วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เมตตานำทาง

เมตตานำทาง
            การเดินทางไปยังที่ไม่คุ้นชิน การหลงทางจึงเป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่ายุคสมัยใหม่จะมีเครื่องบอกทิศชี้ทางจากมือถือ หรือเครื่อง GPS ก็ใช่ว่าจะสามารถนำเราไปสู่จุดมุ่งหมายได้ ฉะนั้นแล้ว ทางอยู่ที่ปากจึงเป็นความจริงเสมอมา และในความจริงนั้นเรายังได้พบความงามในนามของความมีเมตตาของผู้คน  น้ำจิตน้ำใจไทยไม่เคยห่างหายไปไหน เพียงแต่เราปิดกั้นที่จะไปสัมผัสสิ่งเหล่านั้น ใช่ว่าการหลงทางจะทำให้เราเสียเวลาเสมอไป เราอาจจะค้นพบเรื่องราวใหม่ เส้นทางลัดใหม่ สถานที่ใหม่ ๆ ที่ทำให้ชีวิตของเราพบกับความงามได้มากขึ้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ความมีน้ำใจของพ่อค้าแม่ขายริม 2 ข้างทาง ความมีเมตตาและการหยิบยื่นความช่วยเหลือจากคนต่างถิ่น ทำให้รู้ว่าเมืองไทยน่าอยู่เพียงใด ถึงแม้ว่าวิถีชีวิตเมืองจะดูดกลืนน้ำใจไทยให้ไหลตามกระแสแห่งตัวใครตัวมัน แต่เอาเข้าจริงคนไทยก็ยังมีหัวใจแห่งการมีเมตตาอยู่อย่างเต็มปรี่ และสิ่งนี้เองที่ยังหล่อเลี้ยงให้สังคมไทยยังคงดำรงอยู่อย่างมั่นคง ความมีเมตตาไม่ตระหนี่การช่วยเหลือกันและกัน และไม่ว่าคนไหนชนชาติใด หากมีหัวใจเมตตาย่อมนำพาความสำเร็จมาสู่ชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
            ขณะที่นายหวู๋อยู่ที่ห้องโถง กำลังสอนบทเรียนให้แก่ผจก.ร้านสาขา ที่ทำการลงทุนแล้วได้กำไรน้อย โดยบอกว่า ทำการลงทุนครั้งหน้าต้องวิเคราะห์ตลาดให้ถี่ถ้วน อย่าลงทุนโดยผลีผลาม คำพูดของนายหวู๋ยังพูดไม่จบ ภายนอกก็มีเสียงรายงานว่า
            “มีนักธุรกิจท่านหนึ่ง มีเรื่องด่วนต้องการขอเข้าพบ” นักธุรกิจที่ขอเข้าพบนั้นใบหน้าเปี่ยมด้วยความกระวนกระวายที่แท้นักธุรกิจท่านนี้ ได้ทำธุรกิจแต่หกคะเมนตีลังกาเจ๊งไม่เป็นท่า และต้องการเงินสดก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งมาหมุนเวียนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ฉุกเฉิน เขานำเอาอุตสาหกรรมที่ลงทุนไว้ทั้งหมด ขายต่อให้นายหวู๋ในราคาที่ต่ำสุดๆ เมื่อรับฟังจบแล้ว นายหวู๋ให้นักธุรกิจท่านนี้ มาฟังข่าวในวันรุ่งขึ้น
            วันรุ่งขึ้นนายหวู๋ได้เชิญนักธุรกิจท่านนั้นมา ไม่เพียงแต่รับปากคำขอของเขา ยังซื้ออุตสาหกรรมของเขา ตามราคาจริงในท้องตลาด ตัวเลขยอดเงินสูงกว่าที่เสนอมามากมาย นักธุรกิจท่านนั้นช็อกจนตะลึง ไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใด นายหวู๋จึงไม่ยอมเอารัดเอาเปรียบ ยืนกรานที่จะซื้อร้านค้าและที่ดิน ด้วยราคาตามท้องตลาด นายหวู๋ตบไหล่ของนักธุรกิจท่านนั้น เพื่อให้เขาวางใจ แล้วบอกกับเขาว่าตนเองเป็นเพียงผู้ช่วยดูแลสินทรัพย์ทั้งหมดของเขาที่นำมาจำนองไว้เท่านั้น รอให้ผ่านพ้นมรสุมนี้แล้วสามารถมาไถ่ถอนสินทรัพย์คืนทั้งหมดเมื่อไหร่ก็ได้ ขอเพียงแต่เพิ่มดอกเบี้ยน้อยนิดเข้าไปในเงินจำนองก็ได้แล้ว
            การกระทำของนายหวู๋ทำให้นักธุรกิจท่านนี้ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ไม่พูดอะไรมาก เซ็นชื่อลงในสัญญา หลังจากนั้นโค้งคำนับต่อนายหวู๋ ออกจากบ้านนายหวู๋ด้วยน้ำตาคลอเบ้า
            เมื่อนักธุรกิจกลับไปแล้ว ลูกน้องทั้งหมดของนายหวู๋ ล้วนไม่เข้าใจ จึงถามนายหวู๋ว่า       “ผจก.ร้านสาขา ทำเงินกำไรน้อยไป ถูกตำหนิสอนบทเรียนครึ่งค่อนวัน เพราะเหตุใด การลงทุนของท่านในครั้งนี้ กำไรยิ่งน้อยกว่าไม่เพียงแต่ไม่ฉกฉวยโอกาสกดราคาให้ต่ำสุดๆ ยังเสนอเงินเพิ่มขึ้น”
           
นายหวู๋ ยกชาขึ้นมาดื่ม แล้วเล่าประสบการณ์ ตอนวัยหนุ่มของตนเองให้ฟัง ตอนที่ผมยังหนุ่ม ยังเป็นพนักงานเล็กๆ เจ้านายมักจะให้ผมนำบัญชีไปเร่งรัดหนี้สินทั่วสารทิศ มีครั้งหนึ่งผมกำลังเร่งรีบเดินทางฝนเกิดตกหนักกระทันหัน คนแปลกหน้าที่ร่วมเดินทางคนหนึ่งถูกฝนจนเปียก วันนั้น ประจวบเหมาะผมได้พกร่มเลยกางให้เขาด้วย ต่อมาทุกครั้งที่ฝนตก ผมมักกางร่มให้คนแปลกหน้าบ่อยๆ ระยะเวลานานขึ้น ผู้คนในถนนสายนั้น รู้จักผมมากมาย บางครั้งตัว
ผมเองลืมพกร่ม ผมก็ไม่กลัว เพราะว่าจะมีคนที่ผมเคยช่วยไว้มากมาย มากางร่มให้ผม
            นายหวู๋ ยิ้มๆแล้วพูดต่อว่า “เธอยินดีที่จะกางร่มให้ผู้อื่น ผู้อื่นก็จะเต็มใจกางร่มให้แก่เรา”
            สุดท้าย นักธุรกิจได้ไถ่ถอนธุรกิจอุตสาหกรรมของตนเองกลับคืนมา อีกทั้งเป็นผู้ร่วมลงทุนที่ซื่อสัตย์ที่สุดของนายหวู๋ หลังจากนั้นมาผู้คนทยอยรับรู้การกระทำ ซึ่งทรงคุณธรรมของนายหวู๋ ต่างก็ให้ความชื่นชม เคารพ นับถือเขาจากคนทุกวงการ เพราะความมีน้ำใจและเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ธุรกิจของนายหวู๋ก็เติบใหญ่ เจริญก้าวหน้าจนน่าแปลกประหลาด ไม่ว่าดำเนินการในธุรกิจด้านใด มักจะมีผู้ช่วยเหลืออีกทั้งลูกค้าก็ทวีขึ้นเรื่อยๆ https://www.facebook.com/Ruengdeedeemeekorkid

            นี่คือตัวอย่างที่เราควรนำมาทบทวนว่าในแต่ละวันเราได้หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้แก่ใครบ้าง

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ใกล้กันกินต่าง

ใกล้กันกินต่าง
            การทานอาหารด้วยกันถือว่าเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของผู้คนในสังคม แม้แต่ละครในโทรทัศน์แทบทุกเรื่องต้องมีฉากการนั่งรับประทานอาหาร การแสดงแบบนี้สื่อถึงการกระชับความสัมพันธ์ มีการพูดคุย มีการตกลง มีการกล่าวคำขอโทษขอโพยกัน ล้วนอยู่ที่โต๊ะอาหาร การรับประทานร่วมโต๊ะเดียวกันนำพาความสุขความสามัคคีมาสู่หมู่มวลมนุษยชาติมานานนับศตวรรษ ดังที่โกวเล้งนักเขียนนิยานจีนชื่อดังเคยกล่าวไว้จนเป็นวลีอมตะว่าข้าพเจ้ามิได้ชื่นชอบในรสของสุรา(อาหาร) หากแต่ข้านั้นชื่นชอบในบรรยากาศ กลิ่นไอ และมิตรภาพแห่งการร่ำสุรา(ทานอาหาร)”
ภาพ: อินเตอร์เน็ต
            ครอบครัวจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่การร่วมรับประทานด้วยกันบ่อย ๆ มีเวลาพูดคุยปรึกษาหารือ ปรับทุกข์ปรุงสุขกัน แต่ยุคสมัยนี้ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เรามีเครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น มีสิ่งเล้าสิ่งเสพเข้ามาในชีวิตมากมาย เวลาทานข้าวจึงถูกแทรกแซงด้วยอุปกรณ์สมัยใหม่ หลายครอบครัวทานอาหารพร้อมๆกับเปิดโทรทัศน์ดูไปด้วย ตาก็จ้องดู จิตใจจดจ่อกับรายการตรงหน้า คนตรงหน้าถูกมองข้ามไป ยิ่งในยุคที่ต่างคนต่างมีเครื่องโทรศัพท์ที่มีสรรพสิ่งพร้อมให้เสพ ทุกเวลา ทุกนาที ทุกสถานที่คือโลกส่วนตัว ไม่เว้นแม้แต่ตอนทานอาหารด้วยกัน ต่างคนต่างก็จับจ้องอยู่กับโลกส่วนตัวบนฝ่ามือ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างกิน เพียงแค่ใช้โต๊ะเดียวกันก็เท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ ในยุคที่คุยกับคนไกลไม่สนใจคนใกล้เช่นนี้ นำมาซึ่งความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครอบครัวคาทอลิกจะเหลือสักกี่ครอบครัวที่ยังสวดภาวนาพร้อมกัน ทั้งก่อนและหลังทานข้าว ก่อนเข้านอนและตอนตื่นนอน เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงมักมองข้ามความสำคัญของคนใกล้ตัว มัวแต่โหยหา มองเห็นความยิ่งใหญ่ ให้ความสำคัญกับคนอื่น ดังเช่นผู้หญิงคนนี้
            
ภาพ: อินเตอร์เน็ต
ผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ระบายปัญหาของตนกับอาจารย์เซ็นว่า หลายปีก่อนสมัยเธอเป็นสาวแรกรุ่น เธอได้แต่งงานกับสามีที่อายุห่างกันประมาณ10ปี ในตอนนั้น สามีของเธอดูยิ่งใหญ่มากในสายตาของเธอ เธอชื่นชมและยกย่องสามีของเธอมาก แต่หลังจากอยู่กินกันมาหลายปีเขาก็เปลี่ยนไป ไม่เหลือความอลังการ น่าเกรงขาม ไม่เหลือซึ่งความน่าสนใจ เหมือนครั้งอดีตอีกแล้ว เธอถามอาจารย์เซ็นว่า เป็นเพราะเหตุใด? หรือการแต่งงาน คือสุสานของความรัก ใช่หรือเปล่า?
            เมื่อเธอเล่าจบ อาจารย์เซ็นจึงบอกกับเธอว่าเธอจงตามอาตมามา
            อาจารย์เซ็น พาเธอมายืนอยู่หน้าภูเขาลูกหนึ่ง แล้วถามว่าภูเขาลูกนี้ เป็นอย่างไรบ้าง?” “สูงใหญ่ ตระหง่าน ตระการตา และสวยงาม เป็นที่สุดเธอบอกตามอาตมาขึ้นเขาเถอะ!” อาจารย์เซ็นกล่าว
            ตลอดทาง ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ มีแต่เดินกับเดิน เธอเริ่มเหนื่อย และอ่อนล้า อีกทั้งทางเดินที่ขรุขระ เธอจึงบ่นอะไร เยอะแยะออกมาเมื่อถึงยอดเขา อาจารย์เซ็นบอกเธอว่านี่คือภูเขาที่เธอเห็นเมื่อสักครู่นี้
            “ภูเขาลูกนี้ไม่สวยเลย ทางเดินก็มีแต่หิน ต้นไม้ก็ไม่สวย ดูๆแล้ว ภูเขาลูกโน้น สวยกว่าซะอีก!” เธอระบายความรู้สึกออกมา
            อาจารย์เซ็นหัวเราะขึ้นมา และก็กล่าวว่าตอนที่เป็นแฟนกัน ก็เหมือนกับมองภูเขาจากที่ไกล ในสายตามีแต่ความชื่นชม เลื่อมใส เมื่อแต่งงานแล้ว ก็เหมือนกับการขึ้นเขา สิ่งที่เธอได้เห็น คือความปกติธรรมดาของกันและกัน เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขา สายตาของเธอก็เห็นแต่ภูเขาลูกอื่น ไม่เห็นภูเขาลูกเดิม ที่จริงแล้วภูเขาไม่ได้เปลี่ยน แต่เป็นเธอต่างหากที่เปลี่ยน เพราะใจเธอเปลี่ยน แววตาของเธอ จึงเปลี่ยนไป เมื่อหมดซึ่งความชื่นชม ภูเขาก็ไม่ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เธอปรักปรำพร่ำบ่นมากเท่าใด ความเสียหายก็มีมากเท่านั้น เพราะอะไร เธอจึงสามารถยืนอยู่บนยอดเขาลูกนี้ และเห็นภูเขาลูกอื่น? ก็เพราะเธอเหยียบอยู่บนภูเขาลูกนี้ เธอควรสำนึกคุณ ไม่ใช่ปรักปรำ (นิทานเซ็น)

          
ภาพ: อินเตอร์เน็ต
  เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงบทสอนชีวิตคู่เท่านั้น ลูก ๆ ก็เหมือนกันตอนยังเด็กน้อยก็มักมองว่าพ่อแม่ของตนยิ่งใหญ่ พอเติบกล้าขาแกร่ง กลับมองว่าพ่อแม่ของผู้อื่นแสนดีกว่าของตน การคบค้าสมาคมฉันเพื่อนก็เหมือนกัน ตอนแรกคบกัน ถูกโฉลกถูกชะตากันไปเสียทุกเรื่อง เห็นดีเห็นงามตามกันไปทุกที่ พอวันเวลาเปลี่ยนจากความสนิทกลายเป็นสนิม เพราะเห็นคนอื่นเก่งกว่า ดีกว่าเพื่อนที่คบค้ากันมา แถมยังเกิดอาการไม่ไว้วางใจในการความสัมพันธ์ มีบ่อยไปที่กลายเป็นคู่อริเพราะการมองข้ามความดีที่เคยมีมา ใช่แหละคนเราควรที่จะต้องแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต แต่สิ่งใหม่นั้นควรเป็นสิ่งที่มาเพิ่มความความดีงามอันเก่าให้งดงามยิ่งขึ้น หาใช่มาทำลายกัน อย่ามองข้าม คุณค่า คุณความดีของคนใกล้ตัวเรา และพอใจในสิ่งที่มีเพราะนี่คือสิ่งประทานอันยิ่งใหญ่จากพระผู้สร้าง

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ใจที่นิ่งต้องไม่วิ่ง

ใจที่นิ่งต้องไม่วิ่ง
            ในช่วงการแข่งขันของทีวีดิจิตอลที่มีจำนวนช่องมากขึ้น ทำให้เราสามารถเลือกดูเลือกชมได้หลากหลาย การแย่งชิงกลุ่มผู้ชมและโฆษณาจึงเกิดขึ้นตามมา มีการวางกลยุทธกันมากมาย กลยุทธหนึ่งที่เห็นนำมาใช้กันอย่างยาวนานและยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ ช่วงโฆษณามักจะทำให้เกิดเสียงที่ดังกว่าในตัวเนื้อหาของรายการ แม้กระทั่งเจ้าของตัวสินค้าที่ทำโฆษณาก็มักใช้วิธีอัดเสียงให้ดัง ๆ เข้าไว้ โดยหวังว่าเสียงที่ดังนี้จะเข้าไปฝังยังโสตประสาทของผู้ชม จนกระทั่งมีการเรียกร้องและพูดถึงในกรณีนี้ว่า จะต้องมีมาตรฐานการกำหนดเสียงให้อยู่ในระดับเดียวกันในทุกช่วงเวลาของช่อง
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            การได้ยินเสียงที่ดังเกินไป บ่อยครั้งมักจะก่อให้เกิดความรำคาญมากกว่าการจดจำ เพราะในแต่ละวัน ในสังคมเมือง เรามีเสียงมากมาย ที่เข้าหู จนทำให้เรากลายเป็นคนหูทวนลม บางคนถึงขั้นหูตึงหูดับไปก็มากมี เสียงอันดังที่เกิดจากการพัฒนาความก้าวหน้าของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงกำลังช่วงชิงพื้นที่นิ่ง ๆ ของเราไปหมด ความนิ่งที่ก่อให้เกิดสมาธิ กลายเป็นว่าต้องวิ่ง ต้องตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้ลดทอนคุณภาพของจิตใจของผู้คนลงไปมาก สังเกตจากการมาร่วมพิธีมิสซาเพียงหนึ่งชั่วโมง หลายคนก็อยู่นิ่ง ๆ สำรวมไม่เป็น นิ่งปุ๊บต้องหยิบมือถือป๊าบ ไม่ค่อยฟังเสียงในพิธีกรรม แต่ชอบนั่งคุยกันในวัดอย่างสนุกสนาน จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ที่สุด ความสำคัญของพิธีกรรมถูกลดค่าให้เป็นเพียงกิจกรรมภาคบังคับเท่านั้นเอง ออกจากวัดก็มิได้อะไรออกไป
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ความนิ่งสงบของผู้คนมักไม่ค่อยมีในสังคมเมือง เราต่างชอบพูด ชอบคุย ชอบนินทา ชอบวิจารณ์ ดูจะสนุกกว่า การหาเวลาสงบจิตสงบใจเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ใช่หรือไม่ บางคนถึงขั้นกลัวที่จะอยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ เพียงลำพัง มันฟังดูวังเวง บางคนนั่งนิ่งแต่ใจกลับวิ่งไปที่โน่นที่นั่น สิ่งเหล่านี้ได้สร้างคน ให้มีจุดของความอดทนอดกลั้นต่ำลง เราทะเลาะกัน โมโหกันง่ายขึ้น ใช้ความรุนแรงเนื่องจากอารมณ์ที่รุนแรงมีมากขึ้น แล้วสังคมก็มีแต่ความเกลียดชัง พร้อมที่จะทำร้ายกันได้ในทุกกรณี
            มีเรื่องเล่าว่าเศรษฐีกับพวกไปเที่ยวฟาร์มแห่งหนึ่ง ทุกคนสนุกสนานกับธรรมชาติ และกิจกรรมในฟาร์มมาก แต่ขณะที่กำลังจะเดินออกมา เศรษฐีคนนั้นก็พบว่า “นาฬิกาพกรุ่นเก่าที่ภรรยาซื้อให้ในวันเกิดหายไปมันต้องตกอยู่ในคอกม้าอย่างแน่นอน เขากับเพื่อนช่วยกันกระจายกันเดินหา “นาฬิกา ทั่วคอกม้า ระหว่างเดินหาเพื่อนก็พยายามพูดให้กำลังใจเศรษฐีคนนี้ เดินหาเท่าไรก็ไม่พบ
            เขาไปแจ้งเจ้าของฟาร์มให้ช่วยเหลือ เจ้าของก็แสนดีเกณฑ์คนที่ว่างงานอยู่เกือบ 20 คนไปช่วยค้นหา มีทั้งคุณลุงที่ประจำอยู่คอกม้า ผู้หญิงที่ทำความสะอาด และเด็กชายคนหนึ่ง ทุกคนกระจายกันค้นหา มีการตะโกนบอกกันเป็นระยะ ๆ ว่าค้นตรงนั้นแล้วไม่เจอ ให้คนนั้นไปหาตรงนี้ ใช้เวลาค้นหาประมาณ 1 ชั่วโมงก็หาไม่เจอ เศรษฐีเริ่มสิ้นหวัง คิดว่าคงต้องสูญเสียนาฬิกาเรือนนี้ไปอย่างแน่นอน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ขณะที่พนักงานของฟาร์มจะเดินจากไป เด็กชายคนนั้นเดินย้อนกลับมาหาเศรษฐีอีกครั้งขอผมลองเข้าไปดูอีกครั้งนะครับ แต่ขอผมเข้าไปคอกม้าคนเดียวแม้จะรู้สึกว่าเสียเวลาเปล่า แต่เมื่อเด็กน้อยมีน้ำใจ เขาก็พยักหน้าทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะหาเจอ พวกเพื่อน ๆ ก็บ่นลับหลังว่าพวกเราและคนของฟาร์มตั้งเยอะยังหาไม่ได้ ไปหาคนเดียวจะเจอได้อย่างไรแต่ไม่ถึง15 นาที เด็กชายคนนี้เดินออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาชูนาฬิกา ใช่ เรือนนี้หรือเปล่าครับเศรษฐีดีใจมาก เพราะนั่นคือ “นาฬิกาพกแสนรักที่เขากำลังค้นหาอยู่เขากล่าวขอบคุณและให้สินน้ำใจกับเด็กน้อยแต่ยังคาใจเธอหาเจอได้อย่างไรเด็กน้อยยิ้มแฉ่ง บอกว่าพอเข้าไปข้างในคนเดียวเขาก็เพียงแต่นั่งเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนจุดนั่งไปเรื่อยๆ แค่จุดที่ 3 ผมก็ได้ยินเสียงติ๊กต่อก ติ๊กต่อก เขาเล่า ผมแค่เดินตามเสียงนั้นไปก็เจอนาฬิกาเรือนนี้
            ทุกคนพยายามมองหาตัว “นาฬิกาแต่ไม่ได้คิดจะฟัง “เสียงของนาฬิกา เสียงพูดคุยกลบเสียงดังของนาฬิกาไปสิ้น “เด็กคนนี้สอนเราก็คือ ในวิกฤติที่คิดว่าปัญหาหนักหนาสาหัส บางครั้งเราต้องนิ่งต้องมี “สติทำใจให้สงบ เมื่อมีสมาธิ จึงจะค้นพบ “ทางออก” (ดร. รสา คำแบน)
            สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงแนะนำว่า เวลาอยู่บ้าน คริสตชนควรสละเวลา 15 นาทีเพื่อหยิบพระวรสารขึ้นมาอ่าน แล้วรำพึงแบบเพ่งพินิจไปที่พระเยซู จินตนาการว่าถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์พระวรสารที่อ่านอยู่ พระเยซูเจ้าจะพูดอะไรกับเรา ทรงชี้ เราควรสละเวลาเพื่อภาวนาแบบนี้ เพื่อที่สายตาของเราจะได้มองที่พระเยซูบ้าง ไม่ใช่ดูแต่ละครโทรทัศน์ และหูของเราจะได้ฟังเสียงพระเจ้าบ้าง ไม่ใช่ฟังแต่เสียงนินทาชาวบ้าน ...(Pope Report)

ภาพ : อินเตอร์เน็ต