เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ
๒
บทที่ ๒ ความพอดี
“ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้น
จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี
ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ
เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว
จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับ
ผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน” (พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๐)
ตลอดเกือบหนึ่งเดือนที่เราคนไทยต่างตกอยู่ในภาวะแห่งการสูญเสีย
ต่างก็เศร้าโศกในการจากไปของพ่อหลวง แต่เพราะด้วยกิจการดีที่พระองค์ท่านได้ทรงทำไว้นั้นกำลังเจริญงอกงามออกดอกผล
คนในชาติแปรงความสูญเสียเป็นเสียสละ มอบน้ำจิตน้ำใจใฝ่ดีต่อกัน
การให้มากมายจนท่วมท้องสนามหลวง เป็นประวัติการณ์ที่คนให้มากกว่าคนรับ
จนถึงกลับต้องบอกกล่าวเน้นย้ำคำสอนพ่อในเรื่องความพอดี ความพอเพียง
คำสอนนี้จึงเกิดผลทันทีอย่างไม่มีการเกี่ยงงอน แอบหวังลึก ๆ ว่าเราเลียนแบบพระองค์
เรียนคำสอนพระองค์ท่าน ให้กลายเป็นรากฐานของคนไทยนับจากวันนี้จนตลอดไป
สังคมเราจะน่าอยู่แม้ในวันที่ไม่มีพ่อคอยสอนแล้ว
พูดถึงความพอดีเรามักจะคิดถึงการดำเนินชีวิตทางด้านเรื่องการเงิน
ๆ ทอง ๆ การสร้างความร่ำรวยมาเป็นอันดับแรก และสิ่งที่นึกถึงควบคู่กันไปนั่นก็คือ
“ความทะเยอทะยาน” ซึ่งเราทุกคนมีเหมือนกันหมด จะต่างกันก็คงเพียงแค่ใครจะมากใครจะน้อยกว่ากัน
เป็นความทะเยอทะยานที่อยากจะนำพาชีวิตไปสู่จุดที่สูงสุด ดีที่สุด จนบางครั้งก็กลายเป็นกิเลสที่ทำให้คนเราอยากได้อยากมีเมื่อได้แล้ว
มีแล้ว ก็อยากได้ อยากมีอีก ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีความพอดีในชีวิต ไม่สมบูรณ์แบบสำหรับชีวิตเสียที
แทนที่ความทะเยอทะยานจะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนให้ชีวิตเดินทางไปถึงเป้าหมาย นำพาเราไปสู่ความสำเร็จของชีวิต
กลับกลายเป็นสิ่งที่คอยทิ่มแทงชีวิตให้ทุกข์ทรมาน ให้เจ็บปวด ต้องดิ้นรนแสวงหาอยู่ร่ำไป
หากเราไม่ยึดติดอยู่กับความสะดวกสบายมากนัก
ใช้ชีวิตธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่สามารถมีความสุขในชีวิตได้ มีชีวิตที่เรียบง่าย กินอาหารแต่ละมื้อได้อย่างอิ่มหนำ
มีห้วงเวลาที่ได้อยู่ ได้ท่องเที่ยวเกี่ยวก้อยกับคนที่เรารัก ได้ทำอะไรดี ๆ สังสรรค์กับครอบครัว
ทำให้คนในครอบครัวมีความสุข และไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยการเร่งรัด รีบร้อน วัน ๆ
มีแต่เหนื่อยกับเฉื่อยเท่านั้น
อีกหนึ่งความพอดีในขั้นของชีวิตภายใน
หลายคนก็ไม่รู้จักความพอดี
จึงมักทำอะไรที่ขาด ๆ เกิน ๆ หาตรงกลางไม่ได้ ทำดีก็เกินเหตุ
จะพูดคุยตักเตือนก็มากไปจนน่ารำคาญ เอาเรื่องบางเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นธุระมาเป็นธุระ
แล้วก็ทิ้งในเรื่องสำคัญ ๆ ไป ไม่เคยแยกแยะว่าตรงไหนคือระดับของความเหมาะสม
ซึ่งหมายถึงเหมาะสมสำหรับตัวเองและเหมาะสมสำหรับผู้อื่นด้วย ความไม่พอดีลักษณะนี้คือการไม่รู้จักกาลเทศะ
ความพอดีแบบนี้เป็นการขัดเกลามนุษย์ ให้รู้จักความเหมาะความควร
คนเราจะเสาะหาความพอดีพบและดำเนินชีวิตด้วยความพอดีได้นั้น
ต้องมีความอ่อนน้อมและความรอบคอบ ความอ่อนน้อมทำให้ไม่ลำพอง ไม่โอ้อวด
ไม่ถือโทสะเพื่อเอาชนะคะคาน อวดเบ่ง หรืออวดเก่ง หรือจ้องแต่จะแข่งขันกันอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนความรอบคอบนั้นจะรู้ได้ว่าจะไม่ทำอะไร ที่มากล้นเกินไป รู้ที่รู้ทางรู้กาลเวลา
ไม่ถือเอาใจของตัวเองเป็นสำคัญ
ไม่ว่าจะทำอะไร
ความพอดีเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ความพอดีคือ ไม่มาก ไม่น้อยไม่วุ่นวาย ใช่หรือไม่ การยกฐานะจากยากจนให้มั่งมีนั้นทำได้ไม่ง่าย
บางคนตลอดชีวิตนี้อาจจะทำไม่สำเร็จ แต่การยกระดับใจให้มั่งมีนั้นทำได้ทุกคน เมื่อมีความมุ่งมั่นจะทำจริง
คนรู้จักพอไม่ใช่คนเกียจคร้าน และคนเกียจคร้านก็ไม่ใช่คนรู้จักพอ
ความพอดีมีอยู่ในความวางใจพระเจ้าทุกกรณีนั่นเอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น