต่ถ้าเรามองในมุมของจิตใจ ฟ้าที่ไร้เมฆหมอกก็เป็นฟ้าใสสด มองเห็นทุกสรรพสิ่งได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น มีแต่ความสว่างกระจ่างใส และสามารถพบเห็นความจริง ในบางมุมบางแง่ของชีวิตที่สวยงาม ชีวิตมีแง่งามให้มองได้เสมอ เพียงแต่ว่าเราเลือกที่จะมองอย่างไร มองฟ้ายังได้แง่คิด แล้วถ้ามองชีวิตให้ดีเราย่อมพบเจอหนทางที่จะพาเราไปสู่สันติสุขได้
ทุกช่วงเวลาที่เราได้มีโอกาสเฝ้ามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้า อาจโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ทุกสิ่งล้วนทรงคุณค่า เราเห็น เราได้ยิน เราได้สัมผัส แล้วสิ่งต่างๆเหล่านั้นเข้าไปทำให้จิตวิญญาณของเราเติบโต นี่ก็เป็นการเรียนรู้โลก เรียนรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ ในทุกสรรพสิ่งมีคำสอน บนฟ้ากว้าง ในทะเลลึก ในสายลม ในแสงแดด แม้แต่ในวันที่ฟ้าไร้เมฆ ในการมองเห็นท้องฟ้าเพราะฟ้าในแต่ละวันไม่เคยเหมือนกัน ชีวิตผู้คนในแต่ละวันก็เช่นกัน ล้วนไม่เคยเหมือนกัน ทั้งในแต่ละห้วงอารมณ์ความรู้สึก ที่สุดในการฟังเสียงและคำสอนของพระเยซูเจ้าผ่านผู้แทนของพระองค์ แต่ละคนได้แง่คิดไม่เหมือนกัน ใครที่ได้รับฟังแล้วไปทำตามย่อมเกิดผล แต่ใครฟัง อ่านแล้ว ผ่านไป ก็ไม่เกิดผล แล้วเราเคยรู้สึกหรือไม่ว่า สิ่งที่เข้ามาในแต่ละวินาที เพิ่มพูนสิ่งดีๆให้กับชีวิตเรามากน้อยเพียงใด...