วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กว้าง กั้น กลาง

กว้าง กั้น กลาง
หรือว่า เราอยู่บ้านอาคารที่เป็นอิฐ เป็นปูน เป็นตึก ที่มีรูปร่างและโครงสร้างที่ดูแข็งๆทื่อๆมากเกินไป มันเลยทำให้จิตใจของคนเราถึงได้แข็งกระด้าง ภาพเปลวไฟและกลุ่มควันที่ปกคลุมเมืองฟ้าอมรให้หมองมัว ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวและเศร้าหมองเหลือเกิน จึงหาเวลาหลบเลี่ยงความคุกรุ่นของเมืองหลวง สู่ความสดใสไหลเย็นลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพื่อให้สายธารราดรดใจที่ร้อนรุ่มสุมเผาทำเอาแทบระเบิดลงไปบ้าง เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นบ้านเมืองเต็มไปด้วยความแค้นเคืองและเกลียดชังกันก็วันนี้แหละ...
ใช่หรือไม่ นานมาแล้วศูนย์กลางใจเมืองหลวงเป็นแหล่งที่คลาคล่ำไปด้วยเงินทุน เป็นแหล่งที่มาของทุนนิยม การซื้อขายต่อวันเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาท แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างต้องหยุดเดิน การค้าขายมีเวลาพักร้อน การช็อปปิ้งถูกเว้นวรรค แต่...ชีวิตของคนไทยในเมืองก็ยังดำเนินต่อมาได้ จึงไม่แปลกเลยหากว่าชีวิตเราจะไม่ผูกพันกับทุน กับการแข่งขันหากำไร เราก็สามารถอยู่กันได้ และเพราะทุนนิยมเสรีที่สร้างการแข่งขัน มันจึงมาพร้อมกับการเห็นแก่ตัวสุดโต่ง และการไม่รู้จักยอมกัน ฉากที่เราเห็นเปลวไฟที่เผาไหม้นั้นมันก่อตัวจากกองไฟในจิตใจของคนเราแต่ละคนนั่นเอง
สายน้ำเจ้าพระยา ยังคงไหลผ่านมานานนับวัน เป็นเสมือนเพื่อนที่คอยบรรเทาใจในยามทุกข์ยามเศร้าโสก สายน้ำยามปกติไหลร่มเย็น จะมีบ้างบางเวลาที่โหดร้ายและรุนแรง แต่ทุกกรณีผู้คนริมเจ้าพระยาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับสายน้ำนี้มาเป็นเวลายาวนานเช่นกัน ใช่...หากเราเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันและปรับสมดุลเข้าหากัน ทุกสรรพสิ่งสร้างก็อาศัยอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติสุข จากหลากหลายกลายเป็นหนึ่ง ใครเล่าจะมีหน้าที่ที่จะเรียนรู้การอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ ถ้าไม่ใช่เราแต่ละคน...
ณ เมืองๆหนึ่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่ที่ให้ชีวิต ให้กำเนิดพืชพันธุ์ กำเนิดการสัญจรของผู้คนมาอย่างยาวนาน ในแต่ละปีจะมีช่วงหนึ่งที่สายน้ำแห่งนี้จะล้นหลาก สร้างความลำบากให้ผู้คนที่นับวันยิ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเมืองแห่งนี้ผู้เป็นดังเสาเอก ผู้ที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อเรียนรู้และปรับชีวิตของพลเมืองให้สมดุลกับธรรมชาติตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทุกคนต่างผาสุก เป็นเมืองทองเมืองเอกที่เมืองรอบๆต่างเฝ้าอิจฉา
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีมหาเสนาบ่ดีผู้หนึ่ง คิดการใหญ่หวังสร้างชื่อเสียงเพียงข้ามวันข้ามคืน ใช้เงินทองซื้อทุกอย่างจนเคยตัว คิดเร็วทำเลว ก็คิดทฤษฎีใหม่ขึ้นมา เพื่อสร้างฐานเสียงให้ยิ่งใหญ่ ประกาศก้องต่อท้องธรณี ว่าปีนี้ปีหน้าเมืองเราจะไม่มีน้ำท่วมเมืองอีกแล้ว ผู้ฟังต่างตื่นเต้นตื่นตูมกันยกใหญ่ จะเป็นไปได้เยี่ยงไร!!! มหาเสนาบ่ดีรีบชี้แจงแถลงไขพร้อมรอยยิ้มว่า “เราจะสร้างเขื่อนกั้นน้ำสองฝากฝั่งเมือง ไม่ให้น้ำสักหยดรดลงมาในท้องที่” ผู้คนต่างส่งเสียงเชียร์กันอย่างเกรียวกราว
ในขณะที่เจ้าเมืองหาได้มีความหวั่นไหวในความคิดทฤษฎีใหม่นี้เลย ยังคงเดินแผ้วถางที่รกร้างให้โล่งกว้าง เพื่อรองรับน้ำที่จะไหลหลากมา เพื่อให้น้ำจำนวนมากได้แผ่ขยายกว้างออก เพื่อคนในเมืองจะได้ไม่เดือดร้อนถูกน้ำท่วม ให้คนรอบเมืองมีที่เก็บน้ำทำนาทำไร่ตลอดทั้งปี
ในเมืองก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ครึ่งๆกลางๆไม่รู้จะเชื่อใครดี จึงเสนอให้ลองใช้ทั้งสองวิธีว่าสิ่งไหนน่าจะดีกว่ากัน เจ้าเมืองผู้มีจิตใจประเสริฐก็ให้โอกาสมหาเสนาบ่ดีได้ทำตามแนวคิดของตัวเองก่อน และแล้วช่วงน้ำหลากก็มาถึง ปีนี้น้ำมากผิดปกติ เขื่อนริมลำน้ำถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแรง น้ำที่ไหลผ่านมาถูกขวางกั้นและไหลไปตามลำเขื่อนนั้น แต่แล้วด้วยแรงดันน้ำที่รุนแรงที่มาพร้อมกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากนั้นได้ทำให้เขื่อนเริ่มปริ เริ่มแตกออก แล้ววันหนึ่งมันก็ระเบิด กระแสน้ำไหลทะลัก สร้างความเสียหายไปทุกหย่อมหญ้า ทันใดนั้นเอง เจ้าเมืองที่พอจะคาดการณ์ได้ก็รีบให้ทหารและข้าราชการทุกคนออกปฏิบัติหน้าที่ทันที ด้วยการไปรื้อกำแพงเขื่อนทิ้งเสีย บังคับสายน้ำให้ไหลลงไปในพื้นที่กว้างที่เจ้าเมืองได้ตระเตรียมไว้ เพียงชั่วข้ามคืน น้ำลดระดับลง ความรุนแรงถูกบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด ....
หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้มาได้ คนที่ไม่เชื่อในแนวคิดของเจ้าเมือง คนที่เคยคิดว่าเป็นแนวคิดโบราณ คนที่แอบอ้างว่าเป็นกลางก็กลับลำมาชื่นชมและยกย่องเจ้าเมือง และในวันหนึ่งเจ้าเมืองได้พูดกับประชาชนว่า “สายน้ำก็เหมือนน้ำใจคน ต้องแผ่ให้กว้างออกไป ขยายออกไป เพื่อคนอื่นบ้าง ไม่ใช่เก็บกักไว้กับตัวเอง ไม่นานก็ล้น ไม่นานก็เต็มก็ปริและก็พร้อมระเบิดได้ทุกเวลา ยิ่งให้ออกไปยิ่งได้รับสันติสุขกลับคืนมา ยิ่งเพิ่มความรักยิ่งมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น”......(นิทานเรื่องนี้ไหลออกมาพร้อมกับสายน้ำเจ้าพระยาที่ได้ไปเยี่ยมเยียน)
ไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่ หากแต่ว่าการเริ่มต้นใหม่นั้นต้องนำความสูญเสีย ความเจ็บปวดเหล่านี้มาเป็นบทเรียน เพื่อที่จะนำพาสังคมไทยของเราไปสู่สันติ เราก้าวไปในโลกทุนนิยมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเราไม่ละทิ้งคุณธรรม เราก้าวสู่โลกที่เต็มไปด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกสารพัดได้ หากเรายังคงครองจิตที่งามงดไปด้วยจรรยาและจริยธรรม เราอยู่ในโลกที่หลากหลายแนวคิด หลากหลายอุดมการณ์ได้ หากเรามีหัวใจแห่งความรักเหมือนๆกัน ลูกๆในบ้านทะเลาะกัน แต่ไม่เคยมีพ่อคนไหนที่ไม่รักลูกทั้งสองฝ่าย พระบิดาเจ้าไม่เคยทอดทิ้งใครให้ต้องเผชิญความทุกข์ เพราะพระองค์ได้ส่งพระบุตรและพระจิตสถิตในใจเราเพื่อเสริมสร้างความรักตลอดมาและตลอดไป ไม่มีสิ่งใดจะมาขวางกั้นความรักที่แผ่กว้างขยายออกไปจากใจคนที่มีสันติสุขได้..

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รำพึงสายประคำ...ประเทศไทย

รำพึงสายประคำ...ประเทศไทย

ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ม่านหมอกดำทะมึนปกคลุมท้องฟ้าเกือบทั่วมหานคร การสัญจรถูกทำให้เป็นหมัน เกิดอะไรขึ้นในเมืองไทย เมื่อไหร่จะยุติ เมื่อไหร่จะสงบและจะทำอย่างไร? หลายฝักหลายฝ่าย ซ้ายขวา สีนั้นสีนี้ จะสู้กันไปทำไม ฝ่ายเชียร์ ฝ่ายแช่ง ฝ่ายเสนอแนะ ฝ่ายเสนอหน้า ฝ่ายวิชาการฝ่ายวิชามาร หัวใจใยหนอเต็มไปด้วยความรุนแรง และแค้นเคือง หากสันติภาพได้มาจากสงครามฉันใด ใยสันติสุขของคนไทยจะได้มาจากรอยยิ้มและการให้อภัยกันไม่ได้ฉันนั้นหรือ...

ใช่ การยกจิตยกใจและอธิษฐานภาวนา พลังจิตแรงอธิษฐานอาจจะเป็นดังสายฝนโปรยลงมา เพื่อไล่ความร้อนแรงแห่งจิตใจคนในวันนี้ เราจะร่วมกันรำพึงถึงหนทางที่พระเยซูคริสตเจ้าผ่านพ้นจากความทุกข์สู่แสงสว่าง และรำพึงถึงเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพื่อยกประเทศไทยให้อยู่ในความคุ้มครองของพระแม่มารีย์....

ข้อรำพึงที่ 1 พระเยซูเจ้าประสูติ ณ เมืองเบเลแฮม

พระนางมารีย์ได้คลอดบุตรชายคนแรก ณ เมืองเบเลแฮม เอาผ้าพันกายกุมารนั้น แล้ววางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากไม่มีที่ในห้องพักแรม (ลก 2:7)

ชีวิตของทุกคน คือ สิ่งมหัศจรรย์ เป็นพรอันประเสริฐ ที่เราควรจะทะนุถนอม และเคารพในความเป็นอยู่ของกันและกัน แล้ววันนี้เราเห็นชีวิตเป็นเช่นไร เป็นเพียงเครื่องยนตร์กลไก ใยต้องเข่นฆ่ากัน ชีวิตเป็นสิ่งงดงาม แต่ความทรามที่ผุดมาพร้อมความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ครองจิตใจผู้คน ได้ทำลายชีวิตกันและกัน โปรดรื้อฟื้นความอ่อนโยนแห่งจิตวิญญาณ เพื่อว่าเราจะได้เป็นของมีค่าล้ำในสายตากันและกันตลอดไป....ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ....วันทามารีอา...... สิริพึงมี....... อาแมน

ข้อรำพึงที่ 2 พระนางมารีย์พบพระเยซูเจ้าในพระวิหาร

ในวันที่สาม ท่านทั้งสองจึงพบพระองค์ในพระวิหาร กำลังนั่งอยู่ท่ามกลางบรรดาอาจารย์ ทรงฟังและไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ ต่างประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของพระองค์ (ลก 2 : 46-47)

การรับฟัง การไต่ถามและร่วมกันวิเคราะห์เพื่อสร้างปัญญา สิ่งเหล่านี้หาได้เกิดในสังคมไทยในวันนี้ แม้จะพยายามมีการเจรจาแต่เพราะความยึดมั่น ยึดโยงในความคิดของตัวเองฝ่ายเดียวเจรจาจึงกลายเป็นจลาจล จนนำมาซึ่งปัญหาไร้ปัญญาในการแก้ไข มีแต่เพิ่มเงื่อนปมแห่งปัญหาใหม่ ปล่อยให้จุดหลักของการเจรจาหลงลืมกันไป หากเรามีการพูดคุยกันด้วยหัวใจที่หวังดีโดยหลีกเลี่ยงอคติต่อกัน วันนี้เราคงไม่ร่ำไห้กันทั้งเมือง สร้างสันติสุขในจิตใจเราให้ได้ สันติภาพส่วนรวมก็จะตามมา.... ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ....วันทามารีอา...... สิริพึงมี....... อาแมน

ข้อรำพึงที่ 3 พระเยซูเจ้าทรงถูกเฆี่ยน

ประชาชนทุกคนตอบว่า ขอให้เลือดของเขาตกเหนือเรา และเหนือลูกหลานของเราเถิด แล้วปิลาตได้สั่งให้ปล่อยบารับบัส สั่งให้โบยตีพระเยซูเจ้า แล้วส่งพระองค์ให้เขานำไปตรึงบนไม้กางเขน (ลก 27: 25-26)

เลือดที่ไหลรินบนท้องถนน ซากปรักหักพังของตึกรามบ้านช่องในมหานครของไทยวันนี้ ขอให้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพในวันรุ่ง จากนี้ไปการให้อภัย การกลับใจนั้นจะเป็นฟากฝั่งนำชัยสู่สังคมรวมกัน เลือดทุกหยาดหยดอย่าได้สูญเปล่า อย่าให้สูญสิ้น ถิ่นไทยจงเติบโตบนบทเรียนแห่งความเจ็บปวดของวันนี้... ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ....วันทามารีอา...... สิริพึงมี....... อาแมน

ข้อรำพึงที่ 4 พระเยซูเจ้าทรงแบกไม้กางเขน

พระองค์ทรงแบกไม้กางเขนเสด็จออกไปยังสถานที่ที่เรียกว่าเนินหัวกะโหลก ภาษาฮีบรูว่า กลโกธา เขาได้ตรึงพระองค์บนไม้กางเขนที่นั่น (ยน 19 : 17-18)

ผู้คนชนชาวกรุง กำลังถูกตอกตรึงด้วยความเครียด ความระแวง อันตรายนานาชนิด เต็มไปด้วยความหวาดกลัววิตก รากเหง้าของปัญหามาจากความเห็นแก่ตัวที่ก่อร่างสร้างสังคมให้เต็มไปด้วยการกดขี่ แข่งขัน ความเสียสละเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ แท้จริงหัวใจคนไทย คือ ความเอื้ออารี สิ่งนี้จะนำพาสังคมคลายทุกข์สู่สันติได้ ....ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ....วันทามารีอา...... สิริพึงมี....... อาแมน

ข้อรำพึงที่ 5 พระจิตเสด็จลงมา

เมื่อวันเปนเตกอสเตรมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนได้มาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน เขาได้เห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม (กจ 2: 1,3-4)

เปลวไฟที่พวยพุ่งเผาผลาญวอดวาย คงจะเริ่มหายไป ม่านหมอกฝนดำที่น่ากลัวจะผ่านไป ความทุกข์สาธารณะกำลังผ่านพ้น ความหวังว่าสังคมไทยจะก้าวพัฒนาไปอย่างมั่นคงจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้ บาดแผลเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์การเรียนรู้สู่ความเข้มแข็ง สิ่งประเสริฐคือการหวนสู่ความงดงามแห่งจิตใจ แล้ววันนั้นคงจะมาถึงในไม่ช้า อาศัยความสามัคคีของคนในชาติ ผู้ร่วมในวันแสนเจ็บปวดด้วยกัน...ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ....วันทามารีอา...... สิริพึงมีแด่พระบิดา พระบุตร และพระจิต....... อาแมน พระนางมารีย์ ราชินีแห่งสันติภาพ ช่วยวิงวอนเทอญ.....

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สังคมโนบิตะ สังคมที่ไม่รู้จักโต

สังคมโนบิตะ สังคมที่ไม่รู้จักโต

ไม่ว่าเด็กคนไหนลองได้ดูการ์ตูนเรื่อง โดเรมอน สักครั้ง รับรองเป็นต้องติดอกติดใจ อยากจะดูอยากจะชมตลอดเวลา จนทำให้การ์ตูนเรื่องนี้เป็นอมตะ ที่ไม่เคยตายไปจากใจของเด็กๆเกือบค่อนโลก ทั้งๆที่คนเขียนการ์ตูนชุดนี้ได้สิ้นชีวิตไปแล้ว เป็นการ์ตูนที่ดูสนุกๆและมีแอบลุ้นในทุกๆตอนว่า เจ้าโดเรมอนจะมีของวิเศษอะไรให้โนบิตะ

โนบิตะ ก็คือ ตัวละครการ์ตูนเอกในเรื่อง โดราเอมอน หรือ โดเรมอน ฮีโร่ตลอดกาลคนหนึ่งของเด็กชาวเอเชีย (โดเรมอนเป็นหุ่นยนต์แมวจากโลกอนาคต ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 22) โนบิตะ มีนิสัยขี้แย เป็นคนไม่เอาถ่าน อ่อนแอ ไม่เคยพึ่งพาตนเอง เรียนหนังสือก็ไม่เก่ง สอบได้ 0 คะแนนอยู่บ่อยๆ มาโรงเรียนสายเป็นประจำ ถูกทำโทษบ่อยครั้ง กีฬาก็ไม่ถนัด งานอดิเรกก็คือนอนกลางวัน กับอ่านการ์ตูน ถือว่าเป็นตัวละครที่ไม่เอาไหน แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็มีนิสัยที่ดีอยู่มากเช่นกัน เช่น รักสัตว์ ขี้สงสาร รักเพื่อน อารมณ์อ่อนไหว และรักความยุติธรรม ยอมนำตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ ด้วยลักษณะนิสัยที่มีมิติความเป็นมนุษย์อยู่มากเช่นนี้ จึงทำให้ตัวละครนี้สามารถเข้าไปอยู่ในใจของคนทั่วโลกได้ไม่ยาก

โนบิตะหลงรักชิซุกะ ซึ่งอยู่ในวัยเดียวกัน มีความหวังที่จะได้แต่งงานด้วยเมื่อเขาโตขึ้น แต่ก็มักจะมีอุปสรรค และมีคู่แข่งหลายคน จากการโดนกลั่นแกล้งของไจแอนท์ และซูเนโอะเสมอ โนบิตะได้เพื่อนรัก คือ โดเรมอน คอยช่วยเหลือ ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น เรื่องราวในการ์ตูนชุดนี้ในทุกตอน โนบิตะก็ต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าแมวสีฟ้าที่มีของวิเศษอยู่ตลอด และไม่ว่าจะผ่านมากี่สิบปีโดเรมอนเจ้าแมววิเศษก็ไม่มีวันตายและโนบิตะก็ยังไม่ยอมโตสักที

นึกอะไรขึ้นจึงนำเอาการ์ตูนเรื่องนี้มาเขียน... ก็เนื่องด้วยเพราะว่าในสังคมไทยเรา มีคนจำนวนมากที่ยังทำตัวเหมือนโนบิตะที่ไม่รู้จักโต เกิดเรื่องราวอะไรนิดอะไรหน่อย มีอุปสรรค มีปัญหาอะไร ก็ได้แต่ร้องเรียกคนช่วย เหมือนโนบิตะเรียกหาโดเรมอนและโดเรมอนก็ไม่เคยสอนให้โนบิตะรู้จักช่วยเหลือตัวเองเลย มีแต่นำเอาของวิเศษให้ ให้จนเคยตัว ใช่หรือไม่ คนไทยวันนี้พอขอไม่ให้ก็พาลโกรธเคือง พาลตะโกนขู่ เรียกร้อง ประท้วงกันยกใหญ่

และเช่นเดียวกันคนที่เข้ามาบริหารประเทศ กำกับสังคมก็แปลก!!!ในทุกยุคทุกสมัยก็เป็นเช่นนี้ เที่ยวแต่แจก เที่ยวแต่ให้ แต่หาได้น้อยมากที่จะสอนให้ประชาชนรู้จักพึ่งพาตัวเอง ลองมองกลับมาดูสังคมวันนี้ให้ดีๆ คนจนที่มีจำนวนมากนั้นส่วนใหญ่จนเพราะจนใจ จนปัญญา จนสมอง ที่จะครองชีวิตต่อสู้บนหนทางแห่งโลกยุคใหม่ได้ เพราะถูกครอบงำด้วยการรอคอยคนอื่นมาช่วยเหลือกันเป็นหลายสิบปี คอยแต่รอความหวังจากก้อนเงินเพียงน้อยนิดจากฝ่ายบริหารส่วนบนจะหยิบโยนมาให้ ได้เงินได้ทุนมาก็บริหารเงิน บริหารทุนกันไม่เป็น กลายเป็นหนี้เป็นสิน และก็ตั้งความหวังว่าจะมีโดเรมอนคนใหม่มาปลดหนี้ปลดสินให้ ใครสัญญา ใครให้ เช่นนี้ก็เทิดทูนอยู่เหนือหัว เป็นผู้อุปถัมภ์อย่างถาวร

ในครอบครัวยุคใหม่ก็เช่นกัน หลายครั้งเราผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็ทำตัวเป็นโดเรมอน ที่คอยปกป้อง ช่วยเหลือลูก เข้าข้างลูก จนลูกโตแต่ตัวแต่ไร้วุฒิภาวะแห่งวัยวุฒิ เอะอะอะไรก็ร้องขอ พ่อแม่ก็ใจดีให้ทุกอย่าง แต่สิ่งหนึ่งกลับละเลยในการให้ นั่นคือ การให้จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ พ่อแม่ตีค่าความรักความดูแลแปรเป็นรูปของเงินและอุปกรณ์เสริมที่จัดซื้อให้ จึงใช้เวลาหมดไปกับการแสวงหาเงินทอง เวลาที่มีอยู่กับลูกๆกลายเป็นเวลาที่นั่งดูนอนดูลูกขะมักเขม้นกับเครื่องอำนวยความสะดวก หมดแรงที่จะขยับปากเปิดใจ ให้คำสั่งสอน หรือแม้กระทั่งประวัติศาสตร์สืบสานของวงศ์ตระกูลก็ไม่ได้เล่าขานให้ลูกหลานรับรู้ ความภูมิใจในรกราก ความเชื่อมั่นในความศรัทธาต่อวิถีทางของบรรพบุรุษจึงหลุดหายไปอย่างน่าเสียดาย

เช่นนี้แล้ว คนส่วนใหญ่ที่ถูกเพาะบ่มด้วยคุณค่าแห่งอุปกรณ์นิยม ถูกหล่อเลี้ยงด้วยของวิเศษที่มีให้ตลอดกาล เมื่อร่างกายต้องเติบโตและไหลสู่กระแสของโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่มุ่งหวังต้องได้มาโดยอาศัยคนอื่นหยิบยื่นให้ ใช่ แม้กระทั่งเข้าโรงเรียนก็ฝากกัน จะทำงานก็ฝากฝังให้ทำ ใช้ระบบเส้นสายและอุปถัมภ์นิยมจนเคยตัว

หากมองโดยภาพรวมไม่ว่าสังคมชนบท สังคมเมืองต่างก็ถูกกระแสที่ไม่รู้จักโตครอบครอง เป็นสังคมที่มีคนมอบปลาให้แต่เขาไม่ได้สอนวิธีการหาปลาและทำปลาให้เป็นอาหาร

ในด้านมิติแห่งความเชื่อในศาสนาก็เช่นกัน เราก็ตีความศรัทธากันที่ต้องได้รับผลตอบแทน ในหนทางชีวิตที่เจอวิกฤติ เจอปัญหาก็หันหน้าพึ่งพาพระเจ้า ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้จิตใจสงบ แต่ส่วนใหญ่กลับเข้าไปวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะดลบันดาลให้ปัญหาหมดไป ให้ทุกข์ถูกขจัด เมื่อไม่ได้ดังหวัง ดังที่สวดวอนขอ ก็หันหลังให้พระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะมัวแต่ยึดโยงว่าพระเจ้าเป็นองค์แห่งความดี จะปราณีต่อคนทุกข์ยาก แต่หารู้ไม่ ทุกครั้ง ทุกวันพระองค์ได้ประทานพรวิเศษให้เราในขณะที่เราลืมตามองโลก นั่น คือ เวลา และพระองค์ก็สอนให้เรารู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์ ให้เรามีปรีชาญาณ มีสติปัญญาและสมองเพื่อพัฒนาสรรพสิ่งสร้างบนโลกสู่ความดีและความงดงาม แต่เราก็กลับกลายเป็นโนบิตะที่ไม่รู้จักโต ไม่รู้จักค่าของวันเวลา ศรัทธามิใช่มีไว้เพื่อขอนะครับพี่น้อง....

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เบื้องหน้า เบื้องหลัง

เบื้องหน้า เบื้องหลั

สำหรับคนดูหนัง ดูละครที่ชื่นชอบในเรื่องนั้นๆ มักมีสิ่งหนึ่งที่คิดคล้ายๆกัน คือ แต่ละตอนทำไมช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ยังไม่อยากให้จบตอน จบเรื่อง หรือ มีบ้างบางคน พยายามค้นคว้าหาทั้งเรื่องมานั่งดูนอนดูให้สะใจ ละครแต่ละตอนอาจจะฉายภายในเพียง 1-2 ชั่วโมง หนังอย่างมากก็ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ยิ่งชอบก็ยิ่งรู้สึกว่าจบเร็ว นี่คือเบื้องหน้าฉากของละคร ของหนังที่มีให้เราดู เราเสพกันอย่างมากมาย ในสังคมที่มีโทรทัศน์เป็นสมาชิกถาวรของบ้าน เป็นเพื่อนสนิทของคนขี้เหงา

แต่สำหรับเบื้องหลังของหนังแต่ละเรื่อง ละครแต่ละตอน รายการแต่ละรายการกว่าจะได้มานั้นต้องผ่านขบวนการมากมาย ต้องมีการค้นหาข้อมูล เขียนบท ถ่ายทำ ลำดับภาพ ผสมเสียง ประชาสัมพันธ์ ทำการตลาด ขายโฆษณา ต้องใช้ทีมงานหลายสิบชีวิต ต้องใช้เวลาผลิตเป็นแรมเดือน ต้องมีการพูดคุย ประชุมเตรียมงาน ต้องมีการแก้ปัญหาทั้งทางเทคนิค แก้ปัญหาจากปัจจัยที่คาดคิดไม่ถึง แต่ก็มีบ้างบางเรื่อง บางกลุ่มก็ทำงานออกมาเพื่อให้เสร็จ ทำกันแบบมั่วๆซั่วๆ ทั้งนี้หากเบื้องหลังไม่ดีพอ เบื้องหน้าก็คงมิอาจจะประเมินค่าได้

หนังสือแต่ละเล่ม เพลงแต่ละบทเพลง และสิ่งอื่นๆที่เราเสพ เราใช้ เราบริโภค ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเบื้องหลังด้วยกันทั้งนั้น และหมายรวมถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมแต่ละวัน เบื้องหน้านั้นดูดี ก็เพราะเบื้องหลังนั้นมาจากความเพียรพยายามของคนหลายคน ซึ่งก็รวมถึงเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดของสังคมไทยในเวลานี้ที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่ละฝักแต่ละฝ่ายล้วนมีเบื้องหน้าเบื้องหลังด้วยกันทั้งนั้น หากเราไม่มีการพินิจพิเคราะห์ ศึกษาให้ลึกลงไปของปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอย่างจริงๆจังๆ เราก็เป็นเพียงคนที่คิด คนที่เห็นสภาพความจริงเพียงด้านเดียว ส่วนเดียว และก็ใช้ความสะใจ ใช้อารมณ์ ใช้วุฒิภาวะทางปัญญาอย่างไม่แหลมคม ในการตัดสินปัญหา การสูญเสียชีวิตของบางคนก็อาจจะมาจากปาก จากจิตใจของเราที่เต็มไปด้วยโมหะจริต

บางครั้งบางเหตุการณ์เราก็เป็นเพียงผู้ดู ผู้เชียร์อยู่ข้างสนาม ที่ปากก็ตะโกนให้ทำอย่างนั่น ให้เล่นอย่างนี้ เราไม่รู้หรอกว่าเวลาในสนามจริง เวลาในเหตุการณ์จริงย่อมมีอะไรมากมายกว่าที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้า สิ่งที่อยู่เบื้องหลังอาจจะพูดไม่ได้ บอกไม่ถูก การรบการสงครามในหลายครั้งหลายกรณี เราเห็นเบื้องหน้ารบรากันจะเป็นจะตาย เบื้องหลังก็มีการส่งคนขอเจรจา ต่อรอง มันก็เป็นเช่นนี้ที่มีทั้งฝ่ายบู้และฝ่ายบุ๋น

ในชีวิตเราก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ สิ่งที่เราแสดงออกมานั้นหาใช่ความจริงทั้งหมด บางเรื่องบางเงื่อนเราก็ยังเก็บงำเอาไว้ ทุกการกระทำของเราก็ย่อมมีเหตุผลรองรับเสมอ มีสิ่งที่ควบคุม มีสิ่งที่วัดค่า ประเมินผลในตัวเราเอง สิ่งนั้น คือ มโนสำนึก แต่ใช่หรือไม่ วันนี้เรามักเจอคนที่แสดงออกมาดูดีแสนดี เป็นเทพบุตรเทพธิดาจุติลงมาโปรด วันเวลาผ่านไปลางเลวร้ายเริ่มปรากฏ สืบค้นเสาะหาก็พบความจริงว่า คนเหล่านั้นถูกความโลภเข้าครอบครอง ถูกความเห็นแก่ตัวเข้าสิงสู่ ปิดประตูสำหรับความสุจริต คดโกงทุกเรื่องและติดตั้งมโนสำนึกแบบใหม่ที่คิดว่าการโกง คือ ความเก่ง ความซื่อสัตย์ คือ ความโง่เง่าและล้าหลัง

สังคมไทยเราถูกค่านิยมของทุนนิยมเข้าครอบครองจิตใจ จนกระทั่งจิตสำนึกพลิกด้าน เปลี่ยนขั้ว ใครโกงก็ได้ ถ้าทำให้มีงานมีเงินใช้ หรือ ใครๆเขาก็โกงกันทั้งนั้น จะทำบ้างไม่เห็นเป็นไร สิ่งเหล่านี้มันซึมลึกลงในใจเรามาร่วม 20 ปี ประจวบกับการรับเอาวัฒนธรรมบริโภคนิยม ทุนนิยม มาใช้อย่างไม่รู้จักปรับแต่งให้เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิม ความเห็นแก่ได้ เห็นแก่เงิน เกิดการแข่งขัน ตัวใครตัวมัน วัฒนธรรมความเป็นพี่เป็นน้องในองค์กรหดหายไปอย่างน่าใจหาย สังคมที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง สังคมที่เต็มไปด้วยถนนโยงใย สังคมที่เต็มไปด้วยเครื่องอุปโภคและบริโภค แต่มันกลายเป็นสังคมแห่งการนิ่งเฉย สังคมไร้และแล้งน้ำใจ เป็นสังคมที่พร้อมจะสาดใส่ซึ่งอารมณ์ร้ายกันได้ทุกวินาที เป็นสังคมที่เดินผ่านหน้าผ่านตากันโดยไม่มีการทายทัก ทั้งๆที่ใช้พื้นที่เดียวกัน สูดอากาศในมุมเดียวกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้แต่ใช้ห้องแห่งความสุข (สุขา) ร่วมกัน

ใช่ เราทุกคนล้วนมีเบื้องหน้าและเบื้องหลัง หลายคนเคยเป็นเบื้องหลังให้เราก้าวหน้า สูงเด่นเป็นสง่าในเบื้องหน้า วันนี้เรายังเห็นคนเหล่านั้นอยู่ในสายตา สายสำนึกกันอยู่หรือเปล่า... และสิ่งหนึ่งซึ่งควรเป็นมโนสำนึกที่ฝังรากลึกลงในจิตใจเรา คือ การที่จะมีเบื้องหน้าที่งดงาม บรรเจิด เลิศหรู ก็ควรต้องมาจากเบื้องหลังที่บริสุทธิ์ สุจริต และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ สิ่งที่ทำให้เรามีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่สมดุลกันได้นั้น นั่นคือ องค์พระจิตเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา เป็นสันติสุขกลางใจเรา เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าประทานให้เราหลังจากการไถ่กู้อันยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสตเจ้า เบื้องหลังแห่งชีวิตของเรายิ่งใหญ่นัก หรือเราพอใจเพียงแสดงแต่เบื้องหน้าที่กลวงโบ๋และละทิ้งเบื้องหลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่นี้ไป เช่นนั้นแล้ว เราจะหลงเหลืออะไรเล่าในชีวิต....