วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562

วันหมดอายุ


วันหมดอายุ
ของในตู้เย็นที่บ้านเต็มตู้อยู่บ่อย ๆ เนื่องเพราะมีของกินมาเพิ่มเติมทุกวัน บางอย่างกินไม่หมดก็เอาเก็บใส่ไว้ แล้วก็ลืมจนหมดอายุคาตู้เย็น หรือบ่อยครั้งเราก็ลืมที่จะดูว่าของสิ่งนั้นหมดอายุวันไหนคิดเอาเองว่าคงเก็บไว้ได้นานปล่อยค้างคาอยู่ในตู้เย็น อย่างไรก็ไม่เสีย แต่เมื่อต้องการใช้ต้องการกินเมื่อเอาออกมา พอดูข้างกล่อง บนฝา ถึงได้รู้ว่าเลยวันที่จะใช้งานไปแล้ว จำต้องทิ้งไป ของบางอย่างถ้าไม่ใช้ก็ไม่เคยนึกถึง หลายครั้งเราก็เป็นเช่นนี้ ไม่ใส่ใจในสิ่งเก่า เพราะมีสิ่งใหม่ ๆ มาแทนที่ตลอดเวลา เรามักหลงลืมว่าทุกสิ่งย่อมมีวันหมดอายุ

https://picpost.mthai.com/storage/uploads/2017/03/2080993.jpg
ถ้าสังเกตสักหน่อยในปัจจุบันนี้ เราก็จะพบว่า เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ หมดอายุ และเสีย
ง่ายเหลือเกิน ไม่เหมือนเครื่องสมัยก่อนทั้งอึดทั้งถึก ใช้มาเป็นสิบยี่สิบปียังคงทนหรือแค่เปลี่ยนอุปกรณ์ภายในเล็กน้อยก็ใช้ได้อีกนาน แน่นอน บริษัทที่ผลิตเครื่องสมัยใหม่ หากผลิตให้มีอายุการใช้งานนาน สายการผลิตย่อมทำให้บริษัทไม่มีกำไรและไม่เติบโต ขายของไม่ได้ จึงต้องกำหนดให้มีวันสิ้นสภาพสิ้นอายุขัย ประจวบเหมาะกับยุคสมัยที่เราเบื่อง่ายหน่ายไว มีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้น จำต้องซื้อมาใช้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ชีวิตดู Out ตกเทรนด์ ตกยุค เราต้องเป็นคนหัวก้าวหน้าและดูมีรสนิยม ยิ่งในวันที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็ว หมดอายุไว หากเราไม่ปรับเปลี่ยนตาม เราก็ดูเสมือนจะอยู่หลังคนอื่น แต่เร็วไปก็เหนื่อย หาความสุขกันไม่ค่อยเจอ ฉะนั้นแล้วก็ต้องหาสมดุลให้กับตัวเองจึงเป็นหนทางที่จะมีความสุข ตามบ้างผ่อนบ้าง อันไหนจำต้องทิ้งก็ทิ้งไป อันนั้นดีงามก็จดจำทำให้เป็นวิถีชีวิตประจำวัน

ความรู้วันนี้ก็มีวันหมดอายุ ใครจะไปยึดโยงหลักวิชาการเดิม ๆ วันนี้จะกลายเป็นคนโบราณล้าสมัยไปในทันที ความรู้ของเมื่อวานเปลี่ยนแปรไปแล้ว ความรู้วันนี้จึงไม่อยู่กับที่ มีสิ่งใหม่ให้เรียนรู้ได้ตลอดเวลา นับวันเรายิ่งมีเครื่องมือที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับเราโดยที่เราไม่ต้องไปจดจำท่องจำ พูดให้เห็นภาพสักหน่อย ในสมัยหนึ่งเราต้องเรียนพื้นฐานคอมพิวเตอร์มากมาย มาวันนี้แค่นิ้วจิ้มไปจิ้มมาเราก็สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดาย เราเคยต้องจดจำการวางนิ้วลงบนคีย์บอร์ด แป้นพิมพ์ เพื่อตาดูต้นฉบับนิ้วพิมพ์ตาม วันนี้มีใครสักกี่คนที่วางนิ้วบนคีย์บอร์ดในเครื่องโทรศัพท์บ้าง มันเล็กเกินไป อีกอย่างแค่กดปุ่มพูด ก็พิมพ์ตามคำพูดได้ หรือแค่ใช้นิ้วสองนิ้วเลื่อนไปมาก็พิมพ์ได้อย่างรวดเร็ว เราไม่จำเป็นต้องอาศัยหลักการ ทฤษฎีมากมายในการพยายามพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แค่ใช้ระบบ Search หา เราก็ได้รับคำตอบ หลักการเก่า ๆ ถูกรูปแบบใหม่เข้าแทนที่ทุกวัน ความรู้เก่าหลายอันต้องสูญสิ้นมลายกลายเป็นของหมดอายุ รอวันถูกทิ้งให้หลงลืม ใครที่ยังยึดติดกับหลักการเดิม ๆ ความรู้เก่า ๆ ก็จะอยู่ในโลกแบบโดดเดี่ยว เพราะไม่มีใครจะเชื่อถือ ฉะนั้นจึงมีคำพูดว่า คนเราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา อย่าหยุดที่จะแสวงหาความรู้ เพราะสิ่งที่เรารู้วันนี้ พรุ่งนี้ก็กลายเป็นของเก่าแล้ว เราเห็นคนที่ชอบอวดเก่ง อวดความรู้ กลายเป็นคนที่น่าสงสาร ที่ไม่สามารถจะตามโลกได้ทัน แต่ก็นั่นแหละ เรารู้เพื่อเรียนรู้มิใช่รู้เพื่อจะอวดรู้  โชว์ให้คนทั้งโลกเห็นความฉลาด บางทีการที่ความรู้ในโลกขับเคลื่อนไปรวดเร็วก็สอนในเรามีความอ่อนน้อม อ่อนโยนในการรับฟัง และเรียนรู้กันและกัน
เมื่อเรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ มีวันเปลี่ยนแปลง มีอายุในการใช้งาน เราก็ต้องหันหลังกลับมามองเรื่องวันเวลาในชีวิตเรา หลายคนเชื่อว่า “ยังมีเวลาอีกมาก” แต่บ่อยครั้งเราก็คลาดก็พลาดไป เรามักจะกังวลว่าต่อไปจะทำยังไง? วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร? แต่เราคิดบ้างหรือไม่ว่าครั้งต่อไปและวันข้างหน้าจะยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่! ฉะนั้น วันนี้ เวลานี้ จะทำอะไร ต้องทำให้เต็มที่ อย่ารอให้หมดวัน คนเรามักจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่มีในครอบครอง เพราะอยากได้แต่ไม่อาจได้ จึงคิดว่าสิ่งนั้นต้องล้ำค่า! แต่พอได้ครอบครองจริง ๆ อาจจะเริ่มรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ดีไปกว่าในสิ่งที่มีอยู่ในขณะนี้เลย
https://picpost.mthai.com/storage/uploads/2017/03/2080993.jpg

มีสิ่งหนึ่งถ้าเรายึดมั่นและไว้วางใจ สิ่งนั้นไม่มีวันหมดอายุ นั่นคือ ความรักความเมตตา ความรักที่มอบโดยไม่หวังการตอบกลับและเข้ายึดครอง ความรักที่ให้ผู้อื่นเหมือนกับรักตัวเอง ไม่ใช้ความทันสมัย ใช้อารมณ์ความรู้สึกและความต้องการเป็นตัววัด ความหมายความรักในวันนี้ที่พูด ๆ กันไม่น่าจะเรียกว่าความรัก อาจจะเป็นเพียงความชอบส่วนตัว ความชอบมักต้องมีวันเลิกชอบ แต่ถ้าความรักแท้ที่ใช่ ต้องใส่ใจ ดูแลหัวใจกันและกันให้เป็นหัวใจดวงเดียวกัน อาจจะดูงมงาย อาจจะดูเพ้อฝัน แต่สิ่งนี้แหละที่สร้างโลกและจรรโลงให้ความงดงามคงอยู่ตลอดมาไม่มีวันสิ้นอายุขัย ความเมตตาที่มอบให้กันก็เป็นส่วนสำคัญในความรักแท้ ความเมตตาอยู่ที่ใดความรักของพระเจ้าอยู่ที่นั่น เงินตราอยู่ที่ใดความโลภมักจะอยู่ที่นั่นเช่นกัน และมักจะทำให้ความสัมพันธ์ของผู้คนสั้นลง 
เรามักแปลกใจใช่หรือไม่ว่าความสัมพันธ์มิตรภาพของผู้คนมักจบลงในระยะเวลาอันสั้น เพราะเราคาดหวัง มีทัศนคติไม่ตรงกัน สำคัญคือเราไม่ยอมรับกันและกัน ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและสิ่งรอบตัว เรายังยึดโยงความสำคัญของตัวเองกันมากไป เรายังต้องการให้คนอื่นมาใส่ใจและต้องเป็นดังใจเรา เมื่อต่างคนต่างคิดเช่นนี้ มิตรภาพจึงหมดอายุลง ใช่หรือไม่ ชีวิตเราไม่มีวันหมดอายุบอกไว้ข้าง ๆ ตัว ใครจะไปก่อนหรือหลังยังไม่มีใครรู้ แล้วเรายังถือดีอวดเก่งกันไปใย!!! นำความรักแท้ เมตตาจริงอยู่ในตัวเราให้ได้ และไม่ว่าวันเวลาโลกจะเปลี่ยนไปเช่นไร เราก็ยังอยู่ได้อย่างสันติตลอดไปตราบสิ้นลมหายใจ

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2562

พื้นที่ชีวิต


พื้นที่ชีวิต
            เราเคยไหม? ที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัว แต่มักจะถูกรุกรานด้วยคนรอบข้าง สิ่งแวดล้อมรอบตัว เคยไหม? ที่ต้องการที่พักกายพักใจ แต่แล้วกลายเป็นเพียงที่ให้นอนหลับเท่านั้น คนเราเกิดมาย่อมต้องการมีที่มีทางของตัวเอง แต่หลายล้านคนในโลกเมื่อได้พื้นที่แล้วกลับไม่พอใจ บางคนคับที่อยู่ยากคับใจอยู่ยากยิ่งกว่า ในวันที่พื้นที่กลายเป็นเม็ดเงินเม็ดทองสร้างมูลค่ามากมาย จนกระทั่งคนทั่วไปที่รายได้พอมีพอใช้ไม่อาจจะครอบครองได้ ปัญหาความกดดันจึงตามมา เช่นในฮ่องกงที่วันนี้เกิดการประท้วงของวัยหนุ่มสาว สาเหตุหนึ่งก็มาจากแรงกดดันในการที่อยากจะได้พื้นที่มาครอบครอง คนฮ่องกงหลายคนทำงานมาแทบทั้งชีวิตก็ได้เพียงพื้นที่เล็ก ๆ ที่เรียกว่า “ห้องพักนาโน” เป็นห้องแบบกรงเล็ก ๆ แคบ ๆ ที่ถูกแบ่งขาย คนเราเมื่ออยู่ในพื้นที่แคบ ใจก็แคบ เกิดความคับแค้นเป็นแรงกดดันเกิดความเครียด จำต้องเรียกร้องการรื้อระบบเพื่อจัดสรรพื้นที่กันใหม่ เมืองไทยวันนี้หลายคนขอแค่มีที่นอนที่กินบนอาคารกลางอากาศก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว เราต่างก็ปรารถนาจะเป็นเจ้าของพื้นที่เพื่อทำให้การดำรงดำเนินชีวิตของเราเป็นไปอย่างมีความสุข


            เมื่อพูดถึงตรงนี้ชุมชนวัดเซนต์หลุยส์ของเรา ที่ฉลองวัดและชุมชนความเชื่อในวันนี้เราต้องขอบคุณการเห็นการณ์ไกลของบรรดามิชชันนารี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระคุณหลุยส์ เวย์ ที่ท่านได้ซื้อที่ดินในบริเวณนี้ เพื่อใช้เป็นพื้นที่เพื่อสร้างรากฐานแห่งรักและเมตตา เพื่อให้พระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึง จวบจนถึงสมัยพระคุณเจ้าหลุยส์ โชแรง ที่ได้ก่อให้เกิดวัดอิฐที่สวยงาม และโรงเรียน เพื่อปลูกฝังต่อฐานความรักเมตตาให้มั่นคง เป็นศูนย์รวมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อนำกางเขนปักลงกลางใจเมืองกรุงเทพฯ เราจึงมีพื้นที่แห่งความศรัทธาที่สง่างาม แม้พื้นที่อาจจะกว้าง แต่สำหรับความเชื่อความศรัทธานั้นยิ่งกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก และจากพื้นที่ตรงนี้ได้ถูกเติมเต็มให้ทุกคนได้รับรู้ถึงพระคริสตเจ้ามาจนถึงปัจจุบัน
            นอกจากพื้นที่ภายนอกแล้วที่คนเราก็ต้องการเพื่อเป็นแหล่งพักอาศัย พื้นที่ภายในจิตใจของเราก็สำคัญมิใช่น้อย สิ่งนี้นี่เองที่พระสงฆ์ต่างประเทศแห่งกรุงปารีสฯ (MEP) ปรารถนาที่จะให้อาณาจักรของพระเจ้าเติบโตขยายอาณาเขตลงในจิตใจของเราชาวเซนต์หลุยส์ทุกคน แล้ววันนี้เราได้ทำให้ความปรารถนานี้เป็นจริงเป็นจังในตัวเรามากน้อยเพียงใด? เราทุกคนเป็นเหมือนแก้วเปล่าที่พร้อมน้อมรับพระวาจาเข้าไปเติมเต็มในพื้นที่แห่งชีวิตมากน้อยเพียงใดสุดแล้วแต่... แล้วเราจะทำอย่างไรให้ธารแห่งรักและเมตตานี้รินไหลลงในแก้วใบอื่น ๆ ได้ด้วย แก้วใสใบเปล่าหากเติมสิ่งใดก็มักจะกลายเป็นสิ่งนั้นให้ผู้คนได้พบเห็นมิใช่หรือ!!!
แก้วใบหนึ่งถูกคนเติมนมลงไปจนเต็ม  เมื่อเขาชูมันขึ้น เขาจะพูดว่า
“นี่คือนม”
และเมื่อเติมน้ำมันพืชลงไปในแก้วจนเต็ม เขาก็จะบอกว่า
“นี่คือน้ำมันพืช”
มีเพียงแก้วเปล่าเท่านั้น ที่ใคร ๆ ถึงเห็นว่ามันคือแก้ว เขาจึงพูดว่า
“นี่คือแก้วน้ำ”

โลกในยุคปัจจุบันถูกขยายพื้นที่ให้แต่ละคนมากยิ่งขึ้น แต่เป็นโลกเสมือนจริง ที่ผู้คนต่างคิดว่ามีพื้นที่นี้แหละจะใช้แสดงความมีอิสระเสรีได้อย่างเต็มที่ เราต่างจับจองความเป็นเจ้าของจอมปลอม เพื่อมาต่อเติมให้พื้นที่ในชีวิตจริงให้ได้รับความสมบูรณ์ และเราก็ถูกช่วงชิงพื้นที่ด้วยความโลภ ความหลง ความอยากได้อยากมีนานาชนิดอย่างมิมีวันสิ้นสุด จากพื้นที่เล็ก ๆ เราก็ขยายไปเบียดบัง ทับซ้อนพื้นที่คนอื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร พื้นที่นี้จึงทำให้ชีวิตคนในสังคมมีแต่ความจอมปลอมเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว พื้นที่ที่จะใช้เพื่ออวดเก่ง โชว์รู้ โม้รวย สวยปลอมแปลง เรามีชีวิตอยู่แบบนี้เราจึงไขว่คว้าหาสิ่งต่าง ๆ มาห่อหุ้ม แต่ยิ่งทีเรายิ่งกลัดกลุ้ม ยิ่งทีเรายิ่งไม่พบความสุข ทั้ง ๆ ที่มีพื้นที่กว้างไกลไร้พรมแดน

            โอกาสวันนี้ฉลองความเชื่อของเราชาวเซนต์หลุยส์ เรามาลองสำรวจตรวจสอบกันสักนิด ว่าชีวิตเราที่ผ่านมานั้น เราถูกอะไรเติมลงไปบ้าง ในยามที่ใจของเราเต็มไปด้วยอคติ เงินทอง และอำนาจ มนุษย์มักครอบครองในสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่ไม่อาจครอบครองตนเองได้อย่างแท้จริง เรามีพื้นที่กว้างขึ้น จิตใจเรากลับแคบลง เราจะอยู่กันอย่างไร?....เราจะอยู่ได้ หากใจเราเต็มด้วยความรักและเมตตา ให้สมกับความเสียสละของผู้วางรากฐานให้กับเรา บรรดาคุณพ่อ จากรุ่นสู่รุ่น ตลอด 62 ปี จะไม่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และที่สุดเรามาร่วมกันขยายพื้นที่ชีวิตศิษย์พระคริสต์ออกไปให้ทุกผู้คนได้พบเห็นผ่านทางการดำเนินชีวิตบนหนทางธรรม หากมีวันใดรู้สึกว่าไร้เรี่ยวแรง เราก็มาพักผ่อนในพื้นที่นี้เพื่อรับพลังกำลังใจก้าวเดินออกไปบนหนทางแห่งรักในพระคริสต์ตลอดไป

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ยิ้มนี้ที่สร้างโลก


 ยิ้มนี้ที่สร้างโลก
            ผู้หญิงผมขาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ในวงอาหารมื้อเที่ยง มื้อที่รวมเราพี่น้องทั้งห้าคนให้พร้อมหน้าพร้อมตากัน ไม่ใช่มาเพื่อวันแม่ แต่มาเพื่อบอกแม่ว่าพวกเราลูก ๆ ภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกแม่ อาหารมื้อใหญ่ที่สั่งมาทานร่วมกัน เราเน้นอาหารที่แม่ชอบ ที่แม่เคยทำให้กินอยู่บ่อย ๆ ซึ่งแน่นอนเน้นไปทาง “ปลา” เสียส่วนใหญ่ เพราะบ้านเราอยู่ริมน้ำ แม่เคยหาปลา แม่เคยทำปลาร้า (เอาไว้แจกช่วงตรุษจีนที่ญาติ ๆ มาหา) แม่เคยทำอาหารปลาต่าง ๆ มากมายด้วยรสชาติที่แสนอร่อย วันนี้วันที่แม่เริ่มอ่อนแรง เพราะวันเวลากัดกร่อนความคล่องแคล่วไป แต่หลายครั้งแม่ก็อยากจะทำนั่นทำนี่ให้กินเสมอ จนต้องเอาถังแก๊สไปซ่อน เพราะกลัวความหลงลืมจะก่ออันตราย ทุกวันนี้แม่ยังถามหาถังแก๊ส ทำให้เราได้หัวเราะในความน่ารักของแม่ พวกเราไม่ต้องการให้แม่เหนื่อย จึงพาออกมาหาอะไรรับประทานด้วยกัน แม่ทานไปยิ้มไปอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ยิ้มอะไรนัก” แม่ตอบว่า “ยิ้มเพราะรักลูกทุก ๆ คน” พวกเราทำแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง หากมีเวลาว่าง ก็จะไปพาแม่ออกมาทานอาหารนอกบ้าน 


แม่ทานอิ่มเป็นคนสุดท้าย ไม่ใช่เพราะความชราที่พรากความว่องไวไปจากแม่เสียทีเดียวที่ทำให้ช้า แต่เป็นเพราะนิสัยมัธยัสถ์ของแม่ต่างหาก แม่บอกเสียดายเนื้อปลาที่ติดก้าง เนื้อที่หัวปลา แม่จะค่อย ๆ แกะออกมาใส่ช้อน เพราะเคยจนมาก่อนแม่จึงรู้จักคุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเราไม่ขัดใจแม่ นั่งรอจนแม่พอใจและเห็นทุกอย่างหมดลงอย่างคุ้มค่า ความเป็นแม่มีให้เห็นในทุกกิจกรรม ทำให้นึกถึงเรื่องราวที่อ่านผ่านตามานานแล้ว แต่ยังจดจำ เพราะว่ามีบางสิ่งบางอย่างคล้าย ๆ กัน และก็คิดว่า เราผู้เป็นลูก ๆ คงจะมีเรื่องราวคล้าย ๆ แบบนี้อยู่ในความทรงจำที่งดงาม จากผู้หญิงที่เราเรียกว่า “แม่” ด้วยกันทุกคน
หญิงหม้ายผู้หนึ่ง หลังจากสามีตายจาก นางต้องดูแลลูกทั้งสี่คนเพียงลำพัง เป็นที่น่ายกย่องสรรเสริญ เพราะไม่เพียงแต่นางจะทุ่มเทส่งเสียลูก ๆ ทั้งสี่ ให้ได้ร่ำเรียนในขั้นสูงแล้ว ลูก ๆ ทั้งสี่ก็ยังมีหน้าที่การงานที่ดีในสังคมอีกด้วย
อยู่มาวันหนึ่ง แม่ผู้เหน็ดเหนื่อยตรากตรำตลอดชีวิตได้ล้มป่วยลง ลูก ๆ ทั้งสี่ต่างคอยดูแลปรนนิบัติแม่ด้วยจิตกตัญญู อีกทั้งอาหารทั้งสามมื้อก็ได้ตกลงกันว่า ลูกทั้งสี่จะเป็นคนจัดหาและลงมือปรุงเอง นั่นก็คือ “หัวปลา” สิ่งที่แม่ชอบทานที่สุด
หลังจากทานอาหารที่ประกอบด้วยหัวปลาไปหลายมื้อ นางจึงเอ่ยถามลูก ๆ ว่า
“ทำไมทุกมื้อมีแต่หัวปลาล่ะลูก?”
“แม่ครับ! นี่เป็นอาหารที่แม่ชอบทานที่สุดมิใช่ดอกหรือครับ?”
ถึงตอนนี้ นางไม่อาจที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก จึงได้เอ่ยความลับที่เก็บไว้มานานหลายปี
“เจ้าลูกโง่เอ๋ย! มิน่าล่ะ เจ้าทั้งหลายจึงปรุงอาหารที่ประกอบไปด้วยหัวปลาให้แม่ทุกมื้อ แต่เมื่อมาถึงวันนี้แล้ว แม่ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังพวกเจ้าอีกต่อไป แม่กินหัวปลามาหลายสิบปี ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยชอบกินมันเลย แต่ก่อนครอบครัวเรายากจน เจ้าทั้งสี่ต่างก็ชอบกินเนื้อปลากันทั้งนั้น หากแม่กิน…. พวกเจ้าก็ได้กินน้อยลง แต่หากไม่กิน ก็กลัวเจ้าจะไม่สบายใจ ก็เลยแสร้งบอกเจ้าทั้งหลายว่าแม่ชอบกินหัวปลา ใช่ว่าแม่จะไม่ชอบกินเนื้อปลา แท้จริงแล้วไม่กล้าแย่งพวกเจ้ากินต่างหาก!”
เมื่อได้ฟังแม่พูดจบ ลูกทั้งสี่จึงพากันรีบคุกเข่าขอโทษ แท้จริงแล้ว แม่ เป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้มากเหลือเกิน! (เรื่องราวจากใครสักคนที่ทำให้จดจำไว้อย่างแนบแน่น)


วันเวลาผ่านไป แม่แก่ลงทุกปี แม่เกิดต้นเดือนสิงหาคม ระหว่างทางจากร้านอาหารกลับบ้าน ถามแม่ว่า อายุเท่าไรแล้ว ที่ถามเพราะแม่เริ่มความจำเสื่อมถอย คิดว่าแม่อาจจะจำไม่ได้ แม่บอกว่า 80 กว่า ๆ อันนี้จำได้ ถามต่อว่าเกิดวันที่เท่าไร แม่นั่งนึกอยู่นานก่อนที่จะบอกจำไม่ได้ แล้วก็นั่งยิ้มต่อไป เราต่างคนต่างให้เงินแม่เป็นของขวัญวันเกิด ถึงเวลาจริง ๆ แม่กลับถามลูก ๆ หลาน ๆ ว่ามีเงินใช้หรือเปล่า บางคนแกล้งขอ แม่ก็ยื่นให้ ใช่หรือไม่ แม่ของทุกคนคือผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้โลกดูสดใสด้วยรอยยิ้มแห่งความเอ็นดู รอยยิ้มที่ภาคภูมิใจในตัวลูก  รอยยิ้มที่ผ่านกาลเวลาแห่งความยากลำบาก วันนี้เป็นรอยยิ้มที่เบิกบาน ทำให้เราผู้เป็นลูกได้ใช้เป็นแรงบันดาลใจก้าวเดินต่อไปในหนทางชีวิต ในโลกยุคสมัยใหม่ใช่ว่าเราเพียงถ่ายภาพเพื่อลงสื่อโซเชียลเพื่อแสดงความรักแม่ ความกตัญญูเท่านั้น แต่เราต้องถ่ายทอดความเป็นแม่ที่มอบไว้ให้กับเรา ภาพที่บันทึกไว้ ควรจะเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนเราถึงความรักที่ได้รับการส่งผ่านจากมารดามายังเรา มาร่วมกันสร้างทางสร้างโลกให้งดงาม ดำรงไว้ซึ่งรอยยิ้มของผู้เป็นแม่ต่อไปตราบนิรันดร์

และที่สุดผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แบบอย่างของความเป็นแม่ของคนทั้งโลก คือ แม่พระ ผู้ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ผู้ที่สละทุกสิ่งเพื่อความรอดของเราทุกคน ผู้หญิงที่ยอมน้อมรับสารพัดความเจ็บปวดร่วมกับพระบุตรพระเจ้า ผู้หญิงแห่งประวัติศาสตร์ผู้ที่ทำให้โลกนี้มีสันติสุข ผู้ที่ทำให้รู้ว่า ความเป็นแม่คือสิ่งเดียวที่มิอาจจะหายไปตามกาลเวลาได้ ขอกราบแทบเท้าพระแม่มารีย์พระมารดาของเรา กราบเท้าผู้เป็นแม่ที่ให้ชีวิตที่ดีแก่ลูก ๆ ทุกคน 

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ย้อนแย้ง


ย้อนแย้ง


            มีความย้อนแย้งบางประเภท ที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของบางคนจนกลายเป็นนิสัยติดตัว เมื่อพบเห็นก็ได้แต่ทำใจและเรียนรู้ที่ต้องพยายามไม่กระทำในสิ่งเหล่านั้นในวันข้างหน้า เพราะนั่นมันแสดงถึงความเห็นแก่ตัวออกมา หลังจากจบภารกิจ มีเวลาพอสมควรไม่ได้รีบร้อนไปไหน จึงเดินมารอนั่งรถเมล์เพื่อเดินทางกลับบ้าน และเป็นไปดังที่คาดหมาย สาย ๆ ของวัน คนเริ่มเข้าที่เข้าทางทำกินกันหมดแล้ว บนรถบริการสาธารณะจึงมีที่ว่างพอสมควร พอให้ได้นั่งสบาย ๆ พนักงานขับรถก็ทำตัวสบาย ๆ ด้วย (เกินไปหรือเปล่าพี่) หลายป้ายควรจะจอดก็ไม่จอดรับผู้โดยสาร ที่บางคนยืนโบกให้จอดอย่างมีความหวัง ความย้อนแย้งแรกเริ่มก่อให้เกิดคำถามขึ้นในใจ เพราะในบางทีได้เห็นข่าวการไล่แย่งชิงผู้โดยสารกันถึงขั้นลงไม้ลงมือของบรรดารถเมล์ร่วมขนส่งบริการสาธารณะ แต่นี่กลับปล่อยให้ผู้คนรอแล้วรอเล่า เท่านั้นยังไม่พอ ท่านผู้ขับรถเพื่อคนส่วนรวมพูดแก้ตัวว่า “ก็ไม่โบกให้ชัดเจนใครจะรู้ว่าไปหรือไม่ไป” ครับท่าน ป้ายทุกป้ายมีไว้ให้จอดให้เข้าท่านะครับ ขับต่อมาสักระยะหนึ่ง นึกจะจอดก็จอด ลงไปซื้อเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ไม่ได้ช่วยบำรุงจิตใจให้ดีขึ้น ปล่อยให้ผู้โดยสารนั่งรอนั่งมองด้วยความงวยงง จำยอมเพราะความจำเป็น ไม่นานตำรวจจราจรขับรถมอเตอร์ไซต์มาไล่ คนขับคนเดิมเพิ่มเติมด้วยการบ่นว่า “จอดนิดจอดหน่อยไม่เห็นจะเป็นไรเลย ปัดโธ่%*%#¥~%¥” เลยมาอีกเสี้ยววินาทีมด รถแท็กซี่ชะลอเพื่อจะเลี้ยวเข้าซอย เสียงแตรก็ลั่นขึ้นทันทีพร้อมกับคำว่า “ขับรถยังไง จอดไม่ดูคันหลังเลย” ย้อนแย้งกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเสียเหลือเกิน แล้วเราเคยเป็นแบบนี้หรือเปล่า??? เคยกระทำแบบนี้ เคยว่าคนอื่นในสิ่งที่ตัวเราก็เคยกระทำบ้างหรือเปล่า???

            มีความย้อนแย้งบางชนิดที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยน จากที่เคยเคารพนับถือคนคนหนึ่ง จำต้องส่ายหน้าหนี เพราะความย้อนแย้งในสิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เคยได้ยินมา มีบ่อยไปที่เรามักได้ยินว่าคนนั้นคนนี้เป็นคนดีบริบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าโลกนี้หาคนดีบริบูรณ์นั้นไม่มี แล้วเราก็นับถือเชื่อฟังหลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งที่เสพผ่านมาทางคนนั้น ได้รับรู้ถึงอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ ได้รับรู้ถึงความเสียสละ และอื่น ๆ อีกมากมาย จนทำเราปรารถนาที่จะได้ร่วมงานร่วมเวลากับคนผู้นั้นแม้เพียงเสี้ยวนาทีก็ยังดี และเมื่อถึงเวลานั้น ๆ จริง ความคาดหวังก็พังทลายลง เพราะได้สัมผัส เพราะได้เห็นข้อเท็จจริงบางประการ บางคนมีอุดมการณ์เพียงปากป่าวประกาศ บางคนมีความดีเพียงคำพูดที่สวยหรู แต่การปฏิบัติกลับตรงกันข้าม หลายครั้งหลายหนพร่ำบอกผู้คนให้ทำเพื่อผู้อื่นเพียงเพื่อให้ตัวเองดูดี บอกให้คนอื่นให้ห่วงใยส่วนรวม แต่บ่อยไปที่ตัวเองไม่ยอมรับความคิดของคนส่วนใหญ่ ในสังคมที่ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองมีข้อมูลมากกว่าคนอื่น มีความรู้มากกว่าใคร ๆ ต่างก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง การรับฟังเสียงอื่น ๆ ก็เพียงให้ผ่านไป ในความเป็นจริงสิ่งที่ต้องเกิด สิ่งที่ต้องมี ต้องมาจากความคิดเห็นของตัวเองผู้เดียว เราเองก็เป็นแบบนี้ในบางครั้งบางเวลา เรามักมีอคติต่อคนอื่น มักดูถูกหยามหมิ่นความคิดเห็นของผู้คนแบบไม่แสดงออก แล้วเราก็เลือกที่จะทำตามอำเภอใจของเรา แล้วเราก็คิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุด แต่สำหรับผู้ที่บรรลุภาวะในทางจิตวิญญาณมาบ้าง ก็อาจจะนำสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มาไตร่ตรองก่อนนอน หรือในขณะที่มีเวลาว่าง เพื่อจะเห็นถึงภาวะของการแข็งข้อและย้อนแย้งของตัวเราเองได้
           

             ความย้อนแย้งอีกประเภทหนึ่งซึ่งพบเห็นกันเป็นประจำ จากผู้ใหญ่กว่า จากผู้ปกครอง ที่มักสั่งหรือสอนคนภายใต้การปกครอง ลูกหลาน ว่าไม่ให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ อย่าทำแบบนั้นแบบนี้ แต่แล้วมาวันหนึ่งเราผู้เป็นผู้ใหญ่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองกลับมาทำในสิ่งที่เคยห้ามเคยเตือนไว้ แล้วก็มีเหตุผลรับรองนานาประการ มีข้ออ้างถึงความจำเป็น และที่ทำไปนั้นเป็นข้อยกเว้นในบางกรณี ซึ่งบางทีก็ทำให้เด็กสับสน ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกจ้างคนงานเกิดความอีหลักอีเหลื่อ ต้องเผื่อใจในคำสั่งครั้งต่อไป เพราะความย้อนแย้งในชีวิตผู้นำแบบนี้ ทำให้การเป็นแบบฉบับต้องชะงักลง ในสังคมแห่งการทำงานการดิ้นรนเอาตัวรอด การย้อนแย้งอาจจะกลายเป็นอาวุธที่ย้อนมาทำลายตัวเราเองได้ ทำลายชื่อเสียงของเราอย่างไม่ทันตั้งตัวมาก่อนก็เป็นไปได้ อาจจะทำให้เสียการปกครองและความน่าเชื่อถือ เราเองจึงจำต้องระมัดระวังฟังเสียงคนรอบข้างให้บ่อย นิ่งให้เป็น ขอโทษในสิ่งที่อาจจะพลาดพลั้งในคำสั่งสอน อย่าแก้ตัวแต่ต้องแก้ไขในสิ่งผิดพลาดไป การย้อนแย้งมีขึ้นได้เสมอและมักถูกลบเลือนจางหายไปด้วยคำขอโทษ
            ยังมีความย้อนแย้งในชีวิตจริงอีกหลายประการที่ทำให้เรานั้นไขว้เขวไป ทำให้เสียหลักไป แต่หากว่าเรามีจิตใจที่มุ่งมั่น ยึดถือองค์พระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เราก็รู้ว่าสิ่งที่เรากระทำไปนั้นต้องทำด้วยความรัก ความเข้าใจผู้คนหรือไม่ เราต้องไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เพราะหาไม่แล้วเราจะกลายเป็นศูนย์ถ่วงให้กับคนรอบข้างในทันที อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะชีวิตเราเกิดมาไม่ได้มีเพื่อตัวเอง ชีวิตที่เป็นสุขคือชีวิตเพื่อผู้อื่น หากชีวิตมีแต่ความย้อนแย้งไม่ช้าไม่นานเราก็จะถูกย้อนศรด้วยความโดดเดี่ยวในคุกแห่งทุกข์ตลอดไป ชีวิตเกิดมาใช่หาทุกข์ใส่ตัว มีแต่สุขใจเท่านั้นคือจุดหมายแห่งสันติสุขในชีวิตนี้

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เยอะนิยม


เยอะนิยม
โลกวันนี้เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร มีจริงมีเท็จ มีลือมีลวง ล้วนแต่ถูกส่งผ่านอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีปลายนิ้วเขี่ย หลายคนจึงเสพติดข้อมูลบนพื้นฐานแห่งความชอบ โดยระบบอัจฉริยะคอมพิวเตอร์ที่เก็บข้อมูลการท่องสืบเสาะค้นของสิ่งที่เราชอบและของที่ใช่สำหรับรสนิยมเรา จากนั้นก็ยิงสิ่งเหล่านั้นให้ไหลบ่าใส่เราอย่างไม่ต้องไปเที่ยวค้นคว้าแสวงหาให้เหนื่อยแรงอีกต่อไป กลายเป็นฐานข้อมูลชั้นดี เราจึงรับและเสพข้อมูลเพียงด้านเดียว แล้วยึดถือว่าสิ่งนี้ดีที่สุด ใช่ที่สุดจริงแท้ที่สุด เมื่อเสพจนติดแล้วไม่ว่าข้อมูลอื่นจากสื่อจากคนอื่นเข้ามา เราก็ปิดประตูใส่ไม่ยอมรับการแบ่งปัน กอดรัดเอาไว้ จนถือว่านี่คือความจริงอย่างเที่ยงแท้มิอาจจะผันแปรเปลี่ยนได้ ใครจะมาแย้งมาขัด มีอันต้องขึงขังของขึ้น หัวร้อน เอาเป็นเอาตาย แม้แต่พี่น้องสายสัมพันธ์ก็ยังขาดลงได้ สาอะไรกับคนอื่นที่ข้องแวะ บ่อยครั้งจึงเห็นการทะเลาะ ความขัดแย้งอยู่ทุกมุมเมือง ยุคนี้เป็นยุคที่เราล้วนละโมบนิยม ล้วนแต่ยึดครองถือมั่นนิยมไม่ฟังกัน ที่สำคัญต่างคนต่างเยอะนิยมในทุกสิ่งอัน จึงเป็นที่มาของการไม่รู้จักพอ เกิดภาวะโรคโลภเข้าแทรกซ้อนทุกเวลานาที

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ทุกคนต่างก็รู้ว่า ยุคนี้เป็นยุคของข้อมูล ข่าวสารตลอด 24 ชั่วโมง คนที่ฉลาดมักจะเลือกเสพแต่ข้อมูลดี ๆ เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานหรือการบริหารชีวิต ในขณะเดียวกันก็มีคนมากเหลือเกิน ที่ยังเลือกเสพ เลือกติดอยู่กับข้อมูลเดิม ๆ บ่อยครั้งเราก็เป็นคนลักษณะแบบนั้น ชอบอะไรเดิม ๆ แล้วก็เคลิ้มไปว่าสิ่งนี้นั้นสุดยอดในปฐพี ในวันนี้เราจึงเหมือนมีแต่ความ “โลภรู้” เราต่างโชว์เก่ง โชว์เหนือ ไม่เหลือพื้นที่จะรับสิ่งต่าง ๆ ใหม่ ๆ เข้ามา เมื่อโลภรู้ก็เกิดกิเลส เกิดความหยิ่ง อวดรู้ ไปเสียทุกเรื่อง หลงลืมไปว่า โลกนี้พัฒนามาได้ล้วนมาจากความต่างทั้งนั้น ความโลภรู้นี่แหละที่นำไปสู่ความโลภในการสะสมทรัพย์สินสมบัติต่าง ๆ และค่อย ๆ ถอยห่างจากความสงบทางจิตใจ ยิ่งนานวันยิ่งพอกหนาเป็นกำแพงที่ยากจะทลายลงได้ หรือเมื่อถูกแรงกระแทกอย่างแรงก็ไร้แรงต้านทาน ทรงตัวไม่อยู่ ในชีวิตของเราต่างก็เคยพบเคยเจอกับเหตุการณ์ที่มิอาจจะคาดคิดได้ เวลานี้เป็นเช่นนี้ อีกกี่นาทีอาจจะกลายเป็นอื่นก็ได้ หากเรามัวแต่โลภ จากเยอะจนล้นจนเกิน โอกาสที่จะตั้งตัวให้ติด คิดให้ได้นั้นย่อมน้อยลง ๆ
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ในด้านหนึ่งความโลภอาจจะเป็นแรงขับเคลื่อน เป็นแรงบันดาลใจให้มุ่งสู่การพัฒนา การสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต หากแต่ว่าเกินจากนี้ความโลภก็ก่อให้เกิดภาวะวิกฤตทางจิตวิญญาณได้ อะไรที่เยอะไปก็ล้นเสียประโยชน์ อะไรที่มากไปก็วุ่นวายหาความหมายไม่พบ ชีวิตของคนเราถึงจุดหนึ่งก็ต้องเรียนรู้ว่าอะไรควรพออะไรควรหยุด หมุดหมายอยู่แค่ไหน มีมากเกินความจำเป็นก็ควรจะมอบต่อส่งผ่านให้กับคนที่ยังขาด มีเยอะก็ปล่อยของให้คนรอบข้างได้นำไปใช้บ้าง แบ่งปันข้อมูลดี ๆ ให้คนอื่นได้รู้โดยไม่ต้องบังคับข่มขู่ให้เชื่อบ้าง เช่นกันเราในบางกรณีบางเวลาเป็นคนรับสาร เราก็ต้องเปิดใจให้กว้าง เพื่อทำให้ชุมชนในรูปแบบใหม่ กลายเป็นชุมชนที่เปี่ยมด้วยความรัก ความจริง และความเชื่อ
ความโลภอาจจะเกิดจากการตั้งความหวัง เชื่อมั่นเกินไป ดังเช่นเรื่องนี้ เช้าวันหนึ่ง แม่เสือพาลูกออกไปสอนล่าเหยื่อ เจอนกฝูงหนึ่ง แม่เสือสอนให้ลูกจับนก แต่ลูกจับไม่ได้เพราะยังไม่ชำนาญ แม่เสือจึงพาลูกไปจับสัตว์อย่างอื่น ขณะที่เดินไปก็พบกระต่ายสองตัว ลูกเสือจับกระต่ายได้หนึ่งตัว แม่เสือเห็นกวางจึงบอกลูกว่ากินกวางดีกว่า เนื้อเยอะดี ลูกเสือจึงวางกระต่าย แต่แม่เสือจับกวางไม่ได้ ก็เลยบอกลูกว่ากลับไปกินเนื้อกระต่ายดีกว่าอร่อยกว่าเยอะ แต่เมื่อทั้งสองกลับไปก็ไม่พบกระต่ายแล้ว ลูกเสือจึงพูดกับแม่เสือว่า เรากินกระต่ายเมื่อครู่นี้ก็คงจะดีแล้ว เราโลภมากลาภจึงหายไปหรือเปล่าจ๊ะแม่ แม่เสือไม่ตอบ เพียงแต่เดินนำหน้าลูกเสือไปอย่างเงียบ ๆ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
บางคนไม่เห็นค่าในสิ่งที่มี ดิ้นรนขวนขวายหาในสิ่งเกินความจำเป็น อ้างเพียงว่ามันต้องมี ถ้าเราโลภมากไป จะเอาเวลาที่ไหนมารักพระเจ้า รักเพื่อนบ้านไม่ต้องกล่าวถึง แม้กระทั่งรักตัวเราเอง บางทีเราก็ละเลย เพราะมัวแต่จะรักทรัพย์สินเงินทองและการอยากเป็นเจ้าของ    เรามิได้ใช้ “ความเป็นเจ้าของ” ของเราในการเพิ่มทรัพย์สมบัติด้านจิตวิญญาณ   แต่เรากลับขายจิตวิญญาณของเราเพื่อให้ได้เปลือกกาย เรามักเกิดความโลภที่มิใช่เพียงแต่เงินทอง ความรัก ความรู้ที่มากเกินไป เยอะเกินไป โลภมากต่อสิ่งต่าง ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ความปรารถนาต้องการที่จะเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ นั้นได้หยั่งรากลึกในธรรมชาติของมนุษย์เรา    เป็นความอยากที่ทั้งยากจะควบคุมและยากที่จะระงับยับยั้ง เรามักมีข้ออ้างข้อแก้ตัวต่าง ๆ นานาในการที่จะเข้าครอบครองเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ ต้องมีเท่านั้นเท่านี้ ต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อเก็บไว้ใช้ยามแก่ชรา    หรือเพื่อสุขภาพของเรา หรือเพื่อความปลอดภัยของเรา หรือเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศหน้าที่การงานของเรา    เราต้องมีทรัพย์สมบัติเก็บไว้ให้ลูกให้หลาน เมื่อเราตั้งใจมากไปเยอะไปใจเราก็จะมุ่งไปหาสิ่งเหล่านั้น จนกลายเป็นความไม่รู้จักพอ จนกลายเป็นความเคยชิน จนกลายเป็นความเห็นแก่ตัวในที่สุด สิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้เราสุขใจได้เลย คำในพระวาจาวันนี้สอนเราได้อย่างดีเพื่อไม่ให้เราตกเป็นพวก “เยอะนิยม”
“จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม”