วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2567

อ่อนน้อมกันกี่โมง

 

อ่อนน้อมกันกี่โมง

>>> สิ่งที่ขับเคลื่อนมนุษย์มิใช่เหตุผล แต่เป็นอารมณ์และความรู้สึก <<<

นับวันเรายิ่งเห็นความดื้อรั้นมีเต็มบ้านเต็มเมือง คนอายุเยอะก็ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองมีประสบการณ์ที่ผ่านมา มิสนใจกาลเวลาที่แปรเปลี่ยน ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น ห้ามเถียง ห้ามพูด ต้องทำตามเท่านั้น ทำไปทำมาคนรอบข้างหายไปทีละคนสองคน ต้องอยู่ตามลำพัง เป็นคนแก่ขี้ดื้อ สำหรับผู้สูงอายุที่อ่อนโยน จะกลายเป็นคนน่ารักที่มักมีคนอยู่ล้อมรอบไม่มีเหงา ยิ่งอยู่ใกล้โลกยิ่งงดงาม ส่วนคนรุ่นใหม่ในวันนี้ยุคนี้ ยิ่งไปกันใหญ่ ไม่ค่อยจะเห็นการยอมรับความคิดของใคร ๆ ทั้งนั้น มีฉันเป็นศูนย์กลาง ฉันเก่ง ฉลาด ฉันถูกอยู่ฝ่ายเดียว ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล และใช้เหตุผลเป็นข้ออ้างให้เป็นฝ่ายชนะ เถียงหัวชนฝาจนหัวร้างข้างแตกก็ไม่ยอม เราจึงเห็นสังคมวันนี้ไร้สุข ไร้ความเป็นพี่น้อง ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างคิด ชีวิตดูเหมือนสมบูรณ์แต่ไม่สมดุลเอาเสียเลย มีแต่คนซึมเศร้าเหงามึน พูดจาสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง จะมีคนรุ่นใหม่อยู่ไม่มากนักที่รู้จักอ่อนน้อม เคารพต่อความเป็นคนของผู้อื่น ให้เกียรติทุกคน ไม่หยิ่งยโส คนเหล่านี้มักจะเป็นที่รักและเป็นที่ต้องการของสังคมอย่างแท้จริง แต่ก็มีจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ


การนิ่ง การฟังกันเป็นคุณสมบัติแรกของความอ่อนน้อม
เป็นช่วงจังหวะให้เราหยุดคิดพิจารณา การยอมรับน้อมรับ นบนอบต่อการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ในทุกวันนี้ เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าฉันต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ฉันต้องมีตำแหน่งแห่งหน ฉันต้องมีตัวตน เป็นคนเด่นคนดังจึงมีค่า ทุกคนต้างแข็งกระด้าง ไม่มีใครฟังใคร ไม่ใช้เหตุผลที่เป็นความจริง ใช้อารมณ์แห่งความเห็นแก่ตัวตัดสินกัน ใช่หรือไม่ บางทีเราก็ลืมตัว และใช้อารมณ์นำพาชีวิตกันเกินไป การทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้เราไม่มีศัตรู หรือคนเกลียด แต่เราหาคนแบบนี้ยากขึ้นทุกวัน จนมีคำถามกันว่า “จะอ่อนน้อมกันตอนกี่โมงล่ะ”  

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2567

สะเทือนเตือนตน

 

สะเทือนเตือนตน

>>> ชาวประมงที่รอดชีวิตจากคลื่นมักหันหัวเรือพุ่งชนคลื่นลมนั้น <<<

ในวันหนึ่งเราเดินผ่านผู้คนมากน้อยเพียงใด ในขณะนั้นเรามิอาจจะรู้ได้เลยว่า แต่ละคนที่ผ่านเราไปนั้นมีสุขทุกข์เพียงใด เราอาจจะรู้สึกว่า ในวันนี้ชีวิตเราช่างแสนทุกข์ลำเค็ญ การงานยากลำบาก การเงินขัดข้อง ความรักไม่สมหวัง เจอแต่การหลอกลวง ผิดหวังอยู่ร่ำไป หาความจริงใจไม่ได้ ตกอยู่ในหุบเหวแห่งความทรมาน ดูเหมือนชีวิตเต็มไปด้วยคลื่นลม ใครจะรู้เล่าว่า คนที่เพิ่งเดินผ่านเราไปนั้น คนที่เราพบเห็น พ่อค้าริมทาง คนขับแท็กซี่ คนกวาดถนน ตำรวจจราจร เขาอาจจะกำลังอยู่ท่ามกลางคลื่นลม มรสุมชีวิตหรือสึนามิชีวิตอยู่ก็ได้ ทุกคนต้องเจอคลื่นชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ที่เวียนแวะมาปะทะให้ทุกข์ปะทุ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับมันได้อย่างไร?ต่างหาก ยามเผชิญหน้ากับคลื่นชีวิต ให้ระลึกเสมอว่าคงไม่ใช่เราคนเดียวหรอกที่เจอ มีเพียงหัวใจที่กล้าแกร่งไม่สยบยอมต่อทุกสิ่งเท่านั้นจึงจะก้าวข้ามผ่านไปได้

วันเวลาไม่อาจย้อนคืนมาได้ เวลาจะเยียวยาเราในเรื่องราวต่างๆได้ดีที่สุด สภาพจิตใจของคนเราก็ไม่เหมือนกัน ย่อมมองเรื่องราวแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งสำคัญเราต้องมีมุมมองในชีวิตด้านงดงามเสมอ อย่าตัดสินคนอื่นจากความคิดของเรา เพียงแค่การมองเห็นแต่ไม่รับฟังและเข้าใจคนอื่น รักษาจิตวิญญาณของเราให้ดี ไม่ว่าจะเป็นสุข เศร้า เหงา เจ็บปวด มีเพียงเราเท่านั้นที่รับรู้ความสึกได้อย่างแท้จริง บางช่วงจังหวะเวลาของชีวิต ก็ต้องกล้าหาญ กล้าที่จะยอมรับ กล้าที่จะลืม กล้าที่จะถอย กล้าที่จะให้อภัย กล้าที่จะลุกขึ้นและกล้าที่จะก้าวเดินหน้าต่อไป

เมื่อชีวิตต้องสั่นสะเทือน เสียใจได้ก็เสียใจเถอะ อย่าเก็บกดทับมันไว้ ก็แค่ความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิต เสียใจแล้วให้ลุก มีสิ่งงดงามรออยู่ มีแสงแห่งวันใหม่ให้ชื่นชม อย่ามัวแต่ชื่นชมคนอื่น จนลืมดูแลจิตใจตัวเอง เปลี่ยนความเคยชินที่เลวร้ายออกไป แรงสะเทือนที่เตือนตนให้ดีได้ ย่อมส่งผลต่อคนรอบข้างให้ดีงามตามมา...

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2567

ก้าวข้ามอดีต

 

ก้าวข้ามอดีต

>>> พยายามก้าวข้ามผ่านอดีตแล้วมีชีวิตที่งดงามในปัจจุบัน คือปัสกาที่แท้จริง <<<

นับเวลาถอยหลังเรื่อย ๆ กับวันเวลาที่เพิ่มขึ้น มีอดีตให้จดจำ มีผิดพลาด พลั้งเผลอ อยากมีอยากเยอะอยากยิ่งใหญ่ บางเรื่องราวสร้างทุกข์สุดใจ และมักย้อนมาทำร้ายจิตใจเราอยู่เนืองนิจ พยายามพิชิตปิดประตูความทรงจำอันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีเพียงหัวใจและอดทนข่มความรู้สึกอยู่กับปัจจุบันให้ได้ ทำเวลาขณะนี้ให้ดีที่สุด คิดเสมอว่าวันนี้คือวันที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไร ใช่หรือไม่...ทุกคนต่างก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกทำวันนี้ให้ดีที่สุดได้ ส่วนเรื่องของเมื่อวานให้มันจบลงเมื่อวาน พยายามทำความเข้าใจและยอมรับว่ามีความทรงจำบางอย่างกำลังรบกวนความสุขในปัจจุบันของเราอยู่ การยอมรับกับความทุกข์นับเป็นจุดเริ่มต้นกับความสุขในปัจจุบัน ซึ่งการยอมรับไม่ใช่การจำนนต่ออดีต ซึ่งต้องให้เวลา


ไม่มีชีวิตใครในโลกนี้สมบูรณ์ที่สุด เราทุกคนบนโลกนี้ต่างต้องเผชิญกับเรื่องดีและเรื่องร้ายเหมือน ๆ กัน ต่างกันเพียงแค่ว่า ใครจะใช้ใจเยี่ยงไรรับมือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น อุปสรรคคือบทพิสูจน์ เมื่อเอาชนะได้ ถือว่ายกระดับหัวจิตหัวใจให้สูงขึ้น ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคใด เงยหน้าขึ้น แบกรับมันก้าวเดินต่อไป เรื่องราวในอดีต อาจจะทำให้ความสงบกลายเป็นตระหนก ส่งผลให้เรามีความคิดอคติตามสัญชาตญาณได้ง่าย ทำให้เกิดความโกรธ ความเกลียดชัง ความแค้นเกิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งอย่างไม่มีวันหมดสิ้น นี่อาจจะเป็นกางเขนอันใหญ่ที่เราแบกไปเพื่อผ่านหุบเหวที่กว้างใหญ่ในวันข้างหน้า

เป็นสัจจะคู่ผู้คนที่ว่า “เรื่องแย่ โชคร้าย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน” แต่ก็ยังมีบ้างบางคนที่กำลังตกอยู่กับความทุกข์ในอดีต และซ้ำเติมความทุกข์ตนเองว่า “โง่งี่เง่าไม่เอาไหน ไม่สู้และโชคร้าย” โดยอาจจะหลงลืมไปไม่ว่าใครก็สามารถเจอกับเรื่องร้ายด้วยกันได้ทั้งนั้น

เวลาของเราในโลกนี้สั้นนัก อย่าเสียเวลากับเรื่องราว กับผู้คนหรือสิ่งของที่ไร้ค่า อย่าปล่อยให้เสียงของคนอื่นมีพลังมากกว่าเสียงของหัวใจตัวเอง อย่าให้ใครขโมยความสุขของเราไป แม้ในช่วงที่ชีวิตกำลังเผชิญอยู่กับความมืดมิด แต่ปลายทางของค่ำคืนคือแสงสว่างของรุ่งอรุณ เมื่อใดที่เผชิญกับความท้าทาย จงมุ่งมั่นและพยายาม เพราะทุกจุดเริ่มต้นของความพยายาม ย่อมมีผลตอบแทนเป็นรางวัลรออยู่เสมอ

อย่ากังวลหรือกล่าวโทษว่าเวลาไม่เพียงพอ แท้จริงชีวิตคนเรามีเพียง “ให้และรับ” เมื่อใดที่เป็นผู้ให้ จงให้ด้วยความเต็มใจ เมื่อใดที่เป็นผู้รับ จงรับด้วยความเต็มใจ ในวันนี้อาจจะมีเพียงคำว่า “ขอบคุณ” เป็นแสงสว่างอันนั้นที่จะให้พลังในรุ่งอรุณ เป็นเหมือนชีวิตใหม่ที่ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ให้เวลากับคนที่เรารักและรักเราให้มากขึ้น คนข้างกายคนในครอบครัวคือหัวใจของการก้าวผ่าน ซึ่งมีค่ามากกว่าเพื่อนกินนับร้อยพัน ไม่มีใครรู้วันเวลาข้างหน้าได้อย่างถูกต้องแม้แต่หมอดู ความยิ่งใหญ่และความมหัศจรรย์ในชีวิต บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับให้เวลาและจังหวะในพระพรของพระเจ้าเป็นผู้นำพา ที่สำคัญอย่าหลงลืมศรัทธาในพระเจ้าที่สถิตในตัวเรา

อย่าท้อแท้กับอดีต ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน อย่าคาดหวังกับความสมบูรณ์ ลุกขึ้นมาทำให้ดีกว่าเก่าก็พอ! ไม่จำเป็นที่จะต้องจบเรื่องราวทุกเรื่องด้วยความสมบูรณ์แบบ ทำความเข้าใจตนเอง ไม่ใช่เพื่อการแก้ไขอดีตให้คลี่คลายหายไป แต่เพื่อให้จิตวิญญาณเราเข้มแข็งเพื่อก้าวผ่านความทุกข์และเดินต่อกับปัจจุบันอย่างมีความหวัง ความรัก และสันติสุขจวบจนวันสุดท้ายจะมาถึง....

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567

ผลสอบของกาลเวลา

 

ผลสอบของกาลเวลา

>>> อย่าก้มหน้ากับตำราจนหลงลืมวันเวลาปิดเทอม <<<

ช่วงนี้เด็ก ๆ นักเรียนคงจะสอบเสร็จ ปิดเทอมกันแล้ว ยังคงจดจำอารมณ์หลังสอบได้ดี เรามักจะโล่ง สมองปลอดโปร่ง เมื่อย่างเท้าออกจากห้องสอบแล้วมีความมั่นใจว่าทำสอบได้ ส่วนผลการสอบจะออกมาเช่นไรก็ว่ากันอีกที บางคนขยัน เรียนเก่งก็ไม่น่ากังวลใจอะไร บางคนไม่เก่งแต่ขยันเรียนหนังสือ พากเพียรเขียนอ่าน ผลสอบจะเป็นรางวัลตอบแทนในความทุ่มเท หากทำไม่ได้ สอบไม่ผ่าน พลาดพลั้งไปก็ยังมีโอกาสให้แก้ไขแก้ตัวในเทอมใหม่ หรือชีวิตเราก็เป็นเช่นนั้น

หันกลับมามองในชีวิตจริง เราคงยังต้องผ่านการทดสอบนานาประการในทุกวันเวลา หลายครั้งที่เราเจอเรื่องหนัก ๆ ก็มักจะรู้สึกว่า ทำไมพระเจ้าส่งบททดสอบมาให้เรามากมายขนาดนี้ เพื่อคาดหวังสิ่งใดจากเรา??? บางครั้งมาแบบไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีการสอบอะไร  นับนิ้วดูมีเกินครึ่งหนึ่งของชีวิตที่ต้องจำใจยอมรับกับผลกระทบที่เกิดขึ้น

เอาเข้าจริงถ้าเราเรียนรู้ และเข้าใจในชีวิตว่า ทุกบททดสอบที่เข้ามานั้น มียากง่ายสลับกันเหมือนกับตอนเรากำลังนั่งทำข้อสอบ ก็มีเพียงแค่รู้กับไม่รู้เท่านั้น ถ้าข้อไหนทำไม่ได้ ก็เว้นข้ามไปก่อน มีเวลากลับมาคิดทบทวนใหม่ หากหมดเวลาก็ปล่อยผ่านไป และหาวิธีแก้โจทย์ปัญหาในภายหลัง ในแต่ละวัน ถ้าเรานำข้อสอบที่เราทำไม่ได้ไปหาคำตอบ เพื่อให้รู้ เพื่อทำความเข้าใจ นำไปสอบซ่อม ใช่หรือไม่ ในชีวิตจริงเราอาจจะไม่สนใจกับคะแนนสอบ แต่เราต้องเรียนรู้เพื่อเราจะได้ก้าวข้ามผ่านกาลเวลาไปได้อย่างไม่ทุกข์ใจนัก นี่คือ “ข้อสอบชีวิต” เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป เราก็แค่ดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาปิดเทอมอย่างเต็มที่ รอบททดสอบใหม่อีกครั้ง การเติบโตจะมาพร้อมกับความเข้าใจ ไม่ใช่การจำใจต้องทำ เราพร้อมกันหรือยังที่จะก้าวผ่านบททดสอบของกาลเวลาอย่างมีคุณค่าไปด้วยกัน ...

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2567

วิถีสาธารณะ

 

วิถีสาธารณะ

>>> ไฟฟ้าดับ น้ำไม่ไหล ไม่ว้าวุ่นเท่าระบบสื่อสารสมัยใหม่ล่ม <<<

เมื่อค่ำคืนวันอังคารที่ผ่านมา กำลังเช็คความเคลื่อนไหวของเพจวัดเซนต์หลุยส์ ในฐานะผู้ดูแลระบบ ยังไม่ทันจะเสร็จสิ้นภารกิจ เฟสบุ๊คก็เด้งออกจากระบบ แจ้งว่าหมดอายุ พยายามเข้าระบบใหม่แต่ก็เข้าไม่ได้ ทำอยู่หลายครั้งจึงรีบเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ไข เพราะทำง่ายกว่าผ่านทางมือถือ เกรงว่าเดี๋ยวเช้ามาจะออนไลน์มิสซาเช้าไม่ได้ สักพักก็ได้รับแจ้งว่าระบบล่มทั้งโลก ว้าวุ่นกันเลยทีเดียว เช้ามาทุกอย่างก็คืนสู่สภาพปกติ

ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีการสื่อสารแบบนี้ ค่ำคืนเราทำอะไรกันบ้าง เหมือนกับนั่งเครื่องย้อนเวลารำลึก เมื่อหลายสิบปีก่อน ทุกค่ำคืนคนในระแวดบ้านจะมาคุย มาเล่านั่นเล่านี่ เรื่องราวตื่นเต้นบ้าง ข่าวคราวของคนอื่นบ้าง คุยกันสนุกสนาน บางครั้งผู้ใหญ่ก็จะแกล้งเล่าเรื่องผีสางนางไม้ให้เด็ก ๆ กลัว ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปมีทีวีขาวดำ บ้านใครที่ซื้อไว้ก็จะกลายเป็นศูนย์กลางชุมชน มาเฝ้าดูข่าว ดูละคร พอวันเวลาผ่านไปแต่ละบ้านเริ่มมีทีวีสีเป็นของตัวเองบ้านใครบ้านมัน จากชุมชนกลายเป็นเหลือเฉพาะคนในครอบครัวที่มาเสพความบันเทิงร่วมกัน จวบจนเมื่อระบบสื่อสารสมัยใหม่เข้ามา ทีวีก็หมดความหมาย ต่างคนต่างมีต่างดูต่างเสพในสิ่งที่ตัวเองชอบและก็ติดมันจนโงหัวไม่ขึ้น ออกท่องวิถีสาธารณะในโลกออนไลน์ โลกจริงเพียงแค่อยู่อาศัยหายใจร่วมกันในบ้าน ในห้องเท่านั้น  


วิถีชีวิตชุมชนแบบเก่าถูกแทนที่ด้วยสังคมชุมชนออนไลน์
จากชาวบ้านก็กลายเป็นชาวเน็ต จากคนเสพสื่อก็กลายเป็นคนส่งสื่อให้คนอื่นเสพบ้าง วิถีชีวิตดูจะกว้างขึ้น แต่ความลึกในสายสัมพันธ์กลับตื้นเขินและแคบลง มีการสื่อสารพูดคุยกันน้อยลง การเล่าเรื่องราวอย่างสนุกสนานหายไป มีแต่เรื่องของคนดัง มีแต่เรื่องข่าวซุบซิบนินทาสาธารณะ และการสอดรู้สอดเห็น คำวิจารณ์การก่นด่าเต็มอากาศ การจะช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากก็เกิดการระแวงว่าจะถูกหลอก ถูกโกง เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน เที่ยวเสพส่องชีวิตคนอื่นไม่มีเวลาไตร่ตรองส่องส่ายชีวิตภายในตัวเอง ข่าวร้ายรายวัน หนึ่งวันพันเรื่องให้ต้องวุ่นให้ต้องตามกระแสกันอย่างไม่หยุดหย่อน วิถีสาธารณะดูแล้วช่างเหน็ดเหนื่อย หากแต่เราหันมาทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อผู้อื่นกันบ้างก็น่าจะดีงามกว่าวิถีชีวิตส่วนตัวที่แอบแฝงเอาเปรียบสาธารณะชน ในวันระบบล่ม เราจึงได้มีเวลาคุยกับตัวเองบ้าง ไตร่ตรองชีวิตจิตก่อนหลับตานอนบ้างก็ดีเหมือนกัน ....

วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2567

แบกไปทำไม

 

แบกไปทำไม

>>> “คนแบกทุกข์เก็บทุกเรื่องมาครุ่นคิด แต่คนเปี่ยมสุขให้อภัยทุกเรื่องก่อนเข้านอน” <<<

มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง พระเจ้ายื่นสัมภาระคนละสองชิ้นให้สามคน  พวกเขามีหน้าที่เดินไปบนถนนที่มีชื่อว่า “ชีวิต”  จุดหมายปลายทางที่ชื่อว่า “ความสุข” คนแรกเดินด้วยความยากลำบาก  เขารู้สึกว่าสัมภาระนี่หนักเหลือเกิน จนแทบจะก้าวไม่ออก เหงื่อไหลไคลย้อย เต็มไปด้วยความลำบากทุกข์ระทมตลอดทางที่เดิน คนที่สองเดินด้วยสีหน้าเป็นสุข เพียงแต่ว่าเดินค่อนข้างช้า  แต่ละย่างก้าวก็เหนื่อยพอประมาณ ส่วนคนที่สามนั้นเดินไปร้องเพลงไป  มีความสุขอย่างล้นเหลือ และก็เดินได้เร็วมาก ไม่นานนักก็ถึงที่หมายอย่างสบาย

พระเจ้ารออยู่ที่จุดหมายปลายทาง คนแรกบ่นอย่างหงุดหงิด ข้องใจมากว่าทำไมคนอื่นจึงสามารถเดินทางด้วยความสุข ในขณะที่ตัวเขาเองเดินด้วยความทุกข์ระทม สงสัยว่าสัมภาระของตนหนักกว่าของคนอื่น พระเจ้าชี้แจงว่า “สัมภาระของทุกคนหนักเท่ากัน ชิ้นหนึ่งบรรจุ “ความทุกข์” อีกชิ้นบรรจุ “ความสุข แต่เจ้าแบกเอาชิ้นของความทุกข์ไว้ด้านหน้า เอาชิ้นความสุขไว้ด้านหลัง  เจ้าจึงเห็นแต่ความทุกข์ตลอดทาง ไม่เคยเห็นความสุข จึงต้องเดินทางด้วยความเศร้าและเหนื่อยล้า”

แล้วก็หันไปยังคนที่สอง “เจ้ากลับทำตรงกันข้ามกับคนแรก แบกเอาชิ้นความสุขไว้ด้านหน้า เอาชิ้นความทุกข์ไว้ด้านหลัง เจ้าจึงเห็นแต่ความสุข ทำให้เจ้าสามารถเดินทางด้วยความสุขสดชื่นตลอดทาง” แล้วพระเจ้าก็ชี้ไปที่คนสุดท้าย “เจ้าก็ทำเหมือนคนที่สอง แต่เจ้ายังรู้จักเจาะรูไว้ที่ชิ้นแห่ง ความทุกข์รูหนึ่ง  จนทำให้ความทุกข์ไหลออกตลอดทาง  สัมภาระชิ้นแห่งความทุกข์จึงมีน้ำหนักเบาลงเรื่อย ๆ  เจ้าจึงสามารถเดินทางด้วย “ความสุข”  และยังเดินได้เร็วกว่าคนอื่น”

พระเจ้ายื่น “ความทุกข์” และ “ความสุข” ไว้ให้กับเราทุกคน และยังได้ยื่นเครื่องมือให้เราอีกชิ้นหนึ่ง เพื่อตัดเจาะสัมภาระชิ้นแห่งความทุกข์ให้ขาด  เครื่องมือนี้มีชื่อว่า “อภัย” นั่นเอง

วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เงียบประตูสู่มหาพรต

 

เงียบประตูสู่มหาพรต

>>> ความเงียบ คือประตูบานเเรกสู่ความสงบ สันติ : ติช นัท ฮันห์ <<<

ตีห้ากว่า ๆ  คือเวลาตื่นนอน และลงมานั่งทำนั่นทำนี่ สิ่งที่ได้ยินเป็นเสียงแรก ๆ คือเสียงสวดมนต์ของพี่น้องมุสลิมที่แว่วดังมา บางวันก็มีเสียงจิ้งจก เสียงหนู เสียงนก ไม่นานนักเสียงเปิดประตูบ้าน เสียงรถ เสียงผู้คนพูดคุยเริ่มดังมากขึ้นตามแสงพระอาทิตย์ เราอาศัยอยู่ในโลกที่วุ่นวาย ทุกวินาทีจึงเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกจากการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งที่มีชีวิต รวมทั้งกิจกรรมของคนเราก็ล้วนนำไปสู่การเกิดเสียงในรูปแบบต่าง ๆ  ในยุคที่เรามีอุปกรณ์สื่อสารและเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย ก็ล้วนทำให้เกิดเสียงด้วยกันทั้งนั้น จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไร้เสียง เป็นเรื่องยากที่คนในสังคมทุกวันนี้ จะมีเวลาอยู่กับความเงียบ

ความเงียบไม่ใช่เพียงการไร้เสียงจากภายนอกเท่านั้น แต่หมายถึงการหยุดเสียงที่คอยรบกวนจิตใจของเรา ในความเงียบเราจะได้ยินเสียงอัศจรรย์แห่งชีวิต การได้อยู่เงียบ ๆ บ้างก็จะทำให้มีสมาธิ มีจินตนาการ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แต่หากว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงกำลังผิดหวัง เสียใจ ความเงียบก็จะยิ่งทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ หากผ่านไปได้ ก็จะเข้มแข็งขึ้น กำลังใจที่ดีที่สุดมาจากภายในของตัวเรา ปล่อยให้ตัวเองได้อยู่เงียบ ๆ บ้าง ได้ฟังเสียงความคิด ฟังเสียงของหัวใจของตัวเอง ได้เห็นมุมที่อ่อนแอและรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง จะทำให้เราสามารถจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น

ความเงียบเป็นการสื่อสารที่ไม่ง่าย ต้องอาศัยความเข้มแข็งภายใน เพื่อช่วยให้เรารักษาความนิ่งสงบ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง ความเงียบเป็นหนึ่งในศิลปะของการสนทนาที่ยิ่งใหญ่ ก่อนที่เราจะฟังคนอื่นได้ ต้องฟังตัวเราให้เป็น  40 วันกับความเงียบ เป็นเวลาแห่งการไตร่ตรอง เป็นเวลาที่ทบทวนและเป็นก้าวย่างสู่ความสันติ

วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

จุดแสงภายใน

 

จุดแสงภายใน

>>> ไม่มีแสง ก็ไม่มีเงา ไร้พระเจ้า เราจะเหลืออะไร <<<

เดินทางออกต่างจังหวัดเรามักพบเจอสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างไป เกิดความรู้สึกตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ ได้พบเจอผลผลิตที่งดงามของดอกไม้ใบผัก คนที่อยู่แถวนั้นอาจจะเฉย ๆ แต่เราผู้มาเยือนดูจะเร้าภายในอย่างบอกไม่ถูก ใช่หรือไม่ คนเราแต่ละคนพบเจอสิ่งแวดล้อมเดียวกันหรือพบเจอเรื่องราวคล้าย ๆ กัน แต่กลับมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป บ้างเป็นสุขใจ บ้างเป็นทุกข์ใจ บ้างไม่ทุกข์ ไม่สุข บ้างเป็นกังวล บ้างโศกเศร้า มีบ้างเกิดคำถาม มีบ้างเพียงมองผ่าน ล้วนแล้วแต่ภายในของแต่ละคน ที่ผ่านกาลเวลา ผ่านเรื่องราวมาไม่เหมือนกัน


สภาพภาวะแวดล้อมเป็นเพียงเครื่องสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจของเรา
ตามพื้นฐานที่ได้ถูกปลูกฝัง คนที่อยู่ในสังคมที่ดีเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม ย่อมเห็นความงามในทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นแม้โคลนตม ส่วนคนที่มีจิตใจไม่งามด่างพร้อย ย่อมเห็นความด่างพร้อย มองมุมร้ายมีมุมมองมืดมนแม้แต่อยู่ในสวนดอกไม้ สรรพสิ่งย่อมมีหลากหลายมุม ไม่ได้มีถูกผิด ดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับใจเราเป็นอย่างไร ก็สะท้อนมุมนั้นออกมา เห็นอย่างนั้น ก็รู้สึกอย่างนั้น

ฉะนั้น หากอยากให้ชีวิตดี ครอบครัวดี หรือสังคมที่ดี ๆ นอกจากจะทำทุกอย่างให้ดีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจจะลืมได้ ก็คือบางครั้งต้องกลับมาดูใจของตัวเราเอง ค้นพบพระเจ้าในตัวตน จุดแสงให้สว่างเพียงพอ ให้พระองค์เป็นแสงส่อง เพื่อให้เห็นความดีของทุกคนที่ผ่านมา ให้เห็นความงามของสรรพสิ่งที่ผ่านพบ หากใจเรายิ่งสว่างไสว ย่อมทำให้คนรอบข้างอุ่นใจที่จะอยู่ร่วมกับเรา อย่าให้ความมืดมนมาบดบังความสุขของกันและกันเลย โลกมีความงามให้ชื่นชมเสมอ

วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เปลี่ยนทิศจิตใจ

 

เปลี่ยนทิศจิตใจ

>>> “เราไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางลมได้ แต่เราสามารถปรับใบเรือได้” สุภาษิตจีน <<<

ในทุกเช้าวันใหม่ ถ้าเราลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมลมหายใจ ก็ถือว่าเราโชคดีที่สุดแล้ว ดังนั้น ถ้ามีใครมาทำไม่ดีกับเรา หรือมีเรื่องราวไม่ดีเข้ามากระทบ เราก็แค่ปรับมุมมองเสียใหม่ มองว่าเป็นโชคดีที่เราได้เรียนรู้ มองว่าพระยังประทานโอกาสให้เราได้เริ่มต้นใหม่ในทุก ๆ วัน เราก็จะพบกับความสุขสันติ ถึงแม้ว่าบรรยากาศรอบตัว ในสังคมมีแต่เรื่องร้าย ๆ เข้ามาในทุกวันก็ตาม อย่างเช่น เมื่อวันก่อนมีข่าวเรื่องเด็กมัธยมต้น ใช้มีดปลอกผลไม้แทงเพื่อนในโรงเรียนเดียวกันจนเสียชีวิต แน่นอน...จิตใจเรารู้สึกหดหู่ เห็นหลายคนโทษระบบ โทษโรงเรียน โทษเพื่อน ๆ โทษการเลี้ยงดูทางบ้าน ใช่หรือไม่ เราก็แค่ได้รับรู้เพียงเศษเสี้ยวของความจริงเท่านั้น จึงมิอาจจะตัดสินได้นอกจากรำพึงในใจว่า ขออย่าให้เหตุการณ์นี้เกิดกับเราหรือคนที่เรารักเลย พอวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวเด็กสี่ขวบตกคอนโดมิเนี่ยมที่เพิ่งย้ายกันเข้าไปอยู่ ดูไปดูมามีแต่โชคร้ายไปเสียทั้งหมด และคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่อยู่ ๆ ได้อ่านเจอเรื่องดีงดงาม ที่คล้าย ๆ กับข่าวนี้ แต่ต่างกันในรายละเอียด เป็นเรื่ิองจริงที่เกิดขึ้นที่ประเทศจีน อู๋ จิ๋ว์ผิง คุณแม่ใจงามที่สุด..


เช้าวันนั้น เธอหอมแก้มลูกสาววัย 7 เดือนอย่างรักใคร่ ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปหาซื้ออะไรเข้าครัว   ฟ้าใสกระจ่างที่หางโจว อากาศดีไม่หนาวไม่ร้อน เธอจึงเดินมองท้องฟ้ามาอย่างสบายอารมณ์ พลันสายตาพบบางอย่างเคลื่อนไหวที่ปลายระเบียงชั้นที่สิบของคอนโด เมื่อเพ่งสายตาอย่างตั้งใจ เธอจึงตระหนักว่านั่นคือ เด็กที่เพิ่งหัดเดินเตาะแตะ ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ เธอมีรางสังหรณ์ ห่วงใย และจ้องมองไม่ละสายตา

ทันใดนั้น เด็กน้อยก็ลอดเหล็กดัดระเบียงและร่วงลงมาต่อหน้าต่อตา เธอสลัดรองเท้าส้นสูงทิ้ง วิ่งตรงไปที่จุดตกอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมเสียงหวีดร้องลั่น มีสำนึกเดียวในสมองคือ “รับ” ให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

อู๋ จี๋ว์ ผิง หมดสติทันทีจากแรงกระแทก กระดูกแขนซ้ายหัก  หนิว หนิว หนูน้อยวัยสองขวบ มีอาการเลือดตกในตอนหลุดจากอ้อมกอดกระแทบพื้น  แต่ทั้งคู่รอดตายด้วยความรักและปาฏิหาริย์ ภายหลังรักษาตัวในโรงพยาบาล ก็หายเป็นปกติ ปัจจุบัน หนิว หนิว เติบโตเป็นสาวน้อยอายุ 14 ปี เธอรอดตายและได้แม่ทูนหัว (God Mother) เพิ่มมาอีกหนึ่งคน


เอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ผ่านมาจัดที่เมืองหางโจว และชาวเมืองมีมติเป็นเอกฉันท์เลือก อู๋ จี๋ว์ ผิง เป็นผู้เชิญคบเพลิงในวันเปิดงาน ในฐานะ “คุณแม่ใจงามที่สุด” เป็นผู้วิ่งคบเพลิงเอเชียนเกมส์คนที่ 104  พิธีวิ่งคบเพลิงกีฬาเอเชียนเกมส์หางโจว 2023  เป้าหมายสร้างสถิติใหม่พิธีวิ่งคบเพลิงเอเชียนเกมส์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ที่มีผู้วิ่งมากที่สุด ( ทั้งหมด 2,022 คน ) และครอบคลุมทุกสาขาอาชีพและตำแหน่งงานมากที่สุด บรรดาผู้วิ่งถูกคัดสรรขึ้นมาจากหลากหลายสาขาอาชีพ ซึ่งแต่ละคนมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ

เรื่องร้าย ๆ อาจจะถาโถมใส่เราได้ตลอดเวลา เพราะใจคนเรานั้นเปราะบาง อยากได้อยากมีด้วยกันทุกคน สำคัญที่สุด ในขณะพบเจอพายุร้าย ๆ คลื่นที่รุนแรงนั้น เราจะปรับจิตใจอย่างไร คนรอบข้างจะช่วยกันประคับประคองให้ก้าวพ้นจากห้วงเหวนั้นมาได้เช่นไร สำหรับผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้า เราย่อมเชื่อว่าในเหตุการณ์นั้นมีเพียง “ความรัก และการอภัย” ให้กัน จะเป็นเสมือนใบเรือที่เราร่วมกันกางและร่วมกันปรับทิศเปลี่ยนให้ถูกให้ควร เรื่องร้ายในชีวิตเราจะได้ผ่านพ้นจากกระแสอันโหดร้ายนั้นไปได้ด้วยดี และที่สุดจะเพิ่มความเชื่อความศรัทธาให้มากขึ้น ..

วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2567

หนึ่งวันพันเรื่อง

 หนึ่งวันพันเรื่อง

หนึ่งวันพันเรื่อง

>>> “การค้นพบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต คือ การได้เผชิญหน้ากับตนเอง”

อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ <<<

อากาศยามเช้าๆ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูจะขมุกขมัวเสียเหลือเกิน บางวันฝนทำท่าว่าจะตกหรือบางทีอาจจะตกมาบ้างในบางที่ และเป็นธรรมดา เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง เราก็เห็นคนป่วยเป็นหวัดกันมาก คนป่วยในโรงพยาบาลก็ขวักไขว่ ว้าวุ่นกันไป การเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วเหมือนอากาศที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวฝน คนที่อ่อนแอไร้ภูมิก็มิอาจจะต้านทานได้ เฉกเช่นเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกที่รวดเร็วทุกวินาที มีเรื่องราวหนึ่งวันพันเรื่อง  สามารถที่จะทำให้เราพลาดพลั้งเผลอไปได้ง่าย ยิ่งในโลกที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลที่กังวานอยู่ในจิตใจของผู้คนตลอดเวลา ปีศาจในตัวเราก็พร้อมจะลุกขึ้น มาทำให้จิตวิญญาณเราซวนเซ เถลไถลไปไกลจากจุดยืนได้


หลายครั้งเราก็ตกอยู่ในสภาพ “รู้แต่ทำไม่ได้” พอเกิดเรื่องความวิตกกังวลก็มีความรู้วิธีลดความวิตกกังวล แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง หรือลองทำอยู่ แต่ก็ไปไม่รอด ใช่หรือไม่ สิ่งที่สำคัญมากกว่าวิธีการจึงเป็นความเข้มแข็งของจิตใจ เราจำเป็นต้องมีภูมิต้านทานที่ไม่กลัวและยอมแพ้กับอุปสรรคอะไรเลย เเม้ว่าเรื่องนั้นจะหนักหนาสาหัส เราต้องผ่านมันไปให้ได้ คนเราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า เเละไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เเม้ในวันข้างหน้าไม่มีเรา จะมีใครพูดถึงเราเช่นไร เราก็ไม่ได้ยินถึงมันอยู่ดี

ในความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากมนุษย์ได้สร้างขึ้นมา นิยามกันขึ้น สมมุติก็เป็นสิ่งแทนขึ้นมา อะไรจริง อะไรเท็จ ทุกอย่างล้วนถูกตั้งค่าขึ้นจากมนุษย์ทั้งสิ้น วันนี้เราเป็นอะไร วันข้างหน้าเราเป็นใคร ไม่สำคัญ เรารู้สึกเเค่ว่า เรามีความสุขกับอะไรเราก็เเค่ดำเนินชีวิตไปตามสิ่งนั้น เเล้วเราจะเติบโตขึ้น เพราะถ้าเรากังวลกับสิ่งที่มันยังมาไม่ถึง บางครั้งการที่เราละเอียดรอบคอบมากเกินไปกับมันทำให้เราไม่กล้าก้าวออกมาจาก Comfort zone เราอาจจะพลาด บางเรื่องราวที่สอนประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับเรา รอบคอบกับสิ่งที่เราดำเนินอยู่ อะไรจะเกิด ก็เเค่ปล่อยมันไป เเล้วตั้งหลักใหม่ ผ่านมันไปให้ได้ เเล้วเราจะเติบโตขึ้นทั้งใจเเละกาย

    ลาตัวหนึ่งแบกสัมภาระอันหนักอึ้งไว้บนหลัง 

หลีกทางไป เจ้าลาสกปรก” ม้าทหารตวาดไล่ด้วยเสียงอันดัง

ลาจึงหลีกทางให้ พลางเฝ้ามองดูม้าทหารผู้งามสง่าอยู่ในเครื่องประดับเต็มยศอย่างโก้หรูนั้นเยื้องย่างผ่านไป เมื่อย้อนมองดูตนเองแล้วลาก็ได้แต่นึกอิจฉาในลาภยศของม้าทหาร แต่ทว่า หลังจากม้าทหารได้รับบาดเจ็บในสนามรบและมิอาจออกสนามได้อีก

มันก็ถูกส่งมาทำงานหนักในไร่ในนา ต้องลากเกวียนที่บรรทุกสัมภาระหนัก ๆ ทุกวันอย่างตรากตรำ ลามองอดีตม้าทหารอย่างเวทนาและเข้าใจชีวิตได้มากขึ้น (นิทานอีสป)

เราล้วนต่างกลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวความไม่สำเร็จ  กลัวการผิดหวัง กลัวคนไม่รักไม่นับถือ ยามมีชื่อเสียง มีอำนาจ มีทรัพย์สินเราก็ผยองพองขน ทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นจุดอ่อนที่หลอนหลอกเรา เหมือนเงาปีศาจที่ตามไปทุกที่และพร้อมที่ลุกขึ้นมาสิงสู่เรา ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้อยู่ว่าเรามีเทวดาประจำตัวอยู่แต่เป็นเราเองที่กักขังเทวดานั้นให้อยู่นิ่ง ๆ เพราะความหลงใหลในปีศาจที่น่าจะเย้ายวนมากกว่า เรามาปลุกเทวดาให้มาอยู่กับเรา ให้มาช่วยขับไล่ปีศาจในตัวตนของเราออกไป เพื่อเราจะได้มีภูมิ แม้ว่าวันหนึ่งเราต้องพบเจอเรื่องราวมากมาย ก็มิอาจจะทำอันตรายเราได้.....

วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2567

ค้นหาสู่แสวงหา

 

ค้นหาสู่แสวงหา

>>> เป้าหมายของชีวิต ใช่การแสวงหาความสุข แต่อยู่ที่ ชีวิตมีความหมายเช่นไร<<<

            ความรู้มีล้นโลกและเราก็สามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน เพียงเราเข้ากูเกิล แล้ว “ค้นหา” สิ่งที่อยากรู้ ไม่นานเราก็จะกระจ่างขึ้น แต่...ใช่หรือไม่ เราไม่สามารถค้นหาความสุขในนั้นได้  โลกนี้ทุกคนต่างก็แสวงหาแต่ความสุข บ่อยครั้งคนที่ไม่พบความสุข ก็จะรู้สึกผิด ละอาย ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตของพวกเขาอาจจะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร ไม่ได้หิวโหย ไม่เจ็บป่วย ร่างกายแข็งแรงทุกอย่าง แต่ภายในใจของเขาเกิดสิ่งที่เรียกว่า “สุญญากาศทางจิตวิญญาณ” เกิดอาการสับสน งุนงง ไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร มีความหมายอย่างไร อยู่ไปเพื่ออะไร สงสัย ตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา แปลกแยก โดดเดี่ยว บ่นเบื่อ ตำหนิโลกรอบตัว เพราะไม่มีความสุข


จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิตไม่ใช่การแสวงหาความสุข แต่เป็นการแสวงหาความหมายของชีวิตต่างหาก คนเราไม่คิดเช่นนั้น ต่างก็คิดที่จะกอบโกยความสุขบนความฉาบฉวย บนความมีชื่อเสียง ในความเด่นความดัง และก็เกิดการยึดติด  ทำทุกวิถีทางไม่ให้ทุกข์ร้อน โดยลืมไปว่า ชีวิตในห้วงทุกข์นั้นก็มีความหมาย และดีไม่ดีมันจะสอนให้เรามองเห็นความหมายของชีวิตได้ชัดเจนยิ่งกว่า สังคมมักจะยอมรับว่าคนที่มีความรู้เป็นคนมีเป้าหมายชีวิต แต่ก็อีกนั่นแหละ ความรู้ที่ไม่มีการค้นหาความจริงนั้น ทำให้หลงติด เฉพาะสิ่งที่ตัวเองรู้ และการหลงติดก็จะปิดกั้น การแสวงหา ทำให้ตัวเองคับแคบ อะไรที่ผิดจากตัวเองรู้และตัวเองคิด จะปฏิเสธ จะต่อต้าน จะโต้เถียง เราเรียนรู้แค่ทฤษฎีในตำรา บ่อยครั้งก็ไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้น เพราะยึดแค่ที่เห็นที่ฟัง ใครบอกก็ไม่เชื่อ รู้ทฤษฎีรู้ตำรา แต่ไม่ค้นหา คือ การขาดประสบการณ์ มักอวดอ้างการเป็นคนรุ่นใหม่ หยามหยันคนเก่าก่อน เมื่อวานย่อมมีเด็กน้อยจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นมาเป็นคนรุ่นใหม่ ไล่หลังไล่ล่าคนรุ่นวันนี้

โลกรอบตัวของเราดำเนินไปตามทางของมัน เราไม่สามารถเข้าไปควบคุมทุกเรื่อง สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้แน่นอน ก็คือ จิตใจเราเอง ทัศนะคติของเรา ที่มีต่อเรื่องราวตรงหน้า เราจะมองมันอย่างไร แล้วตัดสินใจว่าจะเดินตามทางนั้น เพื่อแสวงหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตหรือไม่ เหมือนชาวประมงบนชายฝั่งเมื่อครั้งกระโน้น.....

วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2567

ใจคนเรา

 

ใจคนเรา

>>> ในสังคมกว้างใหญ่หากใจเราแคบ ย่อมพบแต่ความขมขื่น <<<

วันหนึ่งเรียกแท็กซี่กลับบ้าน พอนั่งไปได้สักพักก็ติดไฟแดง จังหวะนั้นเองได้ยินเสียงรถขอทางของรถพยาบาลดังขึ้น รถทุกคันก็ช่วยกันขยับชิดซ้ายขวา เปิดให้มีทางที่กว้างขึ้น เราก็หวังในใจว่ารถคันที่นั่งจะขยับตาม ใช่แล้วขยับ แต่...ขยับตัดหน้ารถพยาบล แล้วก็วิ่งนำอย่างรวด  เราก็ได้แต่อ้าว …  หมดคำจะพูด ใจบางคนก็คับแคบเห็นแก่ตัว   เขาคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนี้      นั่นแหละเป็นบทเรียนว่า เราจะต้องไม่ทำแบบนี้ เพราะทำไปมันไม่พบความสุขใจเอาเสียเลย


คุรุชาวอินเดียท่านหนึ่ง มีลูกศิษย์ที่มักเอาแต่พร่ำบ่นอยู่คนหนึ่ง วันหนึ่งท่านก็ได้สั่งให้ลูกศิษย์ไปซื้อเกลือมาจากตลาด เมื่อได้เกลือกลับมา ท่านจึงได้สั่งให้เขาหยิบเกลือหนึ่งกำมือใส่ลงไปในแก้วน้ำ จากนั้นก็ให้เขาดื่ม “รสชาติเป็นอย่างไร
?” คุรุถาม “เค็มจนขมขอรับ” พูดเสร็จก็บ้วนน้ำเกลืออกจากปากทันที

คุรุก็ได้สั่งให้เขานำเอาเกลือที่เหลือเทลงไปในบึงน้ำ สั่งให้เขาตักน้ำในบึงมาชิม “รสชาติเป็นอย่างไร?” คุรุถาม “รสชาติดีขอรับ” เขาตอบ “เจ้าได้รสเค็มของเกลือหรือไม่?” คุรุถาม “ไม่มีเลยขอรับ” ลูกศิษย์หนุ่มตอบอาจารย์

“ความทุกข์ในชีวิตคนเราเปรียบเสมือนเกลือถุงนี้ การรับรู้รสของเกลือนั้นอยู่ที่ภาชนะที่รองรับ หากเจ้าพบเจอกับความทุกข์ แล้วเอาแต่บ่น ก็ไม่ต่างอะไรจากการใส่เกลือลงไปในแก้วใบเล็ก เจ้าจึงรู้สึกทุกข์แสนสาหัส หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง เป็นภาชนะใบใหญ่ แม้จะใส่เกลือมากมายลงไป เจ้าก็ไม่ทุกข์กับสิ่งที่เจอ เพราะภาชนะนั้นมันกว้าง” คุรุสบโอกาสชี้แนะลูกศิษย์  (นุสนธิ์บุคส์)

ใจคนเราเหมือนภาชนะ ใส่ความสุขไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความกลัดกลุ้มน้อยลง ใส่ความเรียบง่ายไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความซับซ้อนน้อยลง ใส่ความพอเพียงไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความทุกข์น้อยลงใส่ความเข้าใจไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความขัดแย้งน้อยลง ใส่ความอภัยไว้มาก ก็มีพื้นที่เหลือให้ความแค้นเคืองน้อยลง ใจเราจะเป็นแบบไหนเล่า.....

วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2567

สิ่งแรกที่เห็น

 

สิ่งแรกที่เห็น

>>> อ่อนน้อมเหมือนดอกหญ้า แม้ดูว่าไร้ค่าแต่งดงาม <<<


คนเรามักจะจดจำคนที่เคยพบปะได้อย่างแม่นยำ จะมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกพอเห็นก็เกิดความประทับใจ เห็นปุ๊บรู้สึกดีต่อใจปั๊บ กลับกัน อย่างที่สอง เห็นแล้วก็หมั่นไส้ และรู้สึกถึงแสงมืดมนทนพูดคุยให้เสร็จสรรพไป เราจะเลือกเป็นคนแบบไหนล่ะ แน่นอนอยู่แล้ว เราต่างต้องการให้ใครพบเห็นครั้งแรกแล้วต้องเกิดร่องรอยความประทับจิตประทับใจเป็นธรรมดา แต่ก็ต้องขึ้นอยู่ว่าในสถานการณ์นั้นเราได้แสดงตัวตนในรูปแบบไหนให้กับผู้คนที่พบเห็น ก็มีบ้างบางครั้ง แค่เห็นก็ไม่ถูกชะตา แค่เห็นก็หมดอารมณ์จะพูดคุย แต่สำหรับผู้เจริญแล้ว เราย่อมต้องแสดงความเป็นมิตรกับทุกคน แต่ก็อีกนั่นแหละ บางครั้งความที่เราคิดว่าตัวเองเก่งตัวเองดี จึงคิดเข้าข้างตัวเองว่า ทุกคนเมื่อพบเจอเราจะต้องประทับใจ เพราะความหลงใหลในตัวเอง จึงโอ้อวดออกมาโดยมิรู้ตัว

คุณพ่อผู้หนึ่งต้องไปประกอบพิธีในเมืองชนบทแห่งหนึ่ง เขาไม่เคยไปมาก่อนเลย พอลงจากรถไฟเขาก็ถามเด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจะบอกพ่อหน่อยได้ไหมว่า จะไปที่ทำการไปรษณีย์ทางไหน?” เด็กคนนั้นก็บอกให้  นักบวชก็ขอบใจเด็กและถามว่า “เจ้ารู้ไหมว่าพ่อคือใคร”

“ไม่ทราบฮะ” เด็กตอบ “พ่อคือ กาเบรียล ดอยล์ นักเทศน์ไงล่ะ  คืนนี้เจ้าจงมาฟังพ่อเทศน์นะ  แล้วพ่อจะชี้ทางไปสวรรค์ให้เจ้า” “ตายละ” เจ้าหนูตอบ “แค่ทางไปรษณีย์ท่านยังไม่รู้เลย  แล้วท่านจะรู้ทางไปสวรรค์ได้ยังไงกันฮะ” ….

เราจะชี้ทางสวรรค์ จะชี้ทางสุขให้กับคนอื่นได้อย่างไร? หากว่าเรามิได้แสดงออกถึงความรัก ความสุภาพ ความถ่อมตัวของเรา ไม่ว่าจะมีฐานะอะไร ก็อย่ามองข้ามคนอื่น อย่าอวดตัว เจียมเนื้อเจียมตัว ผู้คนจะรักใคร่ ยิ่งโอ้อวด ยิ่งไม่มีคนสนใจ คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง จะไม่ทำตัวเปิดเผยต่อสาธารณะ ไม่โอ้อวดให้ผู้คนรับรู้ แต่จะถ่อมตัวอย่างสุภาพ ทำตัวเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก เกิดเป็นคนเราต้องมีใจแห่งความเมตตา ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ใช้ใจในการทำสิ่งต่าง ๆ นี่คือการแสดงองค์พระคริสต์ในตัวเราอย่างจริงแท้