วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คนสร้างทาง

คนสร้างทาง

การได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆล้วนได้เกิดสิ่งใหม่ๆตามมาเสมอ อย่างแรกสุดของการเดินทาง คือ การปฏิบัติหน้าที่ภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ และอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นผลพวงนั่นก็คือ ได้เห็นสิ่งต่างๆมากขึ้น เป็นเครื่องขัดเกลาบรรเทาความจำเจจากการจำจองจับจ้องจอสี่เหลี่ยม นั่งติดเก้าอี้ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ แต่หาได้ชุ่มฉ่ำเหมือนกับการได้ตากแดด ตากสายลมตามธรรมชาติไม่...

สิ่งหนึ่งที่คู่ไปกับการเดินทางเสมอ แต่มักถูกหลงลืม ทั้งๆที่อยู่ติดไปในทุกก้าวย่างของการเหยียบย่างยังถิ่นอื่น สิ่งนั้น ก็ คือ ถนนหนทาง ใช่หรือไม่ ถนนหนทางแท้จริงแล้วคือสะพานพาฝัน พาหวัง นำความจริง นำมิตรภาพและความอาลัยอาวรณ์ของผู้คนผู้มีปฏิสัมพันธ์ เชื่อมยึดโยงใยในความรัก สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนบนโลกให้เป็นจริง

มีเส้นทางจำนวนไม่น้อยเกิดขึ้นจากการสัญจรไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จากคนหนึ่งแล้วก็ถูกอีกคนหนึ่งเดินตามรอยเส้นทางสายนั้น ต่อมาอีกคน และอีกคนๆๆๆ นานวัน เวลาผันผ่านไป รอยทางเท้าเริ่มปรากฏเป็นเส้นสายเป็นลายทางให้อีกหลายคนเดินต่อมาโดยไม่หลงทาง (ซึ่งคนแรกๆอาจจะหลงมาแล้วหลายต่อหลายครั้งก็เป็นไปได้)

กาลต่อมาเมื่อความเจริญทางเครื่องไม้เครื่องมือ เริ่มมีการพัฒนา การก่อสร้างถนนหนทางก็เป็นเรื่องง่ายดาย ไม่ต้องใช้การเดินย่ำรอยเท้า การขนส่งเริ่มมากขึ้นและมากขึ้น หนทางก็มากขึ้นเป็นโยงใย ยั้วเยี้ย จากที่หลงทางเพราะไม่มีทางให้เดินมายุคนี้กลับหลงทางเพราะทางมันมากเกินไป

นอกจากนี้ถนนหนทางยังเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเจริญ การพัฒนาที่เดินทางไปสู่ท้องถิ่นที่ห่างไกล และกลายเป็นแหล่งทำมาหากินของคนคิดคดโกงกิน คิดสร้างทางให้ผู้อื่นด้วยการสร้างแบบที่ไร้ความรับผิดชอบ มีการหักหัวคิว กินเปอร์เซ็นต์จากโครงการ ทางที่ถูกสร้างจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ใช้งานได้ไม่เท่าไหร่ก็ทรุด ก็พัง ต้องปรับต้องปรุง เสียเงินเสียทองกันอีก ถ้าหากคนเราคิดสร้างทางให้คนอื่นเดินทางย่อมเป็นบุญกุศล หากคิดเพียงหวังผลบ่อหน้าไม่คิดถึงบ่อหลังก็อย่าหวังว่าบุญกุศลจะหนุนนำ คงมีแต่บาปกรรมเท่านั้นที่จะเกาะติดตามตัวต่อไป

ในขณะที่เรากำลังใช้เส้นทางของผู้อื่นที่ได้สร้างไว้ เราก็เป็นคนสร้างให้ผู้อื่นได้เดินทางด้วยเช่นกัน หากแต่ว่าวันนี้เราเป็นคนสร้างทางประเภทไหน เป็นผู้บุกเบิกเปิดหนทางใหม่ด้วยใจที่ทุ่มเท เสียสละ เป็นต้นทาง ต้นเท้าให้ผู้มาข้างหลังได้เดินตามรอย เป็นเข็มทิศให้คนติดตามโดยไม่หลงทาง ไม่เสียเวลา หรือจะเป็นคนสร้างทางแบบเกินตัวเข้าไว้ ด้วยโครงการขนาดใหญ่ ที่แฝงเร้น เคลือบแคลงไปด้วยผลประโยชน์แห่งตน หรือจะเป็นคนสร้างทางที่มุ่งแต่ลดคุณภาพของวัสดุก่อสร้าง มิได้คิดถึงความยากลำบากของผู้ที่จะต้องใช้เส้นทางเหล่านี้ในวันข้างหน้า หรือจะเป็นคนสร้างทางที่มองเห็นความร่มรื่นสดชื่นของสองข้างทาง สร้างทางควบคู่ไปกับการสร้างความร่มเย็น สร้างไปพร้อมกับการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมธรรมชาติ หรือจะเป็นคนสร้างทางที่เข้าใจถึงความทุกข์ลำบากลำบนของคนสัญจร สร้างทางเพื่อเอื้อความสะดวกสบายให้เกิดสายสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ให้เป็นหนทางที่นำรัก เมตตาอาทรสู่กันและกัน

ในเมื่อเราเป็นคนสร้างทาง เราคิดกันบ้างหรือเปล่า สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราสร้าง จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ตามมาข้างหลังได้บ้างไหมและมากน้อยเพียงใด หากเรามีสำนึกรู้ ในภารกิจแต่ละวัน ก็ควรเป็นผู้สร้างทางอย่างสร้างสรรค์ สร้างหนทางให้งดงามและมั่นคงตรงสู่จุดหมายปลายทางอย่างสมบูรณ์ปลอดภัย

คนเป็นพ่อแม่สร้างทางให้ลูกเดิน สร้างทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและเสียสละด้วยชีวิต โดยไม่ได้ตั้งความหวังไว้ที่ลูก สร้างทางสายสวยงามในนามของแบบอย่างแห่งการรู้คุณค่าของชีวิต หากมีบางทีเขาจะแวะตามตรอกซอกซอยอื่นบ้าง เขาก็จะมิมีวันลืมเส้นทางหลักที่เราสร้างไว้ให้เขาเดิน (คุณยายส่าพอ พาครึ บุคคลเล็กๆในมุมลึกๆของสังคมที่ได้สร้างทางที่ยิ่งใหญ่ของความซื่อสัตย์ และเป็นต้นแบบให้ลูกหลานได้เดินตาม) ติดตามชมได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=D6aWlUG3i4k

ครูอาจารย์ สร้างทางด้วยชีวิต สอนให้ลูกศิษย์เป็นคนที่จะสร้างทาง สร้างความดีเพื่อผู้อื่น สอนให้รู้จักใช้ความรู้ ใช้ความคิดอุทิศตนเพื่อสังคม สร้างหนทางแห่งสันติให้ประเทศชาติต่อไป

ในฐานะหัวหน้าองค์กร เจ้านาย ผู้นำชุมชน ต้องหมั่นฝึกฝนให้มีความคิดที่จะทำเพื่อผู้อยู่ภายใต้ความดูแลของเรา ให้ร่วมเดินร่วมสร้างทางเคียงข้างไปด้วยกัน โดยไม่ต้องถือเขาถือเรา อวดดีอวดเก่งเพียงผู้เดียว อย่างน้อยมันก็เป็นทางที่จะอยู่ในความทรงจำของผู้มีส่วนร่วมด้วยกันตลอดไป

พี่ชาย พี่สาว รุ่นพี่ วันนี้เป็นวันของเรา เมื่อวานมีผู้สร้างทางให้เราเดิน วันพรุ่งนี้อาจจะมีคนรุ่นหลังสร้างทางแซงหน้าเราไปด้วยความรวดเร็ว แล้วเราจะยืนงงๆอยู่บนทางของเราอย่างเฉยเมย เมินเฉยอยู่หรือ ช่วยตักช่วยเตือน ช่วยเหนี่ยวรั้ง ให้คนรุ่นใหม่ไฟแรง หยุดพักหยุดคิดกันบ้าง ร่วมมือกันสร้างทางแนวใหม่ให้ศิวิไลซ์ วันนี้ลืมตาตื่นก็อย่าลืมว่าเรามีภารกิจสร้างหนทาง ทางที่จะนำเราร่วมกันเดินสู่สวรรค์ปลายทางอันนิรันดร...

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อวดตัว กลัวอาย

อวดตัว กลัวอาย

มีคนจำนวนไม่น้อย ในโลกน้อยๆใบนี้ ที่คิดว่าตัวเองรู้ไปเสียทุกเรื่อง แม้กระทั่งตัวเราเอง ในห้วงหนึ่ง ช่วงหนึ่ง จังหวะหนึ่ง ก็เคยคิดว่าเราเก่ง เราเลิศ รู้ไปเสียทุกเรื่อง ทำตัวเป็นพหูสูต เชี่ยวชาญในทุกกรณี ใครถามอะไรมาตอบได้หมด จนรู้สึกภาคภูมิใจหลงใหลในความเป็นเรา และเมื่อเวลาเดินทางมาจนถึงป้ายแห่งสำนึกรู้ ในห้วงหนึ่ง ช่วงหนึ่ง จังหวะหนึ่งของชีวิต ได้ไปเห็น ไปพบ ไปได้ยินได้ฟังมา เกิดความเข้าใจกระจ่างแจ้งแสงแห่งความจริงเจิดจรัส ไอ้สิ่งที่เคยอวดอ้างไปนั้นมันผิดทั้งหมด แต่ก็ไม่สามารถจะกลับไปแก้ต่าง ไปทำความเข้าใจให้กับผู้ที่มาไถ่ถามได้แล้ว คำพูดที่หลุดไปแล้วย่อมหลุดลอยไปเลย และคิดต่อไปอีกว่า แล้วที่สุด คนๆนั้นเกิดไปพบความจริงเป็นสิ่งตรงข้ามกับที่เราเคยบอกเขา เขาจะเชื่อถือเราหรือเปล่า และนี่จึงเป็นที่มาของการต้องคิดก่อนพูดให้มากๆเข้าไว้ อันไหน สิ่งไหนไม่รู้ก็อย่าไปแสดงภูมิ อวดอ้าง

เมื่อพินิจพิเคราะห์เจาะให้ลึกลงไป คนที่อวดอ้างตัว อวดรู้ อวดเก่งมีไม่น้อยเลย ที่เกิดมาจากความกลัว กลัวเสียฟอร์มเสียหน้า อายที่มีคนมาถามแล้วตอบไม่ได้ ใช่หรือไม่ บางทีการที่บอกว่าไม่รู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ก็เป็นการแสดงถึงความนบนอบ ความสุภาพถ่อมตน และความอ่อนโยน สิ่งเหล่านี้ได้กระโจนออกจากจิตใจผู้คนไปมาก เราต่างคนต่างอวดเก่ง อวดตัว สังคมเลยเต็มไปด้วยความขลาดกลัว คนที่รู้ลึกรู้จริง รู้สัจจะ รู้โลก รู้ชีวิต ไม่ค่อยมีให้พบเห็นกันมากนัก

ผู้ใหญ่หลายท่านก็บอกว่าเด็กยุคนี้ขี้ดื้อ พูดไม่ค่อยเชื่อฟัง สอนยาก เด็กก็บอกว่าผู้ใหญ่ก็รั้น ยึดติด ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ต่างคนต่างมีอคติที่แฝงเร้นไปด้วยความกลัวด้วยกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ คนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แต่ในเรื่องที่ควรรู้ต้องรู้ให้กระจ่างแจ้ง โลกพัฒนามาจนถึงวันนี้ได้ ก็มาจากความหลาก ความต่าง ความชำนาญการเชี่ยวชาญของคนหลายๆคน หลายๆฝ่าย หาใช่ความเก่งส่วนตัวของใคร ความสุขสันติของโลกก็มาจากความหลากหลายของทุกสรรพสิ่งสร้าง...

เด็กหนุ่มคนหนึ่ง มีนิสัยรั้น ชอบอวดเก่ง ไปเล่าเรียนวิชาต่างๆนานา มาหลากหลายแขนงวิชา เห็นใครเขาทำอะไรก็ทำตาม และหนำซ้ำยังคิดว่า ตนเองทำได้ดีกว่าผู้อื่นเสมอๆ

อยู่มาวันหนึ่ง เด็กหนุ่มเดินเล่นอยู่ริมแม่น้ำ พลันสายตาเหลือบไปเห็นผู้เฒ่าสองท่านกำลังนั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่งแปลกใจจริงๆ แต่ละท่านต่างเต็มไปด้วยมาดแห่งความสุขุม เคร่งขรึม แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ชำนาญการตกปลาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ผู้เฒ่ากระตุกคันเบ็ด ก็จะได้ปลาในทุกๆครั้ง

ทันใดนั้น ผู้เฒ่าท่านหนึ่งก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเอง ผู้เฒ่าท่านนี้ก็กระโดดไปบนผิวน้ำ ทีละก้าว ทีละก้าว จนไปถึงฝั่งตรงข้าม เพื่อหยิบเหยื่อปลา แล้วกระโดด ทีละก้าว ทีละก้าว (สังเกตคำนี้เอาไว้ทีละก้าว) กลับมายังที่เดิม นั่งลงตกปลาต่อไปอย่างนิ่งเงียบ

และในเวลาต่อมาไม่นานนัก ท่านผู้เฒ่าท่านที่สองก็ได้ลุกขึ้นบ้าง พร้อมทั้งกระโดดไป ทีละก้าว....ทีละก้าว..... ข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามของแม่น้ำ เหมือนผู้เฒ่าคนแรก นำปลาที่เพิ่งตกได้ใส่ข้อง แล้วกระโดดกลับมา ทีละก้าว ทีละก้าว นั่งที่เดิมตกปลาริมตลิ่งต่อไปอย่างเงียบงำ

เด็กหนุ่มถึงกลับตะลึงไม่คาดฝันมาก่อนเลยว่า จะเห็นผู้เฒ่าทั้งสองสามารถเดินบนผิวน้ำได้เหมือนมีวิชาตัวเบาอย่างงัยอย่างงั้น เด็กหนุ่มเห็นดังนั้นด้วยความอวดเก่ง อวดตัว ไม่คิดหน้า คิดหลัง จึงลองกระโดดเหมือนผู้เฒ่าทั้งสองบ้าง โดยใช้หลักวิชาตัวเบาที่ได้เล่าเรียนตามตำราบอก แต่เขากลับจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำทันที สองผู้เฒ่าเห็นเข้า จึงได้ช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้จนขึ้นฝั่งได้ ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งมองเด็กหนุ่มด้วยความสมเพช แล้วจึงบอกว่า

เจ้าเด็กโง่... พวกเรานั่งตกปลาที่นี่มานานนับสิบปี เรารู้ดีว่า ที่แม่น้ำนี้ตรงไหนมีตอไม้ให้เราเหยียบได้บ้าง เราก็เลยกระโดดข้ามไป ทีละก้าว ทีละก้าว ได้เหมือนมีวิชาตัวเบา สามารถเหยียบบนผิวน้ำได้ เจ้าเด็กโง่...เจ้ายังไม่รู้อะไร เจ้าจะทำตามได้อย่างไร เกลียดนักเจ้าเด็กโง่

ก่อนเด็กหนุ่มจะได้รู้เคล็ดลับของผู้เฒ่า และเพิ่งมาสังเกตย้อนหลังเห็นว่า แท้จริงแล้ว ผู้เฒ่าทั้งสองค่อยๆไปทีละก้าว ไม่ใช่วิ่งบนผิวน้ำเหมือนวิชาตัวเบา ก็เพราะด้วยความอวดรู้ อวดเก่ง ก็เล่นเอาเขาเกือบจมน้ำตาย

การที่เราจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ เราต้องศึกษาให้ถ่องแท้ ใฝ่เรียน หาใช่อวดรู้ การทำงานต้องใฝ่เรียนรู้จึงจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสง่างาม ความรู้ไม่เคยหยุดนิ่ง ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวล้ำยุค อย่างไม่หยุดนิ่งเราต้องรู้ให้มาก เพราะผู้ที่ยิ่งรู้มากก็ยิ่งมีโอกาสมากในทุก ๆ ด้าน ที่สำคัญอย่าอายในสิ่งที่อยากรู้ ต้องกล้าถามไถ่ในสิ่งที่เราไม่รู้ กล้าที่จะแสวงหาความจริงในบางเรื่องที่เราไม่รู้ ที่สุดกล้าที่จะยอมรับว่าไม่รู้ และพยายามค้นหาคำตอบเพื่อสร้างความฉลาด ใช่..การที่เราตอบคำถามคนอื่นไม่ได้ อาจจะเป็นการเสียหน้าบ้าง ก็ถือเสียว่านี่เป็นการโบยตีที่ก่อให้เกิดปัญญา เป็นความจริงที่ว่า ขณะที่ถูกเฆี่ยนตีสั่งสอนไม่มีความน่ายินดี มีแต่ความทุกข์ แต่ให้ผลเป็นสันติและเป็นความชอบธรรมแก่ผู้ที่ยอมรับการเฆี่ยนตีสั่งสอน เป็นการฝึกฝนตนเอง (ฮบ .12 :11-13)

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ก้อนหินก้อนนั้น

ก้อนหินก้อนนั้น

ชีวิตของคนเราต่างก็ผ่านวันเวลา ผ่านเรื่องราว ร้าย-เลว-ดี มาแล้วกันด้วยทุกๆคน ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หากเราน้อมรับว่านี่แหละคือเครื่องขัดเกลา เครื่องบ่มเพาะให้จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เชื่อว่าแต่ละคนแต่ละวิถีชีวิตย่อมมีบทเรียนที่แตกต่างกันไป ก็คงคล้ายๆกับก้อนหินที่มีอยู่มากมายหลากหลายชนิดบนพื้นดิน มีทั้งขนาด ที่ถูกกาลเวลา ผ่านลม ผ่านแดด ผ่านฝน ขัดเกลาเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง บางก้อนกลมเกลี้ยง บางก้อนมันวาว บางก้อนก็ยังขรุขระ บางก้อนสีเข้ม บางก้อนซีดจาง

เป็นข้อสังเกตที่ได้มองเห็นก้อนหินก้อนต่างๆที่มาจากกิจกรรมแรกในการค้นหาตัวตน ของผู้เข้าร่วมรับการอบรมในการสร้างเสริมชีวิตให้พบกับความสุข โดยการให้แต่ละคนออกไปหาก้อนหินเพื่อแทนตัวตน และเมื่อแต่ละคนนำกลับมาแล้ว ก็นำมารวมกองอยู่ในที่เดียวกัน ด้วยความรีบเร่งทำให้หลายคนก็จำลักษณะก้อนหินที่หามาไม่ได้ จนกระทั่งให้เริ่มต้นกันใหม่ แล้วให้พินิจพิเคราะห์ให้ดีว่าก้อนหินแทนตัวตนนั้นมีเหลี่ยม มีมุม มีมน มีลักษณะเช่นไร ใช่หรือไม่ คนเรามักมองข้ามการสำรวจตัวตนอยู่บ่อยครั้ง ลืมมองตัวเอง เพราะมัวมองแต่คนอื่น เพราะมองแต่สิ่งแวดล้อมรอบข้าง แล้วก็เกิดความอยาก เกิดความโลภ ปล่อยโอกาสหลุดลอยไปในอากาศ

ที่ประเทศแอฟริกา กลางป่าใหญ่ไพรกว้างแห่งหนึ่ง ยังมีสิงโตผู้หิวโซตัวหนึ่งกำลังเดินหาเหยื่อของมันไปเรื่อยๆ สายตาจับจ้องมองไปข้างหน้าด้วยความหิวโหยอย่างแสนสาหัส และแล้วขณะนั้นเอง มันก็ได้ไปพบกับกระต่ายป่าตัวหนึ่งเข้า

โอ้โห..ช่างน่ากินเหลือเกินเจ้ากระต่ายน้อยเอ๋ย เนื้อของเจ้าคงนุ่มนิ่มและหวาน จนน้ำลายเราสอรอไม่ไหวแล้ว มันตั้งท่าแล้ววิ่งตามกวดกระต่ายป่าน้อยตัวนั้นไปจนทัน และเมื่อกระต่ายป่าต้องจนมุม สิงโตหิวโซตัวนั้น ก็จ้องจะจับกินกระต่ายตัวนั้นในทันที

แต่ ! ขณะเดียวกันนั้น ก็ได้มีกวางตัวหนึ่งวิ่งผ่านมาข้างๆ

อ๊ะ...นั่นมันกวางนี่หว่า ตาเราไม่ฝาดใช่ไหม เจ้ากวางตัวนั้นจะเป็นอาหารมื้อใหญ่ของฉันเลยทีเดียว สิงโตรำพึง

ดังนั้น มันจึงปล่อยให้กระต่ายหลุดรอดไป แล้วมันเองก็วิ่งกวดตามกวางไปทันที แต่กวางตัวนั้นวิ่งได้เร็วมาก เร็วเสียจนในไม่ช้า มันก็ลับหายไป เมื่อสิงโตเห็นหมดหวังจะตามกวางได้ทัน มันก็ว่า ฉันจะกลับไปกินเนื้อกระต่าย ดีกว่า

แต่เมื่อมันกลับมาที่ ๆ ซึ่งเมื่อตะกี้ ที่มันได้ต้อนกระต่ายไปจนมุมนั้น มันได้พบว่า กระต่ายได้หนีหายไปเสียแล้ว

โธ่เอ๋ย ฉันน่า จะกินกระต่ายเสียก่อนตั้งแต่ตอนที่พบมันครั้งแรก แล้วเจ้าสิงโตก็คร่ำครวญ นี่เป็นเพราะฉันโลภมากเกินไป ผลสุดท้ายก็เลยไม่ได้ กินอะไรเลย

ใช่...ในระหว่างบรรทัดแห่งหนทางชีวิต หลายครั้งเราก็ปล่อยโอกาสหายไปเนื่องจากหวังเกินจริง ตั้งเป้าหมายเกินควร มองไม่เห็นว่าแท้จริงแล้วควรทำอะไรก่อนหลัง ความสับสนของการดำรงชีวิตมักนำมาซึ่งปัญหาไม่รู้จบ และเราหลายคนก็ไม่เคยเรียนรู้ที่จะสู้ปัญหา ไม่เคยเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น พยายามข้ามไปเพื่อหาเป้าหมายใหม่ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งคิด โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่า ทุกเป้าหมายล้วนแฝงไปด้วยปัญหา หากไม่รู้จักใช้โอกาสในการสู้ในการเรียนรู้ปัญหา ก็ไม่มีหนทางไปสู่ความสำเร็จได้สักครั้งในชีวิต

คนที่ไม่รู้จักแก้ปัญหาแท้จริงมองให้ลึกลงไป ก็คือคนที่ไม่รู้จักตัวเองดีพอ หลายคนเข้าขั้นกลัวตัวเอง และละเลย ละทิ้งตัวเอง ปล่อยชีวิตให้เป็นดังก้อนหินที่กลิ้งไปกลิ้งมาอย่างไร้ทิศทาง เป็นได้อย่างเก่งก็เพียงถูกหยิบจับมาปาใส่หัวกันและกัน จากนั้นมันก็ถูกทิ้งขว้าง ถูกดูหมิ่นว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่ก่อให้ผู้อื่นเดือดร้อน หากเราเป็นได้แค่เพียงก้อนหินเช่นนี้ ชีวิตเราจะมีคุณค่าอะไร จะมีคุณประโยชน์อะไรต่อคนรอบข้าง ต่อสังคม และต่อส่วนร่วม

แต่สำหรับก้อนหินที่ถูกขัดเกลาจนสวยงาม เมื่อใครเห็น ใครก็ต้องการจะยกย่อง เชิดชู ให้เป็นเครื่องประดับที่สวยงาม ถูกนำมาตั้งโชว์ นำมาเรียงในชั้นวางหรู และยิ่งเมื่อขัดเกลาจนไปถึงขั้นจากหินกลายเป็นเพชรเม็ดงาม ใครๆก็ปรารถนาจะได้อยู่ใกล้ อยากจะได้เป็นเชยชมและสรรเสริญ เฉกเช่นพระนางมารีย์ผู้ฝึกฝนตนเองจนกลายเป็นสตรีที่งดงามจนได้รับพระพรมากกว่าหญิงใดๆ และลูกของพระนางก็ได้รับพระพร จนกลายเป็นผู้กอบกู้โลกที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก

แล้ววันคืนที่ผ่านมาและกำลังจะพ้นผ่านไป เราเป็นก้อนหินก้อนแบบไหนเล่า... กลม มน เกลี้ยงหรือยัง ...ใกล้ที่จะเป็นเพชรงามหรือยัง.. หากยังห่างไกล ก็จงใช้ทุกๆโอกาสที่ผ่านเข้ามา ใช้ทุกเหตุการณ์ ทุกเรื่องราวหล่อหลอมขัดเกลาจิตวิญญาณของเราให้สวยงามและคงอยู่ตลอดไป อย่าปล่อยให้เราเป็นเพียงก้อนหินที่คนเขาโยนลงน้ำอย่างไร้ค่า อย่าปล่อยให้เราเป็นเพียงก้อนหินที่ถูกเหยียบย่ำแล้วเดินผ่านไปอย่างไร้การเหลียวแล เพราะชีวิตเรามีคุณค่าและสวยงามเสมอ โอกาสรอเราอยู่แทบทุกนาทีที่หายใจ หามันให้พบแล้วใช้มันให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิต...

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แม่...มหาวิหารงดงาม

แม่...มหาวิหารงดงาม

เหลือบดูปฎิทินตั้งโต๊ะก็เห็นว่าอีกไม่กี่วันก็ถึงวันแม่แล้ว ครั้นจะเขียนถึงแม่ในครั้งหน้าก็เกรงว่าจะล่าช้าไป เผื่อว่าจะได้แบ่งปันข้อคิดในวันแม่ที่จะมาถึงนี้บ้าง.. ในทุกๆปีก็คิดว่าจะเขียนอะไรถึงแม่บ้าง แต่ที่แปลกมักจะได้ความคิดใหม่เกี่ยวกับแม่เสมอ เพราะแค่คำว่า แม่ ก็มีแง่มุมให้เขียน ให้ระลึกถึงตั้งมากมายก่ายกอง สำหรับครั้งนี้พอคิดถึงแม่แล้ว ก็อดที่จะเปรียบเทียบแม่ในอีกความรู้สึกหนึ่ง นั่นก็คือ แม่เป็นเสมือนมหาวิหารที่งดงามทั้งภายในและภายนอก รู้สึกอบอุ่น เกิดศรัทธาทุกครั้งเมื่อได้เข้าไปสัมผัสไออุ่นจากแม่ อยากจะนั่งนิ่งๆอยู่ใกล้ๆให้นานแสนนาน ใช่... หลายคนบอกว่า ใจของคนเราเป็นดั่งวิหารแต่บ่อยครั้งเรากลับทำมันเป็นรังโจร แต่ใจของแม่ ยังไงๆ ก็เป็นมหาวิหารของลูกๆเสมอ มีก็แต่ใจของลูกๆนี่แหละที่ชอบทำเป็นรังโจร สุดท้ายแล้วก็มักต้องเข้าไปหลบเลียความผิดบกพร่องในอ้อมกอดมารดาในวันที่สิ้นแล้วทุกสิ่ง....

มีบ่อยครั้งที่แม่ถูกทอดทิ้งให้เป็นมหาวิหารร้างเปล่า มีบ่อยครั้งเราก็เป็นเพียงผู้เยี่ยมชมและก็มองผ่านความงดงามและความสงบนิ่งนี้ไปอย่างไม่อาวรณ์ มีบ่อยครั้งที่เราหมางเมินที่จะรับรู้ถึงความงดงามที่สถิตอยู่ตรงหน้าเรา ปล่อยให้ความวุ่นวาย ปล่อยให้ความยุ่งยากมาครอบงำ ทำให้เราต้องละทิ้งวิหารให้ยืนตระหง่านอย่างเดียวดาย บ่อยครั้งเราเลือกที่จะดุด่าว่ากล่าวความเก่าเฒ่าแก่ชราของแม่ แต่ไม่เคยเห็นคุณค่าแห่งความอดทน อดกั้นอันยิ่งใหญ่ที่ผ่านมา ที่ได้ส่งเสริมให้เราเติบใหญ่ บ่อยครั้งเราปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ในบ้านเรา มาเหยียบย่ำน้ำใจอันใสบริสุทธิ์ ดูแคลนความห่วงใยที่ไม่เคยหดหายไปจากใจของผู้หญิงที่เราเรียกว่า แม่ และหลายครอบครัวหลายคน ที่ปล่อยให้ในบ้านมีสภาพแม่ผัวลูกสะใภ้เป็นดั่งละครหลังข่าว เต็มไปด้วยวาจาที่หยามหมิ่นผู้เป็นแม่ ทั้งๆที่จริงแล้วหากทุกคนเข้าใจหัวใจที่เปี่ยมรักของแม่ ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากเราทุกคนยึดมั่นและเชื่อมั่นว่าผู้หญิงที่มีจิตใจแห่งความเป็นแม่ที่แท้จริง คือ มหาวิหารที่งดงามเสมอ ครอบครัวก็จะอบอุ่นและสันติ...

ครั้งหนึ่ง ในบ้านหลังหนึ่งมีสามี ภรรยา ลูกชาย และอาม่าแก่ๆคนหนึ่ง อาม่าแก่มากและไม่ค่อยจะแข็งแรง มีอาการมือไม้สั่นตลอดเวลา ทำให้ถือของก็ลำบาก โดยเฉพาะเวลาที่อาม่าจะทานข้าวร่วมกับครอบครัว อาม่าจะถือชามข้าวได้ลำบากและทำข้าวหกลงบน โต๊ะเป็นประจำอยู่ตลอดเวลา

ลูกสะใภ้อาม่ารำคาญกับเรื่องนี้มาก จึงปรึกษากับสามีว่า นางทนไม่ได้เวลาที่อาม่าทานข้าว จะทำข้าวหกเกลื่อนโต๊ะ เพราะมันทำให้รู้สึกกินข้าวไม่ลง สามีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถทำให้อาม่าหายมือสั่นได้

อีกไม่กี่วันต่อมา ลูกสะใภ้ก็พูดกับสามีเรื่องนี้อีก ว่าจะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือ นางทนไม่ได้แล้ว!!! (จะเลือกใครล่ะระหว่างแม่กับเมีย) หลังจากโต้เถียงกันได้สักพัก สามีก็ยอมตามภรรยา โดยเมื่อถึงเวลาทานข้าว เขาจะจัดให้แม่นั่งแยกโต๊ะต่างหากเพียงคนเดียว และใช้ชามข้าว ถูกๆบิ่นๆ เพราะอาม่าทำแตกบ่อยๆ

เมื่อถึงเวลาทานข้าว อาม่าเศร้าใจมาก เพราะอาม่าก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขอะไรได้ นางนึกถึงอดีตที่นางเลี้ยงดูลูกชายด้วยความรักเสมอมา นางไม่เคยบ่นต่อความเหนื่อยยาก และเวลาที่ลูกชายเจ็บไข้นางก็ดูแลอย่างดี เวลาลูกชายมีปัญหาก็ช่วยแก้ไขทุกครั้ง แต่ตอนนี้อาม่ารู้สึกว่าถูกทิ้งอาม่าเสียใจมาก

หลายวันผ่านไป อาม่าก็ยังเศร้าใจ รอยยิ้มเริ่มจางหายไปจากใบหน้าของ หลานชายน้อยๆของอาม่าซึ่งเฝ้าดูทุกอย่างมาตลอด ก็เข้ามาปลอบใจและบอกคุณย่าว่า เขาก็รู้สึกเสียใจมากที่พ่อแม่ของเขาทำแบบนี้ แต่หลานชายมีวิธีที่จะให้อาม่ากลับไปทานข้าวรวมกับทุกคนได้

ความหวังเริ่มเกิดขึ้นในหัวใจของหญิงชรา จึงถามหลานชายว่าจะทำอย่างไร หลานก็ตอบว่าเย็นนี้ให้คุณย่าแกล้งทำชามของคุณย่าตกแตกเหมือนกับไม่ได้ตั้งใจ อาม่าได้ฟังก็แปลกใจ แต่เด็กน้อยยืนยันว่า ให้คุณย่าทำตามที่บอก ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลานเอง

และแล้วเมื่อได้เวลาอาหารเย็น หญิงชราก็ตัดสินใจลองทำตามที่หลานบอก เพื่อจะดูว่าหลานชายมีแผนอะไร หญิงชรายกชามข้าวเก่าๆที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้น แล้วแกล้งปล่อยลงบนพื้นเหมือนทำหลุดมือชามข้าวเก่าๆแตกกระจายยับเยิน

ลูกสะใภ้เห็นชามแตกเสียหายก็ลุกขึ้นเตรียมจะด่าว่าอาม่า แต่ลูกชายตัวน้อยของนางกลับชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า คุณย่าทำไมทำชามแตกหมดเลยล่ะครับ หนูกะว่าจะเก็บไว้ให้คุณแม่ใช้ตอนแก่นะ แล้วคุณแม่จะได้ใช้ชามเก่าที่ไหนกันล่ะเนี่ยเซ็งเลย

ลูกสะใภ้เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ก็หน้าซีดและด่าอาม่าไม่ออกอีกต่อไป นางรู้ทันทีว่าสิ่งที่นางทำจะเป็นตัวอย่างให้ลูกชายของนางปฏิบัติเมื่อนางแก่ตัวลง นางรู้สึกอับอายและสำนึกกับการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนก็ทานข้าวรวมกันมาตลอด

(จาก นสพ. ผู้จัดการ)

"สตรีที่ยำเกรงพระเจ้าสมควรได้รับคำสรรเสริญ จงให้เธอได้รับผลจากมือของเธอ จงสรรเสริญเธอที่ประตูเมือง" สภษ .20:30-31….. แด่แม่ทุกคนที่มีบุญคุณต่อโลกใบนี้และเราสัญญาว่าจะไม่ลืม จะเทิดทูน จะดูแล ทำให้มหาวิหารที่งดงามนี้ศักดิ์สิทธิ์ตลอดไป....