วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

ใจสั่งมา


ใจสั่งมา
ชื่อเรื่องดูจะเหมือนกับบทเพลงของนักร้องร็อคดัง ที่กำลังมีข่าวเรื่องที่ต้องเข้าไปบำบัดร่างกายและจิตใจ เพื่อให้หลุดพ้นจากอาการติดยาเสพย์ติด แต่ในคำว่าใจสั่งมานี้เอง มันก็มีแง่มุมมองได้หลายๆอย่าง ชีวิตของเราดำเนินไปตามที่ใจเราสั่งหรือเปล่า หรือว่าเราปล่อยตามใจโดยที่ไม่เคยหักห้ามใจที่จะสั่งให้ ลด ละ เลิก ในสิ่งเสพย์ติดที่ก่อให้เกิดกิเลส และความใฝ่ในทางที่ไม่ดี...
ใช่หรือไม่... เราต่างก็เคยได้รับคำสั่งและก็เคยเป็นคนออกคำสั่งด้วยกันทั้งนั้น แต่ส่วนมากแล้ว เรามักชอบที่จะเป็นคนออกคำสั่งมากกว่า สั่งให้คนนั้นทำนี่ คนโน้นทำนั่น ยิ่งสั่งได้มากยิ่งดูเหมือนว่าเป็นผู้มีบารมี มีอำนาจ สามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้ มนุษย์ไม่น้อยเลย จึงพยายามก้าวเข้าสู่การที่จะเป็นคนที่ออกคำสั่ง และเราก็พากันเรียกคนเหล่านั้นว่า เป็นคนประสบความสำเร็จในชีวิต ในจำนวนนั้นย่อมมีคนที่สั่งแล้วคนอื่นพร้อมจะทำตาม มีบ้างบางคนสั่งแล้วคนอื่นทำ แต่มิได้ทำตามด้วยใจ หรือบางคนแอบขัดขืนฝืนทำ แต่ก็ยังมีบางคนที่สั่งผู้อื่นเป็น ซึ่งย่อมได้รับการยอมรับมากกว่าคนที่สั่งด้วยการใช้อำนาจเข้าข่ม แน่นอน คนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เป็นที่ยอมรับกับทุกคน ย่อมเป็นคนออกคำสั่งด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความรักและมีเมตตาอยู่ในคำสั่งนั้นเสมอ
คนที่ออกคำสั่งมักจะเป็นผู้อาวุโส เป็นหัวหน้า เป็นคนใหญ่คนโต ซึ่งเป็นตามธรรมชาติ และก็อย่างที่กล่าวไว้หากว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ในคำสั่งนั้นหลายครั้งก็มักเต็มเปี่ยมไปด้วยคำสอนที่มอบให้ผู้น้อย แต่บางครั้งเนื่องด้วยอคติหรือทิฐิของผู้น้อยมักจะไม่ค่อยเข้าใจ และคิดว่าสิ่งนั้นคือคำสั่งเพียงอย่างเดียว จึงเกิดความโต้แย้งขึ้นภายใน คำสั่งที่มีพลังควรเป็นคำสั่งสอน  ของผู้ผ่านวันเวลามาก่อน ของผู้ที่บรรลุภาวะทางศีลธรรมและคุณธรรม อย่างเช่นปู่ผู้ชราคนหนึ่งได้สอน (สั่ง) หลานท่านด้วยคำสั่งแบบง่ายๆ
ในวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด มวลดอกไม้รอบบริเวณบ้านของคุณปู่ผู้ชราโดนแดดแผดเผาจนเหี่ยวเฉาใกล้ตายเต็มที เมื่อหลานน้อยมาเห็นเข้าจึงกล่าวด้วยความตกใจว่า แย่แล้วคุณปู่ เราต้องรีบรดน้ำพวกมันแล้วนะครับ!!!” จากนั้นจึงรีบยกถังไปตักน้ำตั้งท่าจะนำมารดต้นดอกไม้
เมื่อคุณปู่ผู้ชราเห็นเหตุการณ์จึงสั่งห้ามหลานรักว่า อย่ารีบร้อนไป ตอนนี้แสงแดดมันแรงมาก หากรดน้ำลงไปตอนนี้ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น จะพาลให้ต้นไม้ ดอกไม้เหล่านี้ตายแน่ๆ รอให้ถึงยามค่ำก่อนเถิด แล้วค่อยรดน้ำนะหลาน
ครั้นถึงยามค่ำ เหล่าดอกไม้ที่โดนแดดมาทั้งวันล้วนแห้งเหี่ยว หลานน้อยจึงบ่นว่า ทำไมไม่รีบรดน้ำเสียตั้งแต่ตอนกลางวัน เห็นไหมล่ะ !!!! ตอนนี้ดอกไม้พวกนี้กำลังแห้งตายไปหมดแล้ว ต่อให้รดน้ำยังไง มันก็คงไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้หรอก
คุณปู่ผู้ชราได้ยินดังนั้นจึงสั่งว่า อย่าพูดมาก ไปรดน้ำให้ต้นไม้ซะหลานรัก!
เมื่อได้น้ำที่ชุ่มฉ่ำราดรดลงไป ไม่นานนัก เหล่าดอกไม้ก็กลับมาชูช่อไสวดังเดิม หลานน้อยเห็นดังนั้น จึงอุทานด้วยความยินดีว่า โอ้โฮ ดอกไม้เหล่านี้ช่างทนทานเสียจริงๆ ยังสามารถยื้อชีวิตไว้ไม่ยอมตายง่ายๆ
คุณปู่ผู้ชรากล่าวแย้งว่า เหลวไหล นี่มิใช่การยื้อชีวิตไว้ไม่ยอมตาย แต่เป็นการมีชีวิตอยู่อย่างดีต่างหาก
แล้วมันต่างกันอย่างไร?”  หลานน้อยถามด้วยความงุนงง
       คุณปู่ผู้ชรากล่าวว่า  ต่างกันซิ ปีนี้ปู่มีอายุ 80 กว่าแล้ว เรียกว่าปู่ยื้อชีวิตไว้ไม่ยอมตาย หรือว่ามีชีวิตอยู่อย่างดีเล่า?...
หลังจากเสร็จสิ้นการทานอาหารเย็น คุณปู่ผู้ชราจึงเรียกหลานน้อยมาหา ทั้งยังถามถึงเรื่องที่ค้างคาไว้ว่า  เป็นอย่างไร คิดได้แล้วหรือยัง?...” 
คิดไม่ออกครับ หลานน้อยตอบ
คุณปู่ผู้ชราจึงอธิบายว่า เด็กโง่ ผู้ที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เอาแต่กลัวความตาย ย่อมเรียกว่ายื้อชีวิตไว้ไม่ยอมตาย ส่วนผู้ที่มองไปข้างหน้าในทุกๆ วันจึงเรียกว่ามีชีวิตอยู่อย่างดี เมื่อมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวันก็ต้องใช้มันให้ดีที่สุด ผู้ที่ยามมีชีวิตอยู่เอาแต่กลัวความตาย เอาแต่พร่ำวอนขอเพื่อหวังว่าตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ ล้วนไม่มีทางได้ไปสวรรค์   จากนั้นจึงกล่าวว่า  วันนี้มีชีวิตอยู่แล้ว แต่กลับไม่ตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี เมื่อตายไปฟ้าก็คงไม่ประทานชีวิตที่ดีกว่ามาให้หรอก”  (ดัดแปลงมาจากนิทานเซน)
การตั้งใจใช้ชีวิตให้ดีนั้นมีหลายหนทางด้วยกัน หนทางหนึ่ง คือ การรู้จักสั่ง ที่ไม่ใช่การสั่งคนอื่น แต่เป็นการสั่งตนเอง การสั่งให้สิ่งชั่วร้าย ปีศาจที่แฝงมากับกิเลส ตัณหาให้ออกไปจากชีวิตเรา ใจต้องสั่งให้ชีวิตดำเนินไปบนหนทางแห่งความดีโดยมีความรักและความเมตตาปรานีเป็นเครื่องชี้นำ ชีวิตย่อมมีค่าคู่ควรกับวันเวลาที่ผ่านพ้น ที่เราหายใจอยู่บนโลก หากเราจำต้องสั่งผู้อื่น ให้สั่งเพื่อสอน แล้วหมั่นย้อนมาสั่งใจตัวเองในทุกๆวัน เพื่อให้ชีวิตปราศจากสิ่งชั่วร้าย และนี่คือสิ่งที่เราต้องเป็นคนสั่งไปตลอดชีวิต เพราะเรามีสิ่งที่ไม่ดีไม่งามตามระหว่างทางในชีวิตของเราเสมอๆ หากเรารู้ว่าในชีวิตเรามีพระเจ้าประทับอยู่ภายใน พระองค์นั่นแหละที่จะคอยสั่งปีศาจในตัวเราผ่านทางใจ สั่งมาว่า จงเงียบ และออกไปจากผู้นี้ ……

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

เสียงสุดท้ายของวัน


เสียงสุดท้ายของวัน
โลกที่วุ่นวายเพราะใจคนเรามันว้าวุ่น ขุ่นเคืองจนเกิดเรื่องบาดหมาง ขัดแย้ง แก่งแย่งแข่งขัน ทำไมหนอ!!!... มนุษย์เราไยถูกสร้างมาให้ประเสริฐกว่าสรรพสิ่งสรรพสัตว์ กลับมีวิวัฒน์ทางอารมณ์ไปสู่ความโลภ โกรธ เกลียด แค้น กันได้ปานฉะนี้ เหตุไฉน!!!... เมื่อหมดรักต้องกลายเป็นชิงชัง เมื่อโกรธแล้วจึงเกลียดชัง บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ไม่เห็นมันมีอารมณ์แบบนี้เลย ใช่หรือไม่ อารมณ์เหล่านี้มีอยู่ในมนุษย์ทุกผู้คนก็เพื่อให้เรารู้จักพัฒนาขัดเกลาทางด้านจิตใจเพื่อนำไปสู่การมีจิตวิญญาณที่มั่นคง เมื่อโกรธเกลียดก็ต้องฝึกฝนจิตใจให้รู้จักให้อภัย เมื่อหมดรักก็ต้องรู้จักปล่อยวาง คิดถึงสิ่งดีๆความทรงจำที่งดงามที่เคยมีให้กัน ให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันกลายเป็นคนที่หวังดีต่อกันตลอดไป เรารู้ใช่ไหมล่ะว่า เราล้วนเกิดมาจากความรักอันงดงามด้วยกันทั้งนั้น เราก็ควรใช้ชีวิตอย่างงดงามยินดี หาใช่ยินดีตอนพบ ให้ร้ายตอนจบเท่านั้น และแน่นอน กว่าจะผ่านพ้นค้นพบจนเจอ จนปฏิบัติตัวได้ ย่อมจะต้องใช้เวลา ย่อมต้องใช้ความอดทน ย่อมต้องรู้จักฟังเสียงเตือนตน เสียงแห่งมโนสำนึก เสียงของมโนธรรมเป็นประจำ...
ชีวิตในเมืองที่เต็มไปด้วยการอุปโภคและบริโภคจนล้นจนเกิน นำมาซึ่งเสียงเครื่องยนต์กลไกการผลิตอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งกลายเป็นเสียงสามัญประจำวัน เสียงนาฬิกาปลุกดังตั้งแต่เช้าตรู่ เสียงโทรทัศน์ที่ตื่นปุ๊บก็ต้องเปิดปั๊บเพื่อรับรู้ข่าว(ร้าย)วันใหม่ เสียงคนอ่านข่าวเจื้อยแจ้วผสมไปกับเสียงน้ำที่ราดอาบ เสียงน้ำจากฝักบัว เสียงเพลงจากหูฟัง เพลงที่ชื่นชอบถูกใส่ไว้ในเครื่องส่วนตัวพร้อมบรรเลงได้เพียงปลายนิ้วแตะ เสียงรถยนต์คำรามบนท้องถนนที่ไม่เคยหยุดพักเสียง แม้ตอนติดหนึบเหยียดยาว เสียงรถมอเตอร์ไซต์ วิ่งผ่านไปทั้งซ้ายทั้งขวา มีบ้างบางวันมีเสียงด่าขรมกันในทางระหว่างไปมา เสียงเปิดคอมพิวเตอร์ เสียงerrorเมื่อกดใช้งานผิดพลาด เสียงผู้คนพูดคุยผ่านหูซ้ายย้ายออกไปทางหูขวา เสียงเด็กร้องไห้ เสียงหัวเราะของผู้คน  เสียงอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายสุดบรรยายได้ในแต่ละวัน จนบางครั้งบางคนหูพิกลพิการ เพราะรับเสียงภายนอกมากเกินไป เป็นไปได้ไหม คนในเมืองมักจะพูดเสียงดังกว่าคนนอกเมือง (รวมทั้งเสียงเรียกร้องเรื่องต่างๆด้วย) อันเนื่องมาจากต้องพูดแข่งกับเสียงต่างๆที่ดังกระหึ่มทั้งเมืองทั้งวัน
ในวันๆหนึ่งเราต้องอยู่กับเสียงภายนอกมากเหลือเกินและตอนสิ้นสุดวันก่อนหลับตาลงนอน ก่อนจะเข้าสู่นิทรารมย์ เสียงสุดท้ายคือเสียงอะไรเล่า?... หลายคนอาจจะหลับคาเสียงเพลงที่เสียบคาหูตลอดทั้งคืน หลายคนอาจจะหลับคาจอโทรทัศน์ที่ตั้งเวลาปิดเอาไว้ หลายคนอาจจะหลับไปพร้อมกับความเหนื่อยล้ากับเสียงหัวใจที่เต้นเร็ว มีบ้างบางคนหลับไปพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ แต่ถ้า... เสียงสุดท้ายก่อนหลับในทุกค่ำคืน เป็นเสียงที่ได้พูดคุยกับตัวเอง เสียงที่โต้เถียงว่าสิ่งที่ทำผ่านมาในวันนี้อะไรดีอะไรไม่ดี แล้วให้เสียงภายในได้เตือนได้บอกว่าอะไรควรทำต่อไป อะไรควรแก้ไขเพื่อให้จิตใจสงบสบาย นี่คงจะเป็นเสียงสุดท้ายที่ส่งให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้นเมื่อยามตื่นและมีคุณภาพเมื่อยามหลับใหล
เรื่องไหนที่ยังไม่ดีมโนธรรมย่อมย้ำเตือนเราเอง ในการเริ่มต้นฟังเสียงภายในนี้ เราอาจจะฟังไม่ได้ยินมากนักหรือมีบ้างบางคนกลัวที่จะได้ยินเสียงเตือนภายในแบบนี้ จึงพยายามหลีกเลี่ยง พยายามไม่อยู่คนเดียว และถ้าลองฝึกฝนทุกๆวันจนกลายเป็นกิจวัตร เสียงเหล่านี้จะออกมาบอกเราได้ทุกเวลา แม้ในขณะที่เรากำลังก้าวผิดพลาด หรือถึงแม้ว่าในบางครั้งเราพยายามจะปิดเสียงนี้ ไม่ยอมรับฟังจนถลำทำผิดไป เสียงนี้ก็จะกลับมาเตือนเราอีกครั้งในภายหลังแล้วบอกเราว่า “จงกลับใจ” อย่าได้ทำสิ่งนั้นอีก สิ่งนี้จะออกมาพร้อมกับอาการไม่เป็นสุขทั้งทางสีหน้าท่าทาง และแน่นอนด้วยความอ่อนแอตามประสามนุษย์ หลายครั้งเราก็ทำผิดซ้ำๆซากๆ แต่ถ้าเราได้ฟังเสียงเตือนบ่อยๆ ความละอายต่อความผิดย่อมเกิดแก่ทุกคน เว้นเสียแต่ว่า เรามักใช้ข้ออ้างเพื่อหลอกลวงและโกหกตัวเอง พยายามเอาชนะเสียงเตือนโดยการพยายามหาเหตุผลพันแปดประการมาลบล้าง ทำไปทำมาเราก็เชื่อคำโกหกของตัวเองแล้วก็จมปลักไปกับสิ่งเหล่านั้นอย่างมิมีวันถอนตัวขึ้นได้
ใช่หรือไม่...สิ่งที่ทำให้โลกวุ่นวายเพราะใจเรามันว้าวุ่นอยู่กับข้ออ้างแบบของใครของมัน ละเมิดบรรทัดฐานทางมโนธรรม ไร้จิตสำนึก ผิดต่อคำปฏิญาณคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อหน้าพระว่า “จะละทิ้งปีศาจ” แต่เรากลับละทิ้งพระเจ้าแล้วยังเชิดชูมันที่แสดงออกมาในกิริยาแห่งความโอหังโอ้อวด ไม่ยอมรับผิด ไม่กล้ากลับใจ เพราะกลัวการสูญเสียพื้นที่ที่ยึดครอง กลัวการเสียหน้า ในชีวิตของคนเรา หากไม่เรียนรู้การกลับใจมีแต่จะก้าวไปสู่ก้นลึกแห่งกิเลสด้วยกันทั้งนั้น เสียงสุดท้ายก่อนนอนยามค่ำคืนเตือนว่า “จงกลับใจและเชื่อฟังข่าวดี” ย่อมนำพาการนอนหลับสนิทที่อิ่มเอม ตื่นมาสดชื่น จิตใจเบิกบานหน้าตาผ่องใส พร้อมน้อมรับฟัง รับใช้ผู้อื่น และพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกที่วุ่นวายด้วยหัวใจที่มั่นคง นี่เป็นหนทางสู่การพยายามที่จะเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม อย่าลืมที่จะฟังเสียงมโนธรรมเป็นเสียงสุดท้ายของวันนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะมีเวลาฟังเสียงอื่นๆรอบตัวเราอีกหรือเปล่า.....

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

เด็กดีมีหน้าที่กี่อย่างด้วยกัน


เด็กดีมีหน้าที่กี่อย่างด้วยกัน
ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ที่เราให้ความสำคัญกับเด็กๆด้วยการให้มีวันเด็กแห่งชาติตั้งแต่ต้นๆปี เพื่อบอกเป็นนัยให้รู้ว่า เด็กคือผู้สร้างอนาคตสร้างโลก เราผู้ใหญ่ก็ควรสร้างและปลูกฝังเด็กตั้งแต่ต้นๆปี หรือตั้งแต่พวกเค้ายังเป็นหน่ออ่อนๆ ด้วยเช่นกัน  สอนให้เด็กๆพร้อมที่จะรับการเรียนรู้ ถ้าเราใส่ปุ๋ยผิดผลิตผลที่ได้ ย่อมเป็นพิษ ถ้าได้ปุ๋ยดีผลิตผลย่อมมีคุณภาพ แต่...หลายครั้งหลายคนก็ทำให้วันของเด็กๆเป็นเพียงพิธีกรรม จัดงานเพื่อให้มีผลงานเอาไปรายงาน มีคำขวัญที่สรรหาคำมาเพื่อให้ดูดีดูโก้เก๋ แล้วถ้าถามว่า คำขวัญเหล่านั้นได้แทรกซึมเข้าไปในเด็กด้วยวิธีการอันใดเล่า!!!!  แต่ละปีจะมีประจำผ่านมาแล้วก็ผ่านไป คำขวัญนั้นไม่สำคัญเท่ากับการน้อมรับว่า เด็กๆ คือของขวัญอันล้ำค่าของมวลมนุษยชาติ 

เด็กๆมักมีอะไรต่อมิอะไร ที่ทำให้เรารู้สึกฉงนและอมยิ้มได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกแบบบริสุทธิ์เดียงสา วิธีการออดอ้อน การเรียกร้องความสนใจ ความซุกซนที่ปนมากับการเรียนรู้ หากเราใส่ใจเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของพวกเด็กๆ เราจะมีความสุขที่เห็นเด็กๆสูงขึ้น ฉลาดขึ้น กล้ามากขึ้น ที่สุด..แล้วเราก็คาดหวังว่าเด็กต้องโตขึ้นเป็นคนดีรู้หน้าที่และเคารพต่อมโนธรรมเตือนตน ซึ่งแนวการสอนและปลูกฝังของผู้ใหญ่ ของพ่อแม่แต่ละคน ย่อมแตกต่างกัน ยิ่งในยุคสมัยนี้ด้วยแล้ว หลายคนถึงกลับบ่นว่ายากมากที่จะทำให้เด็กเดินบนทางแห่งคุณธรรมความดี ใช่หรือไม่...ยิ่งยากยิ่งท้าทายความเป็นผู้ใหญ่ของเรา...
ใช่..ในยุคสมัยที่มีอะไรมากมายมาทำให้เด็กโน้มตามและมีสิ่งน่าสนใจกว่าคำสอนพ่อแม่ หรือคนที่อยู่ร่วมกันในบ้าน โลกภายนอกน่าสนุกและบันเทิงกว่าการมาโรงเรียน มิต้องพูดถึงความเบื่อหน่ายในการต้องมาวัดฟังมิสซา ดังมีคำที่นิยามของเด็กๆที่โตเป็นวัยรุ่นไทยสมัยนี้ว่า    เล่น บีบีเพลิน เดินสยาม ตามกระแส ไม่แคร์สื่อ ซื้อบิ๊กอาย... มีบลายธ์เป็นของตัวเอง ครื้นเครงอยู่ในผับ นั่งหลับในห้องเรียน หมั่นเพียรเม้นท์เฟสบุ๊ค เผื่อฟลุ๊คจะได้แฟน ควงแขนเดินสยาม กินอาหารญี่ปุ่น ดูหนัง โยนโบ คาราโอเกะ อย่าเอะอะ บอกแม่ว่าไปไหว้พระใกล้ๆ ส่วนการบ้านนั้นไซร้ เอาไว้ทำที่โรงเรียน ตอนเรียนก้อนั่งหลับ ขากลับก้อแวะ หลั่นล้า ถึงบ้านช้า บอกแม่ว่าเรียนพิเศษ  อาบน้ำเสร็จ กินข้าวอย่างไว เพราะจะรีบไป คุยบีบี เขียนไดอารี่ คุยโทรศัพท์ อัพเฟส.. สถานการณ์จะไม่อัพเดท เพื่อนไม่รู้ กรูจะนอน เอาไว้ก่อน คืนศุกร์ - เสาร์ เราหลั่นล้า รัชดาด้วยกาน...
เมื่อเห็นสภาพนี้แล้วก็นึกย้อนไปถึงสมัยก่อนๆที่โรงเรียนมักให้ท่องจำหน้าที่ของเด็กดี เป็นเพลงที่ร้องกันติดปากว่า เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่ 10 อย่างด้วยกัน
1. นับถือศาสนา             2. รักษาธรรมเนียมมั่น
3. เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์       4. วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
5. ยึดมั่นกตัญญู          6. เป็นผู้รู้รักการงาน
7. ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมานะบากบั่นไม่เกียจไม่คร้าน
8. รู้จักออมประหยัด
9. ต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล น้ำใจนักกีฬากล้าหาญให้เหมาะกับกาลสมัยชาติพัฒนา
10. ทำตนให้เป็นประโยชน์รู้บาปบุญคุณโทษ สมบัติชาติต้องรักษา เด็กสมัยชาติพัฒนาจะเป็นเด็กที่พาชาติไทยเจริญ... (ประพันธ์คำร้องโดย ชอุ่ม ปัญจพรรค์) 
วันนี้อาจจะท่องไม่ได้ครบไม่จบ แต่เวลาที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าได้นำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นแนวทางหนึ่งในการดำเนินชีวิต พอให้รู้ว่าหน้าที่การเป็นเด็กดีนั้นต้องทำดีอะไรบ้าง เพื่อจะได้ก้าวหน้าเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพยายามจะเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ที่มีสำนึกและรับฟังเสียงมโนธรรมเตือนตนว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควรจะกระทำ แม้จะมีบ้างบางครั้งที่พลาดพลั้งดื้อรั้นต่อเสียงภายใน สุดท้ายก็ต้องมานั่งสำนึกเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป..
ปล่อยเด็กๆมาหาเราเถิด เราเป็นคนอย่างนี้หรือเปล่า หรือว่า ปล่อยเด็กๆไปจากเราเถิด เราไม่อยากรับผิดชอบ เมื่อมองแววตาของเด็กน้อยเหล่านั้น ใช่หรือไม่ พวกเขา คือ DNA ที่ถ่ายทอดจากพวกเรา หน้าที่ในวัยเด็กเราทำมาแล้วสมบูรณ์บ้างไม่สมบูรณ์บ้าง แต่วันนี้หน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งคือสอนให้เด็กๆรู้จักหน้าที่ที่จะเดินไปสู่การจะเป็นคนดี ให้ได้ รู้ว่ายาก แต่เมื่อเราได้ของขวัญที่สวยงามน่ารักมาแล้ว ใยจะปล่อยให้ของขวัญอันล้ำค่านี้กลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปล่ะ
แล้ววันนี้สำหรับเด็กๆ ยังจะยึดแนวทาง 10 ข้อนี้กันอีกหรือเปล่า มีการปลูกฝังในคุณค่าของเนื้อหาในเพลงนี้มากน้อยแค่ไหน แล้วถ้าถามกันจริงๆว่า เด็กเอ๋ย เด็กดีวันนี้หนูมีหน้าที่กี่อย่างด้วยกัน !!!! หน้าที่ของหนูๆก็คือ พยายามเป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ รักพวกท่านให้มากๆเพราะรู้หรือเปล่าว่า การเลี้ยงดูพวกหนูในยุคนี้มันลำบากมาก แต่พวกท่านก็พร้อมสู้ตาย เพราะท่านรักพวกหนูยิ่งกว่าชีวิต ทุกลมหายใจ ทุกช่วงของการหลับตามีภาพหนูอยู่เบื้องหน้าของพ่อและแม่เสมอ วันเด็กแห่งชาติมีปีละครั้ง แต่วันเด็กของพ่อแม่มีทั้งปีและทั้งชีวิต...
เมื่อหนูโตขึ้นหน้าที่ที่ควรยึดไว้เพียงแค่ไม่คิดร้ายเบียดเบียน ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น มีมากก็แบ่งปัน เผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่พูดปดมดเท็จ ไม่คิดเอาทรัพย์สิ่งของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่ปรารถนารับในสิ่งอันตนไม่พึงได้ ฟังเสียงเตือนตนบ่อยๆ และไว้วางใจในพระเจ้าเสมอ นี่คือหน้าที่ของคนที่พยายามครองตนเป็นคนดีนะเด็กดี...

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

หัวใจออนไลน์


หัวใจออนไลน์
ผ่านช่วงปีใหม่ไปหมาดๆ ผู้คนก็กลับมาสู่วงจรชีวิตเดิมๆ หลังจากได้มีวันเวลาหยุดพักเพื่อเพิ่มเติมบางสิ่งที่หล่นหายไปในช่วงวันเวลาระหว่างปี หลายคนที่เคยทำงานจนไม่มีเวลาหยุดพัก พอได้เว้นวรรคในช่วงปีใหม่ก็กอบโกยการพักผ่อนหย่อนกายหย่อนใจกันอย่างเต็มที่ หลายคนมีเวลาได้นั่งพักทักทายเพื่อนฝูง ได้ตั้งวงสนทนาภาษาคนคุ้นเคยที่ไม่ค่อยได้คุ้นคุยกันมานาน แบ่งปันทุกข์ระหว่างปีสุขในวันวาน ช่วงเวลาข้ามผ่านปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีอะไรเพิ่มเติมเข้ามาในชีวิตเราบ้าง คุณค่าของวันเวลาอาจจะอยู่ที่สัมพันธภาพระหว่างผู้คนได้กลับคืนมา เพราะพอกลับเข้าสู่วงโคจรแห่งวิถีชีวิตปกติ เราก็มักใช้เวลาหมดไปกับสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าเทคโนโลยีมากกว่าสิ่งสร้างทางธรรมชาติ...
ช่วงวันเวลาหยุดพักที่ผ่านมา หลายคนเลือกที่จะปิดการสื่อสารทางเครือข่ายในอากาศ แต่เปิดสายใยแห่งความผูกพัน อยู่ท่ามกลางผู้คน รับไออุ่นส่งไอรักแบ่งปันความสุขกันและกัน แต่มีไม่น้อยเลือกที่จะบอกเล่าถึงความอิ่มเอมจากสิ่งที่ได้รับเพิ่มเติมผ่านทางเครือข่ายส่งสารผ่านมาทางอากาศออนไลน์ บอกเล่าทุกหนแห่งทุกที่ทางที่ผ่านพบ ให้เพื่อนๆอีกฝากฝั่งได้รับรู้ ชีวิตติดหนึบกับเทคโนจนคุ้นชิน จะขาดจากกันเพียงเสี้ยวนาทีเสียมิได้ ครั้นยามที่ไปในท้องถิ่นที่ไร้คลื่นไร้เครือข่าย ก็ดูคล้ายจะหงุดหงิด เปิดเครื่องเช็คส่องส่ายหาสัญญาณ โดยหลงลืมที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งรอบข้างที่ผ่านพบ หรือปล่อยผ่านให้มิตรภาพที่อยู่ต่อหน้าต่อตาตกหล่นหายไปอีกคำรบหนึ่ง เข้าตำราที่ว่า ทางนั้นก็ไม่ได้ทางนี้ก็ไม่ดี..
มีการสำรวจพบว่า นิวมีเดียมาแรง (สังคมเครือข่าย) คนไทยใช้เวลาบนสื่อออนไลน์แซงหน้าสื่อหลัก ใช้เฟสบุ๊คอันดับ 5 ของโลก ทวิตเตอร์อันดับ 7 ในเอเซีย ยิ่งช่วงน้ำท่วม มีคนใช้สมาร์ทโฟน (โทรศัพท์ที่สามารถเข้าระบบอินเตอร์เน็ตและสังคมเครือข่ายได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส) มากขึ้น มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่อผู้บริโภคเป็นอย่างดี แต่ก็กลับพบว่าคนไทยยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องของละคร คนไทยจะสนใจเรื่องละคร มากกว่า 70 % ตรงนี้แสดงถึงการรับรู้ที่ยังให้ความสำคัญกับสื่อบันเทิงมากกว่าสื่อด้านความรู้
เพราะการเสพสื่อเทคโนโลยีนั้น มันจะเป็นเหมือขนมเค้กอันหอมหวาน  เป็นเพียงความรู้รอบตัว คือรู้เอาไว้ แล้วก็จบกันไป ไม่มีการพูดถึงต่อ เพราะมันผ่านมาแล้วผ่านไปนี่คือพฤติกรรมบริโภคของคนไทย
การรับรู้เรื่องราวเทคโนโลยี คนไทยจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เข้าใจยาก การตีความหมายให้ง่ายมันอาจจะต้องอาศัยตรรกะต่างๆ มาเป็นตัวเชื่อมโยง รวมไปถึงองค์ความรู้ในหลายๆ ด้าน ซึ่งไม่แปลกเลย ที่การรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นรับสื่อที่เข้าใจง่าย สนุก ตลก มีความขบขันในตัวมันเอง นั่นไม่แปลกเพราะมันเป็นเรื่องที่เบาสมอง  ซึ่งคนไทยชอบที่จะบริโภคสิ่งเหล่านี้มากกว่า มันก็เลยกลายเป็นแนวโน้มการรับรู้ด้านเทคโนโลยีของคนไทยโดยรวมนั้นมีน้อยมาก
การใช้เทคโนโลยีนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง มีทั้งใช้เพื่ออยากเท่ หรือใช้เพราะประโยชน์ใช้งาน บางคนมีเทคโนโลยีในมือที่สุดล้ำแต่ไม่สามารถที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ บางคนขวนขวายเพื่อที่จะให้ได้เทคโนโลยีมาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง....(ข้อมูลบางส่วนจาก hitech.sanook.com)
ใช่หรือไม่ การส่งเสริมให้ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจด้านเนื้อหาและทำความเข้าใจอย่างจริงจัง สิ่งที่ได้รับตามมา คือ การใช้กันแบบตามใจ ใช้เพียงเพื่อเสพสิ่งบันเทิง หลายคนเสียเวลาในแต่ละวันเพื่อออนไลน์ไปมากมาย เมื่อเทียบกับเวลาที่ต้องทำงานจริงแล้วคงจะเกินครึ่งเสียด้วยซ้ำ มองในด้านผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร เราสูญเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อกิจการไปมากมิใช่น้อย มองให้กว้างไปในระดับโลก วันนี้โลกเราเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระมากมายล่องลอยอยู่ในอากาศ เราสูญเสียทรัพยากรเพื่อรองรับกับสื่อออนไลน์ไปก็ไม่น้อยเหมือนกัน มีแต่ขยะ กากดิจิตอลเต็มเครือข่ายไร้สาย
มีการคิดค้นระบบการแบ่งปันข้อมูล (Share) เพื่อให้การ ส่ง-รับ ข้อมูลไปให้ทั่วถึง ซึ่งมองในมุมที่สร้างสรรค์นี่เป็นการแบ่งปันและเอื้ออาทรกันของผู้คนทั้งโลก แต่วันนี้เรากลับนำการ Share มาเป็นการ Show ตัวเองเสียมากกว่า เป็นการโอ้อวดและการเผยถึงพฤติกรรมให้สาธารณชนได้รับรู้ เป็นการแสดงตัวตน ทัศนะคติและอคติต่อสิ่งรอบข้างให้ผู้อื่นได้รับรู้ และพูดคุยสนทนากันแต่ในเรื่องที่ไม่ค่อยประเทืองปัญญาและจิตวิญญาณ เราไม่ค่อยได้แบ่งปันคำสอน แบ่งปันกำลังใจให้ต่อกันมากนัก...
โดยปกติแล้ววันๆหนึ่งเรามีเวลาเพื่อสำรวจตัวเอง หาข้อบกพร่อง ทะเลาะกับตัวตนมากน้อยเพียงใด ยิ่งพอมีเทคโนโลยีที่สามารถออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมงด้วยแล้ว เวลาเหล่านั้นย่อมหดหายลดลงไปจนแทบไม่เหลือ แล้วที่สุด เราจะมีเวลาเหลือพอให้พระได้สักกี่วินาทีต่อวัน (ขอย้ำว่า กี่วินาที) ใช่หรือไม่ เราออนไลน์ทั้งวันแต่ใจเรากลับออฟไลน์ให้กับพระเจ้า เรารอคอยให้เพื่อนๆและผู้คนทักทาย Comment ใน Status เราทั้งวัน แต่เรากลับไม่เคยที่จะทักทายพระเจ้าผู้ออนไลน์ตลอดกาลบ้างเลย... Status ของพระองค์ทรงตั้งไว้ว่า รักและอภัย ช่วยเข้าไปกด like สักหน่อยได้ไหม และนำไปปฏิบัติด้วย จะได้เพิ่มสมาชิกในสวรรค์ให้กับพระองค์พระบิดาผู้ใจดีมากขึ้นมากขึ้น....
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20