วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ในเก่ามีใหม่ ในใหม่มีเก่า

ในเก่ามีใหม่ ในใหม่มีเก่า
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดออกแบบปกบทเพลงฉลองครบ 60 ปีวัดเซนต์หลุยส์อยู่นั้น คุณพ่อชาญชัย พ่อเจ้าวัดได้จุดประกายว่าน่าจะใช้ภาพมุมเดียวกันของภาพสมัยเมื่อ 60 ปีที่แล้วกับภาพสมัยใหม่ จึงเกิดความคิดที่จะนำรูปเก่าขาวดำเข้าไปอยู่ในโทรศัพท์มือถือที่เป็นอุปกรณ์บันทึกภาพสมัยใหม่โดยมีพื้นภาพสีของสมัยใหม่ ส่วนด้านหน้าใช้ภาพเก่าเป็นพื้น แล้วนำภาพสมัยใหม่มาใส่ในกรอบรูป ให้เหมือนในสมัยหนึ่งเวลาที่เราจะระลึกถึงใคร เหตุการณ์ใด เราก็มักจะนำรูปถ่ายเก่าที่เก็บใส่อัลบั้มออกมาดู ภาพทุกภาพที่เราถ่ายเก็บไว้ล้วนมีความหมายในวันเวลาที่ผ่านไปด้วยกันทั้งนั้น การกระทำทุกอย่างก็เช่นกันล้วนมีความหมายทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้างด้วย นี่จึงเป็นความทรงจำที่เราเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ร่วมก่อ เป็นผู้ร่วมมือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง



ในการฉลองครบ 60 ปี ของวัดเซนต์หลุยส์ เรามิได้มาฉลองความเก่าแก่ แต่เรามาฉลองความสดใสในความเชื่อที่เติบโตขึ้น เรามาร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในความรักที่ถูกยึดโยงด้วยความศรัทธา แม้ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไป วินาทีที่ผ่านไปจะกลายเป็นอดีต ก็ไม่ได้ทำให้วิหารในตัวตนของเราสั่นคลอนลง แน่ล่ะ ยุคสมัยใหม่แม้จะมีอะไรที่สะดวกสบายง่ายขึ้น จนทำให้คุณค่าของความทรงจำในสิ่งรอบข้างห่างหายไป ภาพที่บันทึกผ่านมือถือถ่ายเป็นร้อยเป็นพันภายในวันหนึ่ง ๆ จนไม่อาจจะเลือกเก็บไว้ได้ รอจนหน่วยความจำเต็มและก็ลบทิ้งไป อย่างมากก็อัพขึ้นเก็บไว้ใน social media เมื่อครบปีภาพเหล่านั้นก็จะถูกระบบย้อนมาเตือนความทรงจำเราเอง ถึงแม้เทคโนโลยีเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนแปลง แต่เนื้อหาและความทรงจำของเราต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมิมีวันเปลี่ยนแปลงได้
ในชีวิตจริงของเราหลายคน เรามักหลงลืมความเก่า ซ้ำร้ายมีบ้างบางคนดูแคลน มองว่าเป็นความล้าหลัง หากนั่งพินิจพิจารณากันอย่างจริง ๆ จัง ๆ เราผู้อยู่ในวันนี้ที่ถือว่าเป็นสมัยใหม่ เป็นคนยุคใหม่ เราต่างก็เก็บเกี่ยว เติบโตมาจากความเก่าที่เป็นรากลึกที่ชอนไชลงในดิน เพื่อหล่อเลี้ยงให้ต้นได้เติบโตมิใช่หรือ สิ่งที่ใหม่ในวันนี้ พรุ่งนี้ก็กลับกลายเป็นของเก่า บางสิ่งบางอย่างจึงไม่ควรที่จะไปยึดโยงดูถูกดูแคลนความเก่าความใหม่ เพราะในสิ่งเก่าก็มักมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นในนั้นได้เสมอ มีหลายสิ่งในโลกใบนี้ที่ไม่มีการยึดโยงความเก่าใหม่ตามกาลเวลา นั่นคือ ความรัก ความเมตตา ความดี การเสียสละ ในทุกสมัยสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ขับเคลื่อนสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกตลอดมา



วัดเซนต์หลุยส์ในวันที่เริ่มต้นนั้นมาจากความลำบากและการมองการณ์ไกล ความทุ่มเทเสียสละของบรรดามิชชันนารี ในสมัยหนึ่งชุมชนไทยอาศัยแม่น้ำลำคลองเป็นที่ก่อร่างสร้างเมือง วัดวาอารามทั้งหลายมักตั้งอยู่ริมน้ำ แต่เมื่อยุคสมัยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ถนนหนทางเริ่มเกิดขึ้น การสัญจรไปมาต้องใช้รถ จากคลองสาธรก็กลายเป็นถนนสาทร เพื่อรองรับกับการเจริญเติบโต พวกท่านจึงคิดว่าในสถานที่แห่งนี้แหละจะเป็นร่มไม้ใหญ่ให้กับผู้คนในวันข้างหน้าด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวในการซื้อที่ และการสร้างวัดที่สวยงามที่เห็นเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ พวกท่านทำทุกอย่างให้ออกมาในนามของความรักที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ยิ่งได้อ่านเรื่องราวเก่าๆที่พวกท่านได้บันทึกไว้ ก็ได้รับบทเรียนใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มพูนความเชื่อให้มากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าหวังว่า กิจการเหล่านี้คงจะได้ดำเนินไปในไม่ช้า เหตุว่าข้าพเจ้ามอบการก่อสร้างไว้ในพระหัตถ์ของพระและในมือของพวกท่านด้วย  ท่านคงจะไม่ปล่อยให้งานชิ้นนี้ดำเนินไปตามยถากรรม  ท่านคงไม่สามารถลงทุนอะไรที่จะดีไปกว่า การลงทุนอิฐสักก้อนหรือหลาย ๆ ก้อนก็ได้ เพื่อนำไปก่อสร้างพระวิหารของพระเป็นเจ้า มีผู้กล่าวไว้ว่า “ความจำของก้อนอิฐก้อนหิน ถาวรยิ่งกว่าความจำของมนุษย์”  ที่ว่าก้อนอิฐพูดได้นั้น พูดได้จริง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก้อนอิฐที่นำมาอุทิศถวายให้แด่พระเป็นเจ้า...
ประวัติศาสตร์ของโลกเรา และประวัติส่วนตัวของแต่ละคน ล้วนเป็นเรื่องราวของการก่อร่างสร้างตัว จะว่ากันไปแล้ว เราทุกคนก็เปรียบเสมือนก้อนอิฐทรงชีวิต ที่มุ่งหน้าตรงไปยังพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน  อิฐหินทุกก้อนยึดติดอยู่กับพระองค์โดยอาศัยการสักการะนมัสการนั่นเอง (บางส่วนในสารของพระสังฆราช หลุยส์ โชแรง : โอกาสเริ่มการก่อสร้างวัดเซนต์หลุยส์ 1 พฤศจิกายน ค.ศ.1955)




ก้อนอิฐแม้จะเก่าก็ขัดเกลาทำความสะอาดให้ใหม่ได้ หลายครั้งในวัดแห่งนี้ที่ทำให้เรากลับกลายเป็นคนใหม่ เป็นคนดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น เติบโตมากขึ้น วัดหลังนี้มีความร่มเย็นมีความสงบ แม้จะอยู่กลางเมืองในถนนที่วุ่นวายสายหนึ่ง ใช่หรือไม่ หากชีวิตเรามีความแข็งแรง มีความมุ่งมั่นยึดความดีเป็นหลักปฏิบัติ ต่อให้สิ่งแวดล้อมรอบข้างจะวุ่นวายเพียงใดใจเราก็สงบเยือกเย็น และมีสันติสุขได้เสมอ สิ่งที่สำคัญขึ้นไปอีกใครที่พบเห็นพบเจอก็จะพบสันติสุขด้วย ขอให้วันเวลาที่ผ่านไป ผ่านเข้ามา จะได้เป็นการเริ่มต้นของวันใหม่ ๆ ที่งดงามมาจากรากเหง้าของวันเก่าเสมอไป...

วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พี่น้อง

พี่น้อง
หนึ่งภารกิจของคำสัญญาที่ให้ไว้ แม้ขณะนั้นดูเหมือนจะเป็นการรับปากไปอย่างนั้น ๆ เพื่อให้พี่สาวผู้กำลังจะลาลับไปได้สบายใจขึ้น แต่เมื่อถึงเวลาครบกำหนดร้อยวัน ทางพี่น้องของพี่สาวคนเวียงจันทน์ได้บอกกล่าวว่าจะทำบุญ และอยากจะให้เราไปร่วมด้วย ด้วยความเชื่อ พิธีกรรม วันเวลา ต่าง ๆ นานา ทำให้การเดินทางไปฝั่งลาวพบเจอกับอุปสรรคไม่ใช่น้อย ค่อยแก้ไขกันไปทีละเรื่อง และแล้วเมื่อทุกอย่างถูกจัดสรรให้ลงตัว แม้ว่าถึงที่สุดจะไม่ได้อยู่ร่วมในวันทำบุญใหญ่ (ต้องกลับก่อน เพราะติดนัดหมายอีกนัดหนึ่ง) แต่เราก็ได้ไปหาคุณตาคุณยาย ครอบครัวของพี่สาวผู้จากไป พร้อมด้วยการต้อนรับที่อบอุ่นอย่างนึกไม่ถึง ทำให้เข้าใจเลยว่า ทำไม??? พี่หน่อย ถึงอยากให้เราไปพบเจอกับครอบครัวของพี่สาวคนนี้ที่ฝั่งลาว



ครอบครัวพี่หน่อยเป็นครอบครัวใหญ่มีพี่น้อง 6 คน จากนี้ก็เหลือกัน 5 คน สิ่งที่เราได้เห็นได้เรียนรู้ คือ ความรัก ความสามัคคีกันของพี่น้อง การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ที่สำคัญการให้เวลาสำหรับพี่น้องสำหรับพ่อแม่นั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด พี่หน่อยเป็นพี่สาวคนโตมาเสียชีวิตที่เมืองไทย ช่วงนั้นคุณพ่อพี่หน่อยก็ล้มป่วย คุณแม่ต้องดูแล พี่หน่อยจึงไม่มีโอกาสพบหน้าพ่อกับแม่ จากที่พี่หน่อยเคยเล่าให้ฟังว่าทุกคนในครอบครัวต้องหมุนเวียนมากินข้าวที่บ้านคุณตาคุณยาย และต้องอยู่พร้อมหน้ากันทุกคนอย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ มันจะเป็นไปได้อย่างไร (ในใจเกิดคำถาม) ในเมื่อแต่ละคนก็แยกย้ายไปมีกิจการ มีหน้าที่การงานรับผิดชอบและมีครอบครัวของตัวเองกันหมดแล้ว แต่....เมื่อเราไปอยู่ที่นั่น 3 วัน เราได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ๆ แม้จะต้องรอให้ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตาจนมืดค่ำสักหน่อยก็ไม่เป็นไร เรามักจะได้กินข้าวเย็นในบ้านหลังนี้ตอนเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ท่ามกลางการพูดคุยที่สนุกสนาน กระเซ้าเย้าแหย่กันตามประสาพี่น้อง กว่าจะเลิกราก็ประมาณเที่ยงคืน แรกสุดเราคิดว่านี่คงเป็นการต้อนรับแขกอย่างพวกเราหรือเปล่า จากคำบอกเล่าของทุกคนตรงกับสิ่งที่เราได้ยินจากปากพี่หน่อย ความเป็นพี่น้องคือสายใยที่คล้องให้ครอบครัวนี้อบอุ่น โดยมีคุณตาคุณยาย (พ่อและแม่) เป็นศูนย์กลาง หลาน ๆ ก็เล่นด้วยกันอย่างร่าเริง ไม่มีการทะเลาะกัน



สังคมของน้องลาวในเมืองหลวงยังคงเป็นสังคมที่ไม่เร่งรีบมากมายนัก ยังคงถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นภาพสะท้อนถึงอดีตสังคมพี่ไทยได้เป็นอย่างดี สังคมปัจจุบัน ที่ต่างคนต่างคิดว่าการแข่งขันคือการพัฒนา สังคมที่เร่งรีบคือเมืองที่มุ่งสู่การพัฒนา โดยไม่สนใจความเป็นพี่เป็นน้อง ความมีน้ำใจบนท้องถนนเหือดหายไปหมดสิ้น นิด ๆ หน่อย ๆ ให้ทางกันไม่ได้ ขอทางไม่ให้ทาง แต่ให้ท่าที่รุนแรง ขอที่เดินที่ยืนกลับให้ปืนผาหน้าไม้ ไม่มีพี่ไม่มีน้องเพราะเงินทองเท่านั้นคือสิ่งที่ต้องได้มา แม้ต้องเอาเปรียบก็ต้องทำ เห็นแก่ตัวกลัวความจน ยกย่องคนมีดูแคลนคนดี เราจึงตกอยู่ในสังคมที่เหนื่อยหน่ายท่ามกลางตึกสูงเด่น ผู้คนมีแต่ร่างกายเดินเต็มถนนหนทางแต่ไร้จิตใจ ไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตนี้คืออะไร แล้วเราก็ภาคภูมิในความเจริญแบบนี้กันมาอย่างยาวนาน
คนชาวลาวหลายคนรักนับถือคนไทย โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ ๙ มีเรื่องเล่าที่เพิ่งเคยได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งพระองค์ท่านจะเสด็จเยี่ยมเมืองลาว มีคนทำนายและทักท้วงไม่เห็นด้วยกลัวว่าจะนำเภทภัยมาสู่เมืองลาว ด้วยความชิงชังในครั้งเก่าก่อน และเชื่อกันว่าเจ้าเมืองทั้งสองนี้ไม่สามารถพบเจอกันได้ แต่เมื่อพระองค์ท่านได้ตั้งพระทัยแล้ว การณ์ครั้งนี้จึงสำเร็จและไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากความรักที่พระองค์ท่านนำไปสู่เมืองน้อง พระองค์ท่านยังนำโครงการต่าง ๆ ไปช่วยเหลือประชาชนคนลาว จากวันนั้นถึงวันนี้คนฝังโน้นยังรักและนับถือพระองค์ท่านไม่แพ้คนไทย และได้นำแนวทางดำเนินชีวิตแบบพอเพียงไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างดียิ่ง


เรามีสิ่งดี ๆ แต่เรามักจะมองข้าม ความมีน้ำใจของคนไทยในความเป็นพี่น้องวันนี้ถูกแทนที่ด้วยความเห็นแก่ตัวที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวันที่มานั่งอยู่ริมฝั่งโขง มองข้ามมาเห็นฝั่งไทย ในใจก็คิดว่าเพียงลำน้ำสายเดียวมาขีดกั้นความเป็นพี่น้อง มาแบ่งกั้นประเทศ พื้นที่ใครพื้นที่มัน และสร้างกระแสเราดีเราเลิศเราเก่งกว่า ทั้ง ๆ ที่เราก็พี่น้องกันพูดคุยกันรู้เรื่อง ในความเป็นจริงที่เห็นน้องลาวคือวิถีทางแห่งสันติสุข ที่มีความสุขและมีความบริบูรณ์มากกว่าเราเสียอีก.
.

กลับจากเวียงจันทน์มุ่งสู่จันทบุรี อีกหนึ่งนัดในความหมายเหมือนกัน คือ ความเป็นพี่เป็นน้องของกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งในนามของลูกวัดเซนต์หลุยส์ รวมตัวกันไปพักผ่อนนอนเล่นริมธารน้ำใส ในลำธารนั้นที่พวกเราได้ลงไปแช่ไปเล่นน้ำด้วยกัน มีแต่ความฉ่ำเย็น ท่ามกลางเสียงหัวเราะ การพูดคุยที่สนุกสนาน นั่งมองลงไปในธารน้ำที่ไหลเชี่ยว แต่กลับใสเย็นเห็นตัวปลา มือจับมือช่วยประคอง ช่วยฉุดดึง ภาพเช่นนี้มีมาให้เห็นไม่ง่ายนักในสังคมเมือง ใช่หรือไม่ วัดเซนต์หลุยส์เปรียบดุจดังแม่ที่คอยหล่อหลอมความเป็นพี่น้องของเราให้คงอยู่ แล้วเราควรที่จะทำให้คงอยู่ต่อไปชั่วฟ้าดินสลาย เรามีสายใยในองค์พระผู้เป็นเจ้า มีพี่ชายเดียวกัน มีแม่เดียวกัน นี่จึงเป็นสันติสุขเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเราในการพักผ่อนร่วมกัน ในช่วงวันเวลาก่อนที่เราจะร่วมกันทำงานในวันฉลองวัด 60 ปี การกระทำเล็ก ๆ แต่ทำให้หัวใจเราพองโต นี่แหละ พี่น้อง



วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ใยนี้ที่ไม่เคยขาด

ใยนี้ที่ไม่เคยขาด
หิวหรือยัง จะกินอะไร กินก๋วยเตี๋ยวหรือเปล่า??? และอีกหลายคำถามที่ล้วนแต่เป็นเรื่องการกินทั้งนั้น นี่เป็นคำถามจากแม่ในทุก 5 นาที เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ได้กลับไปอยู่กับแม่ อาการย้ำคิดย้ำทำของแม่มีมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว แรก ๆ พวกเราลูก ๆ ก็รู้สึกรำคาญที่แม่ชอบวุ่นวาย แต่หลังจากเรียนรู้อาการของโรคที่แม่เป็น เราก็ทำใจยอมรับ เข้าใจ สงสารแม่และรักแม่มากยิ่งขึ้น ใครเลยเล่าจะมีความห่วงใยใส่ใจอยู่ตลอดเวลาเหมือนแม่ของเรา แม่มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำอะไรให้ลูก ๆ

หลาย ๆ คนคงมีความประทับใจในแม่ของตัวเองแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ แม่ของเรานั้นมักห่วงใยเราตลอดเวลา มีเพียงการแสดงออกเท่านั้นที่ต่างกันออกไป ย้อนกลับในวัยเด็ก ในวันที่แม่ต้องลำบากเลี้ยงดูลูก 6-7 คน แม่ยอมทำทุกอย่างจริง ๆ ยอมอดเพื่อให้ลูกอิ่ม ยอมอายไปยืมเงินเพื่อส่งลูกให้เล่าเรียน ยอมออกรับแทนในวันที่เราทำจานข้าวหล่นแตก เพื่อไม่ให้พ่อโมโห จากวันนั้นยันวันนี้คำว่าห่วงใยจึงไม่ห่างหายไปจากใจแม่ สายใยแม่ไม่เคยขาดจากเรา
ในบทความ การแสดงครั้งที่ดีที่สุดของผม โจวซิงฉือ เขียน Zhengquanzhi Top แปล ได้บอกเล่าความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูก และสิ่งที่ลูก ๆ ควรเข้าใจและเห็นใจแม่อย่างที่สุดด้วยเช่นกัน
ตอนที่พ่อกับแม่หย่ากัน ผมเพิ่งอายุ 7 ขวบ ศาลตัดสินให้ผมกับพี่สาวและน้องสาวอยู่กับแม่ ช่วงปี 1968 ที่ฮ่องกง แม่เลี้ยงดูเรา 3 พี่น้องด้วยความยากลำบาก แม่ต้องทำงาน 2 ที่ แต่โชคดีที่ลูก ๆล้วนเป็นเด็กดี โดยเฉพาะผมตั้งใจเรียนมาก สอบได้คะแนนดีตลอดทำให้เป็นลูกรักของแม่
แต่มีแค่เรื่องเดียวที่แม่เป็นห่วงพวกเรา คือ เรื่องอาหารการกิน ลูก ๆ กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ไม่ว่ากระเบียดกระเสียรแค่ไหน แม่ก็ต้องหาเนื้อหาปลามาให้พวกเรากินเสมอ แต่อาจเป็นเพราะผมถูกตามใจจนเคยตัว หรือไม่ก็เพราะนานๆจะมีเนื้อมีปลากินสักครั้ง ทันทีที่อาหารขึ้นโต๊ะ ผมก็จะยกจานมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เลือกกินของที่ชอบ พี่สาวน้องสาวก็ดีเหลือเกิน ไม่เคยแย่งผมกินเลย แต่ว่าผมกินไม่ค่อยมาก กินแค่สองสามคำก็เลิกกิน หันไปเล่นซน
ผมยังมีนิสัยเสียอีกอย่าง คือ ชอบเอาของกินมาเคี้ยวเล่น แล้วก็คายกลับลงบนจาน ของที่ผมคายทิ้งนั้นพี่สาวน้องสาวไม่กล้ากิน แต่เพราะเสียดายของ แม่จึงเป็นคนกินทุกครั้ง นิสัยเสียนี้แม่ตำหนิผมหลายครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ อาจเพราะว่าเรื่องเรียนเรื่องนิสัยอื่น ผมไม่มีปัญหาอะไร แม่จึงยอมให้เพราะคิดว่าเป็นนิสัยซนของเด็ก ๆ
แต่มีครั้งหนึ่ง แม่โกรธจริง ๆ และลงมือทำโทษผมด้วย ครั้งนั้น แม่ไม่ได้เงินเดือนมา 2 เดือนแล้ว ต้องไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อน่องไก่ 2 น่องให้พวกเรากิน น่องไก่ย่างจนเหลืองหอม พอยกขึ้นโต๊ะผมก็ปีนขึ้นไปหยิบใส่ปากกัดคำโต แถมยังทำท่าทำทางล้อเลียนพี่สาวน้องสาวด้วย ทันใดนั้น น่องไก่ก็หลุดมือตกลงบนพื้น เปื้อนดินจนสกปรก
แม่ทั้งโกรธทั้งเสียดาย คว้ากิ่งไม้มาหวดผมสิบกว่าครั้ง จนพี่สาวน้องสาวต้องเข้ามาดึงตัวผมออกมา แม่ถึงยอมวางไม้ลงได้ ทั้งแม่ทั้งลูกสามคนกอดกันร้องไห้ หลังคราบน้ำตาแห้งลง พวกเราก็เริ่มกินข้าวกันใหม่ แม่เสียดายน่องไก่ จึงเก็บขึ้นมาแล้วเอาน้ำร้อนลวก แล้วกินเสียเองคืนวันนั้น แม่เข้ามากอดผม แล้วถามว่า “ยังเจ็บมั๊ย? วันหลังจะซนอีกมั๊ย?” ความจริงผมยังเจ็บอยู่ แต่แอบยิ้มพร้อมบอกแม่ไปว่า “นอนเถอะครับ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า”

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
สิบกว่าปีให้หลัง ผมกับแม่ไปออกรายการโทรทัศน์ แม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้ชมฟังและบอกว่า “ตอนเด็ก ๆ ผมซนมาก ไม่รู้เลยว่ากับข้าวแต่ละอย่างหามายากลำบากแค่ไหน ไม่รู้จักคุณค่าของเลย” ผมย้อนคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก แล้วก็บอกออกไปว่า “ไม่ครับแม่ ผมรู้ว่าแม่ลำบาก แต่ถ้าผมไม่แกล้งทำน่องไก่ตกดิน แม่จะยอมกินไหม? สมัยเด็ก ๆ มีของกินดี ๆ อะไร แม่ก็จะให้พวกเราสามพี่น้องกินเสมอ แม่กินข้าวเปล่ากับผักดองตลอด ผมก็เลยคิดอุบาย เคี้ยวเนื้อแล้วก็คายทิ้ง แม่ถึงยอมกินเพราะความเสียดาย”
พอแม่ได้ยินความลับที่เก็บงำมากว่าสิบปี ถึงกับน้ำตาริน บอกว่า “แม่น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว เพราะเจ้าเป็นเด็กดีทุกเรื่อง ยกเว้นแค่เรื่องกินเรื่องเดียวที่นิสัยเสีย” ผมกับแม่กอดกันร้องไห้อย่างไม่อายผู้ชม ผมเห็นว่าผู้ชมหลายคนก็แอบเสียน้ำตาด้วย ผมเป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับหนังมากมายหลายเรื่อง แต่การแสดงที่ดีที่สุดของผมก็คือ ตอน 7 ขวบครั้งนั้น เพราะเป็นการแสดงที่ออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ หากแต่มีผู้ชมเพียงคนเดียว ก็คือ แม่ของผม
โลกนี้งดงามเสมอที่มีแม่ที่ช่วยประครองให้ความดีงามเกิดขึ้น สายใยแห่งครอบครัว ความห่วงใยของแม่จะเป็นเครื่องช่วยขัดเกลาหัวใจของลูก ๆ ทุกคน ให้อ่อนโยนและมีเมตตา ความรักของแม่ย่อมส่งผ่านความงดงามมาสู่ผู้เป็นลูกทุกคน และไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไป การเปลี่ยนแปลงในสังคมจะมีมากขนาดไหน สายใยความห่วงหาอาทรของแม่จะไม่มีวันเปลี่ยนและห่างหายไป ขอสดุดีแด่แม่ทุกคนบนโลกนี้.....
หิวหรือยัง จะกินอะไร กินก๋วยเตี๋ยวหรือเปล่า??? และอีกหลายคำถามที่ล้วนแต่เป็นเรื่องการกินทั้งนั้น นี่เป็นคำถามจากแม่ในทุก 5 นาที เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ได้กลับไปอยู่กับแม่ อาการย้ำคิดย้ำทำของแม่มีมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว แรก ๆ พวกเราลูก ๆ ก็รู้สึกรำคาญที่แม่ชอบวุ่นวาย แต่หลังจากเรียนรู้อาการของโรคที่แม่เป็น เราก็ทำใจยอมรับ เข้าใจ สงสารแม่และรักแม่มากยิ่งขึ้น ใครเลยเล่าจะมีความห่วงใยใส่ใจอยู่ตลอดเวลาเหมือนแม่ของเรา แม่มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำอะไรให้ลูก ๆ
หลาย ๆ คนคงมีความประทับใจในแม่ของตัวเองแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ แม่ของเรานั้นมักห่วงใยเราตลอดเวลา มีเพียงการแสดงออกเท่านั้นที่ต่างกันออกไป ย้อนกลับในวัยเด็ก ในวันที่แม่ต้องลำบากเลี้ยงดูลูก 6-7 คน แม่ยอมทำทุกอย่างจริง ๆ ยอมอดเพื่อให้ลูกอิ่ม ยอมอายไปยืมเงินเพื่อส่งลูกให้เล่าเรียน ยอมออกรับแทนในวันที่เราทำจานข้าวหล่นแตก เพื่อไม่ให้พ่อโมโห จากวันนั้นยันวันนี้คำว่าห่วงใยจึงไม่ห่างหายไปจากใจแม่ สายใยแม่ไม่เคยขาดจากเรา
ในบทความ การแสดงครั้งที่ดีที่สุดของผม โจวซิงฉือ เขียน Zhengquanzhi Top แปล ได้บอกเล่าความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูก และสิ่งที่ลูก ๆ ควรเข้าใจและเห็นใจแม่อย่างที่สุดด้วยเช่นกัน
ตอนที่พ่อกับแม่หย่ากัน ผมเพิ่งอายุ 7 ขวบ ศาลตัดสินให้ผมกับพี่สาวและน้องสาวอยู่กับแม่ ช่วงปี 1968 ที่ฮ่องกง แม่เลี้ยงดูเรา 3 พี่น้องด้วยความยากลำบาก แม่ต้องทำงาน 2 ที่ แต่โชคดีที่ลูก ๆล้วนเป็นเด็กดี โดยเฉพาะผมตั้งใจเรียนมาก สอบได้คะแนนดีตลอดทำให้เป็นลูกรักของแม่
แต่มีแค่เรื่องเดียวที่แม่เป็นห่วงพวกเรา คือ เรื่องอาหารการกิน ลูก ๆ กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ไม่ว่ากระเบียดกระเสียรแค่ไหน แม่ก็ต้องหาเนื้อหาปลามาให้พวกเรากินเสมอ แต่อาจเป็นเพราะผมถูกตามใจจนเคยตัว หรือไม่ก็เพราะนานๆจะมีเนื้อมีปลากินสักครั้ง ทันทีที่อาหารขึ้นโต๊ะ ผมก็จะยกจานมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เลือกกินของที่ชอบ พี่สาวน้องสาวก็ดีเหลือเกิน ไม่เคยแย่งผมกินเลย แต่ว่าผมกินไม่ค่อยมาก กินแค่สองสามคำก็เลิกกิน หันไปเล่นซน
ผมยังมีนิสัยเสียอีกอย่าง คือ ชอบเอาของกินมาเคี้ยวเล่น แล้วก็คายกลับลงบนจาน ของที่ผมคายทิ้งนั้นพี่สาวน้องสาวไม่กล้ากิน แต่เพราะเสียดายของ แม่จึงเป็นคนกินทุกครั้ง นิสัยเสียนี้แม่ตำหนิผมหลายครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ อาจเพราะว่าเรื่องเรียนเรื่องนิสัยอื่น ผมไม่มีปัญหาอะไร แม่จึงยอมให้เพราะคิดว่าเป็นนิสัยซนของเด็ก ๆ
แต่มีครั้งหนึ่ง แม่โกรธจริง ๆ และลงมือทำโทษผมด้วย ครั้งนั้น แม่ไม่ได้เงินเดือนมา 2 เดือนแล้ว ต้องไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อน่องไก่ 2 น่องให้พวกเรากิน น่องไก่ย่างจนเหลืองหอม พอยกขึ้นโต๊ะผมก็ปีนขึ้นไปหยิบใส่ปากกัดคำโต แถมยังทำท่าทำทางล้อเลียนพี่สาวน้องสาวด้วย ทันใดนั้น น่องไก่ก็หลุดมือตกลงบนพื้น เปื้อนดินจนสกปรก
แม่ทั้งโกรธทั้งเสียดาย คว้ากิ่งไม้มาหวดผมสิบกว่าครั้ง จนพี่สาวน้องสาวต้องเข้ามาดึงตัวผมออกมา แม่ถึงยอมวางไม้ลงได้ ทั้งแม่ทั้งลูกสามคนกอดกันร้องไห้ หลังคราบน้ำตาแห้งลง พวกเราก็เริ่มกินข้าวกันใหม่ แม่เสียดายน่องไก่ จึงเก็บขึ้นมาแล้วเอาน้ำร้อนลวก แล้วกินเสียเองคืนวันนั้น แม่เข้ามากอดผม แล้วถามว่า “ยังเจ็บมั๊ย? วันหลังจะซนอีกมั๊ย?” ความจริงผมยังเจ็บอยู่ แต่แอบยิ้มพร้อมบอกแม่ไปว่า “นอนเถอะครับ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า”
สิบกว่าปีให้หลัง ผมกับแม่ไปออกรายการโทรทัศน์ แม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้ชมฟังและบอกว่า “ตอนเด็ก ๆ ผมซนมาก ไม่รู้เลยว่ากับข้าวแต่ละอย่างหามายากลำบากแค่ไหน ไม่รู้จักคุณค่าของเลย” ผมย้อนคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก แล้วก็บอกออกไปว่า “ไม่ครับแม่ ผมรู้ว่าแม่ลำบาก แต่ถ้าผมไม่แกล้งทำน่องไก่ตกดิน แม่จะยอมกินไหม? สมัยเด็ก ๆ มีของกินดี ๆ อะไร แม่ก็จะให้พวกเราสามพี่น้องกินเสมอ แม่กินข้าวเปล่ากับผักดองตลอด ผมก็เลยคิดอุบาย เคี้ยวเนื้อแล้วก็คายทิ้ง แม่ถึงยอมกินเพราะความเสียดาย”
พอแม่ได้ยินความลับที่เก็บงำมากว่าสิบปี ถึงกับน้ำตาริน บอกว่า “แม่น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว เพราะเจ้าเป็นเด็กดีทุกเรื่อง ยกเว้นแค่เรื่องกินเรื่องเดียวที่นิสัยเสีย” ผมกับแม่กอดกันร้องไห้อย่างไม่อายผู้ชม ผมเห็นว่าผู้ชมหลายคนก็แอบเสียน้ำตาด้วย ผมเป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับหนังมากมายหลายเรื่อง แต่การแสดงที่ดีที่สุดของผมก็คือ ตอน 7 ขวบครั้งนั้น เพราะเป็นการแสดงที่ออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ หากแต่มีผู้ชมเพียงคนเดียว ก็คือ แม่ของผม

โลกนี้งดงามเสมอที่มีแม่ที่ช่วยประครองให้ความดีงามเกิดขึ้น สายใยแห่งครอบครัว ความห่วงใยของแม่จะเป็นเครื่องช่วยขัดเกลาหัวใจของลูก ๆ ทุกคน ให้อ่อนโยนและมีเมตตา ความรักของแม่ย่อมส่งผ่านความงดงามมาสู่ผู้เป็นลูกทุกคน และไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไป การเปลี่ยนแปลงในสังคมจะมีมากขนาดไหน สายใยความห่วงหาอาทรของแม่จะไม่มีวันเปลี่ยนและห่างหายไป ขอสดุดีแด่แม่ทุกคนบนโลกนี้.....

วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เหนือกว่าปัญญาประดิษฐ์

เหนือกว่าปัญญาประดิษฐ์
โลกแห่งวิวัฒนาการก้าวหน้าต่อไปอย่างมิอาจจะหยุดรั้งเอาไว้ได้ จากที่เราไม่เคยคิดว่าโลกที่กว้างไกลจะมาอยู่ใกล้ในอุ้งมือเรา โดยมีโทรศัพท์มือถือไร้สายเป็นตัวเชื่อมต่อ อาศัยคลื่นเป็นสิ่งนำทาง สิ่งที่ไม่เห็นก็ได้เห็น จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปแล้ว หลายคนมักมีคำถามต่อไปว่า แล้ววันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น ระบบการสื่อสารจะเป็นยังไง โฉมหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเป็นเหมือนในหนังแนววิทยาศาสตร์หรือไม่ จะมีหุ่นยนต์มาทำหน้าที่แทนคนเป็นหรือเปล่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวันหนึ่งเรามีเครื่องมือทำหน้าที่ทุกอย่างแทนมนุษย์เรา.... ในเรื่องนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในโลก ต่างได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงวันข้างหน้ากันอย่างมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ (AI:artificial intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์) ซึ่งมีแววว่าจะเกิดขึ้นจริง และจะมาทำหน้าที่หลาย ๆ อย่างแทนมนุษย์

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

Elon Musk ซึ่งเป็น CEO ของ TESLA รถยนต์ที่ไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและไร้คนขับ ได้กล่าวว่า“ปัญญาประดิษฐ์เป็นกรณีที่มีความจำเป็นในการที่มนุษย์จะต้องทำงานเชิงรุกในการออกกฏหมายและระเบียบต่าง ๆ มา เพื่อกำกับการพัฒนา เพราะถึงแม้จะมีการออกกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เพื่อกำกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ก็ตาม มันก็จะสายเกินไปแล้ว”
บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ Microsoft มองว่า ปัญญาประดิษฐ์ถูกพัฒนาก้าวหน้าเร็วกว่าที่มนุษย์ควบคุมได้มาก เขายังแสดงความกังวลว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมหลาย ๆ คนถึงไม่กังวลเรื่องนี้ เขายังได้ทำนายอนาคตของ AI ว่าอีก 10 ปี AI จะสามารถทำได้ทั้ง มองเห็น พูด เข้าใจ เคลื่อนย้ายสิ่งของ และแปลภาษาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งจะถูกใช้งานอย่างกว้างขวางด้วย

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
แม้กระทั่ง Stephen Hawking นักฟิสิกส์ทฤษฎี (เขามีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายสิบปี ปัจจุบันต้องสื่อสารโดยใช้อุปกรณ์สังเคราะห์เสียงพูด ควบคุมผ่านกล้ามเนื้อมัดเดียวในแก้ม) ก็เป็นหนึ่งในผู้ออกมาเตือนถึงความน่ากลัวในอนาคตของ AI อยู่หลายต่อหลายครั้ง เขามองว่า AI เป็นสิ่งสำคัญต่ออนาคตของอารยธรรมและสายพันธุ์มนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นมันอาจจะเป็นทั้งสิ่งที่ดีที่สุดหรือเลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับมนุษยชาติก็ได้ เขาเองก็เห็นถึงประโยชน์ของ AI เพราะมันเองก็มีส่วนช่วยในอุปกรณ์การสื่อสารของเขาเอง โดยเครื่องนี้จะรับรู้สิ่งที่เขาคิดและนำเสนอคำที่เขาอาจจะเลือกใช้ ซึ่งทำให้เขาได้สัมผัสถึงความหวาดกลัวจากผลของ AI ที่อาจอยู่เหนือความคิดมนุษย์ได้ เขายังมองอีกว่า มนุษย์ถูกจำกัดด้วยวิวัฒนาการทางชีวภาพที่เชื่องช้า ทำให้ไม่อาจเอาชนะ AI และถูกแทนที่ได้ ทั้งเขายังคิดเหมือน Musk ที่ว่า AI อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการสิ้นสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
Mark Zuckerberg ผู้ให้กำเนิด Facebook มองว่า AI ยังไงก็ถูกพัฒนาเพื่อช่วยเหลือ และมีแต่จะทำให้คุณภาพชีวิตมนุษย์ดีขึ้น เขาเห็นว่าแนวคิดเรื่องวันสิ้นโลกเป็นความคิดแง่ลบมาก ๆ เขายังโพสต์ในเฟซบุ๊กอีกว่า การที่เขามอง AI ในแง่ดีนั้นเป็นเพราะมันช่วยพัฒนางานวิจัยในสาขาต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่การวินิจฉัยโรคเพื่อให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น การพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองเพื่อให้เราปลอดภัย แต่เมื่อเร็วๆ นี้ Facebook เกิดการปิดระบบปัญญาประดิษฐ์ เมื่อทางนักวิจัยของ Facebook พบว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ที่คิดค้นขึ้นนั้นเริ่มพูดคุยกับระบบปัญญาประดิษฐ์ด้วยกันเอง เข้าใจกันเอง โดยใช้ภาษาที่ประดิษฐ์ขึ้นมากันเอง และมนุษย์ไม่เข้าใจภาษาเหล่านั้น ระบบได้ประดิษฐ์กันขึ้นมาเอง เพื่อสื่อสารกันเอง ได้ Code ที่ระบบ AI เหล่านี้สร้างมาด้วยตนเอง มีประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่างระบบ AI ได้ดีกว่าคนและดีกว่าภาษาที่มนุษย์ใช้พูดคุยกับ AI เสียอีก

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

เมื่อได้นั่งอ่านข้อมูลและความคิดเห็นของคนต่าง ๆ ทำให้นึกย้อนไปถึงคำถามหนึ่งที่เคยมีคนตั้งคำถามว่า พระเจ้ารู้ใช่ไหมว่า เมื่อสร้างมนุษย์มาแล้วจะเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย แล้วทำไมยังทรงสร้างเราขึ้นมา ใช่หรือไม่ สิ่งนี่เองจะทำให้เราเข้าใจพระเจ้าได้มากขึ้น ทุกสิ่งล้วนดีแต่เราต้องรู้จักสร้าง รู้จักใช้ ในขณะที่เรามนุษย์มีปัญญาเพื่อสร้างปัญญาประดิษฐ์ขึ้น แล้วไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร? เพื่อควบคุมมันได้ แต่พระเจ้าสร้างเรามาให้มีปัญญากลับใส่หัวใจที่ประเสริฐไว้ในตัวเรา เพื่อให้เราสามารถควบคุมตัวเองและคนอื่น ๆ ให้อยู่ในกรอบที่เรียกว่าเสรีภาพได้ แล้วเราได้ใช้หัวใจดวงนี้มากน้อยแค่ไหน เราเคยมองหน้าแล้วเข้าถึงจิตใจคนอื่นมากน้อยเพียงใด? หรือ เราต้องการเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่อยู่เหนือคนอื่น โดยไร้หัวใจ ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล อย่าลืมว่าเหนือกว่าปัญญาประดิษฐ์คือหัวใจประเสริฐ ที่จะทำให้เรามองเห็นความดีงาม ทำให้เราเห็นความรักความเมตตา ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเราอยู่ทุกวัน สิ่งนี้ต่างหากที่จะชุบชูชีวิตของเราให้ก้าวเดินทางไปบนหนทางธรรมและมีความสุขในทิวาราตรี