วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

จะอะไรกันนักหนา

 

จะอะไรกันนักหนา

>>>  โชคดีแค่ไหนที่บ้านเมืองของเราไม่มีสงคราม

แม้จะยังคงความขัดแย้งทางอุดมการณ์กันบ้าง

โชคดีเพียงใดที่เรามีร่างกายครบเป็นปกติ

แม้ว่าอาจจะพิกลพิการทางจิตวิญญาณกันไปบ้าง

ก็ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อชีวิตที่ดีงามพร้อมมากขึ้น <<<

ได้อ่านข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับชนชาวโลก ปัจจุบันนี้ประชากรโลกมีมากกว่า 7 พันล้านคน จากสถิติจะบอกเราเกี่ยวกับตัวเลขการกระจายตัวของชาติพันธุ์ต่าง ๆ และข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับประชากรโลก แปลงเป็นตัวเลขเกี่ยวกับพลโลก 7 พันล้านให้เป็นเพียง 100  แล้วทำข้อมูลสถิติเหล่านั้นให้กลายเป็นเปอร์เซ็นต์  จึงทำให้ข้อมูลเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิม ขอนำมาให้อ่านเพียงบางส่วน



เขตอยู่อาศัย    49% อยู่ในชนบท  51% อยู่ในเมือง

บ้านที่พัก   77% มีบ้านของตัวเอง   23% ไม่มีบ้านอยู่

อาหารการกิน   21% มีอาหารกินจนมากเกิน   63%  มีอาหารกินแค่พออิ่มไปวัน ๆ 15% ขาดอาหาร  1%  วันนี้ได้กินอาหารมื้อสุดท้ายไปแล้ว แต่อาจไม่ได้อยู่รอดจนถึงอีกมื้อหนึ่ง

โทรศัพท์มือถือ/การสื่อสาร   75% มีโทรศัพท์มือถือ   25% ไม่มีโทรศัพท์มือถือ  30% เข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้   70% ไม่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้

อายุขัย  26% มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ต่ำกว่า 14 ปี ก็ด่วนตายไปก่อน  66% ตายเมื่ออายุ 15 - 64 ปี 8%   มีอายุเกิน 65 ปี

จากสถิตินี้บอกเราว่า ถ้าเรามีบ้านเป็นของตัวเอง มีอาหารกินครบมื้อ มีน้ำสะอาดให้อาบกิน มีโทรศัพท์มือถือ ท่องอินเตอร์เนตได้ มีโอกาสเล่าเรียนจนจบมีปริญญา เราจะเอาอะไรกันอีก อยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรอีกเล่า จงรักทนุถนอมชีวิต  อยู่อย่างรื่นรมย์ทุกขณะลมหายใจ หาทำเรื่องสุขกาย สุขใจ ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าเพื่อผู้อื่นบ้าง โดยไม่ก้าวก่ายกันและกัน



เราต้องไม่ไปวุ่นวายกับชีวิตคนอื่นให้มากไป ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางจิตใจกันและกัน  โลกมีอะไรเกิดขึ้นมากมายด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว  เราพลโลกยังไปเร่งไปรัดให้เกิดอะไรต่อมิอะไรกันเกินไปอีกทำไม สงคราม โรคระบาด เศรษฐกิจที่ตกต่ำลงเพราะอะไร ก็เพราะเราไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักตัวเอง แต่เที่ยวไปจัดการกับคนนั้นคนนี้จนก่อเกิดสงครามต่อเนื่องมาตลอด สงครามไม่เคยให้อะไรกับมนุษย์ มีแต่พรากทุกอย่างจากไป  เราอยู่ในโลกใบเล็ก ๆ เทียบกับความยิ่งใหญ่ของจักรวาลแล้ว เล็กยิ่งกว่าเม็ดทรายเสียอีก เรากำลังแสวงหาอะไร คนมีอำนาจกำลังตามหาอะไร?

หากเราไม่รู้จักตัวเองให้มากพอ จะไปนำคนอื่นได้เช่นไร การรู้จักตัวเอง คือ การเรียนรู้จักในความเป็นตัวเรา และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้เป็นกิจวัตร ยามใดเมื่อเราเป็นคนคูณภาพ เป็นพลเมืองที่ดีงามแล้ว คนอื่นที่เห็นที่มองเราย่อมที่จะได้รับสิ่งดี ๆ ไปด้วย เราไม่ต้องแสวงหาความยิ่งใหญ่ในโลกใบเล็ก ๆ นี้ เพราะไม่นานเราก็ต้องจากไป ไม่ต้องสะสมอะไรเกินความจำเป็น แต่สิ่งจำเป็น คือ เราต้องสะสมความดีงาม สะสางให้จิตวิญญาณเราให้ปลอดโล่งอยู่เสมอ ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องเก่งทุกอย่าง เพียงรู้ว่าจะใช้ความรักของพระเจ้าอย่างไรในชีวิตประจำวัน เพียงเท่านี้แหละ ไม่ต้องอะไรกันนักหนา

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

รักไม่เคยลัก

 

รักไม่เคยลัก

>>> หากรักตัวเองไม่เป็นก็อย่าริรักใครเลย

ความรัก ความเมตตา การอภัย มักจะดินทางร่วมกันเสมอ

ความรักไม่เคยจางหายไปจากโลกนี้ มีเพียงเราไม่รู้จักนำรักมานำชีวิต<<<

ผ่านพ้นวันแห่วความรักตามกระแสโลกไปแล้ว หนุ่มสาวอาจจะกระตือรือร้นในวันนั้น อยากมีใครสักคนมาบอกรัก อยากได้ดอกไม้อยากได้ของขวัญสักช่อสักชิ้น อยากได้ยินคำมั่นสัญญา แต่สำหรับผู้ผ่านกาลเวลามา จะรู้ว่า ทุกวันนั้นเปี่ยมด้วยรัก และต้องมีรักทุกวัน รักที่จะห่วงใย รักที่จะดูแล รักที่ต้องเข้าใจ ใส่ใจ ไม่เอาแต่ใจ รักด้วยหัวใจมิใช่รักด้วยวาจาและอักษร หรือสิ่งของใด ๆ ความรักนั้น คือ สิ่งที่คงอยู่ และไม่เคยเปลี่ยน บางทีเราเรียกร้อง เรียกหาความรักจากคนอื่นมากไป แต่รักที่แท้จริงนั้นต้องเริ่มจากตัวเรา เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ เพราะความรักมิได้วัดค่าด้วยความยิ่งใหญ่ เลิศเลอ หรูหรา อันใด เพียงแค่รักที่จะช่วยเหลือ เยียวยา ให้กับใครสักคนหนึ่ง


ฟรันทซ์ คัฟคา (๑๘๘๓-๑๙๒๔) ชายหนุ่มวัย ๔๐ ปี ผู้ที่ไม่เคยผ่านการแต่งงานและมีลูก  เดินไปที่สวนสาธารณะในเมืองเบอร์ลิน เขาพบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้ เพราะตุ๊กตาตัวโปรดของเธอหายไป หนูน้อยและคัฟคาช่วยกันค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ คัฟคาจึงนัดให้เธอมาพบในวันพรุ่งนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ช่วยกันหาตุ๊กตาตัวนั้นอีกครั้ง

วันรุ่งขึ้น เมื่อหาตุ๊กตาไม่เจอ คัฟคาจึงมอบจดหมายฉบับหนึ่งที่อ้างว่าถูกเขียนโดยตุ๊กตาตัวโปรดของเธอ มีใจความว่า  อย่าร้องไห้ไปเลย ฉันเดินทางเพื่อเที่ยวรอบโลก  แล้วไว้จะเขียนจดหมาย เล่าให้เธอฟังถึงการเดินทางของฉันนะ

เรื่องราวนี้ก็ได้ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งช่วงสุดท้ายในชีวิตของคัฟคา ในช่วงที่ทั้งคู่พบกัน คัฟคาก็บรรจงอ่านข้อความการผจญภัยของตุ๊กตาตัวโปรดนั้นและเป็นบทสนทนาที่หนูน้อยประทับใจมาก ในที่สุด คัฟคาก็ได้นำตุ๊กตานักเดินทางที่พึ่งมาถึงกรุงเบอร์ลิน (เขาซื้อเก็บไว้) และพามาหาหนูน้อยซึ่งเธอกล่าวว่า  มันไม่เหมือนตัวที่ฉันเคยมีเลย


คัฟคาจึงมอบจดหมายให้เธอ ที่เขียนโดยตุ๊กตาตัวโปรดว่าเพราะการเดินทางจึงทำให้ฉันเปลี่ยนไป หนูน้อยจึงสวมกอดตุ๊กตาตัวใหม่ และกลับบ้านไปอย่างมีความสุข ซึ่งคัฟคาเองก็เสียชีวิตหนึ่งปีหลังจากนั้น

หลายปีต่อมา เด็กหญิงแห่งวันวานเริ่มโตเป็นสาวแล้ว เธอได้พบจดหมายในตัวตุ๊กตาที่ถูกเขียนโดยคัฟคาว่า เธออาจจะต้องสูญเสียทุก ๆ สิ่งที่เธอรัก แต่ที่สุดแล้ว ความรักนั้นก็จะย้อนกลับมาหาเธอในรูปแบบอื่นได้เสมอเรื่องราวจากกลุ่ม : Humanity and Peace

ความรักอยู่ในชีวิตเรา อาจจะเปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนสถานะไปตามกาลเวลา ตามสถานการณ์ ความรักเป็นหนทางออกของปัญหาได้เสมอ และถ้าเรามีความรัก เราก็จะมองไม่เห็นความเกลียดชังใดใดทั้งสิ้น แต่ในเมื่อเรายังเป็นมนุษย์ผู้อ่อนแอ อ่อนล้า ต่อแรงยั่วยุได้เสมอ เราจึงจำต้องทบทวนความรักในตัวเองบ่อย ๆ นั่นคือ การรู้จักรักตัวเอง (ไม่ใช่ความเห็นตัว) แล้วเราจะรักคนอื่นได้ง่ายขึ้น หากเรายังรักและอภัยคนอื่นไม่ได้ นั่นก็เพราะว่าเรายังรักตัวเองไม่เป็น ใยจึงจะออกไปตามหารักจากคนอื่นด้วยเล่า???….



วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

กล้วยหวีเดียวกัน

 

กล้วยหวีเดียวกัน

>>>พี่น้องท้องเดียวกัน พื้นฐานเดียวกันยังมัความต่าง

ฝาแฝดจะเหมือนกันเสียทุกอย่างก็หาได้น้อยเต็มที

 ยิ่งอยู่ใกล้คนดีเราก็มักจะติดความดีนั้นไปด้วย ชีวิตมีหลากหลายปัจจัยให้ก้าวเดิน<<<

ด้วยความที่ชอบกินกล้วยเหมือนกับพ่อ เป็นความทรงจำที่น่าทึ่งและน่าขำในความเรียบง่ายของพ่อ ที่มักชอบกินกล้วยกับข้าวในทุกมื้อ ฉะนั้นที่บ้านจึงต้องมีกล้วยแขวนไว้เป็นประจำ นิสัยนี้จึงติดมา แต่ก็ยังไม่เคยกินข้าวกับกล้วยนะ จะกินในทุกเช้า - เย็น และกล้วยที่มีติดบ้านก็ได้จากคนคุ้นเคยที่รู้ว่าชอบก็มักจะส่งมาให้บ้าง หรือไม่ก็ซื้อมาบ้าง ปัญหา คือ บ่อยครั้งกินไม่ทันเพราะหวีหนึ่งมีหลายลูก พอสุกแล้วมันก็ง่อมเร็ว หลายครั้งต้องห่อกระดาษเอาเข้าตู้เย็น แต่ก็ไม่อร่อยเท่ากินตอนที่มันอยู่ในหวี

สิ่งที่เห็นบ่อย ๆ คือ กล้วยในหวีเดียวกันนั้น ถึงแม้จะอยู่ในสภาวะแวดล้อมเดียวกัน จะสุกไม่เหมือนกัน ลูกริม ๆ มักจะสุกก่อน ลูกใกล้ชิดก็ค่อย ๆ สุกตาม ไม่นานก็สุกต็มหวี อาจจะเป็นเพราะบางลูกได้รับแสงแดด ความชื้นและออกซิเจนมากกว่าลูกอื่นจึงเกิดการสุกก่อน เห็นกล้วยในหวีสุกไม่พร้อมกัน ก็ให้คิดว่าคนเราก็ไม่จำเป็นต้องสุก (ประสบความสำเร็จ) พร้อม ๆ คนอื่น แม้คนอื่น ๆจะอายุเท่าคุณ เรียนในโรงเรียนเดียวกัน มหาวิทยาลัยและคณะเดียวกัน ทำงานในที่เดียวกัน บ้านอยู่ใกล้ ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งนี้ชีวิตเรามันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ประสบการณ์  โอกาส ความพยายามและความแข็งแรงทางจิตวิญญาณ ดังนั้นแล้วไม่มีมาตรอะไร มาวัดหรอกว่า อายุเท่านี้ต้องมีอะไรบ้าง  เรียนจบที่นี่ มหาวิทยาลัยนี้ จบคณะนั้นจะต้องได้ดีกว่าคนอื่น เพราะโลกมัน คือ ความแตกต่าง

ดังนั้นไม่ว่าเราจะมีเป็นอย่างไร ต้องใส่ใจต้องพยายามมองให้เห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีเราเป็น มั่นใจและภูมิใจในความสุก(ข)ที่เรามี พร้อมที่จะสร้างความคิดและทัศนคติที่งดงาม นี่คือสิ่งกำหนดระดับความสุกเปล่งปลั่งและสร้างความสุขให้กับตัวเราต่างหาก

 ทุกคนล้วนมีความสุกในแบบของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องสุกอย่างคนอื่น เพียงแค่เห็นคุณค่าในตัวเอง  ความคิดต่าง ความแตกต่าง  เป็นเรื่องปกติของสังคมเรา ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแค่ต้องอยู่ร่วมกับมันให้ได้ในฐานะมนุษย์  อย่าใช้ชีวิตโดยมีคนอื่นเป็นข้ออ้าง พัฒนาที่ตนเอง เคารพสิ่งที่ทำ เคารพตัวเอง เชื่อใจตัวเอง นี่คือหนทางแห่งความสุข

ใช่ เราล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งโลก กล้วยในหวีเดียวกัน ในเครือเดียวกัน จากต้นเดียวกัน เพราะเราล้วนมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงเดียวกัน มีน้ำฝนจากฟากฟ้าเดียวกัน มีสายลมเดียวกัน แต่ทำไม ? วันนี้เราต้องมาทะเลาะกัน ไม่รักกัน แบ่งเขาแบ่งเรา เพราะเราไปมองเขาไม่ได้ดังใจเรา เท่านั้นหรือ ? เราล้วยเป็นลูกพระเจ้าเดียวกัน ที่ต่างกัน คือ ความคิด จิตใจ ที่ถูกเพาะบ่มมาเท่านั้น จึงทำให้เรามองเห็นไม่เหมือนกัน จึงเกิดความคิด คำพูดและการกระทำไม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องฆ่าแกงกัน เพราะอีกไม่นานก็ต้องหลุดจากหวีด้วยกันทั้งนั้น

เราจงส่งผ่านความรักความเมตตาที่สุกได้ดีของตัวเราให้กับคนใกล้ชิดเรา ให้กับคนข้าง ๆ เรา เพราะกล้วยลูกที่ใกล้กันจะสุกไร่เรี่ยกัน เวลาที่เราอยู่ใกล้กับใคร จงให้แสงแห่งความดีความรักไปโอบอุ้ม ให้พวกเขาได้อบอุ่นตลอดไป

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ล้มที่เจ็บสุด ไม่ใช่ล้มเหลว

 

ล้มที่เจ็บสุด ไม่ใช่ล้มเหลว

>>> บางทีบางครั้งเราก็ไปเคร่งครัดกับคนอื่น ถึงคราวตัวเองบอกไม่เป็นไร

บางขณะที่ตอกย้ำ ขยำขยี้ คนอื่น ในโลกเสมือนจริง ทั้งที่ความดีของตัวเองก็ไม่งอกงาม

บางเวลาเราพูดดูดี ดูสวยหรู แต่มันไปผลักให้คนฟังพังล้มลง <<<

 

ในวันที่โควิดครองโลก วิถีเดิม ๆ กำลังถูกปรับเปลี่ยน หน้าที่ตำแหน่งการงานที่เคยเป็นเครื่องประดับประดา สร้างฐานะสร้างชื่อเสียง ก็หาใช่สิ่งที่ผู้คนวันนี้ปรารถรถนา แต่กลายเป็นการแสดงออกทางสังคมออนไลน์ บางทีถ้าถูกจังหวะ ถูกจริตสังคม ณ เวลานั้น ก็จะเป็นที่รู้จักเพียงข้ามคืน แล้วมะรืนก็ถูกลืมเลือนไป เพราะมีคนใหม่ เรื่องใหม่ ให้พูดถึงสนุกปากเข้ามาแทนที่ การกล่าวหาคนอื่นโดยไม่ต้องออกหน้าออกตา ไม่ต้องเผชิญหน้าก็ง่ายแสนง่าย สังคมเริ่มจะขี้ขลาด ดีแต่ลอบกัดลับหลังกันมากขึ้น คนที่ทำอะไรล้มเหลวก็จะกลายเป็นเครื่องมือระบายความหยาบที่สะสมในใจของคนเห็นแก่ตัว การกล่าวหาว่าคนอื่นเต็มโลกสมัยไปหมด คนล้มจะเจ็บหนักสุดก็ยุคนี้นี่แหละ การให้กำลังใจกันหาได้น้อยเต็มที

คนเราที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ไม่เคยมีใครพบแต่ความสำเร็จและก็ไม่เคยมีใครล้มได้ทุกครั้ง ใช่หรือไม่ พระเจ้าไม่ได้ออกแบบมาให้เราเป็นผู้ชนะในทุกครั้ง ให้เราเรียนรู้ที่จะผิดพลาดเพื่อให้เติบโต ยิ่งล้มมากเท่าไหร่ ยิ่งแข็งแรงขึ้นเท่านั้น เอาสิ่งผิดหวังพลาดพลั้งมาเป็นประสบการณ์ เพื่อไม่ให้ล้มซ้ำ ล้มแล้วลุก  ถ้าชีวิตไม่พบเจอกับปัญหา เราอาจจะมองไม่เห็นใจของคน ถ้าชีวิตไม่เคยมีความล้มเหลว เราอาจไม่เห็นความไม่เที่ยงแท้ ถ้าชีวิตไม่เจอทั้งคนดี คนเลว เราอาจจะไม่มีโอกาสพัฒนาจิตวิญญาณ

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง เราต่างก็เคยทำพลาด เคยทำคนอื่นเสียใจ เคยพูดผิด เคยทำผิด แต่เราต้องเรียนรู้ว่าสิ่งไหนที่เราทำพลาดแล้วเราจะไม่ทำอีก สิ่งไหนควรให้อภัยก็ควรให้อภัย  เพื่อที่จะเติบโต ยอมรับเพื่อที่จะปรับเปลี่ยน อย่าจมอยู่กับอะไรนานเกินไป  อ่อนแอบ้าง หยุดพักบ้าง เพราะเราก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง มีความรู้สึก และมีหัวใจ คนอื่นจะว่ายังไงก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขา ไม่จำเป็นต้องมาแบกไว้

เชื่อหรือไม่ โลกนี้ไม่มีใครเก่งกว่าใคร เรามีสิ่งดีที่สุดในตัวเอง บางคนทำกับข้าวเก่ง ก็อยู่ได้อย่างสบายใจในยุคที่โลกนี้ต้องอยู่กับบ้านมากกว่าที่อื่น บางคนเป็นช่างทำโน่นซ่อมนั่น ไม่ต้องไปเข้าศูนย์ เข้าร้าน เปลี่ยนอุปกรณ์ที่เสีย ที่ชำรุดที่บ้านเอง เรามีความสามารถในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น อย่าเอาความสามารถเรา ไปดูถูกหรือตัดสินคนอื่น ไปต่อว่าคนที่เขาทำไม่ได้แบบเรา  เรามีดี เขาก็มีดี   และเราทุกคนก็มีด้านมืด เคยคิดชั่ว ทำชั่ว ๆ เคยทำผิด เคยผิดพลาดมาด้วยกันทุกคน อย่าเที่ยวออกไปตัดสินใคร หยามเหยียด เยาะเย้ยใคร เราไม่ได้วิเศษไปกว่าใคร ที่ที่เราอยู่กับที่ที่คนอื่นอยู่ มันย่อมแตกต่างกัน อย่าไปโต้เถียงกับใครในโลกโซเชี่ยล มันไร้สาระเกินไป ทำให้เสียเวลา  ทำวันเวลาที่มีอยู่ ทำให้คนข้างตัวเรามีความสุข มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะดีกว่ากันเยอะ


การจับปลาชำนาญแค่ไหนก็มีวันที่จะไม่ได้ปลาได้เหมือนกัน
การทำตามเสียงหัวใจ มโนสำนึกนั้นสำคัญ อาจจะขัดกับสิ่งที่เรายึดถือมาบ้างในบางครั้ง ดีกว่าไปฟังเสียงชื่นชมแบบกลวง ๆ ในสังคมที่พร้อมจะสมน้ำหน้าเราในวันที่ล้มเหลว เพราะเสียงภายในนั้นจะทำให้เราเข้มแข็งและจะทำให้เรารู้จักที่เคารพต่อทุกผู้คน ต่อสรรพสิ่ง ทุก ๆ ที่ ล้วนมีความรักของพระเจ้ารอให้เราหว่านแห ลงอวนไปเก็บเกี่ยวนำมาหล่อเลี้ยงชีวิตเรา เพียงแต่วันนี้เราไม่หว่านไม่ลงแหอวนในฝั่งที่พระเจ้าบอก.....