วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2564

เปิดได้ เปิด (เปิดเผย)

 

เปิดได้ เปิด (เปิดเผย)

สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศของเรา แม้จะเริ่มควบคุมได้บ้างแล้ว แต่ยังมีผลกระทบจากการติดเชื้อขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น อันเนื่องมาจากการไม่ยอมเปิดเผยความจริงของผู้ที่มีเชื้อ ที่ไปอยู่รวมตัวกันจัดงาน จนถูกสังคมกดดันให้เปิดเผยกิจกรรมที่ได้กระทำในวันเวลาที่ผ่านมา แน่นอน หลายคนอาจจะคงไปทำเรื่องที่ไม่ดีไม่งามจึงไม่กล้าเปิดเผย (เข้าบ่อน เข้าบาร์ ปาร์ตี้) จึงเลือกที่จะปิดบัง จนมีคำพูดที่เคยพูดกันติดปากว่า “ตอนทำไม่รู้จักคิดก่อน” อันนี้ไม่ได้ต้องการจะว่ากล่าวหาใครทั้งสิ้น ทุกคนมีวันพลาดมีวันที่ต้องเห็นแก่ตัว มีโลกที่ต้องปกปิดด้วยกันทั้งนั้น แต่กำลังจะมองให้ลึกวิเคราะห์ลงลึกไปว่า วันนี้เรากำลังเห็นสัญญาณบางอย่างอย่างที่กำลังสื่อมาให้เรารับรู้ นั่นคือ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะปกปิดความผิดพลาด นอกเสียจากยอมรับมัน แล้วให้อภัยกัน เพื่อเริ่มต้นใหม่



ใช่หรือไม่ ในการที่เราทำผิดพลาดสิ่งแรกที่เราได้รับ คือ ความทุกข์ใจ เครียด แม้จะยังไม่มีใครรู้ แต่เราย่อมรู้อยู่แก่ใจ หากจะใครคนใดใจกระด้าง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเป็นไร้จิตสำนึก บ่อย ๆ เข้า เขาคนนั้นก็จะเริ่มชินชาในการกระทำนั้น ๆ พร้อมทั้งมักมีข้ออ้าง มีเหตุผลเข้าข้างตัวเองได้เสมอ แต่ก็อีกนั่นแหละ...ไม่ช้าก็เร็ว ความผิดนั้นจะถูกเปิดเผยในที่สุด วันเวลาของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคนบางครั้งเห็นความผิดซึ่งหน้า คนที่ทำกลับไม่ได้รับการลงโทษ ก็คิดไปว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหนทำชั่วได้ดีมีถมไป เกิดอาการน้อยใจเบื้องบน คิดจะทำชั่วทำเลวเหมือนคนอื่นบ้าง โลกกำลังสอนเราว่า ไม่ใช่หน้าที่เราในการตัดสินคนอื่น ใครทำอะไรก็จะได้สิ่งนั้นตามกาลเวลาฟ้าดินลิขิต แล้ววันนี้วันที่ชีวิตผู้คนกำลังตกอยู่ในวิกฤติโรคระบาด เหมือนฟ้าเริ่มเปิด สิ่งที่เคยถูกปกปิด ซ่อนเร้น ทำเหมือนว่าไม่มีทางที่ใครจะรู้ ไม่มีวันที่ใครจะเห็น กำลังถูกทำให้ต้องเปิดเผย ไวรัสโควิด-19 กำลังตีสอนผู้คนให้ทำอะไรต่อมิอะไรอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา เพราะเนื้อแท้ของชีวิตแล้ว คือ ความซื่อตรง ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น

อีกด้านหนึ่งมันก็สอนเราว่า สิ่งที่เราเคยเห็นว่าดีอาจจะไม่ดีอย่างที่คิดก็ได้ เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาการกวาดล้าง รื้อสิ่งใต้พรมที่สะสมมานาน เป็นช่วงเวลาที่ระเบียบกำลังถูกนำมาจัดวางใหม่ ความไม่ดีไม่งามกำลังถูกพลิกกลบ เพื่อฟื้นฟู โลกที่ผ่านมาเราเห็นความย้อนแย้งกันมาเยอะมากแล้ว คนที่ควรจะเป็นต้นแบบมักจะทำอีกแบบอีกด้านหนึ่งที่เราคิดไม่ถึง คนสาธารณะมักแอบทำผิด ทุจริตกันแบบลับหลัง คนครองตนในคราบของผู้สมถะ ก็กลับกลายเป็นคนที่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ผู้ที่มีหน้าที่เพื่อผู้อื่นกลับหยิบฉวยผลประโยชน์เข้าตัวเอง ผู้ที่คนอื่นคิดว่ามีใจยากไร้กลับมีเงินทองแอบซุกซ่อนในซอกหลืบ ผู้ที่ควรเป็นผู้ให้กลับทำตัวเป็นผู้รับที่น่าสงสาร โลกกลับด้านกำลังถูกพลิกให้ความจริงปรากฎ แล้วเราจะได้เห็นเหตุการณ์ลักษณะนี้ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ไม่มีการกระทำผิดใดรอดพ้นสายพระเนตรจากพระเจ้าได้...


กลับมาที่ตัวเราบ้าง ในวันนี้วันที่ถูกขนาบด้วยเชื้อในจิต ด้วยมลพิษในใจ เราจ่อจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้หรือไม่? ช่วยกันเปิดเผยความดีงามแห่งชีวิตเราออกมา ด้วยความรัก ความเมตตา ความจริงใจ ขับไล่ปีศาจแห่งความโลภความหลง ปีศาจแห่งความอวดรู้แล้วแอบอ้างเพื่อโอ้อวด ปีศาจแห่งความหยิ่งยโส ปีศาจแห่งความคลั่งไคล้ในอำนาจจอมปลอมหัวโขนเท็จเทียม ออกจากตัวเราไปให้พ้น ดีกว่าจะปล่อยให้คนอื่นมาขับไล่ มาเปิดเผยความดีงามของเรา ถ้าไม่เช่นนั้น เมื่อวันเวลานั้นมาถึง เราอาจจะไม่มีที่ยืนหรือต้องหลีกหนีไปแอบนั่งหดตัวงอเข่าในมุมเล็ก ๆ มืด ๆ อย่างเดียวดาย แล้วจากลาโลกไปอย่างคนไร้เกียรติ วันเวลามีไว้ให้เราสร้างความดีงาม หาใช่เพื่อเก็บเกี่ยวสะสมแต้มต่อ วันเวลามีไว้ให้เราเปิดเผยความจริงมิใช่มีให้ไว้เก็บงำความผิดพลาด วันเวลามีไว้ให้แก้ไขหาใช่ไว้แก้ต่างแก้ตัว อย่ามัวเพลิดเพลินจนลืมไปว่า พรุ่งนี้อาจจะถึงเวลานั้นของเราแล้ว มีอะไรบ้างที่จะพิสูจน์คุณค่าความเป็นบุตรของพระเจ้าได้ ...

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2564

ให้โลกจำ

 

ให้โลกจำ

การระบาดของโควิด-19 ในประเทศเราเริ่มที่จะควบคุมได้บ้างแล้ว สถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย และคงเริ่มปลดล็อกในหลาย ๆ กิจกรรมให้สามารถดำเนินชีวิตได้ง่ายขึ้นบ้าง ทั้งเรื่องการงาน การเดินทาง ที่สำคัญ คือ การร่วมพิธีกรรมทางศาสนา เราก็ยังไม่อาจจะคาดเดาต่อไปได้เลยว่า จะมีระลอกใหม่ ๆ ตามมาอีกหรือไม่? สิ่งที่ต้องทำให้เป็นนิสัย คือ การรักษาตัวเราให้สะอาด มือสะอาด ปากสะอาด ที่สุด ใจสะอาด เราก็จะปราศจากการติดเชื้อโรคร้ายได้ในที่สุด...


เมื่อพูดถึงการทำตัวให้สะอาดทั้งกายใจ มันก็มีหลากหลายวิธีที่เราจะเลือกปฎิบัติ ยิ่งในวันนี้วันที่ยุคสมัยล้ำหน้าด้วยระบบการสื่อสารที่รวดเร็วทันใจ ให้สามารถเราเลือกใช้ เลือกทำ ได้ตามคำแนะนำของผู้รู้อย่างทั่วถึวและเท่าทัน การใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์สูงสุดก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยให้การระบาดของโรคร้ายลดลง แต่...หลายครั้ง เท่าที่เห็น เท่าที่ติดตาม หลายคน แทนที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้ก่อเกิดสาระในชีวิต กลับกลายเป็นแหล่งผลิตความกักขฬะ หยาบ ดิบ เถื่อน ถ่อย มีกระแสการสร้างตัวตนให้โลกจำ ทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นที่กล่าวขานถึงอย่างรวดเร็ว วิธีหนึ่งที่ทำกันอยู่ในทุกวันนี้ คือ การใช้ความหยาบคายจากคำพูด ท่าทางการแสดงออก ด้วยความเถื่อน ๆ ดิบ ๆ ร้ายให้โลกจำ หรือไม่ก็แสร้งสร้างให้ดูถึงความจริงใจ ทั้งหลายทั้งปวงทำไปก็เพื่อต่อยอดให้ขายสินค้าได้กำไรมาก ๆ พอยิ่งมีคนติดตามในสื่อเยอะยิ่งชอบใจ และคิดกันว่า วิธีนี้นี่แหละ ทะลุสู่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างดี ไม่แปลกเลยที่เรากำลังปลูกฝังความหยาบลงในหัวใจกันแบบไม่รู้ตัว เช่นนี้แล้ว...ใจเราจะสะอาดได้อย่างไร? คงมีแต่ความอ่อนแอ เปราะบาง ไร้ความอ่อนโยนในโลกออนไลน์ การใช้คำพูดคำจาที่ตรงไปตรงมานั้นต่างกับการพูดจาแบบหยาบคาย แต่วันนี้เราแยกแยะกันไม่ค่อยออก เหมารวมเอาว่ายิ่งหยาบคายยิ่งแสดงว่าเป็นคนตรงไปตรงมา หาได้เป็นเช่นนั้นไม่... ความอ่อนโยน ความสุภาพ มั่นคงทางอารมณ์ต่างหาก คือ ความความเที่ยงตรงที่แท้จริง


จำได้ว่าสมัยหนึ่งยุคหนังไทยเฟื่องฟู เมื่อเข้าไปดูไปชมก็พบกับคำพูดหยาบ ด่าทอ มีสัตว์สารพัดวิ่งเพ่นพ่านไปเสียแทบทุกเรื่อง ในใจก็เคยคิดว่า นี่เป็นการแสดงศิลปะที่แท้จริงหรือ วันเวลาผ่านไปในรายการทางโทรทัศน์ก็เริ่มคำหยาบคายบ้าง แต่ก่อนหน้านั้นยังมีการเซนเซอร์ ดูดคำพูดไม่เหมาะสมออก เดี๋ยวนี้น้อยนักที่จะปฎิบัติเช่นนั้น เพราะมันไม่เร้าใจ ยิ่งหยาบ ๆ คนยิ่งชอบ จึงไม่แปลกอีกเช่นกันที่วันนี้ วันที่เราสื่อสารกันง่าย เราต่างเป็นคนผลิตสื่อตามใจเราปรารถนาได้ง่าย ไลฟ์สดได้ในชั่วพริบตา ไม่มีใครมาควบคุมกลั่นกรอง ความกักขฬะจึงเต็มบ้านเต็มเมือง เลยเถิดไปถึงขั้นชวนเชื่อหลอกลวง ขายความโลภ พบเห็นกันอยู่ทุกวี่วัน สิ่งมีสาระจึงถูกกลบ ถูกลบเลื่อน ถูกเบียดบังออกจากหน้าจอ ความจริง ความงามหาได้น้อย มีแต่ความโลภความลวงความกลวงอยู่เต็มหน้าโทรศัพท์ 

ในวันนี้ถ้ามีคนมาบอกว่า วางเครื่องมือเหล่านี้ลงบ้าง แล้วออกมาสร้างชีวิตจริงให้ดีงาม จะมีใครกล้าพอที่จะทำไหม? มีใครกล้าที่จะออกจากที่เดิม ๆ สิ่งเดิม ๆ ที่คุ้นชินได้บ้างหรือเปล่า? และถ้าออกมาไม่ได้เราจะหาสาระ เราจะสร้างเสริมชีวิตให้งดงามได้อย่างไรบ้าง? แล้วที่สุด เราจะทำเพียงให้โลกจำหรือจะทำให้สวรรค์เกิดในชีวิตเราล่ะ อย่าปล่อยให้ถึงเวลานั้น เวลาที่โรคร้ายทางจิตวิญญาณติดเชื้อแล้วจึงค่อยหาวัคซีนมาฉีด เริ่มทำให้ความดีงามเกิดขึ้นในชีวิตตั้งแต่วันนี้ ทำให้ชีวิตมีความสุภาพ มีความอ่อนโยน สร้างโลกให้สวยงามคงทน ไม่ใช่ต้องทำให้โลกจำที่นำไปสู่ความกลวง ให้โลกจำความดีที่กระทำดีกว่าให้โลกจำความตัวตนที่โอ้อวดเพียงอย่างเดียว

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2564

ฟ้าสางทางสว่าง

 

ฟ้าสางทางสว่าง

ด้วยว่าอายุขัยเริ่มมากขึ้นจึงคิดว่าเวลาเหลือน้อย ร่างกายจึงตื่นแต่เช้าในทุกวัน ตื่นมายืดเส้นยืดสาย จิบกาแฟอ่านหนังสือ อ่านข่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของผู้คนบนสถานการณ์โควิด-19 ที่มันยังคงรักคนในโลกนี้ จึงมิยอมลดลาที่จะจากลาไปอย่างง่าย ๆ อยู่สั่งสอนให้ผู้คนเรียนรู้ที่จะรักตัวเองให้เป็น เพื่อรักคนอื่นหมื่นแสนล้าน ทักทอเป็นสายใยกันต่อไป อากาศเย็น ๆ ยามเช้าทำให้สดชื่นอยู่ไม่น้อย เดินออกมาหน้าบ้านรับลม ฟ้าเริ่มสาง ผู้คนเริ่มค่อย ๆ ออกจากบ้าน หนทางเริ่มสว่างเห็นความหวังรอคอยอยู่ หลายชีวิตออกทำมาหากิน ลุงมอเตอร์ไซต์รับจ้างกล่าวทักทาย แม้ว่านาน ๆ จะใช้บริการสักครั้ง พี่ร้านขายขนมปังที่เคยเป็นขาประจำไถ่ถามทุกข์สุข แม้ว่าวันนี้จะเปลี่ยนไปขายอย่างอื่น  เป็นความสุขเล็ก ๆ ในซอยน้อย ๆ  ทุกชีวิตเริ่มต้นภารกิจแห่งการดำรงอยู่ เห็นผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา ทำให้คิดว่า วันเวลาที่ผ่านมามีความดีงามที่ผ่านพ้นให้เราพบเห็นเป็นประจำ มากมาย ผ่านเข้ามาแต่เรามองไม่เห็น เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ถูกใจเรา หลายคนมีอะไรต่ออะไรมากมายเข้ามาในชีวิต แต่แทนที่จะเป็นสุข กลับทุกข์ เพราะมองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี ไม่งาม


ใช่หรือไม่ ทุกคนล้วนมีสิ่งดีในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น บางครั้ง บางจังหวะ เราเป็นผู้เฝ้าดู เราเห็นทั้งด้านดีงามและด้านตรงข้าม หากเราเก็บเพียงด้านดีงามมาเสริมแต่งให้ชีวิตเรา ก็จะเกิดแต่ความงามในชีวิตมิใช่หรือ!!!      ใยจึงต้องเอาด้านมืดดำ ที่นำไปสู่ทางไหนก็ไม่รู้มาใช้ในชีวิตเล่า? แน่นอน คนเรามักมีช่วงจังหวะที่ต้องยืนงง ๆ ในดงที่มืดดำ แต่ต้องไม่ก้าวถลำไป ต้องรู้จักที่จะรอคอย ทุกคนมีจังหวะและโอกาสที่จะพบทางออกเสมอ ฟ้ามืดยังมีเวลาฟ้าสางฉันใด ชีวิตคนเราย่อมมีทางสว่างเวียนแวะมาหาได้เสมอฉันนั้น และก็ขึ้นอยู่กับว่า เราได้มองดูสิ่งเหล่านั้นด้วยสายตาแบบไหนด้วย คนเรามองสิ่งเดียวกันยังไม่เหมือนกันเลย คนที่เคยเจออะไรร้าย ๆ มาก็อาจจะพูดอีกแบบ คนที่พบเจอแต่อะไรดี ๆ ก็อาจพูดอีกอย่าง คนดีก็อาจจะบรรยายอีกแบบ คนไม่ดีก็บรรยายไปอีกทาง คนใจเป็นกลางก็มองอีกแบบ คนใจลำเอียงก็คงมองเบี่ยงเบนไปมา บนโลกใบนี้มีเรื่องราวหลากหลายแบบ ชีวิตของเรา ก็เช่นกัน มีหลายเรื่องราวที่มาจากปากของหลาย ๆ คน ที่เห็นเราในมุมของเขา จะไปเปลี่ยนคนอื่นให้มองเราดังใจหวังไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถ้าเปลี่ยนที่มุมมอง ที่ความคิดของเรา จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น พูดด้วยความจริง  ใช่หรือไม่ เรามักเอาความรู้สึกเอาความสุขไปผูกยึดโยงไว้กับคนอื่นเสมอ ถ้าเรากลับมาเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีมองโลกใหม่ เราจะเห็นทุกอย่างในมุมที่ต่างออกไป จากที่เคยต้องรอความสุขจากคนอื่น เรากลับมีความสุขได้ด้วยตัวเอง  แค่เราปรับมุมที่มองมันชีวิตก็เปลี่ยน

สังคมวันนี้ มีคนมากมายทั้งในออนไลน์ ออฟไลน์ ที่มักมองไม่เห็นความดีงามของคนอื่น ทั้ง ๆ ที่บางทีไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพียงแค่เห็นบางสิ่งบางอย่างก็ตัดสินไปเรียบร้อน ฉะนั้นแล้ว อย่าตัดสินใคร อย่าดูถูกใคร เราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาเจออะไรมาบ้าง เป้าหมายชีวิตคนเรานั้นย่อมแตกต่างกัน อย่ามีโลกแคบ เห็นคนอื่นที่คิดไม่เหมือนเรานั้นผิดเสมอ เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความคิดต่างจากผู้อื่น ความงามอย่างหนึ่งของธรรมชาติ คือ ความหลากหลายนั่นมิใช่หรือ


ชีวิตคนเรานั้นมีหลายมุม ในตัวเรามันก็มีทั้งดีและไม่ดี ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เราต้องอดทน ต้องพยายามและเรียนรู้ เวลาที่มีคนมองชีวิตเรา คิดว่าเรานั้นสุขสบาย มีสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่หารู้ไม่ เราต้องผ่านความเหนื่อยทุกข์ยากมาตั้งเท่าไร เหมือนเมื่อเราเห็นคนอื่นผ่านสายตา เราต้องมองเข้าไปถึงความดีงามของคนเหล่านั้น ที่ล้วนผ่านเรื่องราวมาหนักเบาไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ ทุกชีวิตมีความงามตามติดมาด้วยกันเสมอ  มองคนอย่ามองเพียงแค่ด้านเดียว เพราะเราทุกคนนั้นมีหลายมุม สิ่งที่จะทำให้เราสว่างทางจิตวิญญาณได้ก็ คือ ต้องหัดมองความดีงามของผู้คนเสมอ ๆ

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2564

ล้างกันบ้าง

 

ล้างกันบ้าง

สถานการณ์ไวรัสโควิด -19 ยังคงรุ่มเร้าสังคมโลกอยู่ทุกวัน บางที่บางแห่งกลายพันธุ์ติดต่อง่ายขึ้น ประเทศไทยเราก็โดนเล่นงานระลอกสองอย่างสะบักสะบอม มีคนติดเชื้อมากขี้น สร้างความหวาดวิตกให้กับผู้คนอยู่ไม่น้อย ไหนจะห่วงเรื่องการงานการเงิน ไหนจะกลัวติดเชื้อ ถ้าไม่ออกจากบ้านก็ไม่มีเงินใช้จ่าย กลัวก็กลัว ก็ต้องกล้าเสี่ยง ในความคิดหลายคนเป็นเช่นนี้!!! ต่างเลยต้องพยายามรักษาตัวเองให้ปลอดภัยไร้โรคให้มากที่สุด เราจะไปโยนความผิดให้คนที่นำเชื้อมาก็ใช่ที่ ต้องคิดหาทางรักษาตัวเองให้ดี รักตัวเองเท่ากับรักผู้อื่นไปด้วย ถ้าเราช่วยกันคำนึงถึงจุดนี้ เราก็จะผ่านวันคืนที่เลวร้ายไปได้



โควิด-19 ระลอกสองของประเทศไทยนี้มาพิจารณาดูก็ทำให้คิดได้ว่า ไวรัสตัวนี้กำลังพลิกสิ่งที่ซ่อนไว้ใต้พรมขึ้นมา กำลังชะล้างสีเทาดำให้ขาวสะอาดขึ้น กำลังไล่สิ่งเลวให้ไหลออกมาและไหลออกไปให้ไกลจากสังคม วัฒนธรรมผิด ๆ ที่คิดเห็นแก่ตัวกันในทุกวงการกำลังถูกปรับเปลี่ยน จากที่เคยได้รับผลประโยช์เข้าตัว โดยไม่คำนึงถึงส่วนรวมก็ถูกลอกกคราบออกมาเพื่อให้มีสิ่งที่งดงามเข้าแทนที่ หลายสิ่งกำลังปรับเปลี่ยน วิถีวิธีแบบเก่า ๆ กำลังเลื่อนหายไป หรือว่า โควิด-19 มาเพื่อทำลายทลายบางสิ่ง มาเพื่อล้างคราบบางอย่าง เพื่อให้เรากลับคืนสู่ความเป็นคนโดยสมบูรณ์ 

เคยนั่งคุยกับเพื่อน ๆ ว่าสังคมไทยจะดีขึ้นนั้นต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยน “ระบบราชการ” เป็นอันดับแรก ๆ ต้องปรับให้เข้ายุคสมัย ต้องโปร่งใส และต้องรับใช้ประชาชนอย่างจริงจัง ไม่ใช่ตั้งตนเป็นเจ้านาย ที่ต้องให้ผู้คนพินอบพิเทาเวลาไปทำธุรกรรมหรือไปติดต่อ ต้องไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ที่เคยเป็นที่มาของคอร์รัปชั่น หากไม่ปรับตัว ยุคสมัยจะบังคับให้เปลี่ยนเอง ใครไม่เปลี่ยนก็จะอยู่ยาก มาวันนี้โควิด-19 กำลังกลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างจริง ๆ จัง ๆ อะไรที่เคยทำแบบปิด ๆ บัง ๆ กำลังถูกเปิดออก ประจวบกับวันนี้ทุกคนต่างก็ช่วยกันสอดส่อง เพื่อความปลอดเชื้อ เมื่อแจ้งไปต้นทางถ้าเรื่องเงียบ แค่ออกโซเชียลไม่นานเรื่องก็จะถูกเปิดเผย ดูเหมือนสื่อสมัยใหม่กับโควิด-19 ร่วมมือกันเพื่อล้างความไม่ดีไม่งามออกมา แต่ก็อีกนั้นแหละ ขณะที่ฟากฝั่งหนึ่งช่วยล้างสังคมโดยกว้าง อีกด้านหนึ่งมันก็ล้างใจของเราแต่ละคนไปด้วย บางคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ คอยที่จะว่ากล่าวแต่คนอื่น ด้วยคำพูด ด้วยตัวอักษร ก็จะค่อย ๆ ด้อยค่าไปในที่สุด



ช่วงวันเวลาที่ผ่านมาเห็นหลายคนชอบบ่นชอบวิจารณ์ อะไรก็ไม่ดี ไม่พอใจ ไม่ได้ดั่งใจ เห็นข่าวอะไรนิดอะไรหน่อย ก็ตื่นตาโตลุกขึ้นชี้นิ้วใส่คนอื่นว่า ทำไม อะไร อย่างไร??? ไปเรื่อย ไม่ได้ใส่ใจหาความจริงก่อนที่จะโวยวาย หลายครั้ง บางเรื่องที่ได้ยินได้เห็น คือ ความจริงเพียง 10% หรือน้อยกว่าด้วยซ้ำ แต่ไปทำให้เป็นเรื่องใหญ่เกินเบอร์ ถ้าเราเป็นแบบนี้ เราต้องลองดู “ท่านนักบุญยอห์น บัปติส” ที่ช่วงหนึ่งผู้คนยกย่องมากมาย กลับมีหัวจิตหัวใจที่อ่อนโยน รู้ว่ามีคนที่ดีกว่า ยิ่งใหญ่กว่า กำลังจะมา แล้วน้อมรับ ยอมรับ ที่จะทำพิธีล้างให้พระเยซูเจ้า พระองค์เองก็เช่นกันให้ความเคารพนับถือท่านยอห์น ไม่ยกตัวข่ม ต่างคนต่างยอมรับซึ่งกันและกัน ทางสวรรค์จึงเปิดออก แล้วเรา...ทำไมไม่คิดจะเดินตามทางนี้กันเล่า? ทำไมยึดติด ยึดมั่น ในความคิดตัวเอง หลงตัวเองจนคิดว่านี่เป็นพระพรพิเศษของตัวเองคนเดียว หาใช่เป็นเช่นนี้ไม่... โคสิด-19 และสื่อสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นอาจจะเครื่องมือหนึ่งในการชะล้างความอวดดี อวดเก่ง ของคนยุคนี้ก็เป็นไปได้ แล้วอะไร คือ สิ่งที่จะดำรงให้เราคงอยู่ได้เล่า? คำตอบ คือ ยอมรับให้คนอื่นล้างใจเราบ้าง ยอมรับฟังคนอื่น ให้เกียรติคนอื่น อย่าคิดเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วทำชีวิตให้เป็นสีขาวไม่ใช่เทา ๆ ดำ ๆ อย่างที่ผ่านมา....

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2564

ชีวิตดั่งฤดูกาล

 

ชีวิตดั่งฤดูกาล

เช้าวันที่ 1 มกราคม 2021 อากาศเย็น ๆ สบาย ๆ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงมอบวันเวลาอีกหนึ่งวันของปีใหม่ ขอบคุณครอบครัวที่ยังมีไออุ่นแห่งความห่วงใยอาทรต่อกันเสมอมา ขอบคุณเพื่อนฝูงที่ยังคงคิดถึงกัน ส่งคำอวยชัยให้พรผ่านทางสื่อออนไลน์ ในห้วงยามแห่งความหวาดระแวงโรคโควิด-19 ที่กำลังกระหน่ำถล่มเมืองอยู่ในขณะนี้ สิ่งเหล่านี้ ได้ทำให้เกิดความรักขึ้นอีกหลายเท่าตัว เริ่มด้วยรักตัวเอง ที่ต้องทำให้ตัวเองให้ปลอดโรค ด้วยการเคร่งครัด ใส่ใจทำตามคำแนะนำของคุณหมอและหน่วยงานทางด้านสาธารณสุข และส่งผลให้เรารักคนรอบ ๆ ข้างกายเรามากขึ้น เชื่อมั่นไว้วางใจว่า อีกไม่นาน มันก็จะผ่านไปตามกาลเวลา เหมือนฤดูกาล ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แม้เราจะรู้ว่าช่วงเดือนนี้หนาว เดือนหน้าเริ่มร้อน เดือนไหนฝนตกน้ำหลาก แต่ใช่ว่าจะตรงตามนั้นเสมอไป วันดีคืนดีในฤดูร้อน พายุฝนฟ้าถล่ม ชีวิตเราก็ดั่งเช่นฤดูกาล มีทุกข์มีสุข มีหัวเราะมีน้ำตา มีเฮฮามีเศร้าซึม มีสมหวังและพลาดหวัง มีโชคและเสื่อมโชค มีรักยังมีเลิก ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรับเปลี่ยนเรียนรู้จะอยู่กับฤดูกาลของชีวิตเช่นไร..

และแน่นอน ทุกชีวิตถูกลิขิตมาให้ปรับตัวได้ในทุกวันเวลาเสมอ ใช่หรือไม่ ในวันนี้เวลานี้ เราก็กำลังอยู่ในจังหวะแห่งการปรับเปลี่ยน จากที่เคยตัวใครตัวมัน ในวันที่ต้องถูกกักตัวเพื่อหลีกโรค เราก็เริ่มโหยหามิตรภาพและการพบปะเพื่อนฝูง ทั้ง ๆ ที่บ่อยครั้ง เราเองก็เบื่อที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย อยากจะอยู่คนเดียว แต่เมื่อถูกบังคับด้วยกรอบกำหนดเช่นวันนี้ หลายคนก็คงเริ่มรู้สึกว่าสัมพันธภาพแห่งมิตรภาพนั้นมีค่ายิ่ง เรากำลังถูกสอนให้ ลดละ ความอวดรู้ อวดเก่ง ที่แข่งกัน ข่มกัน ทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์ ที่สุด... เราได้เรียนรู้ว่า เราต่างก็อ่อนแอในโลกแห่งความเป็นจริงด้วยกันทั้งนั้น มีเพียงความอ่อนโยนเท่านั้นที่จะช่วยปลอบประโลมโลกให้สดใสขึ้น เก่งไปก็เท่านั้น ในเมื่อทุกคนสามารถที่จะติดเชื้อโรคโควิด-19 ได้ด้วยกันทั้งนั้น การเอาตัวเองเป็นที่ตั้งก็หาใช่กำบังที่จะช่วยให้รอดปลอดภัย ในห้วงยามเช่นนี้ ความเมตตาต่อกัน การดีต่อกันต่างหาก ที่จะช่วยกอบกู้จิตวิญญาณสาธารณะให้เบ่งบาน การช่วยเหลือกันบางทีก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลเสมอไป 

พระสันตะปาปาฟรังซิสได้มอบบทเรียนให้กับพวกเรา ท่ามกลางวันเวลาแห่งความลำบากนี้ไว้ว่า  “เราพบเห็นได้ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มันปลุกความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ปลุกทัศนคติและการแสดงออกถึงความห่วงใย ใกล้ชิด และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หลายเดือนที่ผ่านมา เราพบเห็นเรื่องเหล่านี้ในกรุงโรม ดังนั้น เรามาขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งดี  ๆ ที่เกิดขึ้นที่เมืองของเราในช่วงล็อกดาวน์ ขอบคุณคุณหมอ พยาบาล อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่ทำงานอย่างหนักตลอดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่นเดียวกัน ขอบคุณบรรดาบาทหลวงและซิสเตอร์ที่เสียสละตนเองรับใช้คนป่วยและคนถูกทอดทิ้ง ขอบคุณบรรดาคุณครูและเจ้าหน้าที่ราชการทุกคนที่ทุ่มเททำงานเพื่อส่วนรวมด้วย การที่เราได้เห็นผู้คนมากมายเสียสละตนเองมาทำเพื่อส่วนรวม เราต้องมาขอบคุณพระเจ้า เพราะเรารู้ดีว่าความดีต่าง ๆ ที่ถูกทำบนโลกนี้ล้วนมาจากพระองค์ ดังนั้น ขอพระเมตตาของพระเจ้าอยู่กับเรา เพราะในพระองค์ เรามีความหวังอยู่ (ขอบคุณ : Pope Report)


และไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราไม่ต้องกังวล เพียงแต่ทำให้หัวใจเรามีความรัก ทุกฤดูกาลย่อมมีความสวยงามเสมอ เดินต่อไป จะอีกกี่วัน กี่คืน กี่ฤดู ให้ความเมตตานำทาง อย่าได้มีความโกรธ เกลียด เครียดแค้น เกิดขึ้นในหัวใจ ลดอคติ ลดความอวดเก่งแสนรู้ลงกันบ้าง เพราะเราเองก็ไม่เคยรู้เรื่องราวอีกมากมายในโลกใบนี้ เพราะเราเองก็มิอาจจะกำหนดกฎแห่งฤดูกาลได้ ชีวิตเราก็เช่นฤดูกาลเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หนักแน่น มั่นคง ไว้วางใจ เราก็จะยืนหยัดเคียงข้างกันตลอดไป แม้ในท่ามกลางพายุแรงร้าย แม้ในท่ามกลางไอแดด แม้ในท่ามกลางความหนาวเย็น เพราะข้างหน้านั้นมีความงามรอพวกเราอยู่ เดินหน้ากันต่อไป เพื่อกล่าวคำอำลาโควิด-19 ไปพร้อม ๆ กันในปีนี้โดยเร็ววัน