วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ในความเงียบของวันนี้

 

ในความเงียบของวันนี้

>>> จะมีใครบางคนที่คุยได้ทุกเรื่อง คนนั้นอยู่ในความเงียบ <<<

วัน ๆ หนึ่งบางทีเราก็เจอะเจอคนนั้นคนนี้ มีคนรู้จักใหม่ ๆ  ได้พูดกันตามแต่ละสถานการณ์ บางคนคุยเรื่องงาน บางคนก็คุยตามวาระประชุม บางคนคุยแบบทักทาย บางคนคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว บ่อยครั้งเราก็คุยกันแบบไม่ออกเสียง ซึ่งกำลังนิยมมากในยุคสมัยสื่อสารครองโลก คุยกันด้วยตัวอักษร ด้วยสติกเกอร์ อิโมชั่น เอาเข้าจริง แล้วเรามีสักกี่คนที่คุยกับเราได้ทุกเรื่อง เล่าให้ฟังได้ทุกอย่างทั้งในยามทุกข์ ยามสุข คน ๆ นั้นเราต้องไว้วางใจได้ เพราะบางเรื่องมันเป็นความลับ เป็นความในใจที่อยากจะหาใครสักคนรับฟัง ในโลกใบนี้หาคนแบบนี้ได้น้อยลง ๆ ทุกที

ใช่หรือไม่ บางทีเราหวังจะเล่าอะไรบางเรื่องให้คนหนึ่งฟัง แต่ก็ต้องพลาดเพราะว่าสมาธิคนเราสั้นลง หันไปคุยเรื่องอื่นแทน ทิ้งเรื่องที่ตั้งใจจะเล่าค้างคาใจตลอดไป ยิ่งในวงสนทนาก็ไปกันใหญ่ คุยกันไปเรื่อยเปื่อย สนุกสนาน แต่จำอะไรแทบไม่ได้ เพราะคนนั้นพูดทีคนนี้พูดที ดูสับสนว้าวุ่นกันไป หันกลับมาดู การพูดคุยกับคนภายใต้หลังคาเดียวกัน วันนี้เราก็คุยกันน้อยลงอย่างน่าใจหาย เพราะต่างคนต่างมีสังคมเฉพาะตัว มีมุม มีเพื่อนทางไกลให้คุยกันมากขึ้น เรามักตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันท่ามกลางคนกันเอง เรามักต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพื่อคุยเพื่อดู เพื่อถูเพื่อไถมือถือ ไม่มีเวลาสนใจกัน เรามีคนติดต่อเป็นร้อย แต่ถามจริง หาคนที่ปรึกษาหารือได้สักกี่คน และเราไว้วางใจได้สักกี่เปอร์เซนต์ เรามักบอกว่าต้องการความเงียบความเป็นส่วนตัว แล้วจะเกิดสมาธิ เกิดความสงบสุขภายใน แต่ความเงียบแบบทุกวันนี้กลับกลายเป็นความเงียบที่น่ากลัว

มีคนเคยบอกว่า ความเงียบสามารถสอนให้เรารู้ว่าเราคือใคร ความเงียบสามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณและเปิดมุมมองใหม่ให้แก่เรา แต่วันนี้ความเงียบก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น โรคซึมเศร้า ความเงียบวันนี้เป็นความเงียบที่ดังที่สุด ที่แต่ละเก็บกดทับเอาไว้ จะบอกใคร ก็ไม่มีใครได้ยิน ได้แต่กึกก้องอยู่ข้างใน รอวันระเบิดเพราะระบายออกมาไม่ได้ ชีวิตผู้คนในวันนี้ที่เต็มได้ด้วยเสียงดัง ที่ใช้กลบเกลื่อนความบอบช้ำ เพราะว่าเราอยู่กับความเงียบไม่เป็น เพราะว่าเราอยู่ในโลกที่ต้องแสดงออกตลอดเวลา เพราะสังคมโลกเต็มไปด้วยการแสวงหา ไขว่คว้า ก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา ความเหนื่อยล้า อ่อนล้า ไม่ได้ช่วยให้เกิดความเงียบ แต่นำพามาซึ่งความวิตกกังวล และความสับสน การตัดสินใจจึงไม่ได้อยู่บนฐานของคุณค่าของชีวิต


สำหรับบางคน ความเงียบเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา แต่สำหรับบางคนก็ไม่ใช่ บางคนทนเสียงดังอึกทึกไม่ได้ เช่นเดียวกับที่บางคนก็ทนอยู่กับความเงียบไม่ได้ เป็นความจริงที่ว่าทั้งเสียงและความเงียบ ต่างก็สามารถทำให้เรารู้สึกอึดอัดได้พอ ๆ กัน แต่ในวันนี้ดูเหมือนทุกคนต้องการความเงียบ แต่กลับอยู่กับความเงียบนั้นไม่เป็น เงียบแต่กระวนกระวาย เงียบแต่ไม่สงบ เงียบแต่ไม่ฟัง คนที่จะครอบครองใจคนอื่นได้นั้นต้องเป็นผู้ฟังที่ดี แล้วคิดดูสิ เรายังไม่รู้จักที่จะฟังตัวเองเลย แล้วเราจะฟังใครได้ เรายังครองใจตัวเองไม่เป็น แล้วเราจะเป็นที่ไว้วางใจให้ใครได้เล่า? เราต่างก็กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เราต่างก็เงียบใส่กัน แล้วเช่นนี้ เราจะรู้จักใส่ใจกันได้เช่นไร...

เราต้องอยู่กับความเงียบให้เป็น และคุยกับตัวเราให้ได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าเราได้คุยกับพระเจ้าผู้ทรงสถิตในตัวเรา หมั่นที่จะคุยทุกเรื่องเพราะพระองค์รับฟังเราได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งให้คำตอบเราได้เสมอ เพราะพระองค์คือองค์กษัตริย์ผู้ครอบครองหัวใจของเราในทุกวันเวลา เป็นผู้ปกครองที่พร้อมรับฟังอย่างเงียบแต่ทรงพลังที่สุดยิ่งนัก ในความเงียบมีพระสุรเสียงของพระองค์เสมอ ตั้งใจฟัง แล้วเราจะได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ชีวิตก็เช่นนี้

 

ชีวิตก็เช่นนี้

>>> ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด

การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น <<<

เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้รับข่าวการจากไปของ “ป้าพวง” (บางคนเรียก เจ้พวง เรียก คุณนายพวง) ซึ่งเคยเป็นผู้จัดเตรียมวัด จัดเตรียมมิสซาที่วัดเซนต์หลุยส์ หลายคนคงคุ้นเคยและเคยสนทนากับป้าพวงบ่อย ๆ เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ป้าพวงได้ลาออกไปพักรักษาตัวจากโรค SLE (โรคแพ้ภูมิตัวเอง) สิ่งที่ผุดขึ้นจากข่าวการจากไปครั้งนี้ คือ เหตุการ์ณเมื่อกลางดึกคืนหนึ่ง ญาติป้าพวงโทรมาขอความช่วยเหลือ เพราะป้าพวงมีอาการเพ้อ พูดจาไม่รู้เรื่อง เหมือนถูกผีสิง พวกเรารีบนัดไปเจอกันยังบ้านเช่าแถวเซนต์หลุยส์ ซอย 3 เพื่อพาไปโรงพยาบาล ผ่านไปเป็นชั่วโมงกว่าจะพากันลงมาขึ้นรถ แล้วก็เริ่มจากโรงพยาบาลแรกก็ไม่รับ แนะนำไปโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ไปถึงก็ไม่รับรักษาเพราะในยามค่ำคืนไม่มีหมอ พากันขับรถเวียนหาที่รักษา ด้วยสภาพอัดกัน 5-6 คน จนเริ่มหมดหนทาง ก็คิดว่า ยังไง ๆ คืนนี้ต้องทำให้ป้าพวงสงบ เหมือนพระจิตดลใจให้คิดถึงยานอนหลับ จึงหาร้านขายยา และรีบผสมกับน้ำดื่มหลอกให้กิน ไม่นานอาการนิ่งขึ้นและหลับไป ก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่า ๆ


ภายหลังได้ทราบข่าวว่าป้าพวงไม่ค่อยได้กินยาตามหมอสั่ง จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ ลามไปถึงระบบประสาท ทำให้เข้าใจสภาพการเจ็บป่วยของป้าพวงมากขึ้น เมื่อร่างกายดีขึ้นป้าก็มาไหว้ขอบคุณอย่างสวยงาม จากนั้นไม่นานก็ออกจากงานที่วัดไปพักรักษาโดยมีลูกสาวดูแล ได้ข่าวอีกทีว่าป่วยหนักเริ่มพูดไม่ได้ พักอาศัยอยู่คอนโดแถว ๆ สำนักงานเขตสาทร... ข่าวล่าสุดลูกสาวพาแม่กลับ จ.ยโสธรที่บ้านเกิดในสภาพติดเตียง แล้วป้าก็จากไปด้วยวัย 56 ปี พ้นทุกข์ทรมาน

ระหว่างทางกรุงเทพฯถึงยโสธรอันยาวไกล มองดูทิวทัศน์ระหว่างทางมีทั้งฝนตก ท้องฟ้าแจ่มใส ท้องทุ่งสีทอง นี่คือชีวิตจริง นี่คือชีวิตหนึ่ง มีสุขทุกข์ระคนกันไป ขอให้ดวงวิญญาณ อังเยลา พวงทิพย์ ปั้นทอง ได้พบกับสันติสุขตลอดนิรันดร์ และได้เตรียมพระแท่นอันงดงาม เพื่อว่าวันหนึ่งเราจะได้ร่วมพิธีมิสซาด้วยกันบนสวรรค์ ….

วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

Pause เพื่อผ่าน

 

Pause เพื่อผ่าน

>>> ทุกสรรพสิ่งมีจังหวะตามกาลเวลา <<<

ยิ่งโตยิ่งเติบใหญ่ เวลายิ่งเดินไว ผ่าน วัน เดือน ปี ไปเร็วดุจดั่งสายลมหนาวที่ผ่านเพียงชั่ววูบแล้วก็หดหายไป แต่มันก็ผ่านมาทุกปี เวลามักทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปได้เสมอ สิ่งที่ต้องย้ำเตือนตนให้คำนึงถึงบ่อย ๆ ก็คือ มีอะไรงอกเงยงอกงามขึ้นมาบ้างหรือไม่ ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน แน่ล่ะ คงวัดกันลำบาก แต่เราวัดได้ด้วยตัวเราเอง

ยิ่งโตขึ้น เรายิ่งต้องรู้สึกว่า เรื่องราวบางเรื่องราว เงียบ ๆ ไว้จะดีกว่า ถึงพูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำร้ายจะยิ่งแย่กว่าเดิม ในบางทีและในบางเรื่อง ก็ต้องทำนิ่ง ๆ เฉย ๆ บ้าง โวยวายไปก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง วันเวลาสอนให้เรารู้จักเย็นลง รู้จักจังหวะอันไหนควรอันไหนไม่ควร จะเป็นขวานผ่าซากก็ต้องเป็นขวานที่คมด้วย พยายามโมโหให้น้อยลง อดทนอดกลั้นให้เป็น ยามมีความสุขก็สุขให้เต็มที่ ชีวิตอยู่กันไม่นานนักหรอก เรามีหนทางในการตัดสินใจเปลี่ยนผ่าน หรือจะปล่อยผ่าน ....

ใช่หรือไม่ ในเวลาที่เราฟังเพลง หรือดูคลิป ดูสื่อในโทรศัพท์มือถือ จะเห็นว่ามีปุ่มอยู่หลายปุ่มให้เรากดเลือก มีอยู่ปุ่มหนึ่งจะอยู่คู่กันหรือไม่ก็ใช้ตำแหน่งเดียวกัน ใช้เพียงเพื่อเปลี่ยนสถานะ นั่นคือ ปุ่ม Play และ ปุ่ม Pause เล่นหรือหยุดชั่วคราว อาจจะหยุดไว้เพื่อรอจังหวะหาโอกาสกลับมาเล่นเดินหน้าต่อ ช่วงนี้แหละเป็นเวลาที่จะทำให้มีเวลาที่จะคิดว่า พอเท่านี้หรือไปต่อ ชีวิตคนเราบางทีก็มีจังหวะที่จะต้องกดหยุดชั่วคราวกันบ้าง หยุดเพื่อสังเกต หยุดเพื่อเปลี่ยนผ่าน ก้าวไปต่ออย่างมั่นคง

ในระหว่างทางของการผลัดเปลี่ยน มีอะไรบางอย่าง เป็นสัญญาณเตือนเราเสมอ เตือนเราว่าได้เวลาโต เตือนเราว่าถึงเวลาใกล้ตาย ในเวลาที่เหมาะที่ควรแล้ว เวลาที่เปลี่ยนไปนั้นจึงมีค่าเสมอ เราอาจจะเล่นใหม่ หรือจะตัดสินใจเปลี่ยนออกจากวิถีเดิม ๆ เลยก็สุดแต่ใจ หนทางที่เลือกนั้นมีทั้งดีและไม่ดี หากไม่ดี ไปต่อไม่ได้ ก็หยุดพัก แล้วเลือกใหม่ได้เสมอ ชีวิตมีหลากหลายจังหวะให้เลือกให้เปลี่ยน เลือกเพื่อให้พบกับสิ่งดี ๆ เลือกให้พบกับความงาม เลือกให้พบกับสันติสุข และความเบิกบาน เพื่อก้าวผ่านไปเป็นส่วนหนึ่งในพระราชัยสวรรค์