วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

วันที่แสงทองส่องทั่วฟ้า

วันที่แสงทองส่องทั่วฟ้า
วันนี้ (1 พ.ค. ปี 2011) คือวันที่พระศาสนจักรได้แสดงให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ถึงความมั่นคงในคุณงามความดีอันเป็นนิรันดร์ เป็นศิลาที่แข็งแกร่งอยู่คู่โลกหล้า วันนี้เป็นวันที่สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ผู้ล่วงลับ แต่กลับไม่เคยจางหายไปจากหัวใจของผู้คนทั่วโลก ได้รับการสถาปนาเป็นบุญราศี  วันนี้จึงขอนำประวัติของพระองค์ท่านมาเพื่อเป็นบทสอนสำหรับเราผู้ที่ยังมีลมหายใจ
สมเด็จพระสันตะปาปา ยอนห์ ปอลที่ 2 ทรงเป็นพระสันตะปาปาลำดับที่ 264  เป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่เป็นชาวโปแลนด์และเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่ไม่ได้เป็นชาวอิตาเลี่ยนในรอบ 456 ปี นับจากพระสันตะปาปาอาเดรียนที่ 6 ......
สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 มีพระนามเดิมว่า คาโรล  โจเซฟ  วอยติวา หรือ โลเล็ก  มีชีวิตในวัยเด็กที่แสนธรรมดา เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เกิดและเติบโตในประเทศโปแลนด์ จากครอบครัวที่ศรัทธา  ท่านมีความสามารถพิเศษในเชิงกวีนิพนธ์ กีฬาที่ทรงโปรดปราน คือ ฟุตบอล ซึ่งเล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตู คาโรล  มีน้ำใจดีต่อเพื่อนทุกคน จึงเป็นที่ชื่นชอบในหมู่เพื่อน ทั้งยังได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียนอีกด้วย (แววออกตั้งแต่หนุ่ม)
คาโรล เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม  ปี 1920  ที่วาโดวิเช เมืองเล็กๆ ห่างจากเมืองคาร์คูฟ ประมาณ 50 กิโลเมตร เป็นบุตรชายคนที่สองในจำนวนพี่น้องสองคน ของนายคาโรล  วอยติวา และนางเอมิเลีย แคกโซรอฟสกา  นางเอมิเลียผู้เป็นแม่ ถึงแก่กรรมใน ปี 1929 ความเสียใจนั้นทำให้คาโรลใกล้ชิดพระนางมารีย์ และยึดเป็นที่พึ่งทางใจ เอ็ดมูนด์  พี่ชายเพียงคนเดียวซึ่งเป็นหมอก็มาถึงแก่กรรมใน ปี 1932  ต่อมาบิดาซึ่งเป็นทหาร ก็ถึงแก่กรรมใน ปี 1941 คาโรล จึงกำพร้าตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 21 ปี
คาโรล ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกขณะมีอายุได้ 9 ปี  และรับศีลกำลังอายุ 18 ปี  เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียน มาร์แซง วาโดวิตา ก็ได้สมัครไปเรียนระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัย จาเยโลเนียน ใน ปี 1938  โดยเลือกเรียนคณะวิชาวรรณคดีและวิชาการละคร
ใน ปี 1939  ทหารนาซีเยอรมันครอบครองโปแลนด์  มหาวิทยาลัยถูกปิด  คาโรลจึงต้องไปทำงานในเหมืองถ่านหิน และต่อมาย้ายไปทำงานในโรงงานเคมีภัณฑ์ซอลเวย์ เพื่อหาเลี้ยงชีพและเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกควบคุมตัวส่งไปยังเยอรมนี
ใน ปี 1942 คาโรล รู้สึกถึงการได้รับกระแสเรียกให้เป็นพระสงฆ์ จึงสมัครเรียนกับพระคาร์ดินัล อดัม  สเตฟาน ซาปีเอฮา พระอัครสังฆราชแห่งคาร์คูฟ   เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ท่านได้เรียนวิชาเทววิทยาที่มหาวิทยาลัยจาเยโลเนียน จนกระทั่งบวชเป็นพระสงฆ์ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1946 ที่เมืองคาร์คูฟ
จากนั้นไม่นาน พระคาร์ดินัล ซาปีเอฮา ได้ส่งคุณพ่อคาโรล ไปศึกษาต่อที่กรุงโรม ให้อยู่ในความดูแลของคณะโดมินิกัน จนสำเร็จปริญญาเอกทางเทววิทยา ใน ปี 1948  ระหว่างปิดภาคเรียนได้มีโอกาสไปทำงานอภิบาลผู้อพยพชาวโปลิช ที่อาศัยในฝรั่งเศส  เบลเยี่ยม และฮอลแลนด์
ปี  1948 คุณพ่อคาโรล วอยติวา เดินทางกลับโปแลนด์  ได้ไปทำงานอภิบาลงานในวัดหลายแห่งในคาร์คูฟ และเป็นจิตตาภิบาลนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จนถึงปี 1951 จึงเรียนต่อวิชาปรัชญาและเทววิทยาที่มหาวิทยาลัยลูบลิน
4  กรกฎาคม ปี 1958 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 ทรงแต่งตั้งคุณพ่อคาโรล โจเซฟ วอยติวา ให้เป็นพระสังฆราชผู้ช่วยแห่งคาร์คูฟ โดยพระอัครสังฆราชบาซิแอค ประกอบพิธีอภิเษก ณ อาสนวิหารวาเวล  เมืองคาร์คูฟ ในวันที่ 28 กันยายน ปี 1958 
13  มกราคม ปี 1964 สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6 ทรงแต่งตั้งพระสังฆราชผู้ช่วยวอยติวา ให้ดำรงตำแหน่งพระอัครสังฆราชแห่งคาร์คูฟ  พระองค์ยังทรงสถาปนาท่านให้เป็นพระคาร์ดินัล ในวันที่ 26 มิถุนายน ปี 1967
ในปี 1978 ซึ่งได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็น ปีแห่งพระสันตะปาปา 3 พระองค์ พระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน ระหว่างทรงพักผ่อนในฤดูร้อน ต่อมาพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 1 ได้รับตำแหน่งสืบทอดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1978 แต่สิ้นพระชนม์ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 28 กันยายน 1978 ทรงอยู่ในพระสมณสมัยได้เพียง 33 วัน พระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ได้รับเลือกในวันที่ 16 ตุลาคม 1978
 และวันที่ 22 ตุลาคม 1978  ซึ่งถือว่าเป็นวันเริ่มพระสมณสมัยของพระองค์ด้วยพิธีอภิเษกถวายมหาบูชามิสซาอย่างสง่า ณ บริเวณลานมหาวิหารนักบุญเปโตร ท่ามกลางสภาพระคาร์ดินัล คณะทูตานุทูต และผู้แทนสัตบุรุษจากทั่วทุกมุมโลก และนี่คือจุดเริ่มต้นพระสมณสมัยแห่งสันติภาพ
พระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงเป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกที่ได้รับฉายาว่า พระสันตะปาปานักเดินทาง และ พระสันตะปาปานานาชาติ ในขณะที่ทรงเริ่มดำรงตำแหน่งเป็นพระสันตะปาปา พระองค์ทรงใช้เวลามากกว่า 1 ปี เดินทางโดยเครื่องบิน ทรงเดินทางเพื่ออภิบาลงานนอกประเทศอิตาลี  104  ครั้ง  เดินทางภายในอิตาลี  146 ครั้ง  และในฐานะพระสังฆราชแห่งโรม พระองค์เสด็จไปยังวัดต่างๆ 317 แห่ง จากจำนวนทั้งสิ้น 333 แห่งมีผู้คนจำนวนมากมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี พระองค์ทำให้โลกนี้กลายเป็นวัดสากลในทุกที่ที่เสด็จไป โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยวันนี้แสงทองได้ส่องทั่วฟ้าด้วยว่าสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ได้ประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่เสมอมาและตลอดกาล....  

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

ความดีไม่มีวันตาย


ความดีไม่มีวันตาย
            ชื่อเรื่องอาจจะดูคล้ายๆกับละครดังที่ลาจอไปเมื่อไม่นานนี้ ที่ทำให้หลายคนรอคอยด้วยหัวใจจดจ่อเมื่อถึงเวลาก็จะรีบเร่งกลับบ้าน จองที่ทางอยู่หน้าโทรทัศน์ ถึงแม้ว่าชื่ออาจจะคล้ายๆกันแต่เนื้อหาคงไม่เกี่ยวข้องกันแต่ประการใด... เรื่องที่เขียนนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการได้เข้าไปที่ facebook ของ Pope Report * แล้วได้อ่านบทเทศน์ขององค์สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ในวันอาทิตย์ใบลานที่ผ่านมา พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่า ตั้งแต่อดีตมนุษย์พยายามทำทุกอย่างให้ตนสูงส่งเหมือนพระเจ้า แต่มนุษย์ไม่มีวันเสมอพระเจ้า เพราะมนุษย์ถูกแรงโน้มถ่วงของโลกฉุดตัวเราลงมา แรงโน้มถ่วงเหล่านี้คือความเห็นแก่ตัว การประพฤติชั่ว และปีศาจ กระนั้น ปีศาจพยายามจะดึงเราให้ไปอยู่กับมัน แต่พระเยซูทรงยอมสละชีวิต เพื่อให้โลหิตของพระองค์ปกป้องเราไว้
            แล้วอะไรคือแรงโน้มถ่วงของโลกล่ะ นิวตันได้เคยอธิบายไว้ว่า มีแรงๆหนึ่งที่กระทำต่อวัตถุเพื่อดึงวัตถุให้ตกสู่ใจกลางโลก เรียกแรงนี้ว่า แรงโน้มถ่วง ฉะนั้นจึงสรุปๆได้ว่า แรงโน้มถ่วง คือ แรงดึงดูดวัตถุทุกชนิดเข้าสู่โลก 
สมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ท่านได้นำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาเทศน์ เพื่อเป็นเหตุผลทางด้านชีวิตภายในของผู้คนได้อย่างเห็นภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกแรงดึงดูดของโลกดึงกลับไปสู่โลก หากเราเอาชนะแรงดึงดูดโลกได้เราก็สามารถที่จะยืนหยัดอยู่บนโลกได้ ในขณะที่โลกก็หมุนไปเรื่อยๆ ใครที่ไม่สามารถจะสู้รบกับแรงดึงดูดโลกได้ ก็จะล้มลงนอนราบบนผืนโลก ..
            แต่ก็น่าแปลกใจในขณะที่พระเจ้าสร้างเราให้เอาชนะแรงดึงดูดโลกได้ แต่ภายในจิตใจของมนุษย์เรากลับพร้อมน้อมรับที่จะถูกโน้มนำไปสู่จุดบอด จุดตาย มนุษย์เรายิ่งนับวันยิ่งทวีแรงเห็นแก่ตัวมากขึ้น ช่วยกันสร้างพลังแรงโน้มฉุดดึงกลับไปยังโลกมากขึ้น โลกที่เต็มไปด้วยวัตถุนิยม โลกที่หลอมวิถีชีวิตเราด้วยความโลภ ด้วยความอยาก ด้วยการวัดค่าความดีที่ใครมีจำนวนเงินมากกว่ากัน โลกที่วัดความเจริญก้าวหน้าของประเทศด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจ ด้วยมิพักสนใจต่อความสุขของประชากร (จะเห็นว่าหลายประเทศเริ่มนำความสุขมวลรวมของประชากรมาใช้เพื่อวัดการพัฒนาอย่างครบครันของประเทศ แต่ก็ยังน้อยมากๆ) 
            ใช่หรือไม่ เรากำลังถูกพลังเงินดึงดูดเราห่างจากพระเจ้า ยุคนี้จึงเป็นยุคที่เรามีทัศนคติที่เกี่ยวกับเงินเป็นที่ตั้ง เรื่องคุณธรรมจรรยาเป็นเรื่องท้ายแถว มีค่านิยมยกย่องคนรวยมากกว่าคนดี ทั้งๆที่ความดีไม่มีวันตาย แต่กลายเป็นว่าความดีมันกินไม่ได้ ใครที่มีอุดมคติอยู่กับความดี ความงาม ดูเหมือนจะเกิดมาผิดยุคผิดสมัย คนส่วนใหญ่ยังรับได้กับผู้บริหารที่โกงกิน คอร์รัปชั่น เพียงถ้าบริหารให้คนทั่วไปได้มีกินมีใช้จากเศษเสี้ยวของกลโกงบ้าง แค่นี้ก็พอใจ  คนรุ่นใหม่ไม่สนใจที่จะทำงานเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต อะไรก็ได้ที่ทำโดยไม่เหนื่อยนัก ไม่หนัก ไม่ต้องรับผิดชอบจนเกินไป งานอะไรก็ได้ที่ได้เงินมากๆ และได้มาอย่างรวดเร็ว
            สิ่งเหล่านี้ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ ด้วยโฆษณาชวนเชิญ ชวนเชื่อ ให้สมัครงานผ่านระบบเครือข่ายสมัยใหม่ โดยมีคำโปรยหัวว่า งานสบาย ทำอยู่ที่บ้านก็ได้ รับเงิน 10,000 100,000 บาท/ เดือน สมัครฟรีวันนี้ รับงานไปทำได้เลย และผู้ที่เข้าไปสมัครเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ ล้วนเป็นเด็กที่กำลังศึกษาอยู่ หรือเพิ่งจบมาหมาดๆแทบทั้งนั้น แต่ก็อีกนั่นแหละ จะมีอะไรได้มาฟรีๆหามีไม่ในโลกนี้ คนอีกกลุ่มหนึ่งใช้ความเห็นแก่ตัวหากินบนความเห็นแก่ได้ของผู้คนสมัยใหม่ เมื่อหลอกล้อให้ไปฟัง และก็ตามสูตรจัดทีมงานมาเกลี้ยกล่อมให้คล้อยตาม ให้ใช้เงินซื้อตำแหน่งแห่งหน เพื่อแลกกับการทำงานสบาย จากนั้นเพื่อให้ได้เงินมาก เพื่อให้ได้เงินลงทุนคืนก็ต้องไปหาสมาชิกมาต่อๆจากเราไปเรื่อยๆ นี่แหละงานสบาย เราก็กลายเป็นคนหลอกกันไปหลอกกันมา โดยมีเพียงผลิตภัณฑ์เป็นตัวเชื่อม ธุรกิจแบบนี้กำลังขยายตัวอย่างเงียบๆแต่รวดเร็วมากบนโลกเสมือนจริง ในโลกไซเบอร์
            นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆในโลกแห่งความเป็นจริงที่แฝงเร้นไปด้วยความเจ็บปวด โลกที่กำลังดึงดูดให้จิตวิญญาณมนุษย์สู่จุดบอดจุดตาย แล้วอะไรล่ะที่พอจะเยียวยารักษาจิตวิญญาณของมนุษย์ไม่ให้ถูกพลังปีศาจดึงดูดไปได้ คำตอบ คือ ความดี แล้วความดีทำกันอย่างไรยังจำกันได้หรือเปล่า!!!  สิ่งแรกสุดคือการลดความเห็นแก่ตัวลงบ้าง ลดอย่างไรหรือ  ต้องไม่ดูถูกจิตวิญญาณ ไม่ดูถูกคุณค่าของตัวเอง สร้างคุณธรรมเป็นประจำ อย่าตอกย้ำเพียงเรื่องวัตถุ บรรลุภาวะในการกินอยู่ ไม่สู่รู้ไปเสียทุกเรื่อง ลดการโกรธเคืองเพื่อนพี่น้อง มองเห็นความต้องการของคนรอบข้าง สร้างสังคมด้วยรอยยิ้ม นิ่มนวลสงวนคำหยาบ กำหราบความโลภด้วยความรัก พักเรื่องกอบโกยโดยแทนที่ด้วยการให้ สละน้ำใจวันละนิด ชีวิตจะได้หลุดพ้นจากแรงดึงดูด ให้ความดีฉุดเราขึ้นสู่สวรรค์ แล้วเราจะข้ามผ่านวันเวลาที่ล้นไปด้วยความเห็นแก่ตัว เหลือแต่ความเห็นแก่ความดีไปด้วยกัน ความดีทำอย่างไรก็ไม่มีวันเต็ม ความดีทำอย่างไรก็ไม่มีวันพอ เพราะความดีไม่มีวันตายและท้าทายแรงดึงดูดของโลกได้เป็นอย่างดี
     *facebook Pope Report และเว็บไซต์http://www.popereport.com                                      ริเริ่มโดยเยาวชนหนุ่มผู้หนึ่งที่ได้เสียสละเวลา เสียสละเงินเดือนส่วนตัว แปลข่าวรายงานข่าวเกี่ยวกับพระสันตะปาปา ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 จนถึงสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16  ช่วยกันเป็นกำลังใจและแวะเวียนไปเยี่ยมชม ไปอ่านเรื่องราวดีๆงามๆได้ครับ แล้วท่านจะรักพระสันตะปาปาและพระศาสนจักรมากยิ่งขึ้น...

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

น้ำตา...ไชโย

น้ำตา..ไชโย


ใครบ้างเกิดมาไม่เคยร้องไห้ ใช่หรือไม่ ตอนเกิดมาเราทุกคนย่อมร้องไห้ ท่ามกลางความยินดีของผู้คนรอบข้าง (อาจมีบ้างบางคนที่ร้องไห้พร้อมๆกับผู้ให้กำเนิดที่ระทดท้อต่อโชคชะตา) และเมื่อเดินทางถึงจุดหนึ่งที่มีขวากหนามเกี่ยวตำ ทิ่มแทงจนเจ็บปวด ไม่แปลกอะไรเลยที่เราจะรักษาอาการบาดเจ็บด้วยน้ำใสที่หยาดหยดมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย เรื่องนี้หาได้เป็นสิทธิของผู้ใด เพราะน้ำตาหาใช่ของเพศใดเพศหนึ่ง น้ำตาเป็นดั่งสายฝน เป็นดั่งพายุที่กระหน่ำเข้ามา เมื่อพัดผ่านพ้นไปท้องฟ้าก็จะเริ่มสดใส การได้ร้องไห้บ้างอาจจะทำให้เรื่องร้ายๆกลับกลายเป็นดี ร้องไห้บ้างเพื่อให้กำลังใจของตนเองได้กล้าแกร่งแข็งแรงขึ้น แต่ละคนล้วนมีสายฝน ฤดูกาลทุกข์เป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น เราไม่ใช่คนที่โชคร้ายที่สุดเพียงคนเดียวในโลกนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ เราก็ไม่ควรที่จะจมอยู่กับน้ำตาและฤดูเศร้าสร้อย วันแห่งความทุกข์ตลอดไป ล้มแล้วลุกขึ้นสู้ คือศักดิ์ศรีของความเป็นคน...


ในขณะที่เราร้องไห้อาจจะมีคนสมหวัง อาจจะมีคนดีใจ ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่ท้ายที่สุดคนที่ทำให้เราร้องไห้ เขาหรือเธอ ย่อมต้องมีความเจ็บปวด เกิดบาดแผลในใจขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย แต่โลกนี้ก็แปลก!!! ยังมีผู้คนอีกส่วนหนึ่งรู้สึกเจ็บปวดในขณะที่ได้รับการสรรเสริญยกย่องจากผู้อื่น เพราะเขารู้ว่าสิ่งนี้ไม่จีรังยั่งยืน... ในชีวิตของเราย่อมมีบ้างที่อยู่กลางเสียงไชโย กลางกลุ่มคำสรรเสริญเยินยอ ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของผู้คน จนบางครั้งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มก็ไหลออกมา แต่นั่น...ก็เป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งถึงสิ่งที่ได้รับจากผู้อื่น เป็นรางวัลที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ในการมองเห็นคุณค่าของเรา ณ ห้วงเวลาหนึ่ง แต่เชื่อหรือไม่ ในโลกนี้มีบางมุมช่างโหดร้าย หลายครั้งเราพบเห็นคนจัดงานแสดงความชื่นชมยินดีเพียงเพื่อกลบเกลื่อนความประสงค์ร้ายที่มีต่อกัน แสร้งทำว่าปลาบปลื้มแต่อีกด้านหนึ่งในมุมมืด ด้านสลัวอันน่ากลัวมีแต่ความปลิ้นปล้อน ต่อหน้าทำเป็นแย้มยิ้ม ลับหลังพร้อมจะทิ่มแทงให้ล้มตายกันไปข้าง..


ในโลกที่หลากหลาย เราไม่รู้ถึงจิตใจของผู้คนเพราะเป็นสิ่งที่ยากแท้หยั่งถึง จิตใจคนอ่อนไหวเยี่ยงสายลม ถูกชักจูง นำพา ก็แกว่งไปแกว่งมา ใครเลยจะเป็นที่ชื่นชมของผู้คนได้ตลอดกาล ใครเลยจะรอดพ้นจากการถูกทรยศหักหลัง ใครเลยจะไม่เคยถูกว่าร้ายกล่าวเท็จ ใครเลยไม่เคยถูกทำร้ายและใครเลยไม่เคยที่จะทำร้ายผู้อื่นด้วยอคติ และทัศนะส่วนตัว และหากเรารู้ว่าในท่ามกลางเสียงชื่นชมไชโยที่มีต่อเรานั้น อีกไม่นานอาจจะแปรเปลี่ยนไป เราจะทำตัวเยี่ยงไรในงานการฉลองต้อนรับเรานั้น เราจะเจ็บปวดแค่ไหนที่รู้ว่า คนที่ยิ้มแย้ม มอบดอกไม้ให้เราในวันนี้ วันหน้ากำลังหยิบยื่นความผิด หยิบยื่นหอกหนามให้เราสวมใส่ ย่อมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส อาจจะมีน้ำตาที่ไหลออกมากลางเสียงไชโย อาจจะร้องไห้ด้วยความระทมขมขื่น..


ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในวันที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาแล็ม ท่ามกลางเสียงไชโย ท่ามกลางการต้อนรับเยี่ยงวีรชนคนสาธารณะ ทั้งๆที่พระองค์รู้อยู่แล้วว่าสาธารณะชนคนส่วนใหญ่อีกไม่กี่วันจะเปลี่ยนเสียงร้องไชโยเป็นเสียงสาปแช่ง แล้วตะโกนว่า เอาไปฆ่า เอาไปตรึงกางเขน สาหัสไหม!!! คงเป็นความเจ็บปวดอย่างที่สุดสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง แต่พระองค์ทรงเอาชนะความเป็นคนอ่อนแอด้วยพระพักตร์ที่สง่างาม ความนิ่งเงียบและความไว้วางใจต่อพระบิดาเจ้าเป็นการกำหราบความอ่อนแอภายใน การเดินสู่ทางกางเขน ย่อมเริ่มต้นด้วยความชื่นชมยินดีกระนั้นหรือ...


แล้วในเหตุการณ์ครั้งนั้น มีอีกผู้หนึ่งที่รับรู้ตลอดมาว่า เส้นทางที่ลูกชายเลือกเดินนั้นคือความเจ็บปวดที่รออยู่ข้างหน้า พระนางมารีย์หาได้ยินดีต่อการต้อนรับอันยิ่งใหญ่เยี่ยงกษัตริย์ที่ผู้คนมอบให้กับลูกชายสุดที่รัก พระนางรับรู้อยู่แล้วความทุกข์ครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น พระนางรู้อยู่เต็มอกว่าลูกชายกำลังเดินสู่ความตายอย่างเดียวดาย แม้วันนี้ผู้คนล้นเมืองกำลังเบียดเสียดมาร้องไชโย โห่ร้องเพลงอย่างเอิกเกริก น้ำตาของพระนางรินหลั่งออกมาครั้นเมื่อสบตากับลูกชาย เป็นดั่งกระบี่ที่พุ่งแทงดวงใจของพระนาง พระนางมารีย์ยอดหญิงแกร่ง หลบปาดน้ำตา หลายคนคงรู้สึกว่าพระนางคงจะภาคภูมิใจในตัวลูกชายจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พายุลูกสุดท้ายกำลังจะโถมใส่พระนาง ในโลกนี้คงไม่มีผู้ใดจะเจ็บปวดเท่ากับพระแม่มารีย์อีกแล้ว ใช่หรือไม่ พระนางคือบุคคลที่มีคุณต่อมวลมนุษยโลกอย่ามิต้องสงสัย...


ย้อนกลับมาในชีวิตของเราบ้าง หากว่าเราไม่ต้องการจะให้ใครเจ็บปวด ไม่ต้องการจะให้ใครร้องไห้ เราต้องเป็นผู้ให้อย่างจริงใจ หยุดสร้างมายาให้โลกใบนี้ และเรียนรู้ถึงความไม่แน่นอนของจิตใจผู้คน เรียนรู้ที่จะทำให้จิตใจเรามั่นคง เรียนรู้ที่จะไม่ลอบทำร้ายกัน รู้จักแสดงความยินดีกันอย่างจริงใจ ยกย่องให้เกียรติกัน ไม่เป็นผู้ทรยศหักหลัง ซื่อสัตย์ต่อกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง โลกขาดแคลนคนที่มอบน้ำใสใจจริงต่อกันมาอย่างยาวนานแล้ว วันนี้เรามาร่วมกันระลึกถึงการที่ฝูงชนมาแสดงความยินดีต่อพระเยซูเจ้า ก็จงระลึกว่า เราจะไม่เป็นดั่งฝูงชนเหล่านั้นที่หยิบยื่นน้ำตาท่ามกลางเสียงไชโยให้กับผู้ใด เพราะโลกนี้เจ็บปวดมามากพอแล้ว และสุดท้าย วันที่เราไร้ลมหายใจ วันที่เราล้มตัวลงนอนอย่างถาวร ก็ขอให้เป็นการนอนด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าวันนั้นจะมีเสียงร้องไห้ต่อการจากไปของเรา แต่นั่นมันเป็นน้ำตาแห่งความชื่นชมยินดีโดยแท้ นี่แหละความท้าทายของเราทุกคน ทุกคนที่เคยหลั่งน้ำตาราดรดโลกนี้....

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

เหนือเมฆ

เหนือเมฆ

หลังหลุดจากภาวะที่ต้องตกเป็นทาสของเวลาเข้า-ออก ตอกบัตรกดลายนิ้วมือเพื่อบันทึกเวลาการทำงานตามกรอบ ตามกฎเกณฑ์ ตามระเบียบในสังกัดของการเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้ว ทำให้มีเวลามากขึ้นที่จะทำบางสิ่งบางอย่างได้โดยไม่ต้องมีขีดจำกัด การเดินทางท่องไปยังที่ต่างๆจึงเกิดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้วิถีชีวิตยังเคลื่อนเลื่อนไปอย่างไม่หยุดหย่อน ผสมกับการได้พักผ่อนอย่างเต็มที่โดยมิต้องพะวงถึงสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ถูกสวมใส่ให้ต้องรับผิดชอบ เหลือแต่เพียงรับผิดชอบและสัตย์ซื่อต่อจิตวิญญาณ รู้จักจัดการให้เวลาที่ผ่านเข้ามาอย่างมีประโยชน์โดยไม่ทิ้งขว้างไปอย่างไร้สาระ ได้มีเวลาจัดสรรระบบความคิด มีเวลาไตร่ตรองสองข้างทางที่ผ่านพ้น มีเวลาสำรวจตรวจสอบเรื่องราวที่ผ่านมา ที่หลายช่วงเวลาพัดหลงไปกับกระแสธารแห่งความยโส โอหัง กับกิเลสที่ชักจูงผิดที่ผิดทางไปบ้าง แต่...ใช่ว่านับจากนี้ไปจะไม่หวนไปจ่อมจมกับสิ่งเหล่านั้นอีก เพราะเป็นเรื่องของอนาคตและสภาวะจิตที่ยังมีกิเลส ที่ยังยึดติด ยังมีอคติล้นเหลือ ยังมีความอยาก เพียงแต่ ณ ตอนนี้ได้มีเวลาที่จะเหลียวไปมองและส่องเข้าไปในจิต เพื่อเพ่งพิศ เรียนรู้ชีวิตในแง่มุมที่ต่างจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆได้บ้าง

ในช่วงเวลาเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่การเดินทางขึ้นเหนือเพื่อพักผ่อนกับญาติพี่น้องและคนชิดใกล้ ซึ่งเดินทางโดยเครื่องบิน ในเที่ยวไปนั้นทุกอย่างตรงตามเวลา ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยไร้กังวล สร้างความหรรษาให้กับผู้ร่วมคณะที่เพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก จนติดอกติดใจเพลิดเพลินเจริญใจเป็นยิ่งนัก แต่...แล้วเมื่อเสร็จสิ้นการท่องเที่ยวพักผ่อนจนจบขบวนความ เราก็กลับมาหยุดตรงจุดเดิมเพื่อกลับคืนสู่ที่ทางประจำ การเดินทางขากลับครั้งนี้สร้างความลุ้นระทึกให้เกิดอาการวิตกกังวลและหวาดเสียวขึ้นมาอย่างมิทันตั้งตัว เมื่อเครื่องบินลำนั้นไม่สามารถลงจอดได้ เพราะเกิดพายุฝนกระหน่ำเจิ่งนองสนามบิน เครื่องจึงบินวนไปมาเกือบครึ่งชั่วโมง รอจนกระทั่งฝนเริ่มสร่างซา แล้วการเดินทางเหนือเมฆครั้งนี้ก็สิ้นสุดลง ด้วยความปลอดภัยในความหวาดวิตกบ้างเป็นครั้งคราว

ในขณะที่อยู่บนฟ้าเหนือเมฆมองลงมาเห็นตึกรามบ้านช่องเป็นเพียงจุดเล็กๆ แล้วคนล่ะจะแค่ไหนกันเชียว ขณะที่เครื่องบินร่อนวนไปวนมา บางครั้งต้องฝ่าเข้ากลางฝูงกลุ่มฝน ฝ่าสายลมที่รุนแรง จนทำให้เครื่องแกว่งไกว แล้วก็ผ่านไปยังที่แดดส่องจ้า บางขณะก็ล่องลอยอยู่เหนือเมฆ บางขณะก็ต้องอยู่ในดงเมฆหมอก สลับสับเปลี่ยน จากนั้นก็หมุนวนกลับมายังจุดเดิม จนเมื่อถึงเวลาที่ต้องลง ต้องจอด ก็ต้องรู้จักลดระดับ ลดความเร็ว กางปีกออกโต้สายลม ลดตัวให้ต่ำเรียดพื้น ขนานถนน ค่อยๆเคลื่อน ค่อยๆหยุด จากเหนือเมฆ ลงมาให้เมฆได้ปกคลุม ความปลอดภัยก็บังเกิดขึ้นในบัดดล คนเราก็ควรเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่...

การดำเนินชีวิตบนหนทางแห่งยุคสมัย ที่ปลูกฝังให้เรายึดมั่น ถือมั่นกับการสร้างความร่ำรวย ฉกฉวยโอกาส เพื่อครอบครองความสะดวกสบายให้อยู่ฝ่ายตนคนเดียว การยกตนข่มผู้อื่นด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ด้วยทรัพย์สินที่มากค่าเพื่อซื้อค่าของความเป็นคนดีในนิยามของสังคมยุคใหม่ พยายามสร้างฐานะของตนด้วยเปลือกแห่งความโอ้อวด เปลือกแห่งความรู้ความทรงภูมิ แล้วสวมใส่ความเหนือกว่าผู้อื่นด้วยวาทกรรม ด้วยวิธีกรรมอันเลิศหรู สร้างวิถีอันแปลกแหวกไปจากผู้อื่น แล้วขนานนามสิ่งนี้ว่า “ตัวตน” อันแท้จริงของฉัน นิยามตีกรอบโลกส่วนตัว ที่ดูโดดเด่นกว่าใครๆ พยายามสร้างตัวตนนั้นให้สูงเด่น ล่องลอยเหนือผู้อื่นอยู่ร่ำไป ใส่รสนิยม การกินอยู่ การเสพย์สิ่งบันเทิงเริงรมย์ การจับจ่ายใช้สอยอย่างหรูหรา บ้าบริจาคด้วยมูลค่าที่สูงริบหาได้จริงใจในความทุกข์ของผู้อื่นไม่ หลงใหลใน “ตัวตน” จนลืมไปว่า คนเราก็แค่เม็ดทรายกลางจักรวาล ก็แค่ฝุ่นธุลีขี้เถ้าในความยิ่งใหญ่ของสรรพสิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวง

แต่ก็อีกนั่นแหละ สักวันหนึ่งใครเลยเล่าจะอยู่เหนือเมฆได้ตลอดเวลา ใครเล่าจะล่องลอยอยู่ค้ำฟ้าได้ตลอดกาล แล้วถ้าหากใครที่จะขึ้นสูงเพียงอย่างเดียว ไม่เหลียวแลมองดูหนทางที่จะเรียนรู้ที่จะลงต่ำอย่างมั่นคงและปลอดภัย ไม่เรียนรู้ที่จะลดระดับ ปรับลดละกิเลสลงบ้าง และถ้าเมื่อนั้นคราวครั้งเกิดเรื่องอันปัจจุบันทันด่วน ตัวตนนั้นย่อมตายดับลับหายไปเพียงชั่วพริบตา เวลามีค่าเท่ากับศูนย์ ความร่ำรวยทรัพย์สินสมบัติก็มิอาจจะเป็นเครื่องซื้อวันเวลาได้ แล้วชีวิตเราในเวลานั้นจะล้มลงนอนกับพื้นได้อย่างสง่างามปลอดภัยเพียงใด

“วันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมง( 24 ชั่วโมง) ไม่ใช่หรือ ถ้าใครเดินเวลากลางวัน ก็ไม่สะดุด เพราะเห็นแสงสว่างของโลกนี้ แต่ถ้าใครเดินเวลากลางคืน ก็สะดุดเพราะไม่มีแสงสว่างนำทาง” คือคำที่พระเยซูเจ้าตรัสสอนกับพวกศิษย์ก่อนที่จะออกเดินทางไปปลุกลาซารัสให้ฟื้นจากความตาย ใช่หรือไม่ เรามีเวลาเท่าเทียมกัน เราเลือกที่จะเดินทางได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เลือกที่จะเดินทางด้วยวิธีไหนก็ได้ เพราะนี่คือเสรีภาพที่พระเจ้าประทานแก่เรา พระเยซูเจ้าเพียงชี้ให้เห็นว่าถ้าเดินทางกลางวัน หนทางที่เต็มไปด้วยแสงแห่งธรรม ความดีย่อมนำทาง หากมัวเมาลุ่มหลงไปเดินทางในทางที่มืดมิดชีวิตย่อมสะดุดเป็นธรรมดา เราจะมีชีวิตบนโลกด้วยอาการมัวเมา ยกตัวตนให้สูงเด่นกว่าคนอื่น อยู่เหนือคนอื่นตลอดไป โดยไม่สนวันสุดท้ายปลายทางในชีวิตหรอกหรือ หรือว่าเราจะเป็นเพียงคนเล็กๆดำเนินชีวิตบนหนทางสว่างเพื่อให้พระองค์“ยกความตาย” ของเราให้ฟื้นคืนกลับไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์นิรันดร์ วันนี้เราเลือกได้มิใช่หรือ...

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

หนาวนอกร้อนใน

หนาวนอกร้อนใน


และแล้วคนเมืองกรุงที่ห่างหายจากอากาศหนาวเย็นยามฤดูเหมันต์ ก็ต้องหันกลับไปรื้อค้นเสื้อกันหนาวที่นอนอุตุอยู่ในชั้นล่างสุด อยู่ลึกสุดของตู้เสื้อผ้าออกมาสวมใส่ เพราะใครจะไปคิดว่าปลายเดือนมีนาที่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน จะต้องมาพบเจอกับอากาศที่หนาวเย็นได้ใจขนาดนี้ ร้อนๆอยู่ดีๆวันรุ่งขึ้นหนาวจับใจ แม้แต่กรมพยากรณ์อากาศยังคาดมิถึง ซึ่งปกติก็คาดได้แม่นยำอยู่แล้ว แต่แม่นยำในระยะกระชั้นชิดเสียเป็นส่วนใหญ่


ช่วงเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมาวิถีชีวิตนำพาให้ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด นำประสบการณ์ไปถ่ายทอด ไปก่อความคิด ไปก่อกำลังใจให้กับเด็กๆ เพื่อให้รู้จักเรียนรู้มุมมองของชีวิต ที่ต่างด้านต่างมุมบ้าง ในสังคมของเราเด็กมักถูกอัดแน่นด้วยวิชาการ ชีวิตมีแต่เรียนมีแต่เรียน โดยมีข้ออ้างของผู้ใหญ่บางคน ที่พยายามให้เด็กไปเรียนพิเศษ วิชาชีวิตในมิติอื่นถูกลืมเลือน เมื่อเด็กๆได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน โดยไม่ต้องมีขีดจำกัดของการเรียนมาเป็นตัวเร่ง สารแห่งวัยของพวกเขาก็หลั่งล้น ความกระตือรือร้นถูกนำมาใช้ ผสมกับอากาศหนาวเย็นที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศ ความสนุกแห่งวัยบรรลุ ความสุขปรากฏบนใบหน้า


ใช่หรือไม่ ช่วงเวลาปิดภาคเรียนผู้ปกครองก็ต้องหากิจกรรมให้เด็กๆได้ทำโดยมีกลุ่มหนึ่งชอบส่งลูกๆไปสัมผัสกับอากาศเย็นที่เมืองนอกเมืองนา กลับมาก็มาเล่ามาคุยให้เพื่อนๆเพลิดเพลินเจริญปาก เพื่อนๆก็พากันฝันว่าอากาศหนาวในต่างแดนเป็นเยี่ยงไรหนอ!!!! แต่ธรรมชาติก็ยุติธรรมเสมอ จึงจัดสรรอากาศที่เย็นฉ่ำให้เด็กๆเยาวชนวัดของเรากลุ่มหนึ่งได้มีโอกาสสัมผัสความหนาวเย็นโดยไม่ต้องลำเข็ญเดินทางไปยังต่างแดน แถมยังได้ประสบการณ์การอยู่กับตัวเอง การอยู่กับผู้อื่นในบริบทของสังคมไทย ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เรียนรู้ธรรมชาติสิ่งรอบๆตัวที่ได้สั่งสอนบทเรียนในชีวิตของพวกเขาอีกด้วย....


แต่สำหรับคนทั่วไป อากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกขั้ว ความกลัวของคนก็เริ่มมีให้เห็น แม้จะหนาวข้างนอกแต่ภายในกลับรุ่มร้อน หวาดวิตกว่าโลกใกล้แล้วหรือ วิตกว่าคำทำนายอายุขัยของโลกจะเป็นจริงขึ้นมา ดูจากเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดบ่อยครั้งมากขึ้น มีบ้างบางคนบอกว่าอย่าได้วิตกไปเลย อากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่นี้หาได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในที่ต่างๆทั่วโลกไม่ แต่ด้วยความเชื่อส่วนตัว(ย้ำเป็นความคิดเห็นส่วนตัวไม่ได้อิงแอบแนบวิชาการใดๆ) โลกใบนี้ผืนแผ่นดินมันก็เป็นผืนเดียวแผ่นเดียวกันใช่ไหม? ที่หนึ่งขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ ที่เหลือย่อมสะเทือนเลื่อนลั่นไปด้วย และในเมื่อทุกสรรพสิ่งเกี่ยวโยงยึดเชื่อมกันทั่วทั้งพิภพ เมื่อแผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลง น้ำ ทะเล สายลม แสงแดด สรรพชีวิตย่อมเปลี่ยนแปร สิ่งเหล่านี้กำลังส่งสัญญาณมาหาเรา ในเมื่อทุกสรรพสิ่งกำลังเคลื่อนตัวสู่หมวดการปรับสมดุล แล้วคนเรายังไม่คิดจะปรับตัวให้สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอีกหรอกหรือ ตามวัฏจักรของโลกสิ่งใดไม่ปรับตัวสิ่งนั้นย่อมดับสูญ พระเป็นเจ้า พระผู้สร้างสูงสุดทรงให้อิสระกับเรามนุษย์ในความคิด ในการตีความหมายในทุกสิ่งสร้าง เพื่ออยู่รวมกันอย่างเอกภาพ แต่มนุษย์เรากลับใช้อิสระและความประเสริฐเอาเปรียบ เหยียบย่ำสรรพสิ่งมาอย่างยาวนาน เราขุดแร่ธาตุ น้ำมัน มาเผาผลาญวันละหลายล้านลิตร พออยากอยู่กับธรรมชาติก็กลับไปข่มขืนธรรมชาติ ไปปรับไปตัดไปดัดไปคัด เอาธรรมชาติมาเป็นวัสดุสิ่งปลูกสร้าง เมื่อเราไปขืนธรรมชาติอย่างหนักหน่วง คราเมื่อจำต้องคืนสู่ที่ทาง ธรรมชาติจึงเกิดความรุนแรงอย่างหนักหนาสาหัส


สายลมหนาวครั้งนี้อาจจะเป็นสายลมแห่งการเตือนเราให้กลับมาสู่การเรียนรู้สู่ความเป็นหนึ่งเดียว อย่าเที่ยวไปโทษกันและกัน เราทุกคนมีส่วนรับผิดชอบต่อการทำลายระบบในธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้น และเราต้องไม่มีความกลัวแต่ต้องมีความไว้วางใจมากขึ้นและมากขึ้น ใครเล่าจะอาจหาญสู้ธรรมะได้ ธรรมะถึงเวลาจัดสรร เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้เดินไปด้วยกัน หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดขัดขืนฝืนครรลองแห่งธรรมชาติ ความรุนแรง การทำลายก็จะบังเกิดขึ้น


ใช่หรือไม่ ครั้นเมื่อความร้อนขึ้นสู่ระดับ ไม่ช้าไม่นานสายฝนก็ล่วงหล่น เมื่อครั้นสายฝนพายุกระหน่ำ จากนั้นท้องฟ้าพลันงดงาม ยามนี้หัวใจของผู้คนมีแต่ความร้อนรุ่มสุมอยู่ภายใน เป็นร้อนในทางอารมณ์ เป็นร้อนทางความคิดริษยา เป็นความร้อนในทางกิเลส ความโลภและความไม่รู้จักพอ หลงตัวเอง ความเห็นแก่ตัว อากาศหนาวๆภายนอกกำลังบอกเราว่า หยุด ลด ละ พัก เว้นวรรค และกลับใจสู่ทางธรรมนำความดี ที่เต็มไปด้วยไออุ่นหนุนส่งให้กันและกัน เพื่อให้ชีวามีสุขชีวิตแจ่มใส สร้างโลกใบเก่าให้เป็นโลกที่สะอาดสะอ้าน เพียงแค่เราอยู่ร่วมกันโดยไม่เบียดเบียนกันก็เพียงพอ


ชีวิตก็เหมือนฤดูกาล มีฤดูร้อนที่แผดเผา แต่เราก็ไม่ถึงกับแห้งตาย และไม่นานฤดูกาลก็เปลี่ยนเป็นฝนที่เย็นฉ่ำลงมา หล่อเลี้ยงสิ่งที่แห้งแล้งกลับมีชีวิตชีวาให้ชุ่มชื่น ความจริงของโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่ใช่ต้องทุกข์หรือสุขตลอดกาล ทุกข์หรือสุขผลัดเปลี่ยนกันมาและหมุนเวียนกันไป หากอยากเป็นคนที่มีความสุขนาน ๆ มีความทุกข์สั้นๆ ให้ความสุขกับคนอื่นบ้างแล้วความทุกข์ของเราก็จะคลายลง ความอิ่มใจ ความปีติจะมาเยือน เปลี่ยนความรุ่มร้อนภายในเป็นเครื่องทำความอุ่นให้กับผู้หนาวเหน็บบ้าง แล้วฤดูกาลแห่งรัก สันติก็จะปรากฏขึ้น เป็นแสงแดดอันอบอุ่นชวนให้เราเข้าใกล้กับความสงบตลอดกาล....