วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อความรู้กลายเป็นยาพิษ


เมื่อความรู้กลายเป็นยาพิษ
ต้องยอมรับโดยดุษฎีเลยว่า ในทุกวันนี้วิถีชีวิตของผู้คนมีสิ่งที่เอื้อต่อการหาความรู้กันได้อย่างง่ายดาย เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ก้าวไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด การเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลจากทั่วทุกมุมโลกให้มาปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาเพียงชั่วพริบตา ใช้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ใส่ข้อมูล ใส่คำที่อยากจะรู้ก็ได้รู้ อยากเห็นอยากได้ยินก็ได้เห็นได้ฟัง มันง่ายต่อการเข้าถึงเสียจริงๆ...
หลายคนที่เชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี ย่อมเป็นคนที่มีข้อมูลมากกว่าคนอื่น แต่ก็มีอีกหลายคนมักหลงทาง เชื่อมั่น ถือมั่น ในข้อมูลที่มีอยู่ ในข้อมูลที่หามาได้ ที่ได้อ่านที่ได้เห็นได้ฟัง แล้วนำไปถ่ายทอดอย่างผิดๆ ปราศจากความเข้าใจ ไร้การใส่ใจในการกลั่นกรองข้อมูล หรือที่ร้ายไปกว่านั้น... มีบ้างบางคนหลงคิดว่านี่เป็นหนทางในการอวดเก่ง อวดภูมิ ยึดถือข้อมูลเพียงด้านเดียวที่ตัวเองมีที่ตัวเองเสาะหามา และใช้มันเป็นเกราะ บดบังความอ่อนด้อยทางปัญญา เราจึงเห็นคนที่ไม่ฟัง ที่ไม่สนใจฟังความคิดของคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆในสังคม
ข้อมูลข่าวสารที่หลายคนแปรรูปเป็นความรู้นั้น มันมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวไม่ตายตัว หากใครยึดติด คิดหลงอยู่กับข้อมูลข่าวสารวันนี้ พรุ่งนี้ ดีไม่ดีจะกลายเป็นคนหลงยุคไปแล้วก็ได้ สิ่งนี้ถ้าเราตระหนัก เราก็จะได้รู้จักประมาณตัวเองโดยไม่ต้องประเมินตัวเองว่าเก่งกาจเพียงใด เป็นการนบนอบต่อความไม่เที่ยง เป็นการยอมรับว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง และว่าหากเราไม่สามารถถ่อมตัวลงได้ ความรู้ก็จะกลายเป็นยาพิษที่เข้าสู่ร่างกาย จนไร้สติไม่ฟังข้อมูลให้รอบด้าน...เหมือนดังที่ในบทความ พรหมจริยวัตร กล่าวไว้ว่า
ในโลกนี้
เรื่องของความรู้ให้แสวงหาไม่รู้หมดสิ้น
การแสวงหาความรู้
ต้องมีสติรู้ว่ามันเป็นการพัฒนาสมองเท่านั้น
ไร้สติ ปัญญาเสียแล้ว
ความรู้ทั้งหมดที่มี
ก็จะกลายเป็นระเบิดเวลา
ที่จะสังหารตนเอง
ผู้รู้จำนวนมาก
ต้องสิ้นสูญไป
เพราะเขามีความรู้มากเกินไป
แต่เขาไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้
ผู้รู้ที่แท้จริง
ต้องมีความรู้ว่า
เมื่อใดควรแสดงความรู้
และเมื่อใดควรแสดงความไม่รู้
ใช่หรือไม่ สังคมไทยวันนี้เราก็มากล้นไปด้วยคนที่มักรู้ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอันใดเกิดขึ้นในสังคม ในโลก ก็จะออกมาใช้ข้อมูลแอบอ้าง วิพากษ์วิจารณ์ บนพื้นฐานทัศนะของข้าพเจ้าอยู่ฝ่ายเดียว เรามีคนที่คิดว่ารู้อยู่เต็มไปหมด แต่สังคมไทยกลับไม่ก้าวหน้าไปไหน โดยเฉพาะเรื่องของศีลธรรม ยังมีการคดโกงกันด้วยเล่ห์กลที่แอบแฝง คนในสังคมคิดเพียงใช้ความรู้เป็นท่อธารทำมาหากิน เป็นเครื่องมือเพียงเพื่อช่วงชิงพื้นที่ถือครอง ใช้ความรู้เพียงระดับสมองเพื่อจ้องจะกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตัวเองและพวกพ้อง สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน คือ มีใครบ้างล่ะ ที่จะอาสาเข้ามาพัฒนาคนในชาติด้วยเรื่องของจิตใจ เรื่องของคุณธรรม ต่างก็แข่งขันกันเพียงเพื่อสร้างให้คนร่ำรวย ให้คนปลดหนี้ แต่ไม่เคยเสนอวิธีไม่ให้ก่อหนี้ทำเช่นไร เรื่องศาสนากลายเป็นเรื่องที่ไม่น่ารู้ จึงไม่มีใครกล้าพูด กล้าทำให้ศาสนานำหน้าการประกอบอาชีพ พูดเรื่องการส่งเสริมการศึกษาก็แค่เพียงเปลือก แก่นของการศึกษาที่แท้ คือ การสร้างชีวิต สร้างความดี และความงาม กลับไม่มีการพูดถึงกัน เหตุที่ไม่พูดถึงเพราะขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ระบบการศึกษาของเราจึงอยู่ที่พยายามอัด ยัดเยียดให้เรียน ให้รู้วิชาการมากๆ เมื่อเรียนจบแล้วก็ตัวใครตัวมัน ไม่ได้สนใจที่จะให้ผู้เรียนรู้ นำความรู้ไปพัฒนาสมองเพื่อสนองต่อการพัฒนาทางด้านคุณธรรมจรรยา อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเจริญเติบโตทางด้านจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์
ความรู้เป็นอันตรายอย่างมากหากผู้ที่ใช้ความรู้ไม่ใช้ปรีชาญาณและความรอบคอบทำความเข้าใจในความรู้นั้น เราควรใช้ความรู้นั้นเพื่อแยกแยะสิ่งถูกสิ่งผิด สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ความรู้เป็นเครื่องมือสำคัญอันหนึ่งในการพัฒนาจิตวิญญาณ อย่าใช้ความรู้เป็นเพียงอาภรณ์สวยหรู ที่สวมใส่อวดรู้ อวดอ้าง อวดภูมิ เพราะเช่นนั้นแล้วความรู้ก็คือยาพิษชนิดร้ายแรงดีๆนี่เองที่จะทำลายชีวิตให้สูญสิ้นซึ่งความศรัทธาต่อคนที่พบเจอ คนที่มีความรู้หาใช่เป็นผู้รู้เสมอไปไม่ สิ่งสำคัญความรู้ของผู้ที่ด้อยค่าในสายตาของคนทั่วไปอาจจะเป็นความรู้ที่ทำให้โลกได้พบกับสันติสุข ได้พบกับความร่มเย็นก็เป็นไปได้ เพราะความรู้บางสิ่งพระเจ้าไม่ประสงค์ให้ผู้รู้ได้รับรู้ เพราะจะยิ่งไปเพิ่มกองกิเลส ไปทำให้โลกเดือดร้อน ไปทำให้สังคม คนรอบข้างทุกข์เข็ญก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน ความรอบรู้ต้องอยู่บนความรอบคอบเสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตรงนี้ที่นี่เวลานี้เท่านั้น


ตรงนี้ที่นี่เวลานี้เท่านั้น
สำหรับคนที่ต้องรับผิดชอบดูแลคนหลายๆคน บางครั้งบางหนต้องจำทนฝืนใจ ฝืนความรู้สึก ยอมเจ็บปวดเพียงลำพัง และอยู่อย่างนิ่งสงบเพื่อสยบกับความเข้าใจผิด ในความโกรธแค้นเคืองที่ถูกนำไปโยงใยด้วยหน้าที่การงานที่ต้องรับหน้าเสมอ และคนที่เป็นนายคน เป็นหัวหน้าคน ย่อมหนีไม่พ้นการถูกโกรธเกลียดโดยไม่รู้ตัว ถูกอาฆาตมาดร้ายโดยไม่ต้องระวังสงสัย ถูกนินทาถูกใส่ร้ายแม้ในช่วงยามแห่งความหวังดี สถานการณ์ สภาพเยี่ยงนี้มีให้พบเห็นอยู่มากมาย หลายคนก็ท้อและถอยห่าง หลายคนเลือกที่จะตอบโต้และแสดงเหตุผลทุกกรณี แต่บางทีเหมือนเพิ่มเชื้อไฟในกองเพลิง..
และเช่นกันสำหรับผู้บรรลุวุฒิภาวะทางคุณธรรม มีความเป็นผู้ใหญ่ทางอารมณ์ ย่อมข่มใจ ยอมรับสัจจะความจริงที่ว่า ยิ่งเป็นใหญ่ ยิ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ให้โจมตี ดีที่สุดนั่นคือ หากน้อมรับการเป็นผู้นำ การเป็นหัวหน้าคน ต้องยอมรับความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ ใช้ความสงบเข้าดับไฟ แล้วเมื่อวันเวลาผ่านไป ความจริงถูกพลิกฟื้นให้ตื่นขึ้นมา การให้อภัยของผู้เป็นใหญ่จะนำมาซึ่งความรักและสันติสุขที่ยิ่งใหญ่ถาวรตลอดกาลนิรันดร์ในหัวใจของผู้อยู่ภายใต้การคุ้มครองดูแล...
ยังมีแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่ง ผ่านศึกมาก็มากมาย เห็นคนตายต่อหน้าก็มากมี สู้รบชนะมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่กลับไม่เคยพบกับความสงบสันติ ในใจเกิดคำถามให้ขบคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การใช้สงครามเพื่อให้เกิดสันติภาพมีจริงหรือ การเข่นฆ่ากันทำไปเพื่ออะไร เพื่อความอยู่รอดหรือ และยิ่งไม่เข้าใจหลักๆอยู่ 3 ประการ จึงได้ตัดสินใจปลอมตัวด้วยเครื่องแต่งกายของชาวบ้านธรรมดาๆ แล้วออกเดินทางขึ้นเขาเพื่อไปขอให้อาจารย์ชราผู้บรรลุธรรม ให้ท่านชี้แจงแถลงไขหาคำตอบของปัญหาทั้ง 3 ประการ
และเมื่อแม่ทัพเสาะหาจนพบอาจารย์ชราผู้สันทัดธรรม ในขณะที่อาจารย์กำลังขุดดิน ดายหญ้าอยู่ในแปลงผัก แม่ทัพจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า
ข้ามีปัญหารบกวนจิตใจอยู่3ประการที่ต้องการคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ ข้อแรกคือเวลาใดที่สำคัญที่สุด? ข้อสองคือ ในการร่วมกันทำงานนั้น บุคคลที่สำคัญที่สุดคือใคร? ข้อสุดท้ายคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรกระทำคืออะไร?...
ทว่าอาจารย์ผู้สันทัดธรรมไม่เพียงไม่ตอบคำถาม แต่กลับก้มหน้าก้มตาขุดดินดายหญ้าต่อไป ฝ่ายแม่ทัพเห็นว่าอาจารย์ชราอายุมาก ทั้งยังผอมแห้งแรงน้อย จึงอาสาช่วยขุดดินแทนให้ พร้อมทั้งกล่าวกับอาจารย์ต่ออีกว่า
หากท่านอาจารย์ไม่มีคำตอบให้ข้า ขอเพียงเอ่ยปาก ข้าก็จะเดินทางกลับทันที ทว่าอาจารย์ผู้สันทัดธรรมยังคงเงียบงันท่านแม่ทัพใหญ่จึงขุดดินดายหญ้าต่อไปเรื่อยๆ  
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้น ปรากฏมีชายผู้หนึ่งซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสโซซัดโซเซมาจนถึงเบื้องหน้าคนทั้งสอง แล้วก็ล้มลงสลบไป แม่ทัพจึงรีบประคองชายผู้นั้นไปพักผ่อนยังเพิงหญ้าคา ทำแผลให้และคอยเฝ้าดูอาการจนถึงวันรุ่งเช้า
เมื่อชายผู้ได้รับบาดเจ็บฟื้นขึ้นมาพบหน้ากับแม่ทัพใหญ่ ได้เอ่ยปากขออภัยในทันที ส่วนแม่ทัพกลับไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด คนผู้นั้นจึงอธิบายว่า
 ในสงครามครั้งหนึ่ง ท่านเคยสังหารน้องชายของข้า บัดนี้เมื่อข้าทราบว่าท่านเดินทางขึ้นเขา จึงสบโอกาสคิดมาลอบสังหารท่าน มิคาดกลับโดนผู้ติดตามของท่านทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส คิดว่าต้องตายแน่นอน แต่สุดท้ายกลับเป็นท่านอีกเช่นกันที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ดังนั้น...ข้าจึงล้มเลิกความคิดฆ่าฟันท่านแล้ว
ความแค้นที่แม่ทัพได้ก่อไว้เมื่อหลายปีก่อน คลี่คลายลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ จนแม้แต่ตัวแม่ทัพเองก็ยังแทบไม่เชื่อว่านี่เป็นความจริง
ก่อนที่แม่ทัพจะเดินทางลงจากเขา อาจารย์ชราผู้สันทัดธรรมจึงได้เอ่ยปากกับเขาเป็นครั้งแรกว่า
ปัญหาทั้ง 3 ประการของท่านคงได้รับการคลี่คลายแล้วนะ
 แต่แม่ทัพก็ยังคงไม่เข้าใจ อาจารย์จึงอธิบายต่อว่า
หากเมื่อวานนี้ท่านไม่ได้อยู่ช่วยข้าขุดดินดายหญ้า แต่ตัดสินใจเดินทางกลับไปก็อาจจะโดนคนผู้นี้ทำร้ายกลางทาง ดังนั้น...เวลาที่สำคัญที่สุดก็คือเวลาที่ท่านขุดดินดายหญ้านี้เอง และวานนี้หากท่านไม่ยื่นมือช่วยคนผู้นี้ ท่านกับเขาย่อมไม่อาจเพาะบุญคุณ ลบความแค้นกันได้ ดังนั้น...บุคคลที่สำคัญที่สุดสำหรับท่านในตอนนี้ก็คือคนผู้นี้เอง และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรกระทำคือ...การที่ท่านได้ดูแล รักษาอาการบาดเจ็บของเขาจนหายดี...ท่านจงจำไว้ว่า เวลาที่สำคัญที่สุด คือ ปัจจุบัน เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวที่ท่านสามารถควบคุมจัดการได้ ส่วนบุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่อยู่กับท่าน ณ ขณะนั้น และสิ่งที่พึงกระทำมากที่สุดคือทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ ณ ขณะนั้นเป็นสุข (ดัดแปลงจากนิทานเซ็น)
ใช่หรือไม่ เราอาจจะไม่ได้เป็นผู้นำคนจำนวนมาก แต่เราก็มีคนให้เราดูแล ห่วงใย ใกล้ชิด คนที่อยู่ข้างๆกาย คนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน วันนี้ ขณะนี้เราได้ทำอะไรเพื่อคนเหล่านั้นบ้าง เรากำลังปลูกฝังความดี ความงาม หรือกำลังปลูกฝังพลังความชิงชัง แค้นเคืองที่ไม่ประเทืองจิตวิญญาณ สิ่งที่ผู้นำน้อยๆอย่างเราๆท่านๆควรทำคือ ทำให้คนข้าง ๆ เป็นสุข และที่สำคัญที่สุด เราเองคือผู้นำชีวิตของเราเอง เราได้สร้างสันติสุข ความสงบสุขให้หยั่งรากลึกลงในหัวใจมากน้อยแค่ไหน ในขณะนี้ตรงนี้และตัวเรานี้ ….

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เงางามความดี


เงางามความดี
ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร บทความที่เขียนออกมามักจะวนๆอยู่กับเรื่องความเห็นแก่ตัวของผู้คน หรือว่า สังคมวันนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว รวมทั้งเราด้วย... และที่เขียนก็เป็นส่วนหนึ่งของการพยายามที่จะเตือนตัวเองไม่ให้ไหลเข้าไปในกระแสธารลวงนี้ให้มากนัก (ซึ่งแน่นอนมีบ้างบางครั้งที่อาการเห็นแก่ตัวก็กำเริบขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว) หรือว่า...เรากำลังคิดมากไป ในขณะที่เห็นพฤติกรรมรวมหมู่ของคนในสังคม ที่ต่างฝ่ายต่างคนก็เห็นตัว ไม่ค่อยใส่ใจกัน โกรธเคืองด้วยเรื่องไร้สาระกันง่ายดาย ห่างหายจากลากันเพราะถูกขัดใจ ขัดคอ หรือเพราะถูกนินทาลับหลัง ไม่เข้มแข็งในอารมณ์เมื่อถูกตำหนิเล็กๆน้อยๆ หรือแม้กระทั่งโมโหจากการถูกตักเตือน วันนี้จุดเดือดของเรามันตื้นเขินขึ้นทุกๆวัน สงสัยจะคิดมากไปจริงๆ แต่แล้ว...ก็ไปพบข่าวการวิจัยชิ้นเล็กๆข่าวหนึ่ง เขาวิจัยพฤติกรรมการเห็นแก่ตัวของคนทั่วไปไว้อย่างน่าสนใจ
คนทางฟากฝั่งตะวันตก เขาได้มีการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรม ความเห็นแก่ตัว พบว่าคนส่วนหนึ่งยอมรับว่าตนเองนั้น มีพฤติกรรมนี้มากขึ้น แถม 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถาม ยอมรับว่ากระทำพฤติกรรมเหล่านี้มากกว่าวันละ 2 เรื่องอีกต่างหาก
ตัวอย่างพฤติกรรมเห็นแก่ตัวที่แบบสำรวจพบเห็นได้แก่ เก็บเงินได้แต่ไม่ส่งคืนเจ้าของ (ประเทศเรายังมีแท็กซี่เก็บเงินแล้วแจ้งคืน พบเห็นอยู่หลายครั้ง) เปิดประตูเข้าอาคารเฉพาะตัวเองคนเดียว โดยที่ไม่หันมาดูว่ามีคนข้างหลังอยู่หรือเปล่า พูดนินทาเจ้านาย เพื่อนร่วมงานลับหลัง บริจาคเงินเพื่อการกุศลน้อยลง ช่วยเพื่อนร่วมงานน้อยลง หรือช่วยแต่ไม่เต็มความสามารถ โกหกเพื่อให้ตัวเองดูดีในที่ทำงาน (อันนี้เป็นพฤติกรรมที่ได้รับความนิยมมากในสังคมของมนุษย์เงินเดือน โดยเฉพาะช่วงใกล้ๆสิ้นปี) ไม่ช่วยคนชราถือของ แซงคิว เมื่อขับรถผ่านทางที่มีน้ำขัง ก็ขับรถเร็วจนน้ำกระเซ็นโดนคนเดินถนน (ช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน เราจะเห็นการกระทำอย่างนี้มากขึ้น) ยืมของคนอื่นแล้วไม่ยอมนำมาคืน โทษว่าเป็นความผิดของคนอื่นในสิ่งที่ตนเองเป็นคนทำ (แบบนี้ก็มีมิใช่น้อยในสังคมไทย) ไม่เสียสละที่นั่งให้กับคนชราหรือสตรีมีครรภ์ ทำอาหารเย็นตามเมนูที่ตนเองต้องการแต่เพียงฝ่ายเดียว แบ่งอาหารออกเป็นสองส่วน แต่ตนเองเลือกเอาส่วนที่มีขนาดใหญ่กว่า ยืนอยู่ในลิฟต์ข้างที่มีปุ่มกด แต่ไม่ยอมกดลิฟต์ให้คนอื่น ซื้อดีวีดีเรื่องที่ตนเองอยากดู แต่ไม่ถามถึงความต้องการของคนข้างกายว่าเขาอยากดูเรื่องอะไร เป็นต้น
แบบสอบถามนี้ได้สอบถามจากชาวอังกฤษทั้งชายและหญิงจำนวน 2,000 ราย Caroline Revell ผู้อำนวยการโครงการนี้กล่าวในตอนท้ายว่า น่าเสียดายที่ได้เห็นบทสรุปออกมาในลักษณะนี้ การได้ทราบว่าประชากรส่วนหนึ่งในประเทศมีพฤติกรรมเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง (อ้างอิงจากเดลิเมล จาก www.manager.co.th)
ในช่วงที่กำลังขบคิดถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของคนในสังคมโลก ก็มีเพื่อนคนหนึ่งส่งเพลงผ่านสังคมเครือข่ายมาให้ฟัง เป็นเพลงลูกทุ่งที่มีเนื้อหาโดนใจอย่างมาก และคงเป็นการเชื่อมโยงให้เห็นว่า ทำไมคนเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น เพราะคนดีหมดกำลังใจนั่นเอง ขับร้องโดย ตั๊กแตน ชลลดา บทเพลงนี้ชื่อว่า โปรดช่วยดูแลคนดี
กว่าจะมีคนที่ ดี ดี W.ะคงเป็นการเชื่อมโยงให้เห็นว่า ทำไมคนเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น เพราะคนดีหมดกำลังใจนั่นเอง ซักคน  ยอมอุทิศตนเพื่อคนส่วนใหญ่
กว่าจะเจอคนที่เราเห็น ว่าเป็นคน ใช่  ต้องรอนานเท่าใดจึงได้มา
แต่คนดีก็อยู่กับเราไม่นาน  โดนแรงเสียดทานโถมจนพ่ายล้า
ใครโง่ไม่เป็น ใครเด่นเกินไป  ต้องโดนคนว่า ทำถูกใจช้า ยังด่าทอ
ใช้คนดีเปลือง ฝืดเคืองคำชม  โยนเรื่องทับถมถึงทนก็ท้อ
เมื่อทำดียากใครอยากจะทำดีต่อ  ก่อนที่คนดีจะท้อจึงร้องขอแรงส่งมา
โปรดช่วยรักษาคนดี   เชิดชูคนที่เสียสละ
ไม่ถูกใจบ้างบางเวลา  อย่าด่วนกล่าวหาจนถอดใจ
โปรดช่วยดูแลคนดี ให้มีศักดิ์ศรีและยิ่งใหญ่
ปกป้องคนดีให้มีชัย  เพื่อให้ใครใครอยากทำความดี
อยากให้มีคนที่ทำดี มากมาย  ยืนหยัดสู้ไหวแรงใจมากมี
กว่าจะเจอก็ยากนักหนา    ควรรักษาให้ดีใช้เพชรที่เรามีอย่างรู้ค่า….
ใช่หรือไม่ หลายคนเคยพูดว่าคนดีมักตายเร็ว โลกจึงเหลือแต่คนเลวๆ มันคงไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่ว่า.. คนดียังมีอยู่ในโลกมาก แต่มักมีพื้นที่ถือครองในสังคมน้อย และถูกประทับตราว่าคนดีย่อมไม่แสดงออก คนดีต้องอยู่อย่างเงียบๆ คนดีทำดีต้องไม่ออกหน้า เพราะจะกลายเป็นความโอ้อวด เป็นกิเลสเสพติดการทำดีเอาหน้า การทำดีที่จริงแล้ว คือ การทำสิ่งที่ดีเพื่อสร้างความดี ความงาม สร้างชีวิตจิตวิญญาณให้เจริญขึ้น สิ่งหนึ่งที่เราต้องทบทวนกัน คือ การส่งเสริม ให้กำลังใจ ดูแลคนที่ดีๆให้ทำดีต่อไป ก็เป็นการทำความดีด้วยเหมือนกัน ในสังคมวันนี้เรามักต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ ไม่เว้นแม้กระทั่งความดี เราจึงขาดพลังหนุนนำสังคม ถึงเวลาหรือยังที่เราจะหยุดใช้ความเห็นแก่ตัวไปฉุดรั้งคนที่ทำดี ถึงเวลาหรือยังที่เราจะสร้างสังคมให้ดีขึ้นด้วยการดูแล ส่งเสริมคนดี ที่อยู่ข้างๆเรา แต่เราไม่เคยมองเห็นเงางามความดีกันเลย เงาที่สักวันหนึ่งเราจะโหยหา เมื่อมันจางจากเราไปอย่างไม่มีวันกลับ...
                                                                                                                                     

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รำพึง ลำพัง ลำพอง

 รำพึง ลำพัง ลำพอง
            ดึกดื่นตื่นขึ้นมาเนื่องเพราะฝนฟ้าคะนอง โปรยปอยลงมาติดต่อกันในหลายค่ำคืนที่ผ่านมา จะนับเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบได้ ในการมีประสาทสัมผัสที่รวดเร็วต่อแสง ต่อเสียง แล้วไปกระตุ้นต่อมประสาท สมองถูกสั่งการให้ต้องลืมตาขึ้นมาในบัดดลเมื่อมีเสียงดังและแสงสว่างผ่านเข้ามา หรืออาจจะเป็นเพราะเมื่อถึงคราวฤดูฝนทีไร มีอันต้องระแวงระวังน้ำที่อาจจะไหลท่วมบ้าน น้ำที่ไหลลงมาจากรูรั่ว ที่ยังไม่สามารถอุดได้ จึงทำให้ต้องตื่น ตาค้าง เป็นชั่วโมงกว่าจะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ในการนอนหลับยามค่ำคืน
            เมื่อลืมตาตื่นมาด้วยเสียงฟ้า เสียงฝน ระคนปนไปกับความมืดและความเงียบยามดึกสงัด ทำให้เราได้ยินเสียงของสรรพสิ่งแวดล้อมน้อยลง ซึ่งตรงข้ามกับตอนกลางวันที่ชีวิตผู้คนสลวนวิ่งวุ่น ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงหาเสียง เสียงที่ใครก็ไม่รู้ทำหาย ก็ออกหากันให้ควัก เสียงที่เต็มไปด้วยการอวดอ้างสรรพคุณ ขายฝันกลางวันแสกๆอย่างกับพ่อค้ารถเร่ร้องขายของอย่างไงอย่างงั้น (มะนาว หว้านหวาน ฮ่าฮ่า ใครเชื่อก็บ้าแล้ว) ฝนฟ้าก็เป็นใจไม่ตกต้องตอนกลางวัน แต่ครั้นยามค่อนคืนมีอันต้องโปรยลงมาได้ทุกที และเมื่อตกใจตื่นขึ้นมา ลืมตาตามลำพัง ทำให้สามารถฟังเสียงหัวใจ ฟังเสียงมโนสำนึกที่อยู่ลึกลงไปได้อย่างถนัดถนี่มากยิ่งขึ้น....
            จิตใจของคนเราวันนี้เป็นดั่งรูรั่วที่หาไม่พบ เราต่างก็มีรูรั่วในตัวตนด้วยกันทั้งนั้น รูรั่วที่เกิดจากการอยากได้ใคร่มี รูรั่วที่มองเห็นเงินทองเป็นความสุข รูรั่วที่ตลอดทั้งวันอยู่ในวังวนของการเบียดเบียนแก่งแย่งแข่งขัน รูรั่วที่มาจากใจใหญ่บ้าอำนาจ ที่เที่ยวตระหวาดใครก็ได้ที่ไม่ตามใจ รูรั่วที่เกิดจากความบกพร่องในการใช้ปากพูดจาพาที รูรั่วที่หัวใจมีแต่ความใฝ่ต่ำ รูรั่วที่อาจจะเกิดจากความลำพอง
            เสียงสายฝน กระทบหลังคา สาดใส่หน้าต่าง ไม่ว่าจะแรงเพียงใด เมื่อกระทบถูกวัตถุใดแล้ว ก็มีอันต้องนิ่งสงบ คล้ายเป็นสายน้ำน้อยที่ค่อยๆไหลลง ดุจดั่งได้รับบาดเจ็บ หมดเรี่ยวแรงจากการตกลงมากระทบอย่างรุนแรง ใช่หรือไม่ หลายครั้งหลายหนบนหนทางชีวิต ที่เราเป็นดั่งสายฝนห่าใหญ่ พร้อมพุ่งโจมตีทุกสิ่งอันที่เข้ามาขวางกั้น แล้งไง !!! ผลคือเมื่อปะทะกระทบกระทั่ง ต่างก็เจ็บปวดรวดร้าวด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่เราพุ่งชนอาจจะแข็งแรงมั่นคง ไม่สะทกสะท้าน เราล่ะ ..สะเทือนเลื่อนลั่น ร่ำไห้หมดท่า ราบคาบบนความพ่ายแพ้ ความลำพองกลายเป็นความอ่อนแอ กลายเป็นบาดแผลแอบซ่อนอยู่ลึกๆภายใน แต่นี่แหละ..ชีวิตที่ต้องมีบ้างย่อมพลาดพลั้ง ที่ไปนำเอาความลำพองมาเป็นโล่ หรือเป็นหอก เพื่อแสดงแสนยานุภาพของตัวเอง สุดท้ายก็บาดเจ็บด้วยการกระทำของตัวเอง...
            สายฝนถึงแรงแค่ไหน แต่ก็มักนำมาซึ่งความเย็นฉ่ำ จะมีบ้างบางครั้งที่บ้าคลั่ง กระหน่ำลงมาเป็นพายุ และพร้อมทำลายล้างสิ่งที่ขวางกั้น แต่ความลำพองของเรานี่ซิ มีไหมที่จะนำความชื่นฉ่ำ สบายใจให้กับผู้ได้สัมผัสเพียงสักครั้ง....ความลำพองล้วนแล้วแต่เป็นดั่งพายุลูกใหญ่ เป็นความโอ้อวดดีที่มีแต่ความเขลาขลาด เหตุใด? คนเราจึงลำพองในความเก่งกาจสามารถกันนัก ใช่หรือไม่ ความเก่งกาจสามารถเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งประทานมาจากพระเจ้าพระผู้สร้าง และพระองค์พร้อมจะเรียกคืนได้ทุกเวลา
สายฝนแม้ลงจากฟ้า บ่อยไปที่กลายเป็นเพียงหยาดหยดน้ำบนยอดหญ้า หยดน้ำเล็กๆ ที่มีแสงแห่งตนสร้างความสวยงามตามอย่างที่เป็น หยดน้ำบนใบหญ้ากับสายน้ำในมหาสมุทรต่างกันสุดจะเปรียบอ้าง แต่ต่างก็มาจากแหล่งแห่งหนเดียวกัน ต่างมีความงามยามมองยามชมตามชนิดสิ่งสร้างของมัน..แล้วคนเราเล่า ใย!!!ถึงพยายามดิ้นรนอย่างล้นเหลือ เพื่อไปให้ถึงการเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ใช้ความลำพองของตนในนามของความ ทะเยอทะยาน ตะเกียกตะกายไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งความสำเร็จรูป ในรูปแบบของวัตถุ สร้างโลก สร้างแบบวัดกันด้วยโภคทรัพย์ กระสับกระส่ายไม่เป็นสุขเมื่อถูกบดบัง ปะทะอารมณ์ ปะทะคารมใส่กัน เพียงเพื่อยึดครองอำนาจ สุดท้ายวันหนึ่ง เวลาหนึ่ง ในความโดดเดี่ยว ลำพัง แค่ฟังเสียงลมหายใจของตัวเองยังหวาดกลัวจนแทบกลั้นลมหายใจ นี่หรือชีวิตที่มีสุข...
            พระเจ้าข้า...ยามเมื่อข้าฯ อยู่เพียงลำพังในความมืดของราตรีกาล ข้าฯเห็นรูรั่วในจิตวิญญาณอย่างชัดเจน รูรั่วที่มาจากความลำพองของข้าฯ ขอพระองค์โปรดทรงอุดรูรั่วนี้ของข้าฯ เพื่อว่าข้าฯจะได้เป็นภาชนะที่รองรับพระองค์ให้มาประทับอยู่กับข้าฯทุกทิวาราตรีอย่างเต็มที่ไม่มีการรั่วไหลไปไหน..
            พระเจ้าข้า...ยามเมื่อข้าฯ ลำพอง ความกลัวก็เข้าครอบงำ กลัวถึงการมีชีวิตอยู่อย่างไร้เกียรติ กลัวที่จะอยู่อย่างไม่มีใครให้ความสำคัญ กลัวที่จะไม่มีคนรัก คนศรัทธา คนนับถือ ข้าฯกลัว...แม้กระทั่งว่าพระองค์จะไม่ทรงประทานอาหารและข้าฯก็จะไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรให้สะสม ข้าฯกลัวว่าพระองค์จะเบือนพระพักตร์ไปจากทิศทางที่ข้าฯอยู่ ข้าฯคงจะตระหนกตกใจยิ่งกว่าเมื่อได้เห็นฟ้าผ่าลงมา สุดท้าย..ข้าฯกลัวว่าพระองค์จะเรียกลมปราณกลับคืนจากร่างของข้าฯน้อยนี้ แล้ว...ข้าฯจะต้องตายมลายกลายเป็นดิน..
            ยามข้าฯอยู่ลำพัง ความลำพองของข้าฯก็หายไปสิ้น ขอองค์พระจิตเจ้าทรงนำพาให้ข้าฯเปี่ยมล้นไปด้วยความอ่อนโยน รู้จักให้อภัยในทุกห้วงวันเวลา ให้อภัยต่อทุกสิ่งที่บังเอิญมาปะทะกับข้าฯ พระเจ้าข้า พระองค์คือพละกำลังของข้าเพื่อไม่ให้รูรั่วแห่งความลำพองพุพองขึ้นมาในชีวิตของข้าฯ โปรดสดับฟังคำอ้อนวอนของข้าฯท่ามกลางความเงียบงันนี้ด้วยเถิด...อาแมน

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ป้าย…สี


ป้ายสี
        ฤดูกาลเลือกตั้งเริ่มต้นได้เพียงไม่กี่วัน ป้ายหาเสียงของบรรดาผู้สมัครก็พรึบพรับเต็มสองข้างทาง ล้นริมถนน ทางเท้า ตามเสาไฟฟ้า หน้าตรอก หน้าซอย จนแทบจะไม่มีที่เว้นว่าง คนอาสาเข้ามารับใช้ประชาชนมีเยอะจริงๆ จนน่าชื่นใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกท่านๆทั้งหลายเหล่านั้นมีจิตอาสากันจริงๆจังๆกันมากน้อยเพียงใด หรือใช้เป็นเพียงแค่การประกอบอาชีพ หรือเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่ง ยศ ตำแหน่ง หรือเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ก็สุดแล้วแต่ แต่สำหรับเราๆท่านๆขอให้เลือกผู้แทนของเราด้วยจิตบริสุทธิ์ เผื่อว่าเราจะได้คนที่อาสามารับใช้ ยกมือไหว้ นบน้อมตลอดไป
            เมื่อเห็นป้ายหาเสียงเลือกตั้ง ก็อดที่จะคิดถึงคำหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ ป้ายสี ทำไมหน่ะหรือ!!!!ก็นอกจากป้ายที่ต่างคิดสร้างสีสันขยันสร้างคำโปรย เพื่อโกยคะแนนแล้ว นับจากเวลานี้ เราก็จะได้ยินคำพูดที่เอาแต่ดี ป้ายสีให้ผู้อื่น เพื่อจะได้ดูดี มีแต่คำพูดโก้หรู ความอดสูไม่พูดถึง หลายคนเริ่มละเลงสีใส่ผู้อื่นออกสื่อ เพื่อให้เกิดความสะใจ เพื่อให้เกิดกระแส เข้าสู่กลยุทธการตลาด(สด) ความจริงถูกปกปิดความผิดของผู้อื่นพร้อมเป็นผู้เปิด จุดประเด็นที่แฝงเร้นด้วยเล่ห์กลมายา แล้วถึงเวลาจากที่เคยป้ายสีใส่กันจนเลอะเทอะ ก็หันหน้ามาใส่สีขาวบริสุทธิ์ ทำใสซื่อต่อกัน ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นเห็นจนชินตา หรือนี่เป็นส่วนหนึ่งของพันธุกรรมทางสังคมไปแล้ว มันซึมลึกลงไปอยู่ในเส้นเลือดใหญ่ ทำให้มีผู้คนไม่น้อยคอยทำตาม ....
            ใช่หรือไม่ การใส่ร้ายป้ายสีมีอยู่ในทุกสังคม บางคนทำดีเท่าไร ทำแทบตายก็โดนหยามใส่ป้ายให้เสียคน ใส่ร้ายป้ายสีเล่นกันถึงตายก็มีไม่น้อย ป้ายสีใส่ความเท็จ ทำให้วอดวาย มลายหายไปจากสังคม แล้วขึ้นข่มขึ้นครองความเป็นใหญ่ ทำอย่างกับเป็นเด็กศิลป์ที่มีกระป๋องสีและพู่กันติดตัวเป็นอาจิณ ใครแส่เสนอหน้าท้าลองด้วยความดี สีในกระป๋องพร้อมจะพุ่งใส่ หรือว่าเราคิดมากไปมันอาจจะเป็นศิลปะการเอาตัวรอดก็ได้ ...
            ในสังคมมีคนไม่น้อยที่ท้อที่ถอยเพราะทำดีแล้วไม่ได้ดี ไม่แปลกเลยใช่ไหม ที่เราจะเห็นคนดีไม่ค่อยกล้าเปิดตัวออกสู่สาธารณะ ความดีมีพื้นที่ถือครองเพียงมุมเล็กๆในสังคม แน่ล่ะ คนเราจะดีทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ สมบูรณ์ ครบครันไปเสียทุกเรื่องนั้นไม่มี แต่คนดีคือคนที่ชอบแก้ไขในสิ่งที่ผิดสิ่งที่พลาด และจะไม่กล้าล่วงไปทำผิดซ้ำๆ ทุกผู้คนบนโลกนี้ล้วนมีบาดแผล คนสมัยใหม่ใจร้าย ชอบเปิด ชอบตอกย้ำบาดแผลเก่าให้เปิดออกให้เปิดอีก ให้กลายเป็นแผลสด ชอบทดสอบความอดทน อดกลั้นของคนอื่นเป็นเครื่องบำบัดกิเลสของตัวเอง หลายคนจึงพูดว่า ทำดีไม่ได้ดีจะทำยังไงดี....
            ในสังคมของคนหมู่มากบางทีก็ลำบากในการสื่อสารความหมายของการกระทำของเราที่เราคิดว่าดี แต่บางทีคนอื่นกลับมองอีกมุมหนึ่ง จะเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาหลายๆ ครั้ง ล้วนเกิดจากความไม่เข้าใจ และมีการนำไปขยายผลทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทำให้เกิดทะเลาะวิวาทกัน และตรงการขยายผลนี่แหละที่มักจะมีการใส่สีตีไข่ เพิ่มดีกรีเพื่อความสะใจ พูดออกไปหนึ่ง ผลกลายเป็นสิบเพียงชั่วพริบตา ยิ่งในยุคสมัยนี้คนเราสื่อสารกันไม่ค่อยจะได้ความ สื่อสารกันไม่ค่อยจะเข้าใจ และเป็นยุคที่จิตใจคนคับแคบ ย่อมเป็นสิ่งยากเย็นที่จะเห็นความดีของกันและกัน ในยุคที่การป้ายสีสามารถออนไลน์ได้ทุกที่ สื่อสมัยใหม่จึงถือว่าเป็นเครื่องมือ เป็นกระป๋องสี เป็นถังสีชนิดเยี่ยมยอด ที่จะใช้ทำร้ายทำลายผู้อื่นได้ โดยที่มิต้องเผยโฉมหน้า เป็นลู่ทางของคนขี้เขลาไม่กล้าเผชิญกับความจริง แถมแอบสิงในร่างที่ไร้ร่องรอย ปล่อยข่าวทำลายป้ายสีผู้อื่นอยู่ร่ำไป เป็นการบดบังซ่อนเร้นมิให้ความดีเจริญงอกงาม แถมยังอ้างว่าทำไปในนามของความยุติธรรม เพื่อเรียกร้องหาพวกมาสนับสนุน ทั้งๆที่เป็นการพูดอยู่ฝ่ายเดียว บางทีการที่เราจะเรียนรู้ความดีบนข้อเท็จจริงนั้นเราต้องมีวุฒิภาวะทางคุณธรรมที่สูง ต้องบรรลุภาวะความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวิจารญาณพอสมควร นี่ก็เป็นพื้นฐานของการเป็นคนดี...
การกระทำดีบางทีมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ได้รับเสมอ ไม่ใช่ว่าใครดีมาเราดีไปเพียงเท่านั้น ความดีอยู่ที่ทวีความดีขึ้นไปเมื่อได้รับสิ่งดีๆ ความดีทำแล้วสุขใจ ทำแล้วต้องไม่มีใครเดือดร้อน ทำแล้วสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างน้อยหนึ่งคนขึ้นไป และทำโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ทำความดีต้องพักพิงอยู่บนหนทางคุณธรรมและจรรยาบรรณ เพราะคุณธรรม จริยธรรมเป็นเรื่องเดียวกันกับความดีและความสุข สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด หากเรายังไม่มีจังหวะในการทำความดี ก็ไม่ควรที่จะไปกล่าวร้ายป้ายสีใคร เพียงแค่นิ่งๆสงบ ไม่ก่อมลภาวะทางปากเพียงเท่านี้ความดีก็มีให้เห็นแล้ว
หัวใจของยอดคนดีนั้นจะต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว และต้องเข้มแข็งขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องฉลาดในการเปลี่ยนวิกฤตให้มาเป็นโอกาสในการสร้างความดี ใครมาป้ายสีเราก็นำมาเป็นสีสันของชีวิต คิดเสียว่าเราเกิดมาเพื่อสร้างความสนุกปาก สร้างความบันเทิงให้กับบางคนก็เป็นบุญกุศลแล้ว สร้างความงดงามให้กับชีวิตด้วยแง่งามของชีวิต เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนใส่ร้ายป้ายสี มาใส่ลายแต้มสี วาดภาพชีวิตให้งดงาม  เมื่อมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น ก็จงอย่าได้หวั่นไหว รักษาใจหยุดนิ่งไว้ อย่าให้ขุ่นมัว พยายามรักษาฐานที่มั่นในใจเราไว้ให้ดี ถ้าใจเราไม่หวั่นไหว ย่อมไม่มีสิ่งใดที่จะยากเกินความสามารถ หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ และต้องไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร แล้วเราจะสู่สวรรค์เหมือนอย่างเช่นพระเยซูเจ้า ที่เสด็จสู่สวรรค์อย่างรุ่งโรจน์ สดใส แม้จะผ่านการถูกป้ายสีมาอย่างโชกโชน