วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตะวันลับฟ้าหน้าวาติกัน


ตะวันลับฟ้าหน้าวาติกัน

การเดินทางในทุกครั้งย่อมมีวันสิ้นสุด หยุดลงตรงเป้าหมายปลายทางตามกาลกำหนด กับการเดินบนหนทางชีวิต แม้จะรู้ว่ามีวันสิ้นสุด แต่มิอาจจะหยั่งรู้ถึงกำหนดวันสุดท้ายได้ (มีบ้างบางคนที่เร่งรัด รวบรัด ตัดตอนด้วยการฆาตรกรรมตนเอง)  ฉะนั้นแล้วทุกวันเวลาย่อมหมายถึงวันสิ้นสุดได้ในทุกวินาที จะมีสักกี่คนที่หมั่นพร่ำบอกตัวเองว่า ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มีแต่ต้องนอนยาวแน่ๆไม่วันใดก็วันหนึ่ง  หลายคนยังคงหลอกตัวเอง หลอกลวงคนอื่น สร้างความระทมให้คนอื่น ตกอยู่บนกองทุกข์โดยมีข้ออ้างและเหตุผล เพื่อหลอกตัวเอง และยังคงเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ ว่าคือสิ่งถูกต้อง
การเดินทางแสวงบุญในครั้งนี้เป้าหมายสุดท้าย ป้ายสุดทางอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เพื่อเยี่ยมชมนครรัฐวาติกัน ศูนย์รวมของพระศาสนจักรคาทอลิกของเรา ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งความเชื่อ ประวัติศาสตร์ที่มีทั้งด้านงดงามและด้านมืดมัว และโดยอาศัยความเชื่อในพระคริสตเจ้าทำให้พระศาสนจักรมั่นคงถาวรมาจวบจนทุกวันนี้...
จากฟาติมามาโรม จากลาโปรตุเกสมาคารวะอิตาลี คณะเดินทางต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาขึ้นเครื่องให้ทันเวลา เรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เกิด ดูเหมือนเพื่อให้เราได้เรียนรู้โลกและเรียนรู้ที่จะฝึกฝนความอดทน เมื่อเดินทางมาถึงกรุงโรม กระเป๋าเดินทางถูกโยนอย่างแรงจนทำให้พังยับ ต้องลากจูงอย่างลำบาก หะแรกคิดว่าทำไมหนอโชคร้ายจึงตกเป็นของเรา และเมื่อตรวจสอบทั้งคณะแล้ว เป็นเช่นนี้ถึง 3-4 คน โอ้... โลกนี้ยังมีเพื่อนร่วมทุกข์เสมอ อย่าคิดว่าทุกข์อยู่คนเดียว 
ที่กรุงโรม เมืองแห่งประวัติศาสตร์ ซากของเมืองเก่ายังคงปรากฏให้เห็น โคลิเซียม ถนนที่ยังคงเป็นแบบเดิมๆ เป็นถนนที่ใช้สำหรับรถม้า แม้ว่าวันนี้ทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยรถรา รถม้ารถลาไม่มีให้เห็น การเยี่ยมชมความงามและสวดภาวนาทั้งสี่มหาวิหารคือสิ่งที่เราคริสตชนคาทอลิกไม่พลาด (มหาวิหารนักบุญเปโตร มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง มหาวิหารนักบุญยวงลาเตรัน และมหาวิหารแม่พระแห่งภูเขาหิมะ) เพื่อจรรโลงให้ความเชื่อและความศรัทธาเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น การได้ร่วมมิสซาเช้าภายในมหาวิหารนักบุญเปโตร ก็นับว่าเป็นอะไรที่เปี่ยมสุขและโดยเฉพาะบทเทศน์ของมงซิญอร์ วิษณุ ธัญญอนันต์ผล ที่บอกเล่าถึงการต้อนรับคนไทยที่เข้ามาเยี่ยมสถานที่แห่งนี้มิขาดสาย ทั้งคนคริสต์และคนต่างศาสนา ประโยคหนึ่งที่คุณพ่อถ่ายทอดไว้ยังจำมิมีวันลืม คนเรามักชอบแสวงหา แต่ก็ไม่เคยพบ ใช่...เรามาแสวงบุญแล้วเราได้บุญกลับไปหรือเปล่า ได้ความศรัทธาที่เพิ่มพูนขึ้น หรือเพียงแค่ได้ประสบการณ์ใหม่ๆในสิ่งที่แตกต่างเพียงเท่านั้นหรือไม่ เป็นบทรำพึงประจำวันนั้นได้อย่างดี ...

ช่วงบ่ายวันสุดท้ายที่กรุงโรม เป็นเวลาว่างเพื่อให้ทุกคนเที่ยวชมหรือซื้อสิ่งของฝากญาติสนิทมิตรสหายตามอัต(เงิน)ภาพ สิ่งหนึ่งที่หวังไว้คืออยากจะมีเวลาไปคารวะและสวดภาวนาต่อหน้าหลุมพระศพของบุญราศี จอห์น ปอล ที่ 2 ภายในมหาวิหารนักบุญเปโตร ทั้งๆที่ตอนเช้าได้เข้ามาเพื่อร่วมมิสซารอบหนึ่งแล้ว แต่หน้าพระศพยังไม่เปิดให้เข้าไปสวด ในตอนบ่ายผู้คนเริ่มมาก ต้องต่อแถวเพื่อเข้าชมยาวจนถึงหน้าลานมหาวิหาร แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินรอประมาณครึ่งชั่วโมง จึงได้มีโอกาสไปคุกเข่าสวดภาวนาต่อหน้าพระศพ บุคคลที่เคารพรักอย่างยิ่ง ...

ใช้เวลาดื่มด่ำส่วนตัวในมหาวิหารจนเมื่อยล้าขาพอควร เวลายังมีเหลือสำหรับคนที่จะซื้อของฝาก รูปพระ ศาสนภัณฑ์มากมีให้จับจ่าย แต่ด้วยความที่ไม่ถนัดนักจึงขออาสาเป็นฝ่ายเฝ้าของ รออยู่ที่จุดนัดหมาย แสงทองยามเย็นค่อยๆร่วงหล่นหลังโดมมหาวิหาร ใจหนึ่งอยากจะวิ่งไปหามุมเพื่อถ่ายถาพเก็บไว้ แต่เมื่อเห็นสิ่งของต่างๆที่อาสาเฝ้าไว้แล้วก็มิอาจจะเคลื่อนกายไปไหนได้ ได้แต่นั่งมองและรำพึงถึงเรื่องราวต่างๆนานา เพื่อให้แสงตะวันลับฟ้าหน้าวาติกันเป็นเพื่อนร่วมกาลเวลา...
แสงแดดแห่งกลางวันกำลังจะลาลับ ความเย็นยะเยือกและความมืดเริ่มก่อร่างขึ้น วันเวลาคงผันผ่านไปในแต่ละวัน ข้างหน้าคือมหาวิหารนักบุญเปโตรเด่นเป็นสง่า ได้ผ่านกลางวัน กลางคืน ผ่านร้อนผ่านหนาวมายุคแล้วยุคเล่า เปลี่ยนผ่านผู้นำมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง องค์สมเด็จพระสันตะปาปาผู้สืบสานงานต่อจากพระเยซูเจ้า ผู้ได้รับการคัดสรร เพื่อนำพาหมู่มวลมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ บนพื้นฐานแห่งความรัก สถานที่เล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณแห่งนี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงความรักของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ต่อเราเสมอมา

แล้ว...กลางวัน กลางคืน ที่ผ่านมาแล้วผ่านไปในชีวิตเราล่ะ ได้พบเจอความสุขสงบมากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางหมู่คนที่เห็นแก่ตัว ท่ามกลางการแข่งขัน ท่ามกลางความหลอกลวง ท่ามกลางการทรยศหักหลัง และความชั่วร้ายหมายทำลายล้างกัน เป็นดั่งกลางคืนที่แสนยาวนานในชีวิตจริงของเราหรือไม่ หรือ...เป็นกลางวันที่มีแต่แสงแดดแห่งความเกลียดชัง คลั่งแค้น แสงแห่งการเข่นฆ่าที่แผดเผา วันเวลาที่ผ่านมาเราปล่อยให้ชีวิตเวียนว่ายภายใต้สิ่งเหล่านี้หรือไม่ แสงตะวันลับลาขอบฟ้าลดความร้อนแรง แต่กำลังนำพาไปสู่ความมืดมัว หาเป็นเช่นนั้นไม่...
 เมื่อสิ้นแสงแรงกล้าแห่งวัน ควรที่จะลดความร้อนรุ่มในใจลง เพื่อให้เราก้าวสู่ความสงบท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน อยู่กับตัวตน ไตร่ตรองถึงสิ่งที่ทำมา ใช่หรือไม่ หากใจไม่สงบเสียแล้ว กลางวันยิ่งร้อนรุ่มกลางคืนยิ่งยาวนานและสับสน ใช่หรือไม่ บางทีเรามิต้องเดินทางแสวงหาค้นทางธรรมไกลสุดขอบฟ้า ทั้งๆที่สันติอยู่ในใจเราแต่เรามองข้ามไปวันแล้ววันเล่า เพียงแค่บางครั้งหยุดแสวงหาก็เป็นการค้นพบความหมายของชีวิตได้แล้วเช่นกัน...

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เส้นทางเด็กเลี้ยงแกะ


เส้นทางเด็กเลี้ยงแกะ
            วันนี้กลางมหานครหลวง...ถนนสำคัญๆที่เป็นเส้นทางการขนส่งของเมืองหลวงถูกกองทัพน้ำ บุกยึดไปทีละเส้นอย่างเยือกเย็น ความลำเค็ญลำบากของผู้คนก็ตามมา จากที่เคยรถติดจนหงุดหงิดเปลี่ยนมาเป็นรอเรือและรอรถทหาร รถใหญ่ ใช้เวลาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอย่างใจเย็น จากที่รุ่มร้อนไปด้วยเปลวเชื้อเพลิงการเผาไหม้เครื่องยนต์ เปลี่ยนเป็นเปลวคลื่นพลิ้วไหวระลอกคลื่นของสายน้ำ จากกลิ่นเหม็นของท่อไอเสียรถ เปลี่ยนเป็นกลิ่นเหม็นจากน้ำเน่าแทน จากที่เคยต้องการน้ำ แต่ครั้นน้ำมากท่วมหัวต่างผลักใสให้ใครก็ได้ช่วยรับไปที ชีวิตคนเราหรือ..จะคิดฝืนธรรมชาติ น้อมรับอยู่อย่างสุขใจ และหันหน้ามาช่วยเหลือเกื้อกูล เพื่อว่าให้วันแห่งความทุกข์มวลรวมไหลผ่านไปอย่างงดงามกันเถิด..
            วันนั้นที่ฟาติมา...เช้าวันที่สองและวันสุดท้ายแห่งแผ่นดินถิ่นแสนมหัศจรรย์ เป็นการเดินรูป 14 ภาค ในเส้นทางเดินของเด็กเลี้ยงแกะทั้งสามคน เป็นเส้นทางในตำบล ลาโควา ดา อิรออา ซึ่งอยู่ห่างจากฟาติมา 3 กม. การเดินรูปมาหยุดลงตรงจุดการประจักษ์มาของเทวดาเพื่อสอนบทสวดแก่เด็กทั้งสามซึ่งไม่ได้เรียนหนังสือ ก่อนที่แม่พระจะประจักษ์มา ระหว่างทางมีทางแยกไปยังบ้านเกิดของทั้งสามคน (ยาชินทา มาร์โต เป็นพี่น้องกับ ฟรังซิสโก มาร์โต ซึ่งอยู่บ้านหลังเดียวกัน ส่วนลูซีอา โดสซังโตส เป็นลูกพี่ลูกน้อง อยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง) อากาศกำลังสบาย แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆเหงื่อเริ่มออก ข้อสงสัยเริ่มผุด เหตุไฉน เหตุการณ์ในโลกนี้มีสิ่งที่ต้องขบคิดมากมาย พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าเรามนุษย์จะหยั่งรู้ นี่คือสิ่งที่งดงามในหนทางชีวิต...
            ท่ามกลางข่าวสารที่ไหลท่วมท้นยิ่งกว่ามวลน้ำที่ไหลท่วมกรุงของวันนี้... เราจะเชื่อข้อมูลของใคร จะต้องทำอย่างไร ยิ่งรู้ยิ่งวิตก ยิ่งอ่านยิ่งสับสน การวิพากษ์วิจารณ์ก็มากมี คนที่เก่งเกินงามก็มากมาย มีบ้างบางครั้งที่จำต้องหยุดเสพสารข้อมูลทั้งหลายทั้งปวง แล้วนั่งทบทวนใช้วิจารณญาณเท่าที่มีเท่าที่เป็นสังเกตมองรอบด้าน และเตรียมพร้อมว่า สิ่งใดควรทำก่อนหลัง ที่สุดต้องเลือกกลั่นเลือกกรอง เลือกรับรู้ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ที่มีความแม่นยำพอสมควร เวลาที่ผ่านมาพิสูจน์ว่าข้อมูลจากแหล่งไหนน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ถ้าเราเพียรพอที่จะรู้จักวิเคราะห์ ...
            ท่ามกลางความไม่น่าเชื่อถือในเด็กเลี้ยงแกะทั้งสามคนเมื่อวันนั้น... ทำไมแม่พระไม่เลือกประจักษ์มาให้กับผู้ที่น่าจะเชื่อถือที่สุดในเมือง เพราะอย่างน้อยความน่าเชื่อถือในสายตาของคนทั่วไปย่อมดีกว่า แต่...เมื่อมองให้ลึกลง ความซื่อๆของเด็กไร้การศึกษาต่างหากคือข้อความจริงที่มิต้องใส่จริต เพื่อสร้างความเชื่อถือ ความอดทนในการทำความดี ในการประกาศข่าวดี เด็กที่มีชีวิตลำบากย่อมมีความอดทนสูงกว่า ใช่หรือไม่ หนทางสู่สวรรค์มิใช่เรื่องที่จะทำแบบง่ายๆและรวบรัดตัดความ ความเชื่อย่อมต้องพิสูจน์ด้วยศรัทธา และศรัทธาย่อมต้องมาพร้อมกับความอดทนในวันเวลาเสมอ..
            การประกาศให้อพยพเกิดขึ้นแทบทุกวัน เดี๋ยวก็เขตนั้นเดี๋ยวก็เขตนี้ หลายคนทำตาม แต่ก็มีมากที่ไม่ยอม ขออยู่ในบ้านด้วยคิดเองว่าจะท่วมสักกี่วันกันเชียว!!! เดี๋ยวน้ำคงลดลง ที่สุดเมื่อระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ ท่วมอกบ้าง ท่วมเอวบ้าง มีไม่น้อยท่วมหัว ออกจากบ้านเรือนไม่ได้ ก็นอนรอความหวัง รอการช่วยเหลือจากที่ต่างๆ อยู่กับน้ำเพื่อรอรับน้ำใจของเพื่อนร่วมชาติอย่างสิ้นหวัง...
            การประจักษ์มาของแม่พระที่ฟาติมาแก่เด็กทั้งสามคนเป็นเวลาหลายเดือน ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม ถึง ตุลาคม ค.ศ.1917 พร้อมกับข่าวสารที่แจ้งบอกให้กับคนทั้งโลก ฉันคือพระมารดาแห่งลูกประคำ ..จงทำพลีกรรมเพื่อคนบาปและสวดบ่อยๆว่า ข้าแต่พระเยซูเจ้า พลีกรรมนี้ เพื่อแสดงความรักต่อพระองค์ เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ และเพื่อชดเชยการทำขัดเคืองดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ แน่นอนย่อมมีคนไม่เชื่อมากมาย บางคนคงชี้ไปว่าเด็กเลี้ยงแกะใครเชื่อก็บ้าแล้ว..ยากยิ่งนัก ทั้งๆที่หลายคนในพวกนั้นต่างเฝ้ารออัศจรรย์ แต่เมื่อเกิดขึ้นกับเด็กไร้การศึกษากลับไม่ยอมเชื่อ สุดท้ายแม่พระจึงมอบบันทึกฟาติมา เพื่อเปิดเผยให้โลกได้รับรู้ความจริง
            วันนี้บันทึกนั้นเริ่มเป็นจริงขึ้นทุกๆวัน เส้นทางของเด็กเลี้ยงแกะกลายเป็นเส้นทางชี้นำหนทางเพื่อให้โลกได้พ้นภัยอันตราย ...
            ประการแรก การเปิดเผยให้เห็นถึงแดนนรก แดนทรมาน อันเนื่องจากบาปผิดต่อความบริสุทธิ์ ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร (การทำแท้ง และการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ยังมีให้เห็นมากมาย)
            ประการที่สอง การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ มีให้เห็นแล้ว แต่โลกก็ยังมีผู้นำที่มีหัวใจคอมมิวนิสต์ไม่มีสิ้นสุด..
            ประการที่สาม ถูกเปิดเผยบางส่วน โดยองค์สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2  หากมนุษย์ไม่ฟังคำสั่งที่พระเจ้าทรงวางไว้ต่อหน้าพวกเขา ปีศาจจะปกครองโลกและมันกำลังทำให้คนทั้งหลายเกลียดชังกัน อาวุธที่มนุษย์สร้างขึ้นสามารถทำลายโลกได้ในเวลาเพียงนาทีเดียว ครึ่งหนึ่งของมนุษยชาติจะถูกทำลาย พระศาสนจักรเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความชั่วร้าย และมนุษย์จะสูญเสียความเชื่อ
            แผ่นดินไหวจะทำลายแนวเส้นแบ่งของโลก (เส้นศูนย์สูตร)คนหลายล้านคนจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่นาที ส่วนพวกที่รอดชีวิตก็ปรารถนาให้ตัวเองอยู่ในหมู่ผู้ตาย สภาพของโลกที่อยู่เบื้องหน้าเรานั้นเป็นสภาพที่ไม่อาจจินตนาการได้ แต่สิ่งนี้จะมาอย่างแน่นอน พวกที่เชื่อและสัตย์ซื่อต่อพระองค์ จะมีชีวิตรอดและจะมีความเชื่อเพิ่มขึ้น
            วันนี้เราจะเชื่อบันทึกจากเด็กเลี้ยงแกะในวันนั้นหรือไม่ เชื่อแล้วจะทำอย่างไร..คำตอบได้พิสูจน์ในกาลเวลาที่ผ่านมาและกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว.....
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วันทา...ฟาติมา


วันทา...ฟาติมา
กองกำลังส่วนหน้าของกองทัพน้ำ ได้เข้าประชิดโอบล้อมเมืองหลวงเอาไว้แล้วทุกด้าน และเมื่อทัพใหญ่มาถึง ทุกที่ก็จมอยู่ใต้น้ำ แต่ชีวิตคนหาได้จมไปกับกระแสธารลูกใหญ่นี้ไม่ คนเราไม่มีทางอับจนย่อมดิ้นรนต่อสู้ได้เสมอ และวิธีต่อสู้ที่ได้ผลที่สุด คือการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เรียนรู้ที่จะอยู่กับอุปสรรค ปัญหามาปัญญามี ... 
มาเปิดบันทึกการแสวงบุญกันต่อในสัปดาห์นี้ ส่วนเรื่องน้ำหากจะต้องอยู่กับมันก็ต้องอยู่อย่างสุขใจและวางไว้ใจในพระเจ้าว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา... จากลูร์ดมุ่งสู่ฟาติมา ซึ่งอยู่คนละประเทศ ต้องใช้เวลานั่งรถถึงสองวันผ่านทางประเทศสเปนจึงจะถึงประเทศโปรตุเกส ฟาติมาดินแดนแห่งความมหัศจรรย์ ที่แม่พระได้ประจักษ์แก่เด็กเลี้ยงแกะทั้งสามคน ฟรังซิสโก ยาชินทา และลูซีอา เพื่อบอกกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญๆที่จะบังเกิดขึ้นบนโลก และเป็นที่กล่าวขานกันในเวลาต่อมาในนามของบันทึกลับฟาติมา (ติดตามได้ในสารวัดฉบับหน้า...)
อย่างที่เกริ่นนำมาว่าเราต้องเดินทางผ่านสเปน และเพื่อเป็นการพักรถ พัก
คน ผู้จัดจึงได้นำไปเยี่ยมสถานที่สำคัญๆบางแห่งที่เป็นทางผ่าน เช่น บ้านของนักบุญอิกญาซิโอ เมืองโลโยลา อาสนวิหารในเมืองบูร์กอส ที่งดงามไปด้วยศิลปะแห่งทองคำ ได้รับการยกย่องว่าเป็นโบสถ์ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง เยี่ยมชมและสวดภาวนาที่อารามคาร์แมลที่เก็บพระธาตุของนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลา ใช่หรือไม่ มีสิ่งที่งดงามอยู่เสมอแม้ในหนทางที่เรากำลังก้าวข้ามผ่าน เช่นเดียวกับเราคนเมืองหลวงในขณะนี้ที่กำลังกอดคอกัน เพื่อก้าวข้ามผ่านภาวะน้ำท่วมไปด้วยกัน ในขณะก้าวข้ามผ่านเราได้เห็นความงดงามเกิดขึ้นมากมาย ได้มีเวลาหยุดคิดถึงหนทางชีวิต มีเวลาได้นั่งลงพักไม่รีบเร่ง แล้วได้นั่งทบทวนถึงหนทางที่ผ่านมา มีบ้างบางคนถึงกับค้นพบแรงผลักดันและแรงบันดาลใจให้เริ่มทำในสิ่งใหม่ๆ เป็นเหมือนกับการหยุดพักเพื่อเติมพลัง การมุ่งหน้าให้ถึงเป้าหมาย  มากเกินไป หลายครั้งก็พลาดที่จะพบเจอสิ่งใหม่ๆที่ล้ำค่า อาจจะเทียบเท่ากับเป้าหมายที่รอคอยก็เป็นไปได้...
แต่สำหรับเป้าหมายของเราในครั้งนี้มิมีวันเปลี่ยนแปลง นั่นคือ ฟาติมา เพราะความรักที่แม่พระมีให้กับเรามิมีวันลดหายลงไป การก้าวผ่านประเทศสเปน ใช้เวลานั่งอยู่บนรถเป็นส่วนใหญ่ ความเหนื่อยเมื่อยล้าย่อมมีให้เห็น แต่แล้วเมื่อลงจากทางด่วนเข้าสู่เขตฟาติมา ความเมื่อยล้าถูกสะบัดให้หลุดไป เหลือแต่เพียงสายตาที่เพ่งไปสู่วงเวียนที่มีรูปปั้นของทั้งสาม ลูซีอา ยาชินทา และฟรังซิสโก  ที่ดูเหมือนมุ่งมั่นและกำลังเดินไปหาอะไรสักอย่าง ... แล้วการเดินทางก็สิ้นสุดหยุดลงที่ฟาติมา
ยามเย็นฟ้ามืด แต่ยอดหอระฆังวัดเริ่มทอแสง หลังอาหารค่ำเป็นเวลาที่จะร่วมสวดสายประคำและแห่แม่พระ ขณะที่เดินผ่านลานโล่งหน้าวัดแห่งการประจักษ์ ความรู้สึกว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ขณะนี้เราได้มายืนอยู่ที่ฟาติมา ขอวันทา ฟาติมา วันทา มารีย์ การสวดสายประคำในค่ำคืนนี้ คณะของเราได้มีโอกาสส่งตัวแทน เพื่อนำสวดบทวันทามารีย์ 5 บทเป็นภาษาไทย ในข้อรำพึงที่สาม ทุกคนต่างรอฟังเสียงผู้ก่อนำผ่านทางลำโพงใหญ่อย่างใจจดใจจ่อ แล้วเมื่อถึงเวลา บทวันทามารีย์ในนามภาษาไทยก็ดังขึ้น ทุกคนจึงร่วมประสานเสียงในท่อนรับ สันตะมารีย์พระมารดาพระเจ้า... อาแมน โดยพร้อมเพรียงกัน ในขณะที่ผู้แสวงบุญจากประเทศอื่นก็สวดตามภาษาของตนเอง และที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก แม้จะแตกต่างด้วยสำเนียงภาษา แต่ทุกคนก็มาจบลงในจุดเดียวกัน คือ อาแมน โดยพร้อมเพรียงกัน ใช่หรือไม่ หากว่าทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันบ้าง ย่อมต้องบรรจบพบเจอ ณ จุดปลายทางได้เสมอ..
ที่ฟาติมาจะแตกต่างจากลูร์ด ก็ตรงที่จะร่วมกันยืนสวดต่อหน้าพระรูปแม่พระหน้าวัดน้อย จนครบหนึ่งสายประคำ แล้วจึงจะมีการแห่ แต่ที่ลูร์ดจะสวดไปพร้อมๆกับการเดินแห่ ขบวนแห่ที่ยาวเหยียด พร้อมบทเพลง อเว อเว อเว มารีอา โคมไฟ ที่เป็นเหมือนแสงเล็กๆส่องนำทาง แต่เมื่อมารวมกันความสว่างก็มีมากพอเพื่อให้เราเดินไปตามทางได้อย่างสะดวก เป็นภาพที่สวยงาม เป็นกระแสธารแห่งแสงเทียน เป็นคลื่นทองส่องในยามค่ำคืน...  
ในค่ำคืนแรกบางคนขอจบด้วยการเดินเข่าสวดภาวนา ที่ฟาติมาจะมีทางเอาไว้สำหรับผู้ที่ปรารถนาจะพลีกรรมด้วยการเดินเข่าสวดภาวนา แม้จะยาวแต่สำหรับผู้มีหัวใจแห่งศรัทธานี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความยากลำบากของพระเยซูคริสตเจ้าและพระแม่มารีย์พระมารดา และแน่นอนเราก็สวดวิงวอนแม่พระเพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมทุกๆคน แม้ว่าจะมีบางคนในพวกเราเมื่อกลับบ้านประเทศไทยแล้วต้องเปลี่ยนสถานะ เป็นผู้อพยพลี้ภัยน้ำท่วมด้วยเช่นกัน...

http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรือนน้ำ

เรือนน้ำ

ตั้งใจว่าจะนำบันทึกจากการแสวงบุญรอบนี้มาฝากอีกสัก 2-3 ตอน แต่เห็นน้องน้ำที่เที่ยวตามหาพี่ทรายในเมืองหลวง จนเตลิดเพลิดเพลินแวะเที่ยวที่นั่นที่นี่จนเกือบจะครบทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ตามมหาวิทยาลัย วัดวาอารามและห้างสรรพสินค้าแล้ว ต้องขอบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับน้องน้ำนองไว้ ณ โอกาสนี้...

น้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งนี้มีเรื่องหลายเรื่องให้ขบคิด มีหลายสิ่งให้แสวงหาคำตอบ แต่ก็มีหลายคำถามผุดขึ้นแบบไม่ปรารถนาที่จะได้คำตอบ เราจะเห็นว่าในประเทศของเรามีคนเก่งๆ มีความสามารถมากมาย ผู้สันทัดเรื่องน้ำที่เคยแอบอยู่ในซอกหลืบ ก็ออกมาบอกกล่าวคาดการณ์อย่างเที่ยงตรง แต่ก็มักไม่ได้รับการสนองตอบมากนัก ประมาณว่า เก่งแต่ไร้อำนาจจัดการ คนที่จัดการก็ไม่เก่งพอที่จะใช้คนเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ เราจึงเห็นน้ำจำนวนมหาศาลพร้อมกับมวลอคติของผู้คนก้อนมหึมา ถาโถมเข้าใส่เมืองหลวง ต่างคนต่างทำต่างคนต่างคิดว่าเก่ง ทำงานเพื่อบำรุงสุขของตนและพวกพ้อง จนเกิดการขัดกันไปกันมา...

แต่สำหรับผู้คนทั่วไป คนเล็กๆ ประชาชนคนธรรมดา กลับมีด้านมุมที่งดงามในยามน้ำล้น จิตใจคนไทยอีกมากมายที่ยังไม่ล้นไปด้วยความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เงินบริจาค สิ่งของช่วยเหลือล้นหลาม น้ำมาแต่ขาดน้ำกิน(ไม่น่าเชื่อ) คนไทยก็ไม่ทิ้งกัน ต่างคนต่างช่วยเหลือกันและกัน ต่างคนต่างหยิบยื่นมิตรจิตมิตรใจให้กันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมเมืองมาก่อน จิตอาสาของคนหนุ่มสาวส่องแสงเจิดจ้า อุดมการณ์คนเดือนตุลารุ่นใหม่เบ่งบาน บ้านใกล้เรือนเคียงที่ร้อยวันพันปีมิเคยเอื้อนเอ่ยวจีใดๆให้กัน ยามนี้เห็นหน้าไถ่ถามยิ้มแย้มให้กัน หรือว่าน้องน้ำมาคราวนี้เพื่อให้เราหวนคืนสู่วิถีไทย ...

การต้องอพยพออกจากบ้านเป็นเรื่องเจ็บปวด เป็นเรื่องที่ยากยิ่งจะทำใจ แต่ถึงที่สุดเมื่อหยุดน้ำไม่ได้ก็ต้องยอมลาจาก ก็ยังมีอีกหลายคนไม่ยอมจากบ้านไปไหน เฝ้ากอดเสาเรือน นอนกลางหลังคา ยินยอมรับสภาพ ทำไมหรือ!!!! เข้าใจได้ไม่ยากสำหรับคนทำมาหากิน สิ่งที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต คือ การได้มีบ้านสักหลัง ที่ต้องก้มหน้าก้มหลังทำงานหามรุ่งหามค่ำก็เพื่อกู้และผ่อนบ้าน บางคนต้องผ่อนไปอีก 30 ปี คาดคำนวณแล้วอายุครบ 60 กว่าได้เป็นเจ้าบ้านตัวจริง ฉะนั้นแล้ว...บ้านจึงเป็นหยาดเหงื่อ เป็นแรงกายทั้งหมดที่ทุ่มเทมาตลอดชีวิต แล้วอยู่ๆใครก็ไม่รู้ เป็นแขกแปลกหน้าที่ไม่ปรารถนาจะเชื้อเชิญก็มาเยี่ยมเยือนก็เข้ามาถึงในบ้าน เขียนป้ายแขวนไว้หน้าบ้าน ห้ามน้ำเข้า ก็ไม่อ่านไม่ฟัง ดื้อรั้นเข้ามาจนได้ แล้วใครก็ไม่รู้ มาตะโกนว่า ให้ออกจากบ้านโดยด่วน ให้แปลงร่างเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน ช่างไม่รู้อะไรกันบ้างเลย บ้านนี้คือชีวิตนะ จะขออยู่แม้ว่ามันจะกลายเป็นเรือนน้ำก็จำยอม...

ในขณะที่เราเคยเห็นข่าวต่างประเทศ คนต่างแดน คนสหรัฐฯ คนญี่ปุ่น เวลาเกิดภัยธรรมชาติ ภาครัฐจะคำนวณได้ก่อนล่วงหน้าหลายวันและประกาศให้ย้ายที่อยู่อาศัย มีการจัดระบบขนส่ง รถราติดบนถนนยาวเป็นเวลาหลายๆวัน ประชาชนก็เก็บข้าวของปิดบ้าน และมีวิธีที่จะทำให้พายุก็ดี น้ำก็ดี ทรายก็ดี ไหลผ่านบ้านไปอย่างไม่มีอันตรายหรือได้รับความเสียหายน้อยที่สุด ขโมยขโจรก็ไม่มี ความปลอดภัยในทรัพย์สินมีสูง การยึดติดกับวัตถุก็น้อย นั่นเขาไม่ได้ฉลาดกว่าเรา แต่เขาเรียนรู้และปลูกฝังวิธีการรับมือมาตั้งแต่เด็กๆ มีสอนในห้องเรียนเป็นเรื่องเป็นราว และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ วิถีชีวิตของประเทศเหล่านั้น เขาให้ราคาคนสำคัญกว่าราคาบ้าน ใช่หรือไม่ เรารับเอาวัฒนธรรมวัตถุนิยมจากประเทศเหล่านี้มา แต่อีกมุมหนึ่งเราก็ไม่เคยศึกษาเลยว่าวัตถุเหล่านั้นมันเป็นเพียงสิ่งที่หาใหม่ได้ เรากลับรับมาแล้วกอดวัตถุไว้จนแน่น และตั้งราคาไว้สูงจนเทียบเป็นราคาทั้งชีวิตของเราไป ...

บ้านเป็นเพียงวิมานหาใช่เป็นวิหาร ชีวิตจิตใจคนต่างหากคือวิหารที่ควรจะเยียวยารักษา บ้านเรือนที่จมน้ำกู้ใหม่ได้ไม่ยาก แต่จิตใจที่จมลึกลงไปในความโลภนี่สิเป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะกู้กลับคืนมาได้ บ้านเรือนน้ำนองอาจจะอยู่กับเราอีกไม่กี่วัน แต่ถ้าลองให้อคติ ความโลภ ท่วมใจแล้ว ทั้งชีวิตก็มิอาจกอบกู้ได้ หลังน้ำลดขอให้ความดีงามที่เริ่มกันมานี้ผุดขึ้นในใจทุกคน แล้วก็อย่าหลงลืมบทเรียน สิ่งที่สวยงามที่เกิดขึ้น ชีวิตคือการเรียนรู้ และจงวางใจในพระเจ้าเสมอจงอย่ากลัวสิ่งใด ...

ขอจบด้วยบทความ มองน้ำท่วมในด้านสร้างสรรค์ โดย อาจารย์ระพี สาคริก เป็นอีกหนึ่งข้อคิดบันทึกไว้ในปีที่น้องน้ำตามหาพี่ทรายที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในเมืองฟ้าอมรแห่งนี้...

เธอที่รักทุกคน

ความจริงแล้วสิ่งที่มันเกิดขึ้นทุกวันนี้ ถ้าเธอหวนกลับไปมองสู่อดีต ฉันพูดไว้นานแล้วว่า

เหตุการณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ก็เพราะคนไทยหลงอยู่กับความสบาย จนกระทั่งรากฐานจิตใจอ่อนแอ เห็นอะไรที่มิใช่ของตัวก็อยากได้ คอรัปชั่นก็เต็มบ้านเต็มเมือง เศรษฐกิจย่ำแย่ก็แก้ไม่ตก การจัดการศึกษาก็ไม่ได้ทำให้คนเป็นมนุษย์ ถ้าฟังเสียงจากภายนอก ต่างชาติเขาพูดกันว่าคนไทยไม่รู้จักความยากลำบาก

ความจริงน้ำท่วมครั้งนี้ ถ้าเธอไม่ใช่คนลืมง่าย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕ มันก็เกิดไม่น้อยไปกว่านี้เว้นไว้แต่ว่าคนไทยสมัยนั้นไม่ได้สร้างวัตถุมากมายเหมือนปัจจุบัน จึงไม่เดือดร้อนเช่นทุกวันนี้ ฉันจำได้ว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕ น้ำมันท่วมถึงชั้นที่สองของบ้าน แต่คนไทยก็ยังอยู่กันได้ถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ ขณะนั้นฉันมีอายุ ๒๑ ปี แต่ทุกวันนี้เรากลับทำลายธรรมชาติ ภูเขาหินปูนลูกใหญ่ๆ ในจังหวัดสระบุรี ลพบุรี และที่ปากช่อง เป็นต้น หายไปเยอะ เปลี่ยนไปเป็นตึกสูงๆ

แม้แต่มหาวิทยาลัยก็มีการก่อสร้างกันอย่างเอิกเกริก การศึกษาที่ทำลายสิ่งแวดล้อมนี่เองที่ได้ทำลายจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ทำให้สังคมแย่ลงไปทุกที ยิ่งแก้ไขก็ยิ่งตกต่ำ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดการจัดการศึกษาทางเลือกการศึกษาที่จัดให้คนนั่งอยู่ในตึกสบายๆ แล้วจะหวังให้ลูกศิษย์จบไปแล้ว ลงทำงานติดดินมันก็คงเป็นไปได้ยาก ยิ่งกว่านั้นตัวผู้ใหญ่เองซึ่งเป็นผู้บริหารก็เช่นกัน หากรักแต่จะประชุมอยู่แต่ในตึกอยู่ในห้องแอร์ลูกศิษย์จะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างไร

เพราะถ้าหัวไม่ส่าย หางมันจะกระดิกได้อย่างไร

ฉันคิดว่าน้ำท่วมครั้งนี้มันน่าจะสอนให้เธอทั้งหลาย รู้จักอดทน เพราะถ้าเธอต่อสู้กับใจตนเองไม่ได้ แล้วจะไปสู้กับอะไรที่ไหน ฉันขอฝากเรื่องนี้เอาไว้ให้เธอกลับไปนอนคิด ฉันไม่รู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้ มันจะเกิดขึ้นอีกสักกี่ครั้ง ถึงจะช่วยให้เธอรู้จักตัวเองดีขึ้น และไม่ไปทำลายธรรมชาติ เช่นเดียวกับเรื่องความพอเพียงที่พูดกันแต่ปาก หากไม่รู้จักทำ มีแต่การพูดกันไปต่างๆนานา โดยหาจุดจบได้ยาก ฉันอายุ 90 ปีแล้ว ฉันขอเป็นกำลังใจให้เธอทุกคนได้เรียนรู้กับความยากลำบากและอดทนทำงานหนัก เพราะการทำงานหนักคือความสุขที่แท้จริง

ขอให้ชีวิตจงมีความสุขเพราะการทำงานให้แผ่นดิน โปรดอย่าคิดว่าการทำงานให้แผ่นดินนั้นจะต้องทำให้กับส่วนรวมเสมอไป แม้แต่การประกอบอาชีพอย่างดีที่สุดโดยมีความซื่อสัตย์สุจริตก็ถือได้ว่าคือการทำงานให้แผ่นดินเช่นกัน

http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20