วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

สถานีต่อไป

สถานีต่อไป
นึกย้อนหลังกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ที่ต้องไปใช้ชีวิตต่างบ้านต่างเมืองที่ประเทศฝรั่งเศส เวลาจะเดินทางไปไหนมาไหนก็ต้องใช้รถไฟใต้ดิน (ซึ่งประเทศของเขาใช้ระบบขนส่งนี้มาเป็นเวลาร้อยๆปีแล้ว) และด้วยความไม่คุ้นชิน ทำให้รู้สึกตื่นเต้นและเป็นกังวล จนมีเพื่อนคนหนึ่งได้สอนให้เรียนรู้วิธีดูเส้นทางของรถไฟใต้ดิน (เพราะมีหลายสายมาก) โดยดูสถานีที่เราจะไปว่าอยู่เส้นไหนและสถานีที่เราอยู่สายไหนจะได้ไม่หลงและสับสน ในแต่ละสถานีก็จะมีการประกาศชื่อสถานีให้รู้
บรรยากาศนั้นกลับมาอีกทีก็ตอนที่กรุงเทพฯได้เปิดใช้รถไฟลอยฟ้า แต่ก็มีเพียงแค่สองเส้นทาง จึงไม่ยากนักในการใช้บริการและยังมีเสียงบอกสถานีให้ฟังได้อย่างชัดเจน จะมีงงๆกันบ้างก็ในช่วงแรกๆ เพราะการตั้งชื่อสถานีนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงสถานที่บริเวณนั้น เช่น สีลม ก็ใช้ว่า สถานีศาลาแดง (เป็นความเก่งของคนไทยชนิดที่หาตัวจับยาก) แต่เมื่อใช้บริการกันบ่อยๆก็กลายเป็นความคุ้นชิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินเจ้าหน้าที่ประกาศว่า สถานีต่อไปสถานี.... ก็เลยนึกสนุกๆลองเปลี่ยนชื่อสถานีต่อไป จากสถานีศาลาแดง เป็นสถานีหลังคาแดง (คงไม่มีใครชอบไปแน่ๆ) จากสถานีช่องนนทรีเป็นสถานีช่องแคบมะละกา สถานีตากสินเป็นสถานีตากใบ ก็สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับคู่สนทนาได้อย่างสนุกสนาน
แต่ในบางขณะก็อดคิดถึงสถานีต่อไปในชีวิตจริงๆของเราไม่ได้ สถานีต่อไปของเราจะเป็นที่ไหน? จะชื่ออะไร? สถานีต่อไปจะเป็นอย่างไร? เพราะเราไม่เคยรู้มาก่อน เส้นทางชีวิต การสัญจรเดินทางอยู่บนโลกนี้ คงจะไม่เหมือนการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ที่มีเวลาที่ค่อนข้างจะแน่นอน มีสถานีมีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ก็อีกนั่นแหละ เราจะมัวมาคิดทำไมว่า สถานีต่อไปจะเป็นเช่นไร ก็จะยิ่งเพิ่มความวิตกกังวล มีแต่ความกลัวจนไม่กล้าก้าวเดินหน้าต่อไป หยุดกะทันหันระหว่างทางโดยไม่มีเหตุผล
การเดินทางในชีวิตจริงของเราต้องมีความพร้อมทุกวันเวลา พร้อมที่จะกล้าเผชิญกับความทุกข์และความสุข ความผิดหวังความหรรษา ความล้มเหลวและการเริ่มต้น คำเยินยอและคำนินทา ความจริงใจและการหลอกลวง สิ่งเหล่านี้ล้วนมีอยู่ในทุกสถานีและในระหว่างสถานีของชีวิต การเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เรียนรู้ความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น น้อมรับในทุกสถานการณ์ มีถูกมีผิด มีหลงมีลืม แต่ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน นั่นคือ การพยายามที่จะเป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายจิตใจและจิตวิญญาณ
ในทางกางเขนแห่งองค์พระเยซูคริสตเจ้านั้น คงจะไม่ใช่เพียงแค่ 14 สถานี 14 สถานที่ที่เรานำมาจำลองในการเดินรูป 14 ภาค เชื่อเถอะ.. ในหนทางนั้น พระองค์ไม่รู้หรอกว่า ต่อไปจะต้องล้ม ต่อไปจะต้องถูกเฆี่ยน ต่อไปจะต้องพบกับคนนั้นคนนี้พระองค์มีแต่บนไม้กางเขน คือ สถานีที่พลีเพื่อมนุษย์ทุกคน และบนเส้นทางนี้มีบทสอนให้กับพวกเราอย่างล้นเหลือ
การเดินทางไม่ว่าจะไปที่ไหน ในแต่ละครั้ง ใช่หรือไม่ เราเดินทางเพียงเพื่อผลสำเร็จของตัวเอง สถานีต่อไปก็เพื่อตัวเอง ในเส้นทางชีวิตที่เราก้าวเดินก็มุ่งสู่ความสำเร็จของตนเป็นส่วนใหญ่ เมื่อสำเร็จหนึ่งก็เริ่มค้นหา เสาะหาความสำเร็จขั้นต่อๆไป เดินทางสู่สถานีต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ยิ่งในยุคที่มีการแข่งขันเต็มทุกตารางนิ้ว ทุกย่างก้าวล้วนเปี่ยมล้นไปด้วยความเห็นแก่ตัว ในกระเป๋าเดินทางยังมีความยโส อวด หยิ่ง แบกถือไปจนเพียบแปล้
เส้นทางกัลวารีโอ สถานีกางเขนของพระเยซูเจ้านั้น ทุกย่างก้าวล้วนพลี ล้วนเปี่ยมล้นไปด้วยกองทุกข์ของผู้อื่นที่พระองค์น้อมแบกรับ ทุกรอยเท้าคือความเสียสละเพื่อคนอื่น ทุกความเจ็บปวดคือการปล่อยปลดบาปของคนอื่น ทุกหยาดหยดของเหงื่อและเลือด คือ สันติสุขที่จะมีบนแผ่นดิน ทุกเสียงด่าทอสาปแช่ง คือ ความรักและการอภัย และทุกบาดแผลที่ถูกตอกตรึง คือ การลบล้างบาปของมนุษยโลก สถานีสุดท้ายของพระเยซูเจ้าคือแสงสว่างที่ทำให้โลกหลุดพ้นจากความมืดมน
สถานีต่อไปของเราจะเป็นอะไร ที่ไหน อย่าได้สนใจ ในระหว่างการเดินทาง เราหมั่นสำนึกว่าการเดินทางบนโลกนี้เราทำไปเพื่ออะไร เพื่อใครบ้าง เป้าหมายสุดท้าย สถานีสุดท้ายปลายทางไม่ต่างกัน ความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์จะเกิดขึ้นก็อยู่ระหว่างทางนี้เอง เป็นไปได้ไหม ในทุกรอยเท้าที่เราก้าวผ่านควรมีน้ำใจราดลดลงมาบ้าง บางช่วงเวลาบนเส้นทางชีวิตควรสร้างสรรค์สิ่งดีงามประดับใส่แจกันเพื่อให้คนอื่นได้สบายใจยามพบเจอ ทุกคำพูดที่ออกจากปากต้องไม่ใช่คำพูดพล่อยๆที่ลอยล่องเสียดแทง แต่ควรเป็นคำพูดที่เพิ่มกำลังใจให้แก่กัน เป็นคำพูดที่ผ่านการกลั่นกรองจากจิตวิญญาณ ทุกอิริยาบถเปี่ยมไปด้วยรักและการอาทรต่อกัน และสถานีสุดท้ายปลายทางของเราคงเป็นสถานที่ที่เราจะได้พบกันโดยทั่วถ้วนหน้า....
คนข้างวัด

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2552

ในวันที่พ่ายแพ้

ในวันที่พ่ายแพ้
ทุกยามเช้าแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า นำพาซึ่งความหวังมาสู่สรรพชีวิต วันใหม่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความหวัง หลายคนมีความหวังว่าจะทำสิ่งดีๆให้บังเกิด จะทำให้ดีที่สุดในหน้าที่การงาน จะทำสิ่งดีๆให้กับคนรอบข้าง คนเราล้วนมีความหวังที่จะทำสิ่งดีๆคอยหล่อเลี้ยงเป็นยาชูกำลัง เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตให้ไปสู่เป้าหมาย โดยหวังว่าจะได้รับความสุขจากความหวังดีที่ส่งผ่านออกไป แต่ระหว่างบรรทัดแห่งความหวังดีก็อาจจะมีบางสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนถึงที่หมายได้เสมออย่างไม่คาดคิด ในระหว่างทางนี้อาจจะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ ท้อแท้ในชีวิต อาจจะกลายเป็นวันที่แย่ที่สุด แต่สำหรับคนที่มีหัวใจที่แข็งแกร่ง “วันนี้อาจจะพ่ายแพ้ แต่ใช่ว่าจะแย่เสมอไป”
ใช่หรือไม่ บนหนทางชีวิตสิ่งที่มักพบเจอเสมอ คือ “สิ่งที่ต้องการมักเดินสวนทางกับความจริงที่กำลังตามหาเสมอ” ในขณะมุ่งหน้าสู่ความสำเร็จ ด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหวังและความศรัทธา แต่บ่อยครั้งก็ตกอยู่ในฐานะของผู้พ่ายแพ้อยู่ร่ำไป ตกอยู่ในภาวะของผู้พ่ายแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พ่ายแพ้ต่อความไม่แน่นอนจากเป้าหมายที่ต้องการ
พ่ายแพ้ต่อการแสวงหาที่ไม่มีที่สิ้นสุด
พ่ายแพ้ต่อความอ่อนด้อยทางประสบการณ์
พ่ายแพ้ต่อความอวดดี อวดเก่ง เกินขอบเขต
พ่ายแพ้ต่อความรู้สึกที่ไม่สามารถเติมเต็มให้กับตัวเองได้
พ่ายแพ้ต่อร่างกาย จิตใจ
พ่ายแพ้ต่อชีวิตที่ไม่สามารถยื้อรั้ง เพื่อต่อยอดความต้องการนั้นให้เป็นความจริง
พ่ายแพ้ต่อความเห็นแก่ตัวและกิเลสที่ติดตัวเป็นเงา
พ่ายแพ้เพราะถูกคนอื่นแย่งชิงพื้นที่ และที่สุดพ่ายแพ้ที่จะทำความดี
ท่ามกลางการแสวงหาบนความหวังที่ไร้การควบคุม เราคือผู้พ่ายแพ้ตลอดกาล แต่ท่ามกลางความพ่ายแพ้ ย่อมมีเงาร่างของชัยชนะ หากเราค้นหาด้วยจิตใจแห่งศรัทธา ชัยชนะรอคอยอยู่ตรงเส้นชัยเสมอ เพียงรอให้เราลุกและเริ่มต้นใหม่ ชัยชนะที่เกิดจากใจของเรา เป็นชัยชนะที่ติดตัวตลอดมา
ในโลกของความเป็นจริงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง และแข่งขัน แย่งชิงพื้นที่ ไม่มีใครที่จะอยู่บนแท่นแห่งชัยชนะได้ตลอดเวลา ไม่มีชัยชนะให้ครอบครองได้อย่างถาวร วันนี้ชนะ แต่หลายวันที่ผ่านมาล้วนพบแต่ความพ่ายแพ้ ผู้ที่กำชัยชนะย่อมเรียนรู้มาจากความพ่ายแพ้ ในวันที่พ่ายแพ้อาจจะนำมาซึ่งวันแห่งชัยชนะ ทำให้เราได้เรียนรู้ และฉลาดขึ้นสะสมรายละเอียดที่ผุดขึ้นมาอย่างรู้เท่าทัน แม้อาจจะไม่ได้ดั่งหวังทุกอย่าง แต่ทุกรายละเอียดที่ผ่านเข้ามา ก็ทำให้รู้ความเป็นจริงของชีวิต ทำให้ได้เก็บคุณค่าบางอย่างเพื่อเสริมสร้างหัวใจให้กล้าแกร่ง มีแรงผลักให้ลุกสู้ต่อไปในวันใหม่
และหากวันนั้นชายคนหนึ่งซึ่งกำลังแบกกางเขน เดินอยู่บนหนทางแห่งความอยุติธรรม เมื่อล้มลงและไม่ยอมลุกขึ้นมาแบกเดินหน้าต่อไป ความยุติธรรมจะบังเกิดขึ้นในโลกหรือ
หากวันนั้นบุตรของพระเจ้ายอมแพ้และเลิกล้มแผนการไถ่กู้ เพราะรับไม่ได้กับความเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น ความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์จะเป็นที่รับรู้ของทุกผู้คนหรือ
หากวันนั้นความอดทนถึงที่สุด ยอมทำตามใจ ทำตามคำเรียกร้องของคนทั่วไปด้วยการปลุกระดมผู้คนให้ลุกขึ้นสู้ ให้จับอาวุธเพื่อเข่นฆ่า เพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะส่วนตัว วันนี้คำว่าสันติสุขสาธารณะคงไม่มีอยู่บนโลกใบนี้
หากว่าความตายบนไม้กางเขน คือ สุดยอดชัยชนะของคริสตชน จะมีความพ่ายแพ้ชนิดไหนเข้ามากดดันทำให้สูญเสียศรัทธาลงได้
ในวันที่พ่ายแพ้ หากมาพิจารณาดูจะเห็นว่า “เราแพ้ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ๆ หรือว่า เพราะแพ้ใจของตัวเราเอง” อย่าปล่อยให้ความผิดหวังท้อแท้ในวันพ่ายแพ้ มาคอยกัดกร่อนทำลายความสุขในชีวิต หาเวลา ไตร่ตรอง สำรวจ ตรวจสอบมองย้อนไปที่ความผิดพลาดหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากสาเหตุอันใด เพื่อที่จะเป็นเครื่องเตือนให้ระมัดระวังและแก้ไขมิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาอีก ผู้ที่เคยล้มเหลวแล้วลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งจะเป็นผู้ที่มีความรอบคอบและแข็งแกร่งขึ้น เพราะครั้งหนึ่งเคยเอาชนะต่อความอ่อนแอในชีวิตมาแล้ว ความพ่ายแพ้ในอีกแง่หนึ่งทำให้เรามองโลกได้อย่างเข้าใจยิ่งขึ้นในความพ่ายแพ้นั้น บางคนแพ้เพราะฝีมือไม่ถึง บางคนแพ้เพราะประมาท แต่มีหลายคนที่แพ้เพราะใจของตนเอง เราทุกคนต้องมีวันพ่ายแพ้ แต่ต้องไม่มีวันหมดความหวังและหมดศรัทธา...
คนข้างวัด

ศัลยกรรมจิตใจ

ศัลยกรรมจิตใจ
กระแสนิยมจากต่างแดนหลั่งไหลเข้ามาในสังคมไทยมากขึ้นทุกวัน และเมื่อมีความถี่ มีปริมาณมาก ก็จะกลายเป็นที่ยอมรับของสังคมในที่สุด หากว่ากระแสในด้านดีๆ โลกคงเปลี่ยนแปลงไปเป็นโลกที่สันติสุขในยุคของสื่อไร้พรหมแดน แต่สิ่งที่สังเกตเห็นกระแสส่วนใหญ่มักมากับวัฒนธรรมของบริโภคนิยม ทุนนิยมและวัตถุนิยม มีสิ่งหนึ่งที่เริ่มเห็นในขณะนี้ ผู้คนทั่วไปโดยเฉพาะในเมืองกำลังให้การยอมรับและกำลังกลายเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรอย่างมหาศาล ถึงแม้ว่าระบบเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำ นั่นก็คือ กระแสการทำศัลยกรรมความงาม มีผู้รู้เคยบอกไว้ว่า “ต่อให้การเงินการทองจะไม่คล่อง แต่สำหรับความสวยความงามแล้ว อย่างไรเสียไม่ขาดหายไปจากชีวิตประจำวันของคนเมืองได้เลย” เพราะนี่คือกิ่งก้านของวัตถุนิยม
อิทธิพลของวัฒนธรรมต่างแดนที่มากับสื่อ สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ทำให้ผู้คนลอกเลียนแบบได้ เป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งของคนทำสื่อ อย่างล่าสุดมีการทำทัวร์ศัลยกรรมไปประเทศเกาหลี เพื่อทำให้หน้าตาเหมือนพระเอก นางเอกเกาหลี โดยเสียค่าใช้จ่ายขั้นต่ำอยู่ที่ 140,000 บาท (หนึ่งแสนสี่หมื่นบาท) และมีคนไทยสนใจทัวร์ศัลยกรรมนี้สูงเพิ่มขึ้น (ในขณะที่มีคนอีกมากมายต่อแถวรอเงิน 2,000 บาทจากรัฐบาล) รายงานข่าวยังบอกอีกว่า ศิลปินเกาหลีทำศัลยกรรมจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
และด้วยความที่สังคมไทยเรากำลังคลั่งไคล้ ได้ปลื้มกับศิลปิน ภาพยนตร์ ละครจากประเทศเกาหลี จนกระทั่งเดินทางไปท่องเที่ยวที่เกาหลีอย่างมากมายในช่วง 1- 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีการลอกเลียนแบบเสื้อผ้าหน้าผม ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งภายนอกทั้งสิ้น ในความเป็นจริงวัฒนธรรมข้ามแดนนั้นมีส่วนดีอยู่ไม่น้อย หากเราได้ศึกษาถึงแก่นแท้และเนื้อหาจริงๆ ศึกษาเบื้องหลังของผลงานเหล่านั้น เราจะพบกับความอุตสาหะ ความประณีตและความเอาใจใส่ในด้านศิลปะ แต่ก็อีกนั่นแหละ สิ่งที่เห็นเพียงเปลือกนอกย่อมสร้างอิทธิพลได้มากกว่าสิ่งที่แฝงอยู่ด้านใน วันนี้เราจึงเห็นแต่เพียงแฟชั่นเกาหลี ญี่ปุ่น เต็มท้องถนน
แน่ล่ะ มองอีกด้านหนึ่งก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะทำอะไรกับเรือนร่างของตัวเองก็ได้ บางคนอาจจะกล่าวว่าเกิดมาทั้งที พอจะมีเงินมีทองที่พ่อแม่สะสมเป็นมรดกอยู่บ้าง ก็ขอสวย ขอหล่อ ดูบ้างจะเป็นไรมี จะให้เอาเงินไปแจกไปทำบุญนะเมื่อไรก็ทำได้ ส่วนผลกระทบต่อร่างกาย เอาไว้แก้ไขตอนพบกับปัญหาก็แล้วกัน...
รูปร่าง หน้าตาและเรือนร่าง เป็นสิ่งที่เราได้รับมาจากพระเจ้าตามความเชื่อของเราคาทอลิก เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องหมั่นคอยดูแลให้ร่างกายสมบูรณ์ ซึ่งแตกต่างกับการไปเที่ยวเสริม แต่ง ตัด ต่อ เติม นอกจากนี้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับเราพร้อมกับร่างกาย คือ จิตใจ เมื่อเราปรับสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจได้ ก็สามารถเข้าสู่การมีจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ มองในด้านนี้ เราจึงควรพัฒนาทางด้านจิตใจควบคู่ไปด้วย แต่ใช่หรือไม่ เรามักจะละเลย ละเว้นการพัฒนาทางด้านจิตใจ
จากการที่สังคมมุ่งเน้นอยู่เพียงเปลือกนอก ส่งผลให้ระดับคุณค่าทางจิตใจของเราลดต่ำลง ผู้หญิงหลายคนทำศัลยกรรมความงาม เพื่อที่จะให้ชายหนุ่มลุ่มหลง โดยคิดว่านั่นเป็นความรักที่แท้จริง ผู้ชายหลายคนไปเพิ่มสัดส่วนเพียงเพื่อจะได้ครอบครองผู้หญิงหลายๆคน ใช่หรือไม่ เมื่อเราอยู่กับสิ่งปลอม เราก็มักจะได้สิ่งจอมปลอมตามมา ความรักที่แท้จริง คือ สุดยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกผู้คน เรามักจะหลงลืม เพียงคิดกันสั้นๆคิดกันตื้นๆว่า สิ่งที่ตาเห็นสำคัญกว่าสิ่งที่ใจแสวงหา
และเมื่อต้องร่วมเรือน ร่วมห้อง ร่วมอยู่ด้วยกัน ความงามภายนอกจะค่อยๆลดความสำคัญลง ต่างเริ่มเรียกร้องสิ่งที่อยู่ในใจ อยากได้ดั่งใจมากกว่าอยากได้ดั่งตาเห็น เมื่อนั้นความไร้ค่าไร้ราคาของสิ่งจอมปลอมก็บังเกิด ความไม่ลงรอยก็ปรากฏ ความเห็นแก่ตัวเพิ่มดีกรีจนต้องแยก จบ จากลากันไป ทิ้งไว้แต่กองปัญหา...
พระศาสนจักรได้มีช่วงเวลามหาพรต ก็เพื่อให้เราพัฒนาทางด้านจิตใจ เสริม ปรับแต่งจิตใจให้งดงาม ด้วยการลด ละ เลิก สิ่งภายนอก เป็นช่วงที่เราต้องขัดเกลาจิตใจของเราให้งดงาม เป็นช่วงเวลาที่ต้องชำระจิตใจเพื่อยกระดับให้สูงขึ้นบ้างในแต่ละปี การที่พระเยซูเจ้าทรงอดอาหารในทะเลทรายเป็นเวลาถึง 40 วัน เป็นเหมือนการเพาะบ่งความแข็งแกร่งทางจิตใจ พร้อมที่จะเผชิญกับวัตถุนิยม บารมีนิยม อำนาจนิยม ที่พระองค์ต้องถูกผจญ ที่สุดพระองค์ก็เอาชนะได้ ชนะซาตานนั้นไม่เท่าไหร่ แต่พระองค์เอาชนะใจตัวเอง นี่คือสุดยอดของการบำเพ็ญภาวนา
มาถึงตรงนี้ขอเชิญชวนร่วมกับทัวร์ศัลยกรรมทางจิตใจ ด้วยการอดอาหารและร่วมเดินรูป ร่วมพระมหาทรมานกับพระเยซูที่วัดของเราในทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์นะครับ...ทัวร์นี้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น...