วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ก็แค่เริ่มใหม่

 

ก็แค่เริ่มใหม่

>>> บางความสำเร็จก็ได้มาจากการยอมรับ และบางความสุขก็ได้มาจากการยอมรับเช่นกัน <<<

เป็นความบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ ในวันที่กลับเยี่ยมบ้านเกิด ในห้องรับแขกมีแมลงปอพัดหลงเข้ามา พยายามไล่ให้ออกไปข้างนอกอยู่นาน ก็ไม่สามารถหาทางบินออกได้ ทั้ง ๆ ที่เปิดประตูบานใหญ่ไว้ให้ จนหมดแรงเลยจับออกไปปล่อย พอกลับมาที่บ้านพักพบเจอเหตุการณ์เหมือนกันต่างกันตรงที่นี่เป็นผีเสื้อ และใช้เวลาอยู่ 2 วัน กว่าจะจับตัว แล้วปล่อยให้บินสู่โลกกว้าง ถือว่าเป็นการส่งเสริมให้เริ่มต้นใหม่ของชีวิตน้อย  


คิด ๆ ดู ในปีใหม่เช่นนี้ เรามักคิดจะเริ่มนั่นเริ่มนี่ใหม่ ๆ เป็นประจำ เป็นข้อตั้งใจ จะทำได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ก็สุดแต่ละคน แต่อย่างน้อย ก็ขอให้วันนี้ เราได้ใช้ชีวิตดีที่สุดก็แล้วกัน เพราะวันกำลังจะผ่านไป และย้อนกลับไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะมีแย่บ้างหรือดีบ้าง มีความสุขบ้าง หรือยิ้มไม่ออกบ้าง ไม่เป็นไร ถ้าวันนี้แย่ พรุ่งนี้ก็แค่เริ่มใหม่  ถ้ายิ้มไม่ออก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ยิ้มได้

คนเรานั้นเมื่อมีความสุข ไม่ช้าก็เร็วความสำเร็จก็ตามมา ความสุขเป็นสิ่งนำทางความสำเร็จเสมอ ชีวิตของเรานั้นสำคัญที่สุด อาจจะพบเจอกับความผิดหวังบ้างในบางจังหวะ อาจจะหาที่ออกไม่ได้ในบางเวลา ก็จงอย่ามองว่าชีวิตเรานั้นไร้ค่า หยุดบ่นว่า ทำไมชีวิตเราต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีเราต้องขอบคุณความอ่อนแอ เพราะนั่นคือก้าวแรกของความเข้มแข็ง ขอบคุณความผิดพลาด เพราะมันจะทำให้เรารู้ทางออกของปัญหา ในตัวของเราเองมีสิ่งที่มีค่า นั่นคือหัวใจแห่งความดีงาม หัวใจที่พร้อมจะลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ พระเจ้าประทานสิ่งนี้มาให้เราทุกคน เราสัมผัสได้ และพยายามรักษาใจ อย่าไปกักขังตัวเอง ปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ เมื่อล้มก็ลุกใหม่ เก็บสิ่งที่ควรจดจำ อย่าไปจดจำแต่ชีวิตของผู้อื่นบนโลกออนไลน์ โลกเสมือนจริง เพื่อกลับมาสู่ความเป็นธรรมดาสามัญ และใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุข  ในแบบของเรา กลับสู่ความจริงความสงบทางใจและความชัดเจนแห่งจิตวิญญาณ สวัสดีปีใหม่ครับ..

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2565

วันนี้คือของขวัญ

 

วันนี้คือของขวัญ

>>> ในทุก ๆ วัน แม้มีสิ่งอื่นมากมาย แต่อย่าลืมทำอะไรบางอย่างเพื่อคนอื่นดูบ้าง <<<

แสงแรกของวันผ่านทะลุหน้าต่างบ้าน ในขณะนั่งดื่มกาแฟ ช่างอบอุ่นเสียนี่กระไร!!! ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับแสงของวันใหม่ที่งดงามเป็นของขวัญยามเช้า ที่มีมาทุกวันจนเราชินชา เหมือนกับชีวิตเราผ่านวันเวลาทุกวัน ปีแล้วปีเล่า สิ่งรอบกาย คือ ความเก่า จนหลงลืมที่จะมองที่จะเห็นคุณค่า หรือ บางครั้งเราก็มักจะรอจังหวะเวลา เพื่อทำสิ่งดี ๆ ให้กับคนรอบข้าง จนบางทีเขาเหล่านั้น อาจจะหายจากเราไปก่อนแล้ว


ทุกคนบนโลกใบนี้ ล้วนมีเวลาจำกัดครอบครัว คนรัก เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเขาจะอยู่กับเราไปนานแค่ไหน เวลาเป็นสิ่งที่เดินหน้าไม่ย้อนกลับ เวลาเดินต่อเนื่องไม่มีวันจบ อดีต คือ เรื่องที่ผ่าน แล้วผ่านไป อนาคต คือ เรื่องที่ยังมาไม่ถึง คาดการณ์ไม่ได้ แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องของวันนี้ เป็นเรื่องจริงตรงหน้า ทุกอย่างใน “ชีวิต” จึงมีที่มาที่ไป บางเรื่องเป็น “ความสุข” บางเรื่องเป็น “บทเรียน” ไม่ว่าเรื่องอะไร เรียนรู้ ปล่อยวาง ของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต คือ การได้เห็นตัวเราเอง “มีความสุข” สุขใจก็ผ่านไปหนึ่งวัน

ทองพูดกับดินว่า “เธอนี่ดูไม่มีสง่าราศีเอาเสียเลย ดูฉันสิ สว่างไสว ใคร ๆ ก็ต้องการ  เธอมีค่าเท่าฉันไหม?” ดินส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “แต่ฉันให้กำเนิดดอกไม้ ให้กำเนิดผลไม้  ให้กำเนิดหญ้า ให้กำเนิดต้นไม้ ให้กำเนิดสรรพสิ่ง  เธอทำอย่างฉันได้ไหม?

ความหมายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่มีค่าแค่ไหน?  แต่อยู่ที่สร้างคุณค่าให้ก่อเกิดได้มากแค่ไหน? เราทุกคนที่กำเนิดมาอยู่ในโลกนี้ เป็นเสมือนแสงทองที่ส่องประกายยามเช้า มักจะนำความสุขมาให้กับคนรอบข้างในวันที่เราเกิดมา พยายามทำทุกวันให้เป็นเช่นนั้น ให้คุณค่าตามแบบของเรา นี่คือของขวัญสำคัญสุดในวันนี้.... Merry Christmas….

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เมื่อว่างจึงกว้าง

 

เมื่อว่างจึงกว้าง

>>> อย่าคิดว่าตัวเองดี จนไม่มีที่ว่างให้สำนึก <<<

มีเวลากลับมาเยี่ยมบ้านริมน้ำ เมื่อเดือนที่แล้วน้ำเต็มล้นจนลุ้นกันทุกนาทีว่าจะท่วมบ้านหรือไม่ มาวันนี้มวลน้ำก้อนใหญ่นั้นหายไป กลับมองเห็นความกว้างของท้องน้ำ เห็นคนหาปลามีช่วงเวลาหากิน ความเกื้อกูลกันระหว่างคนกับธรรมชาติกลับคืนมา มิได้ขัดแย้งรุนแรงเหมือนเดือนที่ผ่านมาในฤดูน้ำหลาก ความขัดแย้งของผู้คนวันนี้ก็น่าจะมีเวลาที่กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติบ้าง หากเราต่างมีที่ว่างในใจเพียงพอ

ความขัดแย้งในกลุ่มชนของผู้คนวันนี้ ต่างก็มาจากไม่ได้รับผลประโยชน์ หรือ สูญเสียผลประโยชน์ของตน จึงเรียกร้องทุรนทุรายหมายจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เราต่างไม่มีที่ว่างมากพอเพื่อจะทำเพื่อผู้อื่น เพราะเรายึดโยงพื้นที่ของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น ใครจะมากระทบกระทั่งเป็นอันต้องกระเทือน เอาเป็นเอาตายกันไปข้าง สังคมที่เต็มไปด้วยคนแบบนี้จะเกิดสันติได้เช่นไร เราต่างไม่มีที่ว่างให้แก่กัน เพราะเราต่างจับจ้องจองเวรจองกรรมกันมากเกินไป ไม่ปล่อยผ่านไม่มองข้าม ไม่เห็นพระเจ้าในตัวผู้อื่น มั่วแต่คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าเสียเอง ความวังเวงในหัวใจจึงเกิดขึ้น เอาความแค้นเคือง เป็นเรื่องนำพาชีวิต หมายมั่นแก้แค้นในวันที่มีอำนาจ จะเอาคืนให้สาสม จมอยู่ในความอาฆาตมาดร้าย ไม่มีพื้นว่างให้ความดีงอกงาม ไม่มีที่ทางให้ความเมตตาเบ่งบาน ไม่ให้เวลากับการอภัยได้ผลิดอกออกรวง ชีวิตเรามุ่งอยู่ที่คนมากกว่าอยู่ที่พระ จึงไร้ที่ว่าง

ชายคนหนึ่งลากจูงเรือสองลำเพื่อข้ามแม่น้ำ ปรากฏว่ามีเรือว่างเปล่าลำหนึ่งลอยมาปะทะชนกับเรือของเขา แม้ชายผู้นั้นจ


ะมีอารมณ์ร้อนเพียงใด เขาย่อมไม่โกรธ แต่หากมีคนนั่งอยู่ในเรือที่แล่นมาชน เขาก็ตะโกนให้เบี่ยงหลบ หากอีกฝ่ายไม่สนใจไยดี เขาก็ร้องตะโกนอีกครั้ง และหากอีกฝ่ายยังนิ่งเฉย เขาก็ลุกขึ้นร้องด่าผรุสวาท ในกรณีแรก เขาไม่มีความโกรธแต่อย่างใด แต่ในกรณีหลังกลับมีความโกรธ เนื่องจากในกรณีแรกนั้นเขาพบกับความว่างเปล่า ทว่าในกรณีหลังเขาพบคนอยู่ในเรือ หากคนบรรลุถึงความว่างเปล่า และท่องไปในโลกกว้าง ผู้ใดจะสามารถทำร้ายเขาได้
? (แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ)

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ท่าทีของเรา

 

ท่าทีของเรา

>>> ท่าทีที่โลกนี้มีต่อของเรานั้น จะถูกกำหนดโดยท่าทีของเราต่อโลก <<<

แสงยามเช้าส่องสะท้อนผื่นน้ำ ผ่านทะลุใบไม้ต้นใหญ่ สร้างความอบอุ่นยามเช้า ปลุกให้สรรพสิ่งในโลกตื่นฟื้นจากหลับไหล นั่งมองความเคลื่อนไหวตามธรรมชาติด้วยความนิ่งเงียบ ชีวิตหนึ่งสัปดาห์กับการหลุดพ้นจากสภาพเมืองหลวง แม้จะมีเรื่องราวให้กังวลใจ แต่กลับมีความยินดีเข้ามาเป็นระยะ ๆ ระหว่างการรอคอย และแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามวาระของการจัดสรร ทุกการรอคอยมักมีความหวัง ทุกความหวังมักมีความยินดีอยู่เสมอไม่มากก็น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่ที่ท่าที และทัศนคติที่เรามีต่อสิ่งรอบข้าง


วันหนึ่ง เค็นเนธ อี เบห์ริง เศรษฐีใจบุญ เดินผ่านเขตอ่าวซานฟรานซิสโก พบว่ากระเป๋าเงินหาย ผู้ช่วยรีบบอกว่า “เป็นไปได้ว่าทำหล่นไปตอนเช้า ขณะเดินผ่านย่านสลัมเบิร์กลีย์ ทำไงดี?” เบห์ริง พูดอย่างจนปัญญาว่า “ก็ต้องคอยให้คนที่เก็บไปติดต่อเรามา”

หลังจากนั้นสองชั่วโมง ผู้ช่วยพูดอย่างหมดหวังว่า  “ช่างเถอะ อย่าคอยเลย ที่จริงเราไม่ควรหวังอะไรกับคนสลัมอยู่แล้ว” “ไม่ ผมคิดว่า คอยอีกหน่อย” เบห์ริง กล่าวเรียบ ๆ ผู้ช่วยไม่เข้าใจ “ในกระเป๋ามีนามบัตร ถ้าคนที่เก็บได้คิดส่งคืน โทรศัพท์ใช้เวลาไม่กี่นาที เราคอยมาทั้งบ่าย เห็นได้ว่าพวกเขาไม่คิดจะคืน”

เบห์ริง ยืนยันที่จะคอยต่อไป จนกระทั่งฟ้าใกล้มืด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาจากคนที่เก็บกระเป๋าเงินได้ บอกให้พวกเขาไปเอาคืนที่ถนนคาตา ผู้ช่วยบ่นงึมงำ “มันจะเป็นกับดักไหม? บางทีพวกเขาคิดจะรีดไถ? เบห์ริง ไม่สนใจ ให้ขับรถไปที่นั่นทันที

ไปถึงที่นัดหมาย เด็กชายแต่งกายซอมซ่อเดินมาหา ในมือพ่อหนู คือ กระเป๋าของเบห์ริง ผู้ช่วยรับกระเป๋าคืน นับเงินในนั้น ไม่ขาดแม้สักเซนต์ “ผมมีเรื่องขอร้อง” พ่อหนูพูดอย่างลังเล  “พวกคุณให้เงินผมหน่อยได้ไหม?” ตอนนี้ ผู้ช่วยหัวเราะร่วน “ผมว่าแล้ว ...”  เบห์ริงขัดคำพูดเขา ยิ้มถามเด็กชายว่าจะเอาเท่าไร ขอแค่ดอลลาร์เดียว” เด็กชายพูดเขิน ๆ  “ผมเดินตั้งนานจึงพบที่ที่มีโทรศัพท์สาธารณะ แต่ผมไม่มีเงิน จึงต้องไปขอยืมเงินคนอื่นมาหนึ่งดอลลาร์เพื่อโทรศัพท์ ตอนนี้ผมต้องเอาเงินไปคืน” มองดวงตาใสของพ่อหนู ผู้ช่วยก้มหน้าลงอย่างละอาย เบห์ริงกอดพ่อหนูอย่างตื้นตันใจ

จากนั้น เบห์ริงเปลี่ยนแผนการงานการกุศลทันที เขาสร้างโรงเรียนหลายแห่งรับเฉพาะเด็กยากจนในย่านสลัม ในพิธีเปิดเรียน เบห์ริงกล่าวว่า อย่าได้ตัดสินคนตามอำเภอใจ เราต้องการเปิดพื้นที่และโอกาส ต้อนรับดวงใจใสซื่อและเมตตา ดวงใจเช่นนี้เอง ที่มีค่าพอจะให้เราลงทุน” ดังนั้น หากในใจคุณมีความดีงาม โลกก็จะดีต่อคุณ   (เขียนโดย จางจวินเอี้ยน  Cr. Ruangsak)

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เก้าอี้ตัวนี้

 

เก้าอี้ตัวนี้

>>> บางทีเมื่อเวลาหนึ่งมาถึง ทุกสิ่งก็ไม่มีค่าพอ ถ้าวันนั้นไม่มีใครเคียงข้าง <<<

บนเก้าอี้รถเข็นที่ว่างเปล่าตั้งอยู่หน้าบ้าน ไม่มีคนนั่ง มันเป็นเก้าอี้สำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ซึ่งใคร ๆ  ก็ไม่ปรารถนาจะใช้นั่ง ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนโลกใบนี้ ที่มักมีความหวัง ที่มักจะช่วงชิงกันเพื่อเก้าอี้ อันแสดงถึงตำแหน่งแห่งหน ถึงบารมีคน ต่างก็หวังว่าวันหนึ่งเก้าอี้ตัวนั้น ในตำแหน่งแบบนี้ต้องเป็นของข้าฯ หัวใจมันพร่ำเพรียกเรียกหา ไขว่คว้า ก่อให้เกิดความโลภ ความทนงก็เข้าครอบงำ นำไปซึ่งการแข่งขัน นำไปซึ่งทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา เราต่างก็เหมือนเด็ก ๆ ที่กำลังแย่งชิงในเกมส์เก้าอี้ดนตรี กระแทก เบียด บัง ยัน ถีบ ใส่กำลังกันเต็มเหนี่ยว ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันใด เพื่อเข้าเป็นผู้ครบครอง เพื่อได้ชัยชนะ ความสำเร็จ และถ้าวันหนึ่ง เปลี่ยนเป็นเก้าอี้รถเข็นแบบนี้จะมีใครมารุมแย่งกันหรือเปล่า ???


สักวันหนึ่ง...ใครจะไปรู้ว่า เก้าอี้รถเข็นแบบนี้ คือ ตำแหน่งประจำของเราเมื่อวันเวลานั้นมาถึง ใช่หรือไม่ วันนี้เราอาจจะดิ้นรนเพื่อเก้าอี้สูงส่ง เพื่อให้ดูสูงสง่า เพื่อให้คนนับหน้าถือตา แต่ไร้ซึ่งความดีงาม ชีวิตก็ไร้ค่า ไร้ความหมาย บางทีการได้รับคำสรรเสริญ ความชื่นชมยินดีของผู้คนรอบข้างอย่างจริงใจ ย่อมมาจากความดีงามที่เรากระทำ เป็นความเมตตาที่เราเผื่อแผ่ออกไป บางครั้งเก้าอี้ที่นั่งในใจผู้คนดูจะมั่นคงสง่างามกว่าที่นั่งบัลลังก์กลางฝูงชนที่สาปส่งเป็นไหน ๆ แล้วเราจะเลือกนั่งแบบไหนกัน ถึงแม้กระแสสังคมมักจะสอนสั่ง ปลูกฝังให้เราต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เพื่อมีตัวตน ต้องเป็นที่รู้จัก ต้องไม่ตกกระแส ดูดีเด่นดังบนเก้าอี้จอมปลอม หากวันหนึ่งเราต้องนั่งบนเก้าอี้รถเข็นตัวนั้น จะเหลือใครช่วยเข็น ช่วยประคอง ช่วยดูแลบ้างหรือเปล่า!!! อย่ากลายเป็นคนเดียวดายภายใต้ชื่อเสียงที่มีวันสูญหายไปตามกาลเวลาเลย

เก้าอี้ตัวนี้แม้ไม่มีใครต้องการ แต่มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นในวันที่สังขารไม่พร้อม แต่หากหัวใจพร้อม และไว้ใจในพระเจ้า ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะน่ากลัว… เชื่อเถอะ