วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ผีเสื้อที่ริมรั้ว

 

ผีเสื้อที่ริมรั้ว

ในขณะนั่งอ่านหนังสืออยู่ดี ๆ ก็ความรู้สึกว่าเหมือนมีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาอยู่หน้ากระจกกำแพงบ้าน ทำให้สมาธิการอ่านลดลง สักพักก็ต้องปิดหนังสือลง สายตาเริ่มสอดส่องหาสิ่งแปลกปลอม ทันใดนั้น...ก็เห็นผีเสื้อตัวหนึ่งโผยบินมาเกาะที่รั้วหน้าบ้าน  เกาะไปขยับปีกไป แต่ก็ยังไม่ยอมโบยบินจากไปเสียที หยิบโทรศัพท์มาถ่าย นานทีเดียวกว่าจะบินหายไป เหมือนจงใจจะมาอยู่เป็นเพื่อน หรืออาจจะเป็นเพราะมาดอมดมเกสรของดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่ คิดไปคิดมาหรือผีเสื้อน้อยตัวนี้เพิ่งจะลอกคราบจากหนอนน้อยแปลงร่างใหม่ มีปีกที่แข็งแรงจึงออกสู่โลกกว้าง เริ่มต้นการเดินทางชีวิตที่แสนเพลิดเพลิน


ธรรมชาตินั้นมีบทเรียนของการเริ่มต้นอยู่เสมอ ไม่เคยมีสิ่งใดที่ไร้การเปลี่ยนแปลง ฤดูกาลก็หมุนเวียน ต้นไม้ผลัดใบและงอกงามใหม่ มดแมลงนกกาโยกย้ายหาที่อยู่เมื่อบ้านเก่าวอดวายมลายหายไป ชีวิตคนเราก็เช่นกันมีจังหวะก้าวเดินแตกต่างกัน แต่ย่อมมีจุดเปลี่ยนจุดเลี้ยวเพื่อตั้งต้นใหม่เหมือนกันได้เสมอ หากเราใช้ช่วงเวลานั้นได้ดี ชีวิตก็เหมือนติดปีกบินออกไปจากจุดเดิม แต่บางครั้งเราก็กลัวและกังวลจนลืมว่าเรามีปีกอยู่ในตนเอง

เราทุกคนต่างก็เป็นอะไรที่มากกว่าที่เราคิดเสียอีก เป็นมากกว่าที่เราเชื่ออาจจะหลายเท่า แต่โชคร้ายที่หลายครั้ง เราก็มักขีดจำกัดตัวเองไว้ในกรอบความคิดและความคุ้นเคยที่คุ้นชิน จนบดบังสิ่งที่เราเป็นอันแท้จริงที่อยู่ภายใน บ่อยครั้งที่เราตัดสินตัวเองเหมือนตัดสินหนอนแก้วตัวหนึ่งว่ามันไม่อาจมีชีวิตที่บินได้ ขณะที่เราใช้ชีวิตบ่อยไปเพียงเพื่อพยายามจะเป็นคนอื่น ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับตัวเอง เราจึงไม่พบความสุขอย่างแท้ได้เลย  หากเรารู้สึกว่าตนเองกำลังใช้ชีวิตและทำงานไปอย่างเหนื่อยล้าและเบื่อหน่าย เราอาจต้องกลับมาตั้งคำถามที่สำคัญแก่ตนเองว่า อะไรคือสิ่งที่เราควรจะเริ่มต้นใหม่เพื่อชีวิตอย่างที่ควรเป็นอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นให้ใครมากำหนด มาวางเส้นทางให้เร



ที่บึงกว้างแห่งหนึ่ง ผีเสื้อแม่ลูกคู่หนึ่ลงความงามของปีกของตน แม่ผีเสื้อยอมตามใจลูก ไม่ให้ลูกต้องทำงานหนัก เพราะกลัวว่าจะทำให้ปีกบอบช้ำและซีดจาง ฝ่ายแม่ผึ้งหลวงสอนให้ลูกอดทน ขยันขันแข็ง และไม่ยอมตามใจลูก เมื่อเวลาผ่านไปผึ้งน้อยกลายเป็นผึ้งที่เข้มแข็ง ส่วนลูกผีเสื้อเป็นผีเสื้อที่อ่อนแอ วันหนึ่งเกิดพายุลมแรง ผึ้งสองแม่ลูกสามารถบินกลับที่พักได้อย่างปลอดภัย ส่วนลูกผีเสื้อถูกลมพัดจนปีกบาดเจ็บ แม่ผีเสื้อคิดได้ว่าจะต้องสอนลูกให้พึ่งตนเองได้ ถึงตอนนั้นก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว

หากเราเริ่มต้นสิ่งต่าง ๆ ด้วยการคาดหวังเราก็มักจะผิดหวัง และสิ่งอื่น ๆ ที่อยากจะได้รับ เราย่อมรู้สึกยากลำบากและเกิดความเครียด หมดกำลังจะเดินหน้าต่อ ใจเราเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณที่แท้จริง ใจเราต้องไม่มุ่งทะยานไขว่คว้า สร้างเอกภาพให้เกิดขึ้นในชีวิตเราให้ได้ก่อน เราจึงจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนได้ และมีปีกที่แข็งแรงที่จะโบยบินด้วยความชื่นบาน

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

พร พระ

 

พร พระ

หากวันนี้เราสามารถที่จะขอพรจากสวรรค์เบื้องบนได้สักข้อหนึ่ง เราจะขอพรอันใด หลายคนคงขอให้ร่ำรวย มีเงินทองใช้ตลอดชีวิต และในช่วงเวลาโลกถูกโรคระบาดรุมเร้า หลายคนอาจจะคิดขอให้ตนเองมีสุขภาพที่ดี ไร้ป่วยไข้ ไร้โควิด และดูทรงแล้วพรที่เราขอกลับขอเพียงเพื่อตัวเองซะเป็นส่วนใหญ่ ทุกคนคงคิดว่าในเมื่อพรนั้นเป็นของเราย่อมต้องขอให้ตัวเองเป็นที่ตั้ง จะให้คนอื่นทำไม เสียของเปล่า ๆ ใช่หรือไม่ จะมีสักกี่คน ที่พอบอกว่าขอพรวิเศษได้หนึ่งข้อ จะคิดถึงคนอื่นขึ้นทันที อาจจะมีบ้างแต่น้อยนักที่จะคิดและเป็นเช่นนั้น



มีชายคนหนึ่งแต่งกายคล้ายนักบวช เที่ยวเดินบอกใครต่อใครว่า เขาเป็นผู้วิเศษ ที่สามารถจะบันดาลพรอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับใครก็ได้ที่จะขอพรนั้น โดยมีข้อแม้เพียงสองข้อ คือหนึ่ง พรนั้นจะต้องไม่ขอให้ตนเองและสองพรนั้น จะต้องขอให้กับคนที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน

แต่เมื่อฝูงชนผู้กระหายหิวในพรศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินข้อแม้ที่ชายผู้นั้นกล่าว ก็แทบจะเดินหันหลังกลับไปในทันที บ้างก็ตะโกนต่อว่าชายแปลกหน้าอย่างไม่เกรงใจ หลายคนแสดงอาการหยาบคาย ถุยน้ำลายลงพื้นดิน เป็นการเหยียดหยามคนแปลกหน้า..

            แต่ชายที่แต่งกายคล้ายนักบวช แม้จะได้รับคำสบถด่าทอแต่ก็ไม่ได้เสียอาการสำรวมแต่อย่างใด กลับยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนเอ่ยวาจาว่า

“หยุดก่อนเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย หากข้าพเจ้ารับรองแข็งขันว่า คำกล่าวของข้าพเจ้า มีผลจริง เป็นไปได้จริง หาใช่เรื่องมุสาไม่ จะยังมีใครอยากจะรับพรอันวิเศษของข้าพเจ้าอีกหรือไม่ ?

“จะมีประโยขน์อันใดเล่า หากพรอันเลิศของท่านหาได้ยังประโยขน์แก่ตัวพวกข้าพเจ้า”  หนึ่งในประชาชนที่มามุงดู ตะโกนตอบกลับ

ชายแปลกหน้ากล่าวต่อ  “ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ผลประโยชน์อันใด เลิศแค่ไหน รสเยี่ยมเพียงใด ประเสริฐเพียงใด หากแม้นมันเป็นของผู้อื่นแล้ว ไม่ใช่ของตนแล้ว ไม่ยังประโยชน์แก่ตนแล้ว สิ่งนั้นย่อมไร้ค่าไร้ความหมายกับตน ดุจโคผู้ขยัน ทำงานเก่งมีพละกำลังมหาศาล ทำงานให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอย่างทะมัดทะแมงเลี้ยงง่าย เชื่องประดุจลูกในใส้ ทวีความมั่งคั่งร่ำรวย ให้แก่ผู้เป็นเจ้าของเพียงไหน”

“หากไม่ใช่ของเรา ก็หาได้มีความยินดีในสิ่งเหล่านั้นไม่ นั่นเป็นเพราะมันก็เป็นแค่ของผู้อื่น สมบัติผู้อื่น เราล้วนแต่ไม่ยินดีในความเจริญของผู้อื่น มีใจฝักใฝ่แต่ในเรื่องของตน โชคพรของตนเท่านั้น หากเป็นของคนอื่น หากไม่รู้จักกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องไม่พึงแสวงหา ไม่แจกจ่าย แม้ของเหล่านั้นจะได้มาโดยง่าย กลับทำไม่เป็น หาใช่ธุระของตนไม่ พรอันประเสริฐของข้าพเจ้า คงต้องเก็บเอาไว้อีกนาน เพราะเป็นพรที่ไม่มีใครเต็มใจจะขอ จนกว่าจะมีผู้ที่มีใจเสียสละ ไม่เห็นแก่ตน ไม่มองเพียงประโยชน์ของตน มีใจแจกจ่าย ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่น แม้เขาจะเป็นคนที่เราไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้า ยินดีปล่อยของที่มีค่าที่ตนไม่มีสิทธิ์ใช้ ไปให้แก่ผู้ที่อาจยังประโยชน์แก่ตนเองได้  แม้เราไม่ได้ลิ้มรสอันหอมหวานของพรนั้น ผู้ที่คิดเช่นนี้ ย่อมได้รับความหอมหวานแก่ใจตน อันเป็นรสอันเยี่ยม ผ่องถ่ายความเห็นแก่ตัวเหนียวแน่น กลายเป็นผู้รับรสธรรมอันประเสิรฐ ยิ่งกว่าพรวิเศษใด ๆ” กล่าวเสร็จแล้วชายแปลกหน้าผู้นั้นก็เดินแหวกฝูงชนจากไปโดยอาการสงบ



แท้จริง เราล้วนมีพรอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้นนั่นแหละ และเป็นพรของพระที่มอบให้เรา เป็นพระพรเพื่อผู้อื่น หากแต่เราจะใช้พระพรนั้นเพื่อสิ่งใดกันเล่า? ใยเราต้องไปแสวงหาพรวิเศษเพียงตัวเองกันอีก พรในตัวเราจะมีประโยชน์ย่อมต้องเป็นพรเพื่อผู้อื่น พรนั้นอาจจะเป็นสิ่งธรรมดาสำหรับเรา แต่อาจจะเป็นพรวิเศษสำหรับคนอื่นก็ได้ แล้ววันนี้เราได้ทำตัวเองเป็นพระพรที่มีค่าอันใดบ้างหรือยัง!!! หรือเป็นเพียงพรลอยตามลม ตามกระแส ไม่แยแสต่อความทุกข์ระทมของสังคมโลก เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง พระพรของเราล้วนมีต่างกัน ถึงเวลาแล้วนำพรของพระออกมากองร่วมกัน เพื่อเป็นกองพระพรที่จะช่วยหยุดยั้งโรคระบาด โรคแห่งยุคสมัยนี้เสียที

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

แสงทิพย์

 

แสงทิพย์

ในช่วงขณะที่เราต่างฝ่ายต่างเฝ้าระแวดระวังตัวไม่ให้เชื้อไวรัสโควิด-19 ย่างกรายเข้ามาหา กิจกรรมหลาย ๆ อย่างต้องหยุดลง ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ทั้งที่ต่างแดนต่างถิ่น การไปลองลิ้มชิมรสตามร้านต่าง ๆ การไปนั่งดื่มด่ำธรรมชาติที่นั่นที่นี่ การพบปะสังสรรค์ แม้กระทั่งการเข้าวัดร่วมพิธีกรรม แล้วเมื่อหลายคนที่มีรสนิยมเหล่านี้ไม่ได้ไปไม่ได้ทำดังใจหมาย ก็เริ่มขุดคุ้ยความทรงจำเก่า ๆ เอามาโพส เอามาแชร์ มารำลึกถึงสิ่งเหล่านั้น และพากันเรียกว่า “ทิพย์” เที่ยวทิพย์ กินดื่มทิพย์ อิ่มทิพย์ มีเข้าวัดทิพย์ ที่ร้ายกว่านั้น คือ หาภรรยา-สามีทิพย์ ก็มีมาให้เห็น และอื่นอีกหลากหลาย ถือว่าทำให้ชีวิตพอจะมีสีสัน แก้เครียดแก้เบื่อยามที่ต้องลดระยะห่าง งด กักตัว อยู่กับบ้าน อยู่กับตัวตน

และเช่นกัน ในทุก ๆ เช้า ก็มักจะได้รับภาพพระอาทิตย์ขึ้นบนขอบฟ้า บริเวณหาดทราย จากพี่สาวที่รับหน้าที่ดูแลและบริหารบ้านพักที่หัวหิน ได้ดื่มด่ำบรรยากาศยามเช้า เห็นแสงทองของวันใหม่ เห็นศิลปะบนท้องฟ้าที่แทบจะไม่เหมือนกันสักวัน ได้ชมร่องรอยชายหาดที่ไม่มีขยะเจือปน เห็นร่องรอยของค่ำคืนที่ผ่านมาจากซากเปลือกหอย และเรือที่ทอดสมอจากการกลับมาหาฝั่ง เห็นท้องฟ้าที่สวยใส น้ำทะเลสีคราม หาดทรายขาว ทุกสิ่งเริ่มกลับสู่ความงามยามไร้ร้างผู้มาเยือน และทุกเช้าก็มักจะมีบทรำพึงถึงความรักของพระเจ้าและความอัศจรรย์ของสิ่งสร้าง เพื่อจะได้เขียนบทบันทึกลงในโซเชียลมีเดีย ถือว่าเป็นการได้รับแสงทิพย์ ได้รำพึงทิพย์ และพบความหวังในทุกเช้าวันใหม่ มีพลังในการเดินทางเพื่อให้พบเจอแสงแท้จริงในวันเวลา


ชีวิต และเส้นทางแห่งชีวิต
ล้วนเติบโตบนฐานแห่งการเรียนรู้
ทุกอย่างล้วนยึดโยงเกาะเกี่ยว

สัมพันธ์กันอย่างไม่อาจหลีกหลบ
บางสิ่งอาจเป็นต้นธารแห่งความสุข
ขณะหนึ่งอาจเป็นต้นธารแห่งความทุกข์
แต่ทั้งปวงนั้น ล้วนเป็นครรลองวิถีที่ชีวิต

ทุกชีวิตต้องพบพาน - จากพราก
และเติบโตบนปรากฏการณ์แห่งสุขและทุกข์


เวลาที่เราเห็นพระอาทิตย์ขึ้นทั้งจากภาพถ่ายหรือของจริง ๆ เราย่อมรู้ว่าแสงที่เริ่มส่องของวันใหม่นี้กำลังทำให้เราพบเจอความสว่าง ยิ่งขึ้นสูงยิ่งทำให้โลกนี้สว่างไสว คนเราก็เช่นกันเมื่อเราสูงส่งขึ้นย่อมต้องทอแสงประกายเพื่อคนอื่น ใครก็ตามที่ลอยสูงขึ้นแล้วกลับทำให้คนอื่นทุกข์ระทม นั่นหาใช่แสงทิพย์เป็นแค่เพียงแสงเทียม ๆ ที่รอวันดับและร่วงหล่นลงมา เราเห็นมานักต่อนัก ใครทำเพื่อตัวเองไม่นานเขาจะเหลือเพียงตัวคนเดียวเท่านั้น บทเรียนเกิดขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ยอมรับ เพราะถือครองตัวตนจนเกินเลยความเป็นคน

แม้ว่า “ทิพย์” ในห้วงยามนี้อาจจะเป็นเพียงจินตนาการ เป็นมโนโซเชียล ไม่มีอยู่จริงโดยมีอดีตเป็นตัวตั้ง เพื่อมาสร้างสตอรี แต่สำหรับชีวิตแท้ของเราแล้วย่อมต้องการทิพย์ เพราะเป็นของสูงค่า เป็นของเบื้องบนเป็นของเทวดา นำมาเป็นแสงส่องเพื่อให้ชีวิตภายในของเราได้รับการยกระดับขึ้น ใช่หรือไม่ การมโนทิพย์ของเราวันนี้ล้วนมีตัวเองเป็นตัวตั้ง ฝันถึงความสำราญ ความสุข ให้เป็นดังหวัง ดังฝัน ก็เป็นสิ่งที่ไม่เสียหายอันใด แต่จะให้ดียิ่งขึ้นเราต้องให้ทิพย์เหล่านั้นเพื่อคนอื่น ให้ทิพย์ที่เป็นสิ่งที่ประเสริฐหาใช่เพียงมโน โมเมเอา ให้ชีวิตเราเป็นทิพย์เพื่อกันและกัน ในวันเวลาที่แสนสาหัสนี้ เราจะได้ยกระดับชีวิต จิตใจ จิตวิญญาณ เมื่อโรคร้ายห่างหายไป เราจะได้สังคมทิพย์ที่แท้จริง เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความมีน้ำใจ อารีเอื้อเกื้อกูลกันแบบยั่งยืน ที่สุด…เพื่อให้การพลีชีวิตของพระเยซูเจ้า เพื่อเป็นอาหารทิพย์ของพวกเราได้สำเร็จเสียที วันนี้เราได้มีส่วนร่วมในภารกิจรักนี้มากน้อยเพียงใด ตื่นเช้ามาเรายังมีลมหายใจ ย่อมมีค่า และวันนี้ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ คือ สิ่งประเสริฐสุด หวังว่าพรุ่งนี้เราทุกคนจะตื่นมาเห็นแสงทองของจริง เพื่อเป็นทิพยโอสถเสริมภูมิให้เราก้าวหน้าต่อไปในหนทางแห่งรักนี้ด้วยกันตลอดไป

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

วันที่โดดเดี่ยว

 

วันที่โดดเดี่ยว

สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ระลอกสามในประเทศไทยยังคงน่ากลัว เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่หลักพันถึงสองพัน และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่เลขสองหลัก โดยเฉพาะในเมืองหลวง กรุงเทพฯ ยังคงเกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตกันอย่างต่อเนื่อง โควิดยังทำให้คนเราต้องหันกลับมามองและไตร่ตรองถึงคุณค่าของชีวิตให้มากขึ้น พร้อมต้องใส่ใจกับเรื่องความดีความงามของชีวิตภายใน ลดเรื่องปรุงแต่ง การสะสม กอบโกย ซึ่งล้วนเป็นเรื่องเปลือกนอกทั้งสิ้น ในวันที่เราต้องจากลาโลกไปไม่ว่าจะเร็วจะช้า สิ่งเหล่านั้นมันก็ไร้ค่า ยิ่งมองเห็นผู้ที่ต้องเสียชีวิตไปด้วยโควิด-19 ในขณะนี้ แล้วที่ต้องทำพิธีเผาหรือฝังอย่างรวดเร็ว ไม่เน้นจัดงานให้วุ่นวายเพราะร่างกายอาจจะนำเชื้อแพร่ออกมาได้ และพยายามให้คนไปร่วมส่งวิญญาณให้น้อยที่สุด บางรายจำต้องทำพิธีอย่างเดียวดาย แม้ตอนใกล้จะหมดลม ก็ต้องนอนบนเตียงอย่างโดดเดี่ยว เรื่องนี้สอนอะไรเราบ้าง ….


ดูเหมือนว่ามนุษย์อยู่ร่วมกันมาจนเรียกว่า สัตว์สังคม เป็นล้าน ๆ ปี จนบางครั้งเราอยู่คนเดียวแทบไม่เป็น เราต้องมีเพื่อน มีญาติ มีพี่น้อง ต้องทำอะไรด้วยกัน สนุกสนานเบิกบานสำราญด้วยกัน จนกระทั่งสัก 10-20 ปีมานี้เอง โลกวัฒนาการสูงส่ง เราเริ่มมีสังคมที่กว้างขึ้นไป เป็นความสัมพันธ์ทางอากาศ มีโลกใหม่ที่เรียกว่า “โลกออนไลน์” มีสังกัดที่เรียกว่า “ชาวเน็ต (อินเตอร์เน็ต)” เริ่มแยกตัวจากโลกแห่งความเป็นจริง เข้าไปสิงสถิตในโลกโซเชี่ยล เริ่มโดดเดี่ยวแต่ยังเที่ยวเพลิดเพลินกับคนไม่คุ้นชิน สถานที่ไม่คุ้นเคย เริ่มมีแนวคิดว่า แม้รอบตัวเราจะมีคนอยู่มากมาย แต่ก็ใช่ว่าคนรอบตัวจะทำให้เรามีความสุข จึงแสวงหาความสุขอันไกลโพ้น ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต หลาย ๆ ครั้งในสังคมวันนี้ เราต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยว เหมือนยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนมากมาย เหมือนกับว่าไม่ได้มีใครมาสนใจ หันมาใส่ใจเราจริง ๆ จัง ๆ อย่างที่เคย อย่างที่เป็นมา เพื่อหลุดพ้นความกลัวที่จะโดดเดี่ยว ใครที่คุยได้แม้ไม่เห็นหน้าก็ไขว่คว้าเอาไว้เป็นเพื่อน

แท้จริงแล้ว ชีวิตคนเรานั้นหลีกหนีความโดดเดี่ยวไม่พ้นหรอก ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไร จะมีครอบครัวหรือไม่มี ถึงเวลานั้นจริง ๆ ก็ไม่รู้ใครจะตายจากไปก่อน อะไรจะมาพรากเราไปจากกันโรคระบาด อบัติเหตุ สงคราม ดังนั้นแล้ว อย่าได้กลัวความโดดเดี่ยว เพราะมันเป็นหนทางหนึ่งที่คนเราต้องเดินผ่าน จะช้าหรือเร็วก็ต้องผ่าน เรียนรู้วิธีรับมือและอยู่กับความโดดเดี่ยวให้เป็น  ทุกคนได้เจอแน่ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง คนรวย คนเก่ง คนฐานะตำแหน่งสูงส่งเพียงเพียงใด ก็ทุกข์เพราะความโดดเดี่ยวเหมือน ๆ กัน

เงินทองไม่สามารถซื้อความตายและความโดดเดี่ยวได้เลย เราเห็นข่าวคนที่จากไปในช่วงขณะนี้ โรคร้ายมิได้เจาะจงเลือกคนใดคนหนึ่ง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะถูกความตายอย่างโดดเดี่ยวเข้าครอบครอง แม้แต่ในยามปกติ คนร่ำรวย มีเงินมีทองมากมาย มีเพียบพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ทุกข์เพราะความโดดเดี่ยวได้เหมือนกัน คนอวดเก่ง คนที่มีตำแหน่งใหญ่โตก็เช่นกัน อาจจะได้เตียงในโรงพยาบาลดีกว่าคนอื่น แต่เมื่อเชื้อโควิดลงปอด กัดกินอวัยวะภายใน ความเก่งก็มิอาจจะช่วยได้ คนติดตาม คนที่เคยล้อมหน้าล้อมหลัง หรือแม้แต่หมอ ก็แค่ช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว หากคุณเด็ดเดี่ยวและอดทนต่อสู้กับโรคนี้ได้ถึงจะหายและรอดตาย มีคุณหมอท่านหนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ และให้เป็นบทเรียนแก่เราได้มากทีเดียวว่า

คุณลองคิดดูว่า ถ้าพ่อ แม่ พี่น้องหรือคนที่คุณรัก ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับคนไข้ของเราล่ะ ไปส่งกันที่โรงพยาบาล ลูบหน้าลูบหลังลากัน แล้วนั่นคือสัมผัสสุดท้าย กอดสุดท้าย การลาครั้งสุดท้าย คุณยังไม่ได้สั่งเสีย ไม่ได้ขอโทษ ไม่ได้บอกรักกัน ไม่ได้บอกว่าคุณโชคดีที่ได้รู้จักและได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นพ่อ แม่ ลูกกัน เป็นคนรักกัน เป็นเพื่อนกัน นี่แหละ คือ ความทรมาน และปวดร้าวใจ … ตอนนี้ถึงเข้าใจว่าทำไมเราต้องให้อภัยกัน กอดกัน และบอกรักกันทุกวัน


ทุกคนที่กำลังต่อสู้กับความโดดเดี่ยวเดียวดาย จะรู้คุณค่าของการมีกันและกันมากที่สุด มากพอจะยอมเปลี่ยนชีวิตตัวเอง เราอาจจะลืมบางสิ่งบางอย่าง มองข้ามคนใกล้ตัว เราเองก็ปล่อยทิ้งใครบางคนให้เดียวดายอยู่ หันกลับมาใส่ใจกัน ไม่จำเป็นต้องออกไปหาคนอื่นคนไกล เห็นคุณค่าในกันและกันมากที่สุดในเวลานี้ ลึก ๆ แล้วความโดดเดียวอาจกำลังสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวเราเอง เรายังรักตัวเองไม่เป็นจึงรู้สึกโดดเดี่ยว หากเรารักตัวเองเป็นเราย่อมรักคนอื่นได้ง่าย วันนี้เราต้องให้ความรักเกิดขึ้นในทุกนาที เพราะรักเท่านั้นจะต้านภัยจากโรคร้ายนี้ และจะไม่ร้ความโดดเดี่ยว แม้ในวันที่เดียวดาย…

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

สัก...วัน...ธรรมดา

 

สัก...วัน...ธรรมดา

ต้นสักข้างที่พักมีใบหนาแน่นพอสมควร ในวันที่มีสายลม สายฝน พัดผ่าน ทำให้ใบที่แก่ร่วงหล่นใส่หลังคาที่จอดรถ ก่อให้เกิดเสียงดังยามค่ำคืน เช้าตื่นขึ้นมาก็เห็นใบสักเกลื่อนทั้งบนระเบียงบ้าน ทางเดิน แม้กระทั่งในที่จอดรถ ทำให้ต้องกวาดเก็บกันเกือบจะทุกวัน สิ่งที่ได้เห็น...บางใบก็อาจจะถึงกาลเวลาของมันที่ต้องจำจากต้น บางใบแม้ยังอ่อนเยาว์ ใบเขียวอ่อน ขนาดไม่ใหญ่ แต่กลับต้องห่างหายหล่นลงพื้น ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ เป็นความธรรมดา เป็นไปตามธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บป่วย ล้มหายตายจาก ยิ่งในสถานการณ์โควิดระบาดระลอกใหม่ที่มีความรุนแรงและติดต่อกันง่ายดายปานสายลมที่ผ่านมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้บางคนติดเชื้อ เกิดความอ่อนแอ และจากโลกนี้ เหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่น ยามนี้วันนี้ กำลังบอกเราว่า ชีวิตเรานั้นมีค่านัก หมั่นดูแล รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ทำตามคำแนะนำไม่ไปมั่วสุมเกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะนำเชื้อมาสู่เรา ในเวลานี้เช่นกันเราก็ต้องทำให้จิตวิญญาณของเราแข็งแกร่งขึ้นด้วย แม้ว่าสักวันเราก็ต้องหลุดพ้นจากโลกนี้ แต่เราต้องจากไปอย่างมีคุณค่า

ใช่หรือไม่ ในวันเวลาที่ผ่านมา บางครั้ง ชีวิตมันเต็มไปด้วยการคาดหวังที่อัดแน่น จนอึดอัดไปหมด ลองปล่อยและยอมรับกับความผิดหวัง เพราะจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ไม่ต้องเก่งพิเศษเกินกว่าใคร แค่เก่งขึ้นกว่าตัวเราในอดีตก็พอ  เรียนรู้ที่จะอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบ  ไม่ต้องวิ่งตามมันจนเหนื่อย เพราะสุดท้ายเราจะหมดแรง เดินช้าบ้างก็ได้ ไม่ต้องกลัวที่จะล้ม ครั้งต่อไปเราจะเดินเป็น ปล่อยชีวิตให้เป็นในแบบที่มันอยากเป็น ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกเรื่อง แค่มีความสุขกับความธรรมดาในแต่ละวันก็พอ 

ในโลกสมัยใหม่อันเป็นโลกแห่งการแข่งขัน เป็นโลกแห่งวัตถุนิยม กระแสของวัตถุนิยมนี่เองทำให้เราหลงมองสิ่งต่าง ๆ รอบกายเสมือนว่าทุกสิ่งมีแก่นสารในตัวของมันเอง เป็นลำต้นที่ใช้เกาะเกี่ยว และปล่อยชีวิตจิตใจให้ลอยละล่องไปกับความอิสระเสรีภาพ ไม่ให้คุณค่ากับความคิดสร้างสรรค์ ซ้ำยังถูกลดทอนด้วยการ ใส่กฎ ใส่กรอบ ใส่ความหมายไปในเชิงวัตถุ โลกจึงผันแปรสู่ยุคของการพัฒนา สู่ความแปลกใหม่ ทุกสิ่งต้องรวดเร็ว แรงขึ้น วิถีแห่งความธรรมดาจึงถูกมองว่าเป็นความเก่า เชย โบราณ ล้าสมัย ไดโนเสาร์ เป็นที่รังเกียจรังงอนของคนยุคใหม่ชาวอินเตอร์เน็ต

            มองดูต้นสักยังให้คิดต่อไปว่า ต้นสักจะมีค่าจริง ย่อมต้องใช้วันเวลาเติบโตอย่างยาวนาน เหมือนกับการเพาะบ่มตัวตนให้กล้าแกร่ง ต้นไหนอ่อนแอย่อมไม่เติบโตเหี่ยวเฉาไป ซ้ำร้ายอาจจะถูกโค่นทิ้ง ในแต่ละวงปีของต้นสักนั้นย่อมผ่านการผลัดใบมามากครั้ง ใบแล้วใบเล่า ใบเก่าหล่นจากสูงสู่ต่ำ ใบใหม่เกิดแทน และก็คงไม่รู้ว่าวันไหนจะร่วงหล่น วันไหนจะถูกลมแรงกระชากจากลา วันไหนจะถูกนก หนู กระรอก งู ฯ เหยียบ ไต่เต้า ใช้เป็นทางผ่าน และเมื่อผ่านพ้น รอดมาได้ ก็เจริญมีขนาดใบใหญ่โตงดงาม อาจจะมีบ้างถูกแทะโลมเล็มด้วยแมลงให้มีรู มีรอย ไม่นานก็ต้องถึงกาลจำจากต้นต่อ

          วันนี้ผู้คนในสังคมสมัยใหม่ ต่างกำลังทะยานอยากไม่รู้จบ กระหายไขว่คว้าในความไม่ธรรมดาอย่างไม่รู้สิ้นสุด ทุกสิ่งต้องสร้างความแปลกใหม่ ตื่นเต้นเพื่อสนองการรับรู้แบบรวบลัดตัดตอน  สะท้อนสู่เป้าหมายเพื่อการค้าการขายของ ความไม่ธรรมดาในวันนี้ที่เราต่างสร้างกันขึ้นมามันหลุดจากแก่นแห่งความเป็นจริงไปมาก หลุดรอดจนกระทั่งไม่กลัวผิดถูก ไม่กลัวเวรกรรม ไม่กลัวจะตกนรก เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนไร้สาระในสายตากลุ่มชนคนรุ่นใหม่ ในวันนี้สื่อสมัยใหม่จึงเต็มไปด้วยคนที่อยากเป็นดารา นางแบบ อยากเป็นคนรวย เป็นคนโด่งดังมีชื่อเสียงด้วยการสร้างดราม่า ก้าวไปเป็นนักการเมือง นักการเมืองก็อยากเป็นรัฐมนตรี อยากเป็นคุณหญิงอยากเป็นคุณนาย หลงลืมตัวตน  เพราะเราล้วนมองข้ามความสมบูรณ์ในความธรรมดาที่เราต่างมีกันอยู่แล้ว เราเป็นความดี เป็นความรักของพระเจ้า เราไม่เห็นคุณค่าอันแสนจะงดงามตามธรรมดา กระแสสังคม บ่มเพาะความอยาก จนมองข้ามความเป็นคนธรรมดาไปจนหมดสิ้น

    ต้นสักที่เติบใหญ่มีใบมากมาย ให้ร่มเงา เป็นที่พักพิง เป็นที่อิงแอบของต้นกาฝาก เพราะแข็งแรงจึงแบ่งปัน เพราะมีแล้วจึงรู้จักให้ เพราะธรรมชาติคือความเกื้อกูลกัน อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ธรรมดาคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือธรรมะ ธรรมะคือพระเจ้า เรากำลังหลงลืมลงไปทุกวันหรือรอจนกว่าเราจะเป็นใบที่กำลังร่อแร่ใกล้ร่วงหล่น บางทีสิ่งที่เราแต่ละคนน่าจะเรียนรู้ อาจจะไม่ใช่เรื่องนอกตัวที่ใหญ่โต แต่เป็นสิ่งธรรมดา ๆ ในแต่ละวันนี่แหละ รู้จักเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตภายในเป็นที่ตั้ง ฟังเสียงภายใน เสียงพระ เรียนรู้เข้าใจตัวเองและผู้อื่น ซึ่งก็เป็นวิถีชีวิตที่แสนจะง่ายงามและธรรมดาที่สุด จะส่งผลให้จิตวิญญาณงอกงาม การรู้จักคุณค่าของตนเองในฐานะคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง ก็เป็นการเรียนรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เพราะอย่างไรเสีย สักวัน เราก็จะกลับคืนสู่ธรรมดาสามัญ อย่าอะไรกันนักเลย....