วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2564

เงียบ คือ คำตอบ

 

เงียบ คือ คำตอบ

ยิ่งเติบโตขึ้นวันเวลาก็สอนให้เรารู้จักว่า ในเวลาไหนที่ควรพูดหรือไม่พูด ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งรู้สึกว่า เรื่องบางเรื่อง อยู่เงียบ ๆ จะดีกว่าพูดออกไป หรือพูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำร้ายจะยิ่งแย่ลงอีก ในบางทีและในบางเรื่องก็ต้องทำนิ่ง ๆ บ้าง ไม่โวยวาย ไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกไปมากมาย ซึ่งไม่เป็นผลดีเลยหากพูดสิ่งนี้ หรือบางครั้งเลือกที่จะไม่พูดเลยก็อาจจะมีประโยชน์กว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมายอมรับว่าเป็นคนที่ชอบพูดอะไรตรง ๆ ชอบ คือ ชอบ ผิด คือ ผิด มาวันนี้วันที่อายุลุล่วงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทบทวนเรื่องราวจนได้พบคำตอบว่า บางทีสิ่งที่เราว่าผิด สิ่งที่เราว่าชอบ มักมีเหตุผลของตัวมันเองเสมอ ถูกผิดบางทีอยู่ที่จริตคน อยู่ที่การเลือกด้วยจิตพิศวาส การตัดสินทุกคนด้วยสายตาเราเอง หาใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ในขณะเดียวกันการพยายามจะอธิบายในเรื่องบางเรื่องให้คนอื่นเข้าใจก็มิใช่เรื่องง่าย อาจจะดูเป็นการแก้ต่างแก้ตัว ยิ่งในสมัยที่การสื่อสารครองโลก ทุกคน คือ ผู้ครอบครองสื่อ ความถูกต้องจึงอยู่ที่ความถูกใจในขั้นแรก และกว่าความจริงจะปรากฎขึ้นคนที่ได้รับผลกระทบก็บอบช้ำเกินที่จะพรรณาได้ ยิ่งโต ยิ่งต้องใช้สติให้มากกว่าอารมณ์ ไตร่ตรอง ทบทวน พิจารณา พิเคราะห์ในทุกเรื่องให้ดี ก่อนที่จะพูด ก่อนตัดสินใจ ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะรัก หรือ ชื่นชมในตัวเรา


ในชีวิตจริงของเราหลายคนอาจจะมีเรื่องราวที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก คนอื่นชี้มาว่าผิด ยืนอยู่เฉย ๆ ยังผิดได้ สำหาอะไรจะไปพูดให้เหตุผล บางเรื่องต้องเก็บไว้ในใจคนเดียว นี่ก็เป็นความทุกข์ชนิดหนึ่งของใครหลายคน หรือมีบ้างบางคนยอมทนกล้ำกลืนความขมขื่นเอาไว้ เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาร่วมทุกข์ด้วย หรือเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย เพื่อให้เกิดความสุขมวลรวม หรือถ้าพูดออกไปมันไม่ทำร้ายน้ำใจกัน ก็เลือกที่จะนิ่งเสียดีกว่า แน่ล่ะ...ถ้าเราต้องใช้ความเงียบเป็นคำตอบ เราก็ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ เก็บความรู้สึกให้ได้ นี่จึงเป็นอีกหนทางหนึ่งของการมุ่งหน้าสู่สันติ ในทางกลับกัน ในวันที่เราต่างคนต่างคิดว่าเราเก่ง เรารู้ เราฉลาดล้ำ เราจึงไม่ยอมกัน ที่เรียกกันว่า ศักดิ์ศรีมันคล้ำคอ ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร เพราะสิ่งที่พูดสิ่งที่คิดมัน คือ ความถูกต้องที่สุด และมีสิทธิที่จะแสดงออกด้วย พูดมาเถียงไป กล่าวหากันไปมา ถึงที่สุดความถ่อยเถื่อนก็เคลื่อนตัวออกมาเต็มโลก เราจึงเห็นความหยาบ ความยโส ความยึดมั่นถือเด่นเป็นที่ตั้งเกิดขึ้นเต็มไปทุกที่ คนเลือกที่จะเงียบที่จะนิ่งกลายเป็นคนอ่อนแอ ขี้แพ้ ล้มเหลว เมื่อเราถูกกระแสแบบนี้กดดันมากขึ้น การไม่ยอมรับกันก็มากขึ้น ความแข็งก้าวร้าวก็ตามมา หากเรายังคงดำเนินชีวิตในลักษณะนี้ ความสุขที่แท้จริงจะบังเกิดได้หรือไม่? ยอมที่จะเงียบบ้าง บ่อยครั้งความเงียบ คือ คำตอบของสันติสุข

ตอนหนึ่งในบทพระทรมาน พระเยซูเจ้าก็ใช้ความเงียบ เพื่อให้เป็นคำตอบที่ดังที่สุด ดังมาจนถึงวันนี้ และจะคงดังไปชั่วนิจนิรันดร์

ปิลาตจึงถามพระองค์อีกว่า ‘ท่านไม่ตอบอะไรหรือ? เห็นไหมเขากล่าวหาท่านหลายประการทีเดียว!’ แต่พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสตอบอะไรอีก ทำให้ปิลาตประหลาดใจมาก



มักมีคำถามเกิดขึ้นว่าหากเราไม่พูดออกมา เก็บเรื่องไว้มาก ๆ สักวันมันจะระเบิดขึ้นมา จะทำเช่นไร? สำหรับเราแล้ว ความจริงมีวันเวลาเสมอ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หากสิ่งที่เราทำมันดีงามในสายพระเนตรพระเจ้าแล้ว สิ่งนั้นย่อมจะปรากฎให้ทุกคนได้รับรู้ เร็วหรือช้าไม่ใช่สิ่งที่เราต้องค้นหา สิ่งที่เราต้องไตร่ตรองเสมอ นั่นคือ สิ่งนั้นทำแล้วดีต่อผู้คนหรือไม่? เงียบนั้นจะสยบความรุ่มร้อนได้ เงียบนั้นจะช่วยให้คนอื่นปลอดภัย เมื่อเราเงียบใจของเรานั้นมีคำตอบเสมอ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ตรงนั้น เงียบในพระเจ้าย่อมดีกว่าตะโกนขว้างความจริงต่อหน้าทุกคนที่ไม่ยอมรับความจริง ทุกการกระทำย่อมมีเสียงของพระเสมอ และในความเงียบเรามักได้ยินเสียงของคำตอบและการชี้แนะแนวทาง ลองเงียบดูกันสักนิด แล้วเราจะประหลาดใจที่ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน...

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2564

อยู่อย่างมีความหมาย

 

อยู่อย่างมีความหมาย

วันเวลาที่เพิ่มขึ้น มีเรื่องราวต่าง ๆ เข้ามาเพื่อเข้าใจตัวเอง เพื่อเข้าใจคนอื่น คิดไตร่ตรองถึงการมีชีวิตอยู่ เรามีชีวิตนี้เพื่ออะไร? เมื่อชีพวางวายแล้วจะหายไปไหน? คำถามเหล่านี้มักเกิดขึ้นในวันที่จิตใจเราอ่อนล้า เหนื่อยหน่าย แท้จริงแล้วทุกชีวิตล้วนมีความหมายทั้งสิ้น มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมักพูดในบทสนทนาบ่อยครั้งว่า “อะไรเกิดมาล้วนดีทั้งนั้น” ยิ่งย้ำเตือนว่าเราผู้ที่กำลังเดินดินกินข้าวแกง วันเวลา คือ ความดีงามทั้งสิ้น เราต้องอยู่อย่างมีความหมาย เราต้องยืนหยัดในความดีงามเสมอ คิดไปคิดมาก็ทำให้นึกถึงภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง Soul (2020) จาก Disney - Pixar


Soul เล่าถึงเรื่องของ โจ การ์ดเนอร์ ชายคนหนึ่งที่มีความฝันว่า ในวันหนึ่งเขาจะเดินไปบนเส้นทางของนักดนตรีแจ๊สชื่อดังได้เหมือนพ่อ แม้ตอนนี้เขาดูไม่เอาไหนในสายตาคนรอบข้าง และแล้วโอกาสก็มาถึงที่จะได้ร่วมวงกับโดโรธี ผู้ที่เขาใฝ่ฝันอยากเล่นดนตรีด้วยมาตลอด แต่ก่อนจะถึงเวลาของคอนเสิร์ตแรกในหัวค่ำวันนั้น เขาประสบอุบัติเหตุตกท่อตาย กลายเป็นวิญญาณที่พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางให้กลับมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อทำตามความฝัน ด้วยความที่ไม่ยอมแพ้กับโชคชะตา เขาจึงทำการเดิมพันกับผู้คุมสวรรค์ ด้วยการรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับดวงวิญญาณหลงทางหมายเลข 22 ที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองนั้นสนใจเรื่องอะไรกันแน่ ซึ่งเป็นโจทย์ข้อสุดท้ายที่ทำให้ 22 ยังไม่สามารถกลับไปเกิดได้ และต้องใช้เวลาวนเวียนอยู่ในโลกวิญญาณนี้มานับพันปี ซึ่งถ้าโจช่วยหาความต้องการสุดท้ายให้กับ 22 ได้ เขาอาจจะมีโอกาสกลับเข้าไปในร่างของตัวเองอีกครั้ง

ส่วนวิญญาณหมายเลข 22 ที่โจไปพบในโลกวิญญาณ เป็นวิญญาณหัวดื้อที่ไม่อยากไปเกิด เพราะไม่รู้ว่าความหมายของการมีชีวิตคืออะไร? เมื่อทั้งคู่จับพลัดจับผลูกลับมาสู่โลกมนุษย์แบบงงงง วิญญาณหมายเลข 22 จึงได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้มีรอยยิ้มและความสุข แล้วเขาก็พร้อมมาเกิดในโลกมนุษย์ ส่วนโจเอง สุดท้ายก็ได้เรียนรู้ในสิ่งเดียวกันว่า เป้าหมายและความฝันอาจเป็นแรงบันดาลในการมีชีวิต แต่ความหมายหรือความงดงามของการมีชีวิตนั้น อยู่ในทุกวินาทีของการมีชีวิตต่างหาก เมื่อเข้าใจแล้ว การจากลาโลกใบนี้ไปก็ไม่ใช่ความทุกข์

ในชีวิตคนเรา คงไม่มีโอกาสครั้งที่สองที่จะกลับมาจัดการสิ่งที่ค้างคาอยู่อีกครั้งได้เหมือนโจ ดังนั้น การเข้าใจชีวิต เข้าใจความตาย และเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ จะทำให้เรา “ตายดี” ใช่หรือไม่ บางคนเส้นทางความสำเร็จอาจจะได้มาง่าย ๆ ไม่ทันรู้ตัว บางคนอาจแสวงหาไปเรื่อย ๆ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังสิ่งที่เราชอบ แม้จะถูกมองเห็นจากคนรอบตัวเยาะเย้ย แต่...กลับมีความหมายกับตัวเองเกินกว่าที่จะล้มเลิกได้ รวมถึงคนที่จมอยู่กับความเข้าใจผิด ๆ และแบกความรู้สึกหนักอี้งไว้กับตัวจนเกาะกินหัวใจให้หม่นมืดขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นคนที่หาความสุขให้ตัวเองไม่เจอ..


สุดท้าย...ความสุขของเราจริง ๆ อาจจะเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ส่องสว่างผ่านต้นไม้ในตอนเช้า เห็นดวงตะวันโบกลาผ่านช่องตึก ในขณะรอรถเคลื่อนตัวบนถนน หรือขอแค่มีแมวมีหมาสักตัวมานั่งอยู่บนตักเวลาที่กลับถึง ลูกสาวลูกชายตัวน้อยยิ้มให้ยามสบตากัน เราอาจจะมีความหมายกับใครคนหนึ่ง ที่เขารอคอยการกลับมา เป็นเพียงหยาดหยดน้ำที่ลดลงหัวใจของคนที่รักเรา ทำให้การมีชีวิตของเรานั้นมีค่า บางทีชีวิตก็ต้องการเวลาเพื่อให้ตัวเองได้หยุดนิ่ง คิด ไตร่ตรอง ให้ความสำคัญกับตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น แม้ว่าคนเหล่านั้นไม่เคยเรียกร้องให้เราใส่ใจเขาก็ตาม ความห่วงใยกันอย่างเอื้ออาทร ก็จะช่วยให้เราหันกลับมารู้จักตัวเองได้ดีขึ้น หากเราเพาะเมล็ดแห่งความรักนี้ได้ทุก ๆ วัน เนื้อนาแห่งความดีงามจะบังเกิดขึ้นในช้า....

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2564

ใจกันดาร

 

ใจกันดาร

หากเราพูดถึงความกันดาร เราก็มักจะคิดถึงความแห้งแล้ง ดินแตกระแหง คนที่ผ่านวันเวลามาหลายสิบปีก็มักจะนึกถึงทุ่งกุลาร้องไห้ ในสมัยนั้นไม่มีพื้นดินใดในประเทศจะแห้งแล้งจนกลายเป็นถิ่นกันดารเท่ากับที่นั่นได้เลย มาวันนี้วันที่ความเจริญที่นำไปสู่การพัฒนา ผ่านทางระบบต่าง ๆ ผ่านทางกลไกของภาครัฐ ผ่านทางโครงการน้อยใหญ่ ถิ่นกันดารจึงไม่ค่อยมีให้พบเห็นสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เราพบเห็นกันมากยิ่งขึ้น คือ ความกันดารของจิตใจผู้คน ความแห้งแล้งน้ำใจไร้น้ำจิต มีมิตรอาทรต่อกันนั้นหาได้น้อยเท่าเต็มที ใครช่วยอะไรก็มักจะถูกตีตราเป็นราคาค่างวดไปเสียทั้งหมด เพิ่มความไม่ไว้เนื้อเชื้อใจจะกลายเป็นอุปนิสัยสาธารณะ จะช่วยเหลือกันก็ต้องคิดแล้วคิดอีก ความมีน้ำใจถูกขัดขว้างด้วยมายาคติที่คิดว่าจะถูกหลอกลวง จะกลายเป็นคนโง่ ไม่ทันคน ไม่มีไหวพริบ เราเองก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นด้วย



การพัฒนาที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้นมุ่งเน้นการพัฒนาทางกายภาค ทางด้านวัตถุ เพื่อให้ผู้คนรู้สึกสะดวกสบาย ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องช่วยกันทำ เพื่อให้คนยากไร้จริง ๆ ได้มีโอกาสพบกับความสบายสะดวกขึ้นมาได้บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องไม่ลืมที่ต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วย คือ การพัฒนาจิตใจ พัฒนาชีวิตภายในของผู้คน หลายครั้งหลายหน หลายที่หลายทาง ก็มักจะหลุด ๆ ลืม ๆ เรื่องเหล่านี้ ไปให้ความสำคัญเรื่องภายนอก ทำไปทำมากลับกลายเป็นการพัฒนานั้นทำให้เกิดการกันดารขึ้นภายในจิตใจผู้คนอย่างไม่รู้ตัว

ในฐานะปัจเจก เราก็ล้วนมีหน้าที่ในการที่จะพัฒนาถิ่นกันดารในตัวตนของเรา ให้ฟื้นฟูกลับสู่ความเป็นลูกของพระ เป็นคนดี สิ่งหนึ่งที่ต้องมีเสมอ ๆ ในแดนดินถิ่นกันดารแห่งใจเรา คือ ความเมตตา อาทรต่อกัน มองเห็นคุณค่าของทุกคน แน่หล่ะบางครั้งบางเวลา เราก็มักจะหลงลืมไป จิตใจไหลตามกระแสไปบ้าง แต่ต้องรู้จักที่จะกลับตัวกลับใจ เรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงจิตใจเราให้พยายามเป็นคนดีให้ได้ในทุก ๆ วัน



 หากบางคนทำให้เราเจ็บช้ำ นั่นคือการทำให้เรากลายเป็น คนเข้มแข็ง หากบางครั้งจะถูฏหยามว่าดูโง่บ้าง นั่นมันก็ทำให้เรา ฉลาดขึ้น หากบางเรื่องราวทำให้ล้มลง ก็จงรู้ไว้ว่า  การลุกขึ้นใหม่เราได้เชนะตัวเองและหนักแน่นมากยิ่งขึ้น หากบางเวลาหลงทางไปบ้าง นั่นเท่ากับว่าเราได้พบกับทางเส้นใหม่ ๆ อย่าปล่อยให้หัวใจกันดาร จิตวิญญาณแห้งแล้ง มาเปลี่ยนแปลงด้วยการมอบความเมตตาให้กับตัวเราเอง และคนรอบข้างเรา ก้าวข้ามทางทุกข์ แบกกางเขนด้วยความยินดี ชีวิตเราจึงจะดูมีค่า และสมกับการเข้าสู่สันติสุขนิรันดร์….

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2564

ใจที่ไม่รกรุงรัง

 

ใจที่ไม่รกรุงรัง

นับว่าเป็นอีกวาระหนึ่งที่วัดของเรามีการเปลี่ยนแปลงผู้นำจิตวิญญาณ ซึ่งในครั้งนี้มีถึง 3 ท่าน โดยมี คุณพ่อสานิจ สถะวีระวงส์ มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเซนต์หลุยส์ คุณพ่ออนุสรณ์ แก้วขจร มาเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส คุณพ่อมงซินญอร์ วิษณุ ธัญญอนันต์ มาช่วยงานอภิบาลในทุกวันอาทิตย์ สัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์ยินดีขอต้อนรับคุณพ่อทั้งสามองค์เข้าสู่รั้วรักแห่งดินแดนสาทร และน้อมรับคำสั่งสอนด้วยหัวใจแห่งศิษย์พระคริสต์ เพื่อทำให้วัดและชุมชนความเชื่อแห่งนี้เป็นวิหารที่แสนจะสวยงามสืบต่อไปในทุกยุคสมัย

................................

มาสู่เรื่องราวที่จะเขียนแบ่งปันในวันนี้ พอดีเป็นช่วงที่ต้องตระเตรียมและเคลื่อนย้ายหลายสิ่งหลายอย่างในบ้าน เห็นชั้นหนังสือที่ดูจะรกไปด้วยหนังสือที่ได้มา ที่ได้อ่านแล้วยังไม่ได้เก็บเข้าที่เข้าทางก็พลอยให้คิดว่าถึงเวลาอีกแล้วที่จะสะสาง ที่จะจัดระบบระเบียบ อะไรที่ไม่ใช้ก็คงต้องรื้อทิ้ง เพื่อความเรียบร้อย พอกล่าวถึงตรงนี้ใจก็ล่องลอยไปถึงบนโต๊ะทำงาน ในห้องนอน ในบางช่วงบางเวลามักมีข้าวของวางไว้เต็มไปหมด คนที่มีระเบียบมักจะขยันจัดให้เข้าที่เข้าทาง คนที่สบาย ๆ ก็มักจะหาเวลาว่างจริง ๆ จึงจะจัดระเบียบ บ่อยครั้งก็ปล่อยไป วางไป ทับกันไปมา คิดว่านี่เป็นส่วนตัว จะจัดเมื่อไรก็ได้!!! หรือบางคนหนักหน่อย ถ้าจัดแล้วอาจจะหาของที่ใช้ประจำไม่เจอ ทำเป็นเหมือนสายไฟตามท้องถนน ที่ใครไปเปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง องค์กรหน่วยงานที่รับผิดชอบอาจจะงง เมื่อต้องมาซ่อมบำรุง ทำไปทำมาบ้านรก ห้องรุงรัง ฝุ่นเริ่มหนา เพราะยิ่งของมากฝุ่นก็มีโอกาสจับเขลอะขละ กลายเป็นความสกปรกไป แต่เราก็มักจะเคยชิน เลยมองไม่เห็นฝุ่นเหล่านั้น ยิ่งถ้าต้องอยู่ในสังคมที่ทำงานด้วยกันหลาย ๆ คน หรืออาศัยอยู่ในบ้านกันหลากหลายด้วยแล้ว หากแต่ละคนมีข้าวของมากมาย ก็ยิ่งทำให้สถานที่นั้น ๆ รกหูรกตา ใช่หรือไม่ ของบางอย่างแทบไม่เคยใช้ จะให้ทิ้งก็ดันเสียดายอีก ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มักชอบสะสมไปเรื่อย ไมกล้าที่จะทิ้ง ไม่เด็ดขาดที่จะตัดใจ


เคยรู้สึกหัวเสียเวลาที่บ้านของเรารกรุงรังจนแทบทนไม่ได้มั้ย คนในบ้านไม่ยอมช่วยกันยอมเก็บของ หรือจานชามที่ไม่มีใครล้างสักที เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะทำให้คน ๆ หนึ่งโมโหจนน๊อตหลุดได้เลย ความรกเกะกะนั้นเป็นหนึ่งเรื่องสำคัญต่อความรู้สึกของเราในด้านต่าง ๆ ความรู้สึกต่อบ้านเราเอง ความรู้สึกต่อที่ ทำงาน และความรู้สึกต่อตัวเอง ความรกรุงรังทำให้เราเกิดความกังวล ท้อแท้ และเครียด นักจิตวิทยา Sherrie Bourg Carter กล่าวไว้ในบทความของ Psychology Today แม้จะมีนักทฤษฎีบางคนกล่าวว่า คนที่โต๊ะทำงานรกรุงรัง มักจะเป็นคนที่ทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่า ก็อาจจะมีบ้างบางคนเป็นเช่นนั้น แต่ความเรียบร้อยสวยงามย่อมนำผลความสุขใจมาให้มากกว่า ทำให้เกิดความสงบสันติ



สิ่งที่นำมาขบคิดต่อ คือ ถ้าจิตใจเรารกรุงรังหล่ะ คงจะแย่ไม่น้อย อาจจะรกไปด้วยอคติ อาจจะรกไปด้วยความโลภ ความหลง ความบ้าอำนาจ รกไปด้วยความอวดรู้ อวดเก่ง อยากจะเด่นอยากจะดัง วัน ๆ หาแต่เรื่อง หาแต่สิ่งไร้สาระมาทับถม จนไม่สามารถจะเงยหน้ามาดูมาแลคนรอบข้าง คนเคียงกายเราได้เลย  เช่นนี้แล้วชีวิตนี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า??? ชีวิตภายในเราเป็นดั่งวิหาร ที่ต้องช่วยจะดูแลให้ศักดิสิทธิ์เสมอ มิใช่ เต็มไปด้วยของ เต็มไปด้วยกิเลสที่เกะกะ รกไปด้วยบาปความหยาบช้าทั้งหลาย แล้วใครเล่าจะเข้ามาหาเรา แล้วใครเราจะเห็นเราเป็นที่ปลอดภัย เป็นที่พักพิง อย่าปล่อยวิหารในตัวเรารกรุงรัง มาเปลี่ยนความรกที่รุงรังเป็นความรักที่รุ่งเรือง ช่วยกันทำให้จิตใจเราสะอาด ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ไม่แข่งขันกัน เพื่อเราก้าวข้ามพ้นความทุกข์ยากของวันนี้ไปด้วยกัน เพื่อพวกเราทุกคนจะก้าวสู่มหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์พร้อมหน้ากัน….