วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตะวันหรือจะมีวันดับ

ตะวันหรือจะมีวันดับ

เช้าวันพุธที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา(2009) ตื่นนอนมาพร้อมกับความขมุกขมัวของบรรยากาศ ในใจก็คิดว่าอาจเป็นเพราะวันนี้จะมีเหตุการณ์ ตะวันดับ บนท้องฟ้า เหตุการณ์ สุริยคราส-สุริยุปราคา กระมั้ง ขณะที่กำลังจะเคลื่อนกายออกจากบ้านเพื่อไปทำงานฝนก็เริ่มตกและก็ตกตลอดทาง รายการวิทยุก็รายงานว่า เป็นที่น่าเสียดายที่วันนี้คนในกรุงเทพฯจะไม่เห็นเหตุการณ์การสุริยคราส ฟ้าฝน เรื่องธรรมชาติเป็นเรื่องที่เรามนุษย์สุดจะหยั่งถึง การเกิดสุริยคราส คนคาดเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่ก็ไม่สามารถคาดได้ว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ขณะถูกบดบัง หรือว่า พระอาทิตย์ไม่ต้องการให้คนเมืองหลวงเห็นความอ่อนแอของตนที่ถูกดวงจันทร์กลืนกิน แม้....คิดไปได้

และอย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่า เมื่อใดที่กำลังจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ สื่อก็จะเล่นข่าวประโคมข่าวกันยกใหญ่ โดยนำเอาพวกโหรศาสตร์ ดาราศาสตร์มาผสมปนเปกับแพทย์แผนอนาคต(หมอดู) เพื่อมาทำนายถึงอนาคตบ้านเมือง ทำนายถึงระบบเศรษฐกิจระดับ โลก (คนไทยนี่เก่งเนอะ ธนาคารโลกน่าจะซื้อตัวไปทำงานด้วยจริงๆ) แต่เรื่องที่บอกที่ทำนายมักเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยโสภาและได้สร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนโดยทั่วไป นี่ก็ผ่านมาได้ครึ่งค่อนวันแล้ว คำทำนายทายทักของเหล่าแพทย์แผนอนาคตก็ยังไม่เห็นมีสิ่งอันใดเกิดขึ้นเลย

โดยสรุป:โหราศาสตร์พยากรณ์ทายทักไว้ก่อนหน้านี้ว่าปี 2552 จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหลายครั้ง รวมถึงเกิดสุริยคราส สรรพคราส ในวันที่ 22 ก.ค.นั้น จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ฝนตกใหญ่ น้ำท่วม... ปีนี้ทั่วโลกจะเกิดความวุ่นวายเพราะมีดาวใหญ่ย้ายราศีหลายดวงโดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในย่านมหาสมุทรจะโดนก่อน... มหาสมุทรอินเดีย, แปซิฟิก, แอตแลนติก, อันดามัน จะถูกทั้งลมพายุฝนและแผ่นดินไหวแถมภูเขาไฟระเบิด และยังมีข่าว ลือต่อ ๆ กันไป แล้วก็สรุปไว้ตอนท้ายว่า รู้ไว้ใช่ว่า เพื่อไม่ตั้งตนอยู่บนความประมาท คงไม่เสียหาย แต่ อย่าถึงขั้นตื่นกลัวจนเกินเหตุ เพราะไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ !!!.

ก็เล่นเขียนกัน ทำสกู๊ปกันซะขนาดนี้ จะไม่ให้ตื่นตระหนกได้อย่างไร….

ตะวันคงไม่มีวันดับลับหายไปจากโลก มีแต่คนเท่านั้นแหละที่ปิดตาปิดใจตัวเอง จนมองไม่เห็นความงามของแสงตะวัน เห็นแต่สิ่งที่ยังมาไม่ถึงและก็จินตนาการไปอย่างน่าหวาดหวั่น น่ากลัว แล้วเราจะมีความสุขได้อย่างไร หากฝากชีวิตไว้กับการคาดเดา เพราะปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้น ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกวันเวลา ใช่หรือไม่ ในช่วงกลางคืนตะวันก็ดับแล้ว เช้ามาก็ส่องแสงปลุกเร้าให้เราตื่นจากฝันสู่ความเป็นจริง ดำเนินชีวิตเพื่อสร้างสรรค์ วันเวลาที่ค่อยๆผ่านไปก็คือการเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับโลกและสรรพสิ่งสร้าง และผู้คนรอบๆข้าง

พระเจ้าทรงสร้างให้มีกลางวันและกลางคืน พระองค์ทรงเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ดี มีกลางวันเพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ รักและรับใช้ซึ่งกันและกัน มีกลางคืนให้พักผ่อน คลายความเหนื่อยหล้า อ่อนเพลีย เพื่อมีเวลาเป็นของตัวเอง อยู่กับตัวเอง ความมืดนำมาซึ่งการรู้จักไตร่ตรอง พิจารณาวันเวลาในช่วงกลางวันที่กำลังข้ามผ่านพ้นไป ท่ามกลางความมืดมิดจิตวิญญาณคืนสู่ความสงบ กลับคืนสู่อ้อมกอดในความคุ้มครองของพระเจ้า โดยมีแสงดาวแสงเดือนเป็นเสมือนยามเฝ้ารักษาสรรพชีวิต และใช่หรือไม่ ในขณะที่เราจมหายไปในความมืด ในบางที่ตะวันเริ่มฉายแสง ความหวังเริ่มก่อเกิด โลกหมุนรอบ ความรักความเมตตา สันติสุขย่อมหมุนตามไปเสมอ แต่ไฉนหนอ โลกนี้จึงไม่เคยสงบเลยเล่า !!!!

เหตุหนึ่งเพราะคนเราไม่มีความสงบในจิตใจ ใช้กาลเวลาอย่างสับสนสิ้นเปลืองและสูญเปล่า กลางวันชนกลางคืนมีแต่ตื่นไม่ยอมพักผ่อน กอบโกย เก็บเกี่ยว จนกระทั่งไม่มีเวลาอยู่กับตัวตน วันคืนหมดไปกับสิ่งภายนอก ไม่เหลือเวลาเผื่อเรื่องภายใน แล้วเราจะคงความแข็งแกร่งทางกายกันได้อย่างไร จิตใจแปรปรวน พฤติกรรมคนก็แปรเปลี่ยน จากการกระทำเพื่อผู้อื่นก็หวังคืนให้ผู้อื่นมอบให้กับตน เพื่อให้ได้เป็นผู้เหนือกว่าก็ต้องตะบี้ตะบันขยันทำมาหากิน บรรลุเป็นผู้มีอันจะกิน กลายเป็นไฮโซ ประดับวงการ

ตะวันไม่เคยดับ ความรักของพระเจ้า ความห่วงใย ของพระเจ้าไม่เคยหายไปไหน สิ่งเหล่านี้คงอยู่บนโลก อยู่ในใจเราตลอดเวลา ลองหันกลับมาให้เวลากับหัวใจ ให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจ หมั่นสำรวจตัวตนบ่อยๆ มีกลางวันกลางคืนในชีวิตบ้าง เราจะได้ดำเนินชีวิตในโลกอย่างมีความสุข และเมื่อนั้นความกลัว ความตื่นตระหนกจะไม่ปรากฏในชีวิตของเรา ใช่หรือไม่ พระเจ้าอาจจะเห็นว่า เราไม่ค่อยใช้ความมืดเพื่อสำรวจตรวจสอบชีวิตกันมากนัก พระองค์ก็ทรงประทานปรากฏการณ์ตะวันดับชั่วคราว เพื่อให้เราได้หันกลับมาคิดเรื่องนี้กันบ้าง แต่ก็เปล่าประโยชน์เรากลับไปตีค่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องร้ายๆ เป็นเรื่องธรรมชาติลงโทษกันซะงั้น ...ตะวันไม่มีวันดับลับหายไปในชั่วชีวิตของเราหรอก แต่ช่วงชีวิตหนึ่งจิตใจของเราจะดับลงไปสักกี่ครั้งกี่รอบกันล่ะ......

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หอมหวานในวันเวลา

หอมหวานในวันเวลา

ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมามักได้รับ Forward Mail ที่สร้างความหวาดหวั่นและหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย (คิดว่าหลายท่านก็คงจะได้รับเช่นกัน) เช่น บ้างก็ว่าโลกใกล้ถึงวันแตกดับในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า บางเมล์ก็ส่งมาบอกว่าจะเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน สังเกตได้จากการที่ฟ้าฝนและธรรมชาติในวันนี้ดูจะแปลกๆไป บางฉบับส่งมาเป็นคำทำนายจากที่นั่นที่นี่ทั่วโลก ซึ่งส่วนมากจะเป็นการทำนายถึงอนาคตของโลกใบนี้ในด้านที่น่ากลัว แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่เห็นใครที่จะเสนอวิธีการที่พอจะช่วยให้โลกสงบและสันติขึ้น และให้โลกเย็นลงบ้างเลย มีแต่สร้างความกลัวให้เกิดขึ้นในจิตใจ

ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง มองให้เป็นเครื่องเตือนใจ มองว่าเป็นสัญญาณแห่งวันเวลา เพื่อว่าเราจะได้ปรับปรุงตัวตน จะได้เห็นคุณค่าของชีวิตและมองเห็นศักดิ์ศรีของสิ่งสร้างกันมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ร่วมกันประคับประคองโลกใบนี้ให้มีอายุยืนยาวก็จะมีประโยชน์มากกว่าสร้างกระแสให้เกิดความหวาดกลัว ซึ่งโดยปกติแล้วความกลัวมักซ่อนเร้นอยู่ในทุกผู้คน ยิ่งเพิ่มข้อมูลด้านลบเข้าไปอีกนิดชีวิตทั้งชีวิตก็สั่นสะเทือนแล้ว....

หากเราดำรงชีวิตอยู่บนความหวาดกลัว เราจะหาความสุขได้ไหม!!!! ทั้งๆที่โลกใบนี้มีสิ่งที่สร้างความสุขให้อย่างไม่มีวันหมดอายุขัยตั้งมากมายหลายสิ่ง

ความสุขที่ได้จากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่ทำง่าย แต่วันนี้เรามักไม่ค่อยจะเห็นผู้คนยิ้มกัน เสียงหัวเราะก็มักถูกกลบด้วยเสียงทะเลาะ เสียงตะโกนเอาชนะคะคาน สังคมเต็มไปด้วยเสียงตะเบ็งแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกัน และสุดท้ายเราก็ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของคนทั้งสังคม

ความสุขที่เกิดจากความรัก รักอยู่คู่โลกจากปฐมบทจวบจนทุกวันนี้ เป็นทรัพยากรที่ช่วยให้โลกอยู่เย็นเป็นสุข หากแต่วันนี้เรามักมองเห็นรักกันแบบพื้นๆ ใช้รักเพียงเปลือก ใช้รักเพื่อหวังผล ทั้งๆที่รักให้ผลงดงามในตัวมันเองเสมอ เราใช้ความรักแบบไม่คุ้มค่า รักควรที่จะสร้างสุข กลับเป็นรักที่สร้างทุกข์ เนื่องเพราะคนเราดันรักตัวเองมากกว่าคนอื่น...

ความสุขที่เกิดจากสิ่งเล็กๆน้อยๆ สิ่งที่กำเนิดใหม่ ดอกไม้แรกแย้ม ทารกแรกเกิด แม้กระทั่งแพนด้าน้อย ยังนำซึ่งความสุขแก่คนค่อนประเทศ

ความงดงามแห่งสายลม ท้องฟ้า แสงดาวแสงเดือน เสียงสงัดยามค่ำคืนสิ่งเหล่านี้เช่นกันก็ไม่เคยหมดไปจากโลกของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดจินตนาการ เป็นสิ่งนำร่องของเสียงเพลง ดนตรี บทกวีและงานศิลป์ เป็นสิ่งที่นำความสุขหรรษามาสู่ปวงชน เป็นสิ่งที่สร้างพลังชีวิตให้ผู้คนที่คิดแสวงหาสัจจะ เพื่อก้าวข้ามผ่านห้วงทุกข์อย่างสุขสันต์ สิ่งเหล่านี้แม้เงินทองหมื่นแสนล้านก็มิอาจจะใช้เพื่อซื้อหาได้

ใช่หรือไม่ บางครั้งความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า อยู่กับเราทุกวันเวลา แต่เรามักจะมองข้ามผ่านไป วันนี้เรามีท่าทีต่อชีวิตเราอย่างไร เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หรือเปี่ยมสุขในวันเวลากับสิ่งที่งดงามตรงหน้า

มีนักเดินทางผู้หนึ่งเดินทางกลางทะเลทราย ทันใดนั้น ที่ด้านหลังปรากฏฝูงหมาป่าหิวโหยขบวนหนึ่งไล่กวดมา คิดกัดกินเขาเป็นอาหาร นักเดินทางผู้นั้นตื่นตระหนกยิ่ง วิ่งเตลิดอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่หมาป่าหิวโหยก็กำลังจะตามทัน ทันใดนั้น เขาเห็นเบื้องหน้ามีบ่อน้ำบ่อหนึ่ง จึงกระโดดลงไป

แต่บ่อน้ำนั้นมิเพียงไม่มีน้ำ ยังมีงูพิษมากหลาย พอเห็นอาหารอันโอชะมาถึง พากันผงกหัว แผ่แม่เบี้ยเตรียมฉกกัดใส่ เขาแตกตื่นลนลาน ดิ้นรนสุดชีวิต ยื่นมือไขว่คว้าเป็นพัลวัน สวรรค์กลับส่งเสริมปณิธานคนกล้า เขาคว้าถูกต้นไม้เล็กๆที่งอกเงยจากผนังบ่อต้นหนึ่งได้ หยุดร่างของเขาอยู่กลางอากาศ

ดังนั้น ด้านบนมีหมาป่า ด้านล่างมีงูพิษ คนผู้นี้ตกอยู่ในฐานะรุกก็ใช่ที่ ถอยก็ใช่ที่ แต่ถือว่าปลอดภัยชั่วคราว ขณะที่เขามีเวลาพักผ่อนหอบหายใจ พลันได้ยินเสียงประหลาดชนิดหนึ่งกระทบโสต คนเดินทางกวาดสายตาไปตามเสียง พบเห็นหนูฝูงหนึ่งกำลังกัดกินรากไม้ แสดงว่าต้นไม้ที่ช่วยชีวิตต้นนี้ยืนต้นอยู่ได้อีกไม่นาน

ในห้วงคับขันเป็นตาย คนเดินทางผู้นั้นเห็นใบไม้เบื้องหน้ามีน้ำผึ้งหยดหนึ่ง ดังนั้น เขาลืมเลือนหมาป่าด้านบน รวมทั้งงูพิษด้านล่าง และลืมนึกถึงฝูงหนูที่กำลังกัดกินรากไม้ หลับตาลงแลบลิ้นออกมาโลมเลียลิ้มรสของน้ำผึ้งหยดนั้น ณ เวลานั้น เขาคิดว่า น้ำผึ้งหยดนั้นคือ คุณค่าของชีวิต (ส่วนหนึ่งจาก เจาะเวลาหาจิ๋นซี)

ท่ามกลางความสับสน ท่ามกลางความวุ่นวายและการแข่งขันที่ช้าก็ถูกรุกไล่ ถ้าเร็วไปก็ถูกกัดกิน จนไม่มีเวลาหลงเหลือที่จะมองเห็นสุข ปล่อยให้น้ำผึ้งหยดแล้วหยดเล่าผ่านไป ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย ลองหาเวลาเงียบๆเพื่อลิ้มรสหยดน้ำผึ้งที่อยู่ตรงหน้ากันดูบ้างจะดีไหม แล้วจะรู้ว่าชีวิตในทุกเวลาหอมหวานและมีค่าเสมอ......

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พาณิชย์สุข

พาณิชย์สุข

หากวันนี้เราต้องออกเดินทางไปต่างถิ่น ไปยังสถานที่อื่นโดยไม่มีเงินทองติดตัวไปเลย เราจะกล้าไหม??? เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ เมื่อตอนที่รู้สึกอยากจะเปลี่ยนสถานที่อยู่ สถานที่พักสักระยะหนึ่ง เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายสับสนบนหนทางชีวิต แต่เอาเข้าจริง ก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัว และไม่กล้าพอที่จะก้าวขาออกไปเผชิญชีวิตในสภาพที่ไร้เงินทองติดตัว.. ทำไมไม่กล้า ทำไมจึงกลัว ก็แน่ละ ยุคสมัยที่เงินนำหน้า ยุคสมัยที่ไม่ค่อยหลงเหลือความไว้วางใจต่อกัน ยุคสมัยที่ทุกสิ่งอันพลันกลายเป็นทุน เป็นธุรกิจไปเสียทั้งหมดเช่นนี้ ทำให้ทุกความคิด ทุกขั้นตอนของชีวิตต้องผูกโยงกับมัน แล้วเราผู้ที่วนเวียนอยู่กับกระแสแห่งทุนนิยม มีหรือที่จะกล้าก้าวเดินออกไปโดยไร้เงินทอง อย่างน้อยก็เพื่อความอุ่นใจ ใช่... เงินอาจจะซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่ร้อยทั้งร้อยก็ขอมีเงินติดตัวไว้บ้างด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่เนื้อหาก็คือ เราไม่มีความมั่นใจหลงเหลืออยู่เลยกับความมีน้ำใจ เมตตาอาทรต่อกันของคนในวันนี้ นี่เป็นความจริงที่สิงอยู่ในใจทุกคน

ใช่หรือไม่ วันนี้เราต่างดำเนินชีวิตเพื่อพิชิตก้อนเงิน กองทองกันทั้งนั้น มิตรภาพยังผันเปลี่ยนเป็นธุรกิจ ความรักยังกลายเป็นกลเกมทางการตลาดได้ และความสุขตามมาตรฐานแห่งยุคสมัย คือ การได้มีเงินทองให้มากๆ ทำการค้าการขายเพื่อมีผลกำไรให้เยอะๆ การพุดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะคติของชีวิตต่อกันก็ลดน้อยลง กลายเป็นการพูดคุยเพื่อชักจูงสู่การลงทุน เนื้อหาการสนทนาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบที่เคยมีก็เปลี่ยนเป็นการบรรยายให้เห็นดีเห็นงามและคล้อยตามในระบบวงจรธุรกิจที่ทำเงิน และยอดขายที่เป็นล่ำเป็นสันในแต่ละเดือน โดยใช้ความสุขความสบายเป็นข้ออ้าง

และจริงหรือที่เงินบันดาลสุข เราก็รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่จริง แต่เราก็ไม่เคยเชื่อในสัจจะข้อนี้กันเลย โลกก็มีตัวอย่างผ่านมามากมาย แต่ทุกคนกลับไม่เคยนำพามาเป็นบทเรียน อยากจะมีประสบการณ์แห่งการร่ำรวยด้วยกันทุกคน รายล่าสุด นักร้องชื่อดัง ราชาเพลงป๊อป ผู้นำแห่งวงการเพลงและการแสดง ไมเคิล แจ็คสัน ผู้ที่ได้ลาโลกไปพร้อมกับเรื่องราวที่แสนสับสน และเรื่องราวที่ทิ้งค้างคาเป็นบทเรียน

ไมเคล แจ็คสัน เกิดมาเพื่อเป็นผู้มอบความสุขให้แก่คนทั้งโลก แต่เขากลับไม่เคยพบความสุขเลยสักครั้ง ตั้งแต่วัยเด็กเขาถูกปั้นแต่งให้เดินบนเส้นทางบันเทิง จนมีชื่อเสียงโด่งดัง กลายเป็นวีรบุรุษของคนอีกหลายล้าน ด้วยกลการตลาดที่ชูเขาให้เป็นสินค้าชั้นยอด จากพรสวรรค์ การร้อง การเต้น การแสดงที่แสนมหัศจรรย์ ก็ถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของโลกยุคใหม่ โลกบันเทิงจอมปลอม ทุกสิ่งในชีวิตเขาถูกเขียนบทให้เสร็จสรรพ เพราะสิ่งเหล่านี้กลายเป็นแหล่งทำเงินมหาศาลให้กับตัวไมเคิลและผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้วิถีชีวิตของเขาไม่เหมือนกับผู้คนธรรมดา ถูกสร้างถูกปรุงแต่งให้กลายเป็นศาสดาแห่งความบันเทิงที่ต้องมีอะไรแตกต่างจากชาวบ้าน ทุกอย่างถูกทุ่มทุน ไมเคิล แจ็คสัน กลายเป็นคนนำวัฒนธรรมใหม่ๆเข้ามาสู่สังคมโลก โดยเฉพาะการตลาดชั้นเยี่ยมที่ไม่เคยเห็นเขาหายไปจากหน้าจอเลยตลาดหลายสิบปีที่ผ่านมา

เงินทองมหาศาลจากการขายเสียง ขายความบันเทิง หลั่งไหลเข้ามาอย่างง่ายดาย เงินจำนวนนั้นถูกใช้ไปเพื่อสร้างสะดวกสบายให้กับไมเคิลจนเกินงาม แต่สิ่งเหล่านั้นก็มิอาจสร้างความสุขให้เขาได้เลย กลายเป็นความหวาดกลัว กลายเป็นความระแวง และจากที่ไม่เคยมี พอมีมากจนล้นเหลือก็มิอาจจะจัดการทรัพย์สินเงินทองได้ ถูกใช้ไปอย่างสะเปะสะปะ แท้จริงใครจะรู้ได้ว่าความสุขของไมเคิ้ล แจ็คสัน อยู่ที่การแสดง การเต้น การร้องเพลง เพื่อให้คนอื่นมีความสุข นั่นคือความสุขสุดยอดของเขาต่างหาก วันนี้เขาจากไปโดยทิ้งความทรงจำที่งดงามและบทเรียนอันล้ำค่าแก่โลก ความสุขจากการพาณิชย์และการค้าขายแลกเปลี่ยนหาใช่ความสุขที่เที่ยงแท้ไม่ ความสุขที่แท้จริงคือการพออยู่ พอดี ของชีวิต รู้เป็นรู้อยู่รู้ใช้ ความสุขเพื่อตัวเองก็เป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน

โลกแห่งทุนนิยมกำลังเข้าครอบงำสังคมจนมองไม่เห็นทางออก โลกที่เต็มไปด้วยการค้าการขาย ทุกคนกลายเป็นนักขาย นักการตลาด ต่างคนต่างมุ่งหวังกำไรจากกันและกัน โดยหลงลืมความสัมพันธ์ หลงลืมความเอื้ออาทรต่อกัน จากการให้กันและกันกลายเป็นกอบโกยจากกันและกัน ใช่หรือไม่ ยิ่งเรามีเงินทองและทรัพย์สมบัติติดตัวมากขึ้นเท่าไหร่ เราจะมีเวลาที่จะตรวจสอบชีวิตน้อยลง ไม่มีช่องว่างพอที่จะมองเห็นคนรอบข้าง เงินทองสามารถซื้อทุกอย่างได้ก็จริง แต่ก็มีบางสิ่งที่มิอาจจะใช้เงินทองแลกเปลี่ยนได้ นั่นคือความรัก และหากว่าวันนี้ทุกคนพยายามที่จะแปรรูปความสุขให้อยู่ในการตลาด แปรรูปความสมบูรณ์ของชีวิตอยู่บนกองทุน สังคมที่ไร้สุข สังคมที่เต็มไปด้วยความกลัวและความหวาดระแวงก็กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆอาจจะเป็นภัยร้ายเสียยิ่งกว่าไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่กำลังระบาดอยู่ก็ได้ ....

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ยามท้อ (ของแท้)

ยามท้อ (ของแท้)

ในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วิถีชีวิตนำพาให้ต้องเดินทางไปสู่แดนดงโกลาหลของการจราจรอย่างมิได้ตั้งใจ ในใจกลางเมืองหลวงย่านสวรรค์ของบางคน แต่หลายคนอาจจะเหมือนตกนรก วันอาทิตย์แท้ๆไฉนรถรามันจึงติดเป็นแถวยาวเหยียดเช่นนี้?????? กว่าจะรู้ความจริง เราก็ไปสิงสถิตอยู่ในท่ามกลางความวุ่นวายเสียแล้ว ชีวิตเราก็มักเป็นดังนี้ บางครั้งบางสถานการณ์ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้จงใจให้เป็น ให้เกิดความทุกข์ ความสับสน แต่แล้วจู่ๆมันก็วิ่งมาหา เราก็วิ่งเข้าใส่มันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จะรู้อีกทีก็นั่งจมอยู่บนกองทุกข์กองโตนั่นเสียแล้ว...รค์ของบางคน แต่หลายคนอาจจะเหมือนตกนรก วันอทิตย์แท้ๆ"

ชีวิตจะได้รับบทเรียนที่มีค่าที่สุดท่ามกลางความทุกข์ยาก ตราบใดยังมีชีวิตตราบนั้นยังคงมีความหวัง สิ่งใดแก้ไขไม่ได้ สิ่งนั้น ต้องอดทน ไม่มีความโศกเศร้าใด ๆ
ที่กาลเวลาไม่ช่วยผ่อนคลายให้บรรเทาเบาบางลงได้

ใช่ความอดทนเท่านั้น สำหรับวันนั้น แล้วเมื่อใจเย็นลง ความสงบก็เข้ามาแทนที่ มองเห็นสิ่งรอบข้างอย่างเข้าใจและหาทางออกมาให้พ้นจากความวุ่นวายนั้นเร็วที่สุด บ่ายแก่ๆเมื่อธุระเสร็จสิ้นลง จึงตรงไปยังรถ รีบออกจากที่จอดอันกว้างใหญ่ แต่ยังไม่พอสำหรับรถรกเมือง ใช่หรือเปล่า ความทุกข์อย่างหนึ่งของคนมีรถ คือ การหาที่จอดรถ คนไม่มีรถอาจจะเสียเวลาน้อยกว่าในการรอรถเมล์ รถไฟ รถแท็กซี่ก็ได้ (แต่เราก็อยากมีรถไว้ครอบครอง)

และเมื่อเคลื่อนตัวออกมาได้ไม่เท่าไหร่ รถเริ่มไม่ขยับเขยื้อน เห็น รปภ.(ยาม) ของห้างดังกลางเมืองออกมาโบกรถอย่างขยันขันแข็งและอดทน แนะนำให้ผู้คนไปทางโน้นทางนี้จนหน้าดำหน้าเขียว แต่สิ่งที่เห็นเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ไม่มีใครยอมเชื่อฟังเขาเหล่านั้น ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังจุดหมายในเส้นทางที่คุ้นชิน ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงตะโกนบอกทางของ รปภ.(ยาม) จนกระทั่ง....คงเป็นเพราะเหนื่อย คงเป็นเพราะความเบื่อที่พูดที่บอกที่เตือนแล้วไม่มีใครเชื่อฟังและปฏิบัติตาม หนึ่งในนั้นจึงพูดดังๆผ่านโทรโข่งว่า บอกก็ไม่มีใครฟัง ทางนั้นรถติดมาก เพราะเค้ามีรับปริญญากัน ไม่เชื่อก็ตามใจ ติดกันอยู่อย่างนี้นั่นแหละทางขวาออกไปก็ได้ ถนนโล่ง ตามสบายเลยครับพี่น้อง นี่ซิ ยามท้อของแท้

เมื่อได้ยินเต็มๆสองหู จึงรู้สึกว่าการที่ได้เชื่อคนที่รอบรู้อาจจะทำให้สู่เป้าหมายเร็วกว่า ถึงแม้ว่าฐานะทางสังคมที่สมมติกันขึ้นมา อาจจะทำให้พวกเขาดูด้อยกว่าอีกหลายคนที่นั่งแช่เย็นอยู่ในรถ จึงตัดสินใจกลับรถตามคำบอก รปภ. (ยาม) ท่านนั้นก็เดินมาอำนวยดูลู่ทางให้เป็นอย่างดี ในใจก็คิดว่า เอาหล่ะไหนๆก็เสียเวลามามากแล้ว ต้องลองเสี่ยงดู อย่างน้อยก็ทำให้เขามีกำลังใจทำงานต่อไป อย่างน้อยเขาจะได้คิดว่ายังมีคนเห็นและเชื่อฟังเขาบ้าง จะได้ไม่ท้อแท้ในการปฏิบัติหน้าที่

ชีวิต มักมีการเผชิญภัยที่ยิ่งใหญ่เสมอ ชีวิตก็ควรจะมีการเสี่ยงบ้าง ในทุกขณะชีวิตต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความกล้าหาญ ทั้งมีความอดทนอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งในการมีชีวิตที่ดี มีประโยชน์ เมื่อความท้อแท้เข้ามาทักทาย มาเยี่ยมเยียน จิตใจคนเราก็มักจะหมดแรง หดหู่ เหมือนล้มลง แล้วไม่มีกำลังลุกขึ้น

แล้วจากคำแนะนำของยามท้อคนนั้น ทำให้เราหลุดรอดจากลานจอดรถบนถนนหลวงแหล่งนั้น ถึงจะอ้อมบ้าง แต่ก็ทำให้เราเดินทางอย่างราบรื่น รถขับเคลื่อนไปข้างหน้าตามหน้าที่ของมันอย่างเป็นปกติ มีเวลาแหงนหน้าดูท้องฟ้า มีเวลาที่จะทำอย่างอื่นในชีวิตเพิ่มขึ้น ดีกว่าการนั่งนิ่งๆแต่จิตใจกระสับกระส่ายอยู่ในรถยนต์ที่แอร์ๆเย็นอย่างนั้น ฟังเพลงก็ไม่ได้ซาบซึ้งถึงความไพเราะ มีแต่ท้อแท้ และเบื่อหน่าย

ยามเมื่อท้อแท้คราใด มองขึ้นไปบนฟากฟ้าอันกว้างไกลไร้ขอบเขต ตัวเราเล็กนิดเดียว แต่ทำไมปล่อยให้ความทุกข์ไปบดบังท้องฟ้าเล่า ท้องฟ้าใหญ่เพียงใด ความทุกข์เราก็เล็กแสนเล็ก เป็นเรื่องแปลกที่เรามักเอาความทุกข์มานำชีวิต จนทำให้หดหู่ ท้อแท้และสิ้นหวัง หลายครั้งความท้อแท้นั้นมาจากการไม่ได้ดังหวัง เป็นที่ยอมรับ เป็นที่รักของผู้คน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ใช่หรือไม่ ในทุกคนที่เรารักเขาอาจจะไม่รักเราทุกคนก็ได้ สิ่งที่เราจะก้าวพ้นห้วงแห่งทุกข์ได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะน้อมรับความเป็นจริงแห่งชีวิต ท้อแท้ได้แต่ต้องไม่ท้อถอย

ยิ่งในโลกยุคสมัยของเรา ผู้คนต่างอยู่ต่างเป็นต่างฉกฉวยโอกาส แย่งชิงสิ่งของเงินทองไปครอบครองกันแบบไม่ลืมหูลืมตา จะหาใครได้เล่าที่ยอมรับผู้อื่นอย่างจริงใจ หรือในบางครั้งความท้อแท้ก็เกิดจากการไม่เห็นผู้คนจริงใจต่อกันหวังเพียงผลประโยชน์ ใช่...เราก็เป็นคน ย่อมมีอ่อนแอท้อแท้บ้าง ในความท้อแท้ก็ใช่จะเลวร้ายไปเสียทั้งหมด ยังมีความสุขลึกๆซ่อนอยู่ ความสุขที่เรายอมรับตัวเราเองอย่างที่เราเป็น และเมื่อเรายอมรับตัวเราได้ การน้อมยอมรับผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรในชีวิต...