วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข่าวการประสูติ 2009 ตอน 2

ข่าวการประสูติ 2009 ตอน 2

จากข่าวการประสูติมาของพระผู้ไถ่นำมาซึ่งเหตุการณ์ที่น่ามหัศจรรย์หลายๆเหตุการณ์ สำนักข่าวซีโอนเอน จึงยังคงค้นหาความจริงแห่งปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่อนี้ต่อไป เราได้พูดคุยกับท่านยอแซฟ และคนเลี้ยงแกะผู้เป็นพยานในเหตุการณ์ครั้งนั้น

ซีโอนเอน : อยากจะทราบความรู้สึกของท่านยอแซฟต่อเหตุการณ์ในค่ำคืนที่เบธเลเฮมครับ

นักบุญยอแซฟ : ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปสักนิดหน่อย หลังจากที่เราทราบข่าวว่าคู่หมั้นของเราตั้งครรภ์ เราก็คิดมาก คิดสงสารเธอ หญิงสาวที่ต้องแบกรับภาระที่หนักหน่วง เพราะสังคมชาวยิวถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก เราจึงตัดสินใจโดยอาศัยพระจิตเจ้า ที่ทรงชี้แนะหนทางให้เรา

แม่พระ : ซึ่งในความเป็นจริงท่านยอแซฟก็มีสิทธิ์ที่จะไม่รับในเรื่องนี้ก็ได้ แต่ท่านไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งทั้งปวง แก้ปัญหาด้วยความสุขุมและรอบคอบ

นักบุญยอแซฟ :ในขณะนั้น จักรพรรดิออกัสตัสรับสั่งให้ทุกคนในอาณาจักรโรมัน ไปลงทะเบียนสำมะโนประชากรตามที่อยู่ เราและแม่นางมารีย์ ซึ่งมีครรภ์แก่ จึงต้องเดินทางจากนาซาแร็ธไปยังเมืองเบธเลเฮมอันเป็นเมืองกษัตริย์ดาวิด เพราะเรามีต้นตระกูลอยู่ที่นั่น พอดีถึงกำหนดคลอด ผู้คนเยอะมากเปรียบกับยุคสมัยท่านก็คงนึกภาพการเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนในเทศกาลที่มีวันหยุดยาวๆ

ซีโอนเอน : และเขามีการรณรงค์เรื่องความปลอดภัย เมาไม่ขับบ้างไหม ขอโทษครับนอกเรื่องไปหน่อย ได้ข่าวว่าที่พักเต็มไปหมด และท่านไม่มีบ้านญาติพี่น้องเลยเหรอ

นักบุญยอแซฟ : มีแต่ยังไม่ทันถึงพระนางมารีย์ก็เริ่มปวดท้องเสียก่อน

แม่พระ : เรารู้ว่าเวลาคลอดนั้นมาถึงจึงบอกท่านยอแซฟว่าต้องหาที่พักแล้วหล่ะ ขืนเดินทางต่อทารกที่คลอดมาจะไม่ปลอดภัย เราต้องช่วยกันปกป้องพระกุมารอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้

นักบุญยอแซฟ : เราพบผู้ที่มีใจบุญคนหนึ่ง สงสารพวกเราจึงพาเราไปยังที่คอกเลี้ยงสัตว์ เพราะอย่างน้อยเราก็สามารถได้รับความอบอุ่นจากกองไฟที่ก่อไว้ให้สัตว์เลี้ยงและไออุ่นจากบรรดาสัตว์เหล่านั้น ยังมีบ่อน้ำเพื่อเอาไว้ชำระหลังคลอดได้อีก เราเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจในทันที

ซีโอนเอนหันมาถามแม่พระ : ท่านรู้มาก่อนหรือเปล่าว่าจะต้องคลอดในช่วงเวลานี้ และท่านได้ตระเตรียมอะไรมาบ้าง มีคนช่วยเหลือท่านบ้างไหมในขณะคลอด

แม่พระ : คงเป็นสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ที่ให้เราต้องเตรียมตัว แต่ด้วยความจำกัดในการเดินทางไกล เราจึงเตรียมผ้าไปไม่กี่ผืน พอคลอดเราก็ใช้ผ้านั้นพันทารกน้อย เด็กน้อยคลอดได้ไม่อยากนัก เราก็ช่วยๆกัน ก็คงเป็นพ่อแม่มือใหม่หัดคลอด

นักบุญยอแซฟ : ครั้งแรกที่เห็นทารกน้อย เราก็ลืมความเหนื่อยยากตลอดการเดินทาง ความมหัศจรรย์แห่งชีวิตอยู่ตรงหน้าเรา พระผู้ช่วยให้รอดอยู่เบื้องหน้าเรา เสียงแรกร้อง เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังสำหรับเรา

ซีโอนเอน : หลังจากนั้น....

นักบุญยอแซฟ : ผ่านไปไม่นานเราก็เห็นคนเห็นสัตว์เข้ามาหาพวกเรา เรายังงงๆเลยว่าพวกเขารู้ได้อย่างไร ท่านลองถามพวกเขาดูซิ..

ซีโอนเอนหันไปยังกลุ่มคนเลี้ยงแกะเรียกเข้ามาเพื่อสอบถามหาความจริง : พวกท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีเด็กน้อยเกิดมาในสถานที่เช่นนี้

ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม : คืนนั้น ในขณะที่พวกเรานอนเฝ้าฝูงสัตว์อยู่ ก็ปรากฏแสงประหลาด เราก็คิดว่าคงจะมีพายุหรืออะไรสักอย่าง จึงเรียกให้ทุกคนตื่น แต่ที่แปลกคือแสงนั้นมิได้ทำให้สัตว์ตกใจ พวกมันยังสงบกันเป็นปกติ แล้วแสงนั้นก็กลายเป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ปลอบพวกเราว่า อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เอง ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติมา พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า หลักฐานที่จะทำให้พวกท่านแน่ใจ คือ พวกท่านจะพบพระกุมาร มีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้า แล้วแสงนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นเหล่าทูตสวรรค์อีกมากมาย ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าว่า “Gloria in Excelsis Deo” ขอเทิดพระเกียรติพระเจ้า ผู้สถิตย์ในสวรรค์ชั้นสูงสุด สันติสุขบนพิภพ จงเป็นของผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย

ซีโอนเอน : และท่านก็ได้เห็น

บรรดาผู้เลี้ยงสัตว์ตอบพร้อมกัน : ถูกต้องครับ

และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อสองพันกว่าปี และยังคงเป็นความจริงยิ่งใหญ่ในทุกยุคทุกสมัย และเช่นนี้เราจะยังมีความสงสัยอะไรในจิตใจ เพราะพระผู้ไถ่ได้ประสูติมาแล้วและยังคงอยู่กับเราตลอดไป ในใจของเราผู้ที่มีความเชื่อ

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข่าวการประสูติ 2009 ตอนที่ 1

ข่าวการประสูติ 2009 ตอนที่ 1

ในยุคสมัยที่การสื่อสารครองโลก ทุกหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยข้อมูลข่าว ทุกอณูของสายลมเต็มไปด้วยคลื่นของการรับส่งข้อมูล จริงเท็จ เท็จจริง เป็นสิ่งที่แฝงเร้น ล่วงหล่นจากฟากฟ้าดังห่าฝน คนรับไร้ความรู้ ไม่มีความเข้าใจ ข่าวสารทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นสิ่งที่สร้างมลพิษทางจิตใจ...

สมมุติว่าข่าวการประสูติมาขององค์พระผู้ไถ่ถูกย้อนกลับไป ณ วันนั้น
จากคอลัมน์ดังแห่งซ้อ(โก)หก ได้เขียนไว้บนเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกระแสที่แรงและยังเป็นที่พูดถึงอย่างต่อเนื่อง นั้นคือ ข่าวที่พระนางมารีย์ได้ตั้งครรภ์ แหล่งข่าวยังปูดต่อว่า ท่านโยเซฟไม่ใช่พ่อของเด็กในท้อง วันนี้สำนักข่าวซีโอนเอน จึงได้รับมอบหมายให้ย้อนเวลากลับไปสัมภาษณ์พิเศษผู้อยู่ในเหตุการณ์ โดยเฉพาะพระมารดาผู้ยิ่งใหญ่....
ซีโอนเอน : สวัสดีครับ ก่อนอื่นเลย อยากทราบเรื่องราวในค่ำคืนนั้นที่ทูตสวรรค์มาหาท่าน กลัวไหม และมีการพูดคุยอะไรกันบ้างครับ
แม่พระ : เราเป็นชาวเมืองนาซาแร็ธ เป็นหญิงพรมจารีธรรมดาๆคนหนึ่ง ในคืนหนึ่งเราตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจที่เห็นท่านทูตสวรรค์ ตอนแรกเรายังคิดว่าฝันไป สักพักเมื่อตั้งสติได้ก็รู้ว่านี่เป็นความจริง ทูตสวรรค์กล่าวกับเราว่า "จงยินดีเถิด ท่านที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน พระจิตของพระเจ้าจะเสด็จมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน"
ซีโอนเอน : แล้วท่านกล่าวตอบไปอย่างไรครับ
แม่พระ : เราก็พูดไปตามสิ่งที่เราเชื่อ คือ เชื่อในพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ เราพูดออกไปว่า"ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด"
จากนั้นทูตสวรรค์ก็กล่าวว่าเราจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย ให้ตั้งชื่อว่า "เยซู"
ซีโอนเอน : มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อท่านยังไม่ได้แต่งงาน...
แม่พระ : เราเองก็ถามทูตสวรรค์เหมือนเช่นท่านถามเรา จะเป็นไปได้อย่างไร
ทูตสวรรค์ก็กล่าวตอบว่า "ถ้าท่านไม่เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ ท่านดูนางเอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้งๆที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์ ใครๆก็คิดว่านางเป็นหมัน"
ซีโอนเอน : ท่านเชื่อเต็มร้อยหรือเปล่า กลัวคำครหานินทาหรือไม่
แม่พระ : เราก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีจิตใจที่อ่อนแอไม่แพ้ท่าน เรายังไม่เชื่อเต็มร้อย เราจึงตัดสินใจไปเยี่ยมนางเอลีซาเบธ ที่แคว้นยูเดีย พอไปถึงเราก็เห็นทุกสิ่งเป็นอย่างที่ทูตสวรรค์บอกไว้ และที่น่าตะลึงยิ่งกว่า เมื่อนางเอลีซาเบธเห็นเรา นางก็ทักทายเราว่า "ท่านเป็นผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆบุตรของเธอก็มีบุญยิ่งนัก" น่าแปลกไหมล่ะนางรู้ได้อย่างไร
ซีโอนเอน : ท่านได้ถามนางหรือเปล่าว่ารู้เรื่องท่านได้อย่างไร
แม่พระ : เราอยู่กับนางจนกระทั่งนางคลอดบุตรชาย ทุกสิ่งทุกอย่างเราคุยกัน ปลอบโยนกัน สวดภาวนาด้วยกัน พลังใจกำลังใจของเราค่อยๆมีมากขึ้น ทุกเรื่องราวเป็นดังคำของทูตสวรรค์บอกไว้
ซีโอนเอน : ที่ท่านไปหาญาติต่างแดนนั้น ท่านต้องการหลบหน้าผู้คนหรือไม่ หรือไปเพื่อหาทางออก
แม่พระ : พูดด้วยความสัตย์จริง เราต้องการไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าทูตสวรรค์ที่มาแจ้งข่าวเรานั้นพูดเรื่องจริง การหลบหน้าผู้คนไม่ใช่ประเด็น เราไม่กลัวเพราะเรารู้ว่าพระเจ้าได้เตรียมทางไว้ให้เราอย่างดีแล้ว
ซีโอนเอน : เมื่อกลับบ้านท่านยอแซฟคู่หมั้นของท่านรู้ไหม และเขาทำอย่างไร
แม่พระ : เราเริ่มตั้งครรภ์ ข่าวของเราก็เริ่มเป็นที่ซุบซิบนินทา ท่านยอแซฟ คือ ยอดชายชาตรี ท่านมาหาเราคิดจะถอนหมั้น แต่ท่านก็เปลี่ยนใจ เหตุเพราะทูตสวรรค์ได้ไปบอกความจริงแก่ท่าน ท่านยอแซฟจึงรับเราเป็นภรรยาและสัญญาจะเลี้ยงดูบุตรของพระเจ้าอย่างดียิ่ง เชื้อสายของบิดาคือการไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด
ซีโอนเอน : ท่านเป็นผู้ที่หญิงทั้งหลายในโลกยกย่อง มีอะไรที่จะฝากถึงหญิงสาวทั้งหลายบ้างหรือเปล่าครับ
แม่พระ : เป็นคำถามที่ดียิ่ง เราปรารถนาที่จะบอกว่า ความบริสุทธิ์คือสิ่งที่เราต้องรักษา เรื่องของเราอยู่เหนือความนึกคิดของคนทั่วไป เป็นเรื่องที่พระเจ้าใช้เราเพื่อแผนการณ์ไถ่กู้อันยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยใจที่ศรัทธาเท่านั้น จึงจะน้อมรับสิ่งที่หนักหน่วงในชีวิตได้ เราผ่านมาแล้ว วันนี้ท่านก็รู้ว่าคนทั่วไปไม่ได้มองเรื่องที่เราตั้งครรภ์ก่อนแต่ง แต่นับถือเราที่มีจิตใจที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า มีใจที่อ่อนโยนเป็นเสมือนเชื้อสายของมารดา...
ซีโอนเอน : น่าเสียดายที่วันนี้หน้ากระดาษหมดลง มาต่อกันสัปดาห์หน้าครับ หลายเรื่องหลายคนที่ต้องชี้ชัดๆลงไปในเรื่องการประสูติมาขององค์พระผู้ไถ่ ....

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เวลาในกล่องของขวัญ

เวลาในกล่องของขวัญ

การเดินทางยังมีที่สิ้นสุด จุดสุดท้าย คือ ปลายทาง วันเวลาเดินทางอย่างสัตย์ซื่อ มีแต่คนเราที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อวันเวลา จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี มีสิ่งดีๆงดงามเกิดขึ้นมากมายบนโลกเล็กๆใบนี้ เราก็ควรจะมีสิ่งดีๆกระทำฝากไว้เป็นร่องรอยบ้างในย่างก้าวของชีวิตบนโลกนี้เช่นกัน ใช่หรือไม่ ตลอดวันเดือนปี เรามักมีสิ่งที่คิดจะทำ สิ่งที่ปรารถนาจะกระทำ เพื่อมุ่งสู่ความดีมากมาย แต่เอาเข้าจริงเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาบดบัง ซ่อนเร้นไม่ให้ทำได้สำเร็จ มีปัจจัยมากมายที่เป็นอุปสรรคขว้างกั้น จนถึงที่สุดก็หลุดจากสิ่งดีงามเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย

พอถึงเวลา มีเวลาได้นั่งลงตรวจสอบทบทวน แหม...มันเสียดายที่ไม่ได้ทำสิ่งนั้นไม่ได้ทำสิ่งนี้ มานั่งเสียดายเวลา เสียดายลมหายใจเข้าออก หลายเรื่องหลายความตั้งใจเราหลงลืมมันไปเสียสนิท คิดออกอีกที ก็ไม่สามารถย้อนวันเวลากลับมาได้เสียแล้ว ใกล้สิ้นปีอย่างนี้ ลองสำรวจตรวจดูว่าสิ่งที่เคยตั้งใจไว้เมื่อต้นปี เราได้ทำไปได้มากน้อยแค่ไหน และสิ่งที่ง่ายๆอยู่ใกล้ตัวเราล่ะ เราได้มีความสุขและมอบความสุขนั้นให้ใครบ้าง คนรอบข้างได้เคยเห็นรอยยิ้ม เห็นใบหน้าที่เปี่ยมและเต็มไปด้วยความอภิรมย์จากเรามากน้อยแค่ไหน หรือวันๆได้แต่หอบหน้าที่บึ้งตึง หน้าที่เคร่งเครียด สวมหน้ายักษ์หน้ามารเข้ามาในบ้าน มาโถมใส่ลูกหลาน ใส่สามีภรรยา ใช่หรือไม่ บ้านของเรา ครอบครัวของเรา ควรจะเป็นแหล่งพักพิง แหล่งผลิตรอยรักและรอยยิ้ม ควรเป็นบ้านที่แสนสุข

บ้านไหนที่มีเด็กๆบ้านนั้นควรเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เต็มไปด้วยแสงแห่งความหวัง เพราะความน่ารักและความไร้เดียงสาของเด็ก คือ ยาชุบชูให้ชีวิตยืนยาวแก่ผู้ผ่านวานวันมาอย่างโชกโชน แต่บ้านบางหลังกลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ ลูกๆ ภรรยา สามี กลายเป็นเครื่องรองรับอารมณ์อันขุ่นมัวที่สะสมมาจากข้างนอก ตะคอกใส่กันเมื่อมาถึงบ้าน ก็รู้ว่าเหนื่อย ก็รู้ว่าหนัก วางไว้ก่อนเข้าบ้านได้ป่ะ มันยุติธรรมแล้วหรือที่คนในบ้านจะเป็นถังรองรับอารมณ์ของเรา ใช่หรือไม่ ตราบใดที่เราหลงลืมความรักในครอบครัว สังคมโดยรวมก็สะดุด หยุดลงตรงความขัดแย้ง หรือเราต้องรอให้ถึงวันที่เห็นสิ่งที่มีคุณค่าสูญสลายไปจากชีวิต...

ครั้งหนึ่งในคืนก่อนวันปีใหม่ คุณพ่อคนหนึ่งทำโทษลูกสาวด้วยความอารมณ์เสียหงุดหงิดมาจากที่ทำงาน เขาโกรธที่ลูกสาวตัวน้อยเอากระดาษห่อของขวัญสีทองซึ่งมีราคาแพงมาก มาใช้ห่อของขวัญเล่นอย่างสิ้นเปลือง เขาเข้าใจเอาเองว่าลูกสาวซุกซนและพยายามจะตกแต่งบ้านสำหรับวันปีใหม่เท่านั้น ในช่วงสภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก ใครๆก็มักจะอารมณ์เสียกับเรื่องเล็ก ๆน้อยๆแบบนี้ได้เสมอ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นลูกสาวตัวน้อยก็ยังถือกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีทองมาให้คุณพ่อ กล่องนี้ของพ่อนะคะ ลูกสาวตัวน้อยเอ่ยกับพ่ออย่างร่าเริง ทำให้คุณพ่อรู้สึกละอายกับการกระทำของตนเองเมื่อคืนนี้ ที่ออกจะรุนแรงเกินไปสักหน่อย เขากล่าวขอบคุณลูกสาวเบาๆพร้อมกับค่อยๆแกะกล่องของขวัญอย่างระมัดระวัง แต่...ปรากฏว่าเป็นกล่องไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลย คุณพ่อของเด็กน้อยจึงรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาตะโกนถามลูกสาวว่า นี่ลูกไม่เคยรู้เหรอว่า เวลาจะให้กล่องของขวัญกับใครมันควรจะมีอะไรอยู่ในนั้นบ้างน่ะ ลูกสาวตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองคุณพ่ออย่างช้าๆ เธอสะอึกสะอื้นตอบคุณพ่อของเธอว่า แต่เมื่อคืนหนู....หนูใส่ของขวัญไว้ให้คุณพ่อแล้วนะคะ หนูหอมแก้มคุณพ่อใส่ไว้จนเต็มกล่องเลย

คุณพ่อรู้สึกตื้นตันขึ้นมาทันทีเขายกตัวลูกสาวขึ้นมาอุ้มไว้แนบอกแล้วขอร้องให้ลูกสาวตัวน้อยให้อภัยที่เขาอารมณ์เสียไปบ้าง แต่ที่น่าเศร้าก็ คือ หลังจากนั้นไม่นานลูกสาวตัวน้อยก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ต่อมาอีกหลายปียังมีคนเห็นว่าคุณพ่อคนนี้ยังเก็บกล่องของขวัญสีทองนั้นไว้ที่หัวเตียงอยู่เสมอ เมื่อใดที่เขารู้สึกท้อแท้หรือเศร้าใจเขาจะหยิบกล่องสีทองขึ้นมาเปิด แล้วก็จินตนาการว่าลูกสาวตัวน้อยได้กลับมาหอมแก้มเขาอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเหตุนี้ คุณพ่อจึงยังคงจดจำความรักของลูกสาวที่มีให้เขาอย่างมากมายอยู่เสมอมาเหมือนกับว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดของลูกสาวที่เขาสามารถยึดถือเอาไว้ได้ไม่ใช่กล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีทองหรือกล่องที่ทำจากทองคำแท้ใดๆทั้งนั้น แต่เป็นความรักอันแสนจริงใจที่ลูกสาวของเขาได้ฝากเอาไว้จนเต็มกล่องนั่นต่างหาก

แล้วกล่องของขวัญของเราที่มีเวลาอยู่ในนั้น เคยมอบให้กับใครมาบ้าง ได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าหรือยัง ด้วยการให้เวลากับคนรอบข้าง ให้เวลากับครอบครัว เพื่อทำความเข้าใจในผู้อื่นและเอาใจใส่ต่อกันและกัน ที่สุดอย่าเพียงแต่เก็บเวลาอยู่แต่ในกล่องของขวัญให้นอนนิ่งๆอยู่เลย เริ่มแกะมันออกมา แกะด้วยความรักและหัวใจอันงดงาม มอบให้แก่กันและกัน เป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่ไม่เหมือนใครและไม่ใคร่จะมีใครคิดทำกัน นี่อาจจะเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่หลายคนปรารถนาที่จะได้รับ .....

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ให้หมดใจ

ให้หมดใจ

ลมหนาวพัดโชยมาได้วันสองวันก็กลับมาร้อนเหมือนเดิม แสงแดดตั้งแต่ยามเช้าแยงตาจนทำให้แสบตาเวลาขับรถ แหงนหน้ามองท้องฟ้าโปร่งโล่งไร้ล่องลอยเมฆน้อยคล้อยเคลื่อน ก็หวังว่าลมหนาวจะหวนกลับมาอีกครั้งเพื่อสร้างบรรยากาศในค่ำคืนวันคริสต์มาส เมื่อกล่าวถึงคริสต์มาสเราคิดถึงอะไร เด็กๆก็อาจจะนึกถึงการละเล่นที่สนุกสนาน มีการจับฉลากสอยดาว สำหรับผู้ใหญ่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงแก่นของคริสต์มาส คือการให้ ให้แบบหมดใจแต่ไม่หมดตัว ให้เพื่อผู้อื่นไม่ใช่ให้เพื่อผู้อื่นมาชื่นชม การให้ในโลกนี้ในวิถีชีวิตเราทำได้หลายประการ มีแบบอย่างมากมายสำหรับเราที่มีผู้ผ่านกาลเวลาทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานของจีนในเว็บไซต์ผู้จัดการ www.manager.co.th มีเรื่องหนึ่งน่าประทับใจและเป็นต้นแบบต้นธารการให้ได้เป็นอย่างดี...

ในสมัยคริสศตวรรษที่ 976 ราชวงศ์ซ่ง เมื่อฮ่องเต้ไท่จู่ (เจ้า ควงอิ้น) สวรรคตจากอาการประชวร พระอนุชานาม เจ้า กวงอี้ ขึ้นครองราชย์แทนในนามของฮ่องเต้ไท่จง ยามที่อยู่ในราชบังลังค์ ได้ทรงใช้ชีวิตอย่างประหยัด มัธยัสถ์ และปฏิเสธที่จะใช้เงินหรือทองคำมาประดับตกแต่งราชวังโดยเด็ดขาด
ครั้งหนึ่ง หลังเสร็จจากการว่าราชการแผ่นดิน ขณะที่กำลังเสด็จผ่านอุทยาน ทรงเห็นขันทีผู้น้อยผู้หนึ่งกำลังโดนว่ากล่าวตบตี จึงได้หยุดสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น หัวหน้าขันทีจึงคุกเข่ากราบทูลว่า เจ้าคนไร้ประโยชน์ผู้นี้ ได้รดน้ำดอกดอนญ่าเขียว ที่เป็นบรรณาการจากต่างประเทศจนตาย พระเจ้าข้า

ฮ่องเต้ไท่จงได้ฟังจึงตรัสว่า ปล่อยเขาเสีย เพราะเรื่องนี้มิใช่ความผิดของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับดอกไม้ต่างแดนประเภทนี้ หาได้ตั้งใจทำให้มันตายไม่ ข้ารู้มาว่าดอกไม้ประเภทนี้เติบโตอยู่ทางแดนใต้ เมื่อย้ายมันมายังภาคกลางย่อมไม่อาจเติบโตได้ดี จากนี้ไปข้าขอตั้งกฎว่า ห้ามให้มีการทุบตีผู้คนเพียงเพราะต้นไม้ใบหญ้าเช่นนี้อีก ขันทีผู้น้อยเมื่อได้ฟัง ก็เกิดความซาบซึ้งกระทั่งหลั่งน้ำตา กล่าวคำสรรเสริญให้ท่านฮ่องเต้อายุยืนหมื่นๆปี

อีกเหตุการณ์หนึ่ง เป็นช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก ฮ่องเต้ไท่จงเสด็จออกมาจากห้องบรรทม พลันรู้สึกคอแห้ง ต้องการดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ สักแก้ว เมื่อยามจะเอ่ยปากกลับนิ่งไป พร้อมทั้งพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเมื่ออยู่ตามลำพัง ขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดจึงเอ่ยถามว่า เมื่อสักครู่นี้ ท่านฮ่องเต้ทรงต้องการรับสั่งสิ่งใด ข้าน้อยเห็นท่านเหมือนจะเอ่ยปาก แต่กลับนิ่งเงียบ ท่านต้องการสิ่งใด ทรงบอกข้าน้อยได้หรือไม่พระเจ้าข้า

ยามนี้ฮ่องเต้ไท่จงจึงตรัสว่า ข้าอยากดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ แต่นึกไปนึกมาข้ารู้ว่าในวังของเราไม่มีของสิ่งนี้ จึงไม่ได้เอ่ยปาก เพราะหากข้าเอ่ยปาก แม้ว่าตอนนี้ไม่มี แต่วันหน้าวันหลังพวกเจ้าคงต้องตระเตรียมน้ำบ๊วยเอาไว้เผื่อข้าเรียกหาทุกๆ วัน แต่ตัวข้าก็คงไม่ได้อยากดื่มมันทุกวันเป็นแน่ ดังนั้นจึงเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ข้าเป็นเจ้าแผ่นดิน ย่อมต้องไตร่ตรองให้จงหนัก ไม่อาจเพิ่มภาระให้ประชาชนเพียงเพื่อตามใจปากตนเอง แม้ว่าจะมีผู้เต็มใจรับใช้ข้ามากเพียงใดก็ตาม

ไม่นาน ฤดูหนาวก็มาถึง ลมตะวันตกเฉียงเหนือนำพาพายุหิมะมา ทุกๆ แห่งเปลี่ยนเป็นสีเงินยวง อากาศหนาวเย็นจับใจ ขนาดฮ่องเต้ไท่จงทรงฉลองพระองค์ด้วยหนังสุนัขจิ้งจอกยามเสด็จออกกลางแจ้ง กลับยังรู้สึกถึงความหนาวเย็นจนต้องรับสั่งให้คนก่อไฟ ทั้งยังทรงดื่มสุราเพื่อไล่ความหนาว ยามนั้นเมื่อความหนาวบรรเทาลง ฮ่องเต้ไท่จงทรงทอดพระเนตรไปยังนอกกำแพงวัง และคิดว่า หิมะตกหนักเช่นนี้ ทั่วทั้งเมืองคงมีผู้คนที่ขาดแคลนถ่านไม้ ขาดแคลนข้าวปลาอาหารอยู่ไม่น้อย คนพวกนั้นย่อมลำบากกว่าข้าหลายเท่านัก เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางปกครองเมืองหลวงเข้าเฝ้า เพื่อนำถ่านไม้และข้าวสาร อาหารแห้งไปแจกจ่ายให้กับชาวเมืองที่กำลังประสบความยากลำบากเนื่องจากความหนาวเย็นและขาดแคลนอาหาร เมื่อความช่วยเหลือไปถึง ผู้คนที่กำลังตกอยู่ในความยากลำบาก ต่างซาบซึ้งในความเมตตาของฮ่องเต้ พากันแซ่ซ้องสรรเสริญทั่วทั้งแผ่นดิน

สำหรับเราคนไทยองค์พ่อหลวงของเราก็ทรงปฏิบัติตนเหมือนฮ่องเต้ไท่จง ขอให้พระองค์มีพระชนม์มายุยิ่งยืนนาน และคริสตชนแบบอย่างของการให้ที่ประเสริฐที่สุดคือ องค์พระคริสตเจ้าที่ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงยอมทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและสิ้นพระชนม์แทนเรา หากวันนั้นองค์พระผู้ไถ่ไม่เสด็จมายังโลก เราจะมีโอกาสได้ลืมตามาชื่นชมโลกนี้หรือเปล่า เราจะมีโอกาสรับรู้ร้อนหนาวเช้าสายบ่ายเย็นหรือไม่ การเตรียมรับเสด็จเป็นช่วงเวลาที่เราคงต้องนั่งคิดสักนิดว่าชีวิตที่ผ่านมาเราเคยให้ใครแบบหมดใจบางไหม หรือแค่เคยคิดจะให้ใครโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนบ้างไหม ถ้ายัง ก็ใช้โอกาสนี้มอบให้กันและกัน ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นคริสต์มาสครั้งสุดท้ายของชีวิตเราก็เป็นไปได้......

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จิตอาสาจากใจสาธารณะ

จิตอาสาจากใจสาธารณะ

เห็นเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งในชุดนักเรียน กำลังกวาดใบไม้รอบๆวัดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เด็กสาวเหล่านี้คงกำลังทำกิจกรรมเพื่อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ เห็นกวาดกันไปถ่ายรูปกัน ท่าทางน่ารักแต่ท่าทางการกวาดดูเก้ๆกังๆจับไม้กวาดกันไม่ค่อยจะเป็น เวลาผ่านไปสัก 5 นาที เด็กสาวเหล่านี้ก็นำกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ทางวัดรับรองการมาทำประโยชน์ แล้วพวกเธอก็จากไป ใบไม้ที่กองไว้ยังคงอยู่เป็นกองเล็กๆ หรือว่านี่เป็นภาคบังคับให้เด็กเหล่านี้ต้องมาบำเพ็ญประโยชน์ หรือว่านี่เป็นหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องจิตอาสา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม แต่...ดูแล้วน่าสงสารพวกเด็กหญิงเหล่านี้ที่ขาดการเรียนรู้วิถีแห่งการเป็นจิตอาสาที่แท้จริง ทำเพื่อทำ ทำเพื่อให้มีผลงาน ได้ใบประเมินและเมินเฉยต่อแก่นแท้

พูดถึงจิตอาสา เราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้าง แต่ก็ยังมีอีกมากมายหลายคนที่ยังไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายของคำๆนี้ ซึ่งแน่นอนเด็กๆเหล่านั้นไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เพียงเข้าใจในนัยของจิตอาสาไม่กระจ่างแจ้งและขาดการชี้แนะที่ดี

จิตอาสา คือ ผู้มีจิตใจที่พร้อมจะให้ ให้สิ่งของ ให้เงินทอง ให้ความช่วยเหลือด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังสมองและสติปัญญา ซึ่งเป็นการเสียสละในสิ่งที่ตนเองมี ในสิ่งที่ตัวเองเป็นหรือชำนาญการ ให้แม้กระทั่งเวลา มอบให้กับส่วนรวมด้วยความเต็มใจและไม่แอบอิงสิ่งตอบแทน หรือแม้แต่คะแนนในการทำความดี ในอีกมิติหนึ่งจิตอาสายังช่วย ลดความเห็นแก่ตัวลงได้บ้าง

เนื้อแท้ของความเป็นอาสาสมัครนั้นอยู่ที่จิตใจ คือมี จิตอาสา ที่ต้องการช่วยเหลือผู้อื่น หรือนึกถึงส่วนรวม จะเป็นครู พ่อค้า นักธุรกิจ ข้าราชการ ก็สามารถเป็นอาสาสมัครได้ตลอดเวลา หากมีจิตใจที่คำนึงถึงส่วนรวมอยู่เสมอ เราจำเป็นต้องตระหนักอยู่เสมอว่า อาสาสมัคร นั้นไม่ใช่เป็นอาชีพ หากคือสำนึกที่สมควรมีอยู่คู่กับความเป็นมนุษย์ของเราจนกว่าชีวิตจะหาไม่ (พระไพศาลวิสาโล)

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ทุกคนล้วนมีจิตอาสาอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว มีความหวังดีต่อผู้อื่น อยากช่วยผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน แต่ทำไมสังคมที่มีความวุ่นวาย มีการแข่งขันที่ร้อนแรงในทุกๆด้าน มีการเอาเปรียบผู้ด้อยโอกาส มีการกล่าวร้ายเสียดแทง มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ชิงประชาชน ใช่หรือไม่ ล้วนแล้วแต่มา ความเห็นแก่ตัว หรือเอาแต่เป็นหลักเป็นที่ตั้ง

ความเห็นแก่ตัว เริ่มจากความกลัวตัวเองและกลัวภัยคุกคามจากโลกปัจจุบัน เราต่างก็ปรารถนาจะสร้างรังเล็กๆของตนขึ้น สร้างเปลือกห่อหุ้ม เพื่อว่าเราจะได้อยู่เพียงลำพังอย่างปลอดภัย ทำอย่างไรที่จะช่วยกันลดความเอาแต่ได้ลง การให้ คือคำตอบที่ง่ายและสั้นแต่ทำยาก เริ่มต้นด้วยการมองออกไปสู่ภายนอก มองเห็นผู้อื่นอย่างลึกซึ้งอย่างแท้จริงมากขึ้น เริ่มเข้าใจมุมมองของคนอื่น เขาต้องการอะไร เขาอยู่ในสภาพไหน เราช่วยอะไรได้บ้าง และเริ่มให้ เริ่มสละสิ่งที่เรามีอยู่ สละความเป็นตัวเราของเรานั่นเป็นหนทางการพัฒนาจิตใจแต่ละคน

มีข่าวเล็กๆข่าวหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ มีนักศึกษาสาวเครียดปัญหาทางบ้าน แถมทะเลาะกับแฟนหนุ่ม ชวนเพื่อนมานั่งเล่นระบายอารมณ์ใต้สะพานพระราม 8 ก่อนจะแอบขึ้นไปบนสะพานโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย หนุ่มขายของเก่าที่สนามหลวง ที่นั่งตกปลาอยู่ รีบกระโดดลงไปช่วยเอาไว้ได้ แต่เกิดเป็นตะคริวจมน้ำตาย

เป็นจิตสำนึกของชายหนุ่มผู้เก็บของเก่าขาย เป็นคนที่มีใจสาธารณะ ซึ่งไม่เกี่ยวกับฐานะและการศึกษา การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คิดชีวิตเป็นจิตอาสาขั้นสูง เป็นจิตสำนึกของคนผู้เกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐ ใช่หรือไม่ การศึกษาที่ก้าวล้ำนำเด็กสู่ทางตัน แก้ปัญหาไม่เป็น เพราะจมปลักอยู่กับเรื่องของตัวเอง การตายของหนุ่มคนนั้นอาจจะทำให้นักศึกษาสาวได้คิดถึงคุณค่าของชีวิต และคุณค่าของความรักที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน ไม่จำเป็นต้องเที่ยวตามงอนง้อกัน เพราะรักที่แท้ไม่ใช่แค่ฐานะ ยี่ห้อรถยนต์ รักที่มีนามสกุลใหญ่ รักแท้ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนและรักแท้มีอยู่คู่โลก โลกที่เต็มไปด้วยความสวยงามเสมอ

การปลุกน้ำใจให้งอกงามกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มาช่วยกันดูแลสังคมร่วมกัน ดูแล ชุมชน ดูแลวัด โดยมองออกนอกกรอบของเรื่องตัวเอง ออกมาดูคนอื่น เห็นใจ เข้าใจคนอื่นกันมากขึ้น ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดี ทำดีให้เป็นรูปธรรมกันมากขึ้นในสังคมไทย มิใช่เพียงแต่นั่งวิพากษ์วิจารณ์ ออกมารับผิดชอบมีส่วนร่วมด้วยกัน นี่เป็นการสร้างจิตอาสา ใจสาธารณะ เป็นหัวใจของคริสต์มาสที่เราจำเป็นต้องมีและปลูกฝังลงในหัวใจของเด็กรุ่นใหม่ทุกคน หาไม่เช่นนั้นอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะเห็นข่าวเด็กฆ่าตัวตายเป็นเรื่องปกติสามัญประจำสังคม เพราะคนดีอย่างหนุ่มคนนั้นสูญพันธุ์จากโลกนี้ไปหมดแล้ว...

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เพราะอะไรใจคน

เพราะอะไรใจคน

เคยไหมที่วันดีคืนดี เรื่องราวของเราก็กลายเป็นเรื่องราวสาธารณะเล่าสู่กันฟัง เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันสารพัดสาระพันสุดจะบรรยาย

เคยไหมที่อยู่ดีๆอยู่เฉยๆอยู่นิ่งๆยังกลายเป็นประเด็นให้ผู้พบเห็นนำไปติฉินนินทา

เคยไหมที่การกระทำของเราที่คิดว่าดี แต่ในมิติของคนอื่นแล้วมัน คือ เรื่องที่เลวร้ายสิ้นดี

เคยไหมที่มีเมตตา กลับถูกด่าว่าแสร้งทำ เพื่ออยากเด่นเพื่ออยากดัง

เคยคิดไหม บางครั้งบางเวลาใจของเรากับใจของผู้อื่นตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เราคิดอย่างหนึ่งแต่ถูกตีความหมายไปอีกอย่าง หรือว่าคนเราต้องคิดเหมือนๆกัน แต่พอคิดเหมือนคนอื่นก็ยังถูกว่าไม่มีความคิด ไร้สมอง อ้าว...แล้วไงล่ะใจคน

บางครั้งการพยายามหาเหตุผล ก็ก่อให้เกิดความสับสนให้กับชีวิตได้เหมือนกัน หลายช่วงเวลาของชีวิตมักเลือกที่จะอยู่เงียบๆนิ่งๆ จนกลายเป็นภาพลักษณ์ จนถูกมองว่าเป็นคนเฉยชา เป็นพวกศิลปิน แต่บ่อยครั้งเราก็มักพบกับความเจ็บปวดที่ไม่อาจจะอธิบายความจริงให้ผู้อื่นฟังได้ พูดไปก็กลายเป็นการเรียกร้อง พูดไปก็กลายเป็นการหาข้ออ้าง พูดจากใจก็ดูไร้เหตุผล หรือว่าบางครั้งเราต้องโกหกกันเพื่อให้เกิดความสบายใจของทุกๆฝ่าย ยากแท้ใจคน...

หากว่าชีวิตต้องยืนหยัดในสิ่งถูก ใจเราเท่านั้นที่บอกว่าควรปฎิบัติเช่นไร แต่ก็นั่นแหละ ในสังคมของคนหมู่มาก สิ่งที่ใจเราบอกว่าถูกต้อง ก็อาจจะไปขัดใจใครบางคน บางครั้งก็ต้องยอมผ่อนตามๆกันไป ข้อสำคัญอยู่ตรงที่ว่า การผ่อนตามนั้นต้องเดินไปอยู่บนหนทางความถูกต้อง บนครรลองของความยุติธรรม สิ่งนั้นก็จะนำมาซึ่งความสันติ และเป็นการสละน้ำใจตัวเอง เป็นการเรียนรู้ด้วยว่า ความถูกต้องไม่ใช่ถูกใจเราเสมอไป ความถูกต้องไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองหรือสาม ผลของความถูกต้องนำมาซึ่งความรักและสันติสุขภายในใจ...นี่แหละใจคนที่ต้องค้นหา

คนเราส่วนใหญ่ก็ปรารถนาจะให้ผู้อื่นทำตามใจเรา ลูกต้องเดินตามทางที่พ่อแม่ฝันไว้ และบีบบังคับให้ได้ดังใจก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง ลูกๆเติบโตขึ้นก็คิดว่าชีวิตอิสระเสรีเหนืออื่นใด ใจสั่งมาให้ทำอะไรก็ทำไปเลย ไม่มีลิมิต ชีวิตเกินร้อย พ่อแม่เป็นเต่าโบราณ เป็นสิ่งค้างคืน ขืนทำตามถูกเพื่อนล้อตายเลยว่า ป๊อดนี่หว่า เป็นลูกแหง่ จึงเกิดการขัดข้อ ขัดขวางและก็ขัดใจกันในครอบครัว คู่รักคู่ขวัญวันเริ่มแรกแจกเบอร์กัน ฉันตามใจเธอ เธอตามใจฉัน เรารักกัน ชี้ไม้เป็นไม้ชี้นกเป็นนก ผ่านวันชื่นคืนสุขกลับสู่ตัวตนของตัวเอง อยากให้เธอเป็นอย่างนี้ได้ป่ะ อ่ะ เธอบอกว่า ไม่ได้ ฉันเป็นของฉันอย่างนี้ และก็มีแต่ความระแวง ระวัง จนกลายเป็นความละเลยต่อกัน ไม่มีความเห็นใจมีแต่ขอให้ตามใจ ความรักสั่นคลอน หมดความไว้วางใจต่อกัน เพราะอะไรเล่าใจคน...

หรือโลกนี้เต็มไปด้วยความหลอกลวง ความจริงอยู่หนใดในจักรวาล ความจริงเป็นเช่นไรในใจคน ความจริงใช่อยู่กลางใจเราหรือ การใช้จิตสำนึก ใจสามัญ ขยันตรวจสอบ เราก็จะพบความจริงในจิตวิญญาณ จิตใจคือพระเจ้าในตัวตน หากเราค้นพบความจริงแห่งใจ ใช่..เราก็ค้นพบองค์พระผู้เป็นเจ้า การซื่อตรงต่อความจริงเป็นการซื่อตรงต่อพระเจ้า แน่ล่ะ บ่อยครั้งเราต้องฟังเสียงในใจของเราและต้องไม่เมินเฉยต่อคำของผู้อื่น เรียนรู้ที่จะปรับเสียงภายนอกและภายในให้สอดคล้องไปกับความเป็นจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริง ก็ฟังเรา พระเยซูเจ้าตรัสไว้เช่นนั้น หลอกใครก็หลอกได้แต่หลอกตัวเองนี่สิหาใช่การเป็นมนุษย์สุดประเสริฐไม่ จงเชื่อมั่นความจริงในใจ เพื่อจะได้จริงใจในทุกก้าวย่างแห่งชีวิต

คนเราหน่ะ หลายครั้งที่ถกเถียง โต้แย้งหาเหตุผลของความจริงกัน จนกลายเป็นฝักเป็นฝ่าย แท้จริงความจริง คือ สิ่งเดียวกัน เพียงแต่ต่างมุมมอง ต่างมุมคิด เรามักใช้สมองควานหาข้ออ้างและเหตุผล เพื่อแสดงความเหนือชั้น เพื่ออวดภูมิกันมากกว่า สังคมที่ไม่มีใครยอมใคร สังคมที่พูดมากกว่าฟัง สังคมที่ใช้ปากมากกว่าหู จึงเป็นสังคมที่ไม่มีใจให้กัน ลองนิ่งๆเงียบๆฟังกันให้มากเราจะพบความจริง เราจะเข้าใจกัน เราจะรู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่คนอื่นพูด ที่นำเราไปเล่าสู่กันฟัง ที่เราคิดว่าถูกติฉินนินทา เป็นเพียงความเข้าใจผิดคิดกันไปเอง บางครั้งในชีวิตจริง ความเงียบมักมีคำตอบเกิดขึ้นในใจคนเสมอ ใช่หรือไม่ ความจริงอย่างหนึ่งที่พระเจ้าเฝ้าบอกเราทุกวันก็คือ เราก็แค่สรรพสิ่งเล็กๆเป็นแสงเล็กๆในจักวาล เป็นดังแสงดาวบนท้องฟ้า ดาวที่มีแสงอ่อนแต่มันเป็นแสงที่นิรันดร์ ความจริงในใจเราก็เป็นนิรันดร์ เพราะพระเจ้าอยู่ในเราตลอดมาและจะตลอดไป....

จิตวิญญาณสูงสุดอยู่ข้างใน ความจริงอยู่ในนั้น พระเจ้าอยู่ที่นั่น.....ในใจของเรา

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กลัวสิ้นโลกหรือกลัวอะไรกันแน่

กลัวสิ้นโลกหรือกลัวอะไรกันแน่

ความตั้งใจตั้งแต่เริ่มแรกว่าอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ หาที่สงบๆอากาศเย็นๆ นั่งริมธารน้ำอ่านหนังสือให้จบสักเล่มสองเล่ม เพื่อปลดปล่อยผ่อนคลายจากความสับสนวุ่นวายในชีวิตช่วงนี้ จึงรับปากกับผู้เชิญชวนให้ไปพักผ่อนกับชมรมผู้สูงอายุของวัดเซนต์หลุยส์ที่เมืองกาญจน์ มีที่พักริมลำธารใส แต่เมื่อไปถึงพบแต่อากาศที่ร้อนอบอ้าว ลมหายเข้ากลีบเมฆ เมฆหายเข้าแผ่นฟ้า ปล่อยให้อาทิตย์เริงร่า แผ่ซ่านแสงอันร้อนระอุให้จุใจ แต่ก็ยังดีที่มีรอยยิ้มจากผู้สูงวัย มีหัวใจอันกล้าแกร่งของผู้เป็นแม่ สร้างให้โลกวันนั้นน่าอยู่น่าภิรมย์ขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ความร้อนใดเล่าจะเผาไฟรักในหัวใจคนได้

พูดถึงความร้อนของอากาศก็คิดถึงเรื่องของภาวะโลกร้อน ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือว่านี่เป็นสัญญาณเตือนถึงกาลของโลกใกล้แตกดับ ย้อนคิดกลับไปอีกว่าสิ่งหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมกับอายุขัย คือ คำเล่าขานถึงวันสิ้นโลก จำได้อย่างแม่นยำตอนยังเด็ก สมัยที่ยังต้องนอนฟังข่าวสารจากวิทยุเป็นหลัก วันที่มีข่าวว่าสกายแล็บ ชิ้นส่วนยานอวกาศจะหล่นใส่โลก ครั้งนั้นบรรดาผู้ใหญ่ต่างก็กล่าวขานกันว่าอาจจะเป็นวันสิ้นโลกแล้วกระมัง วันที่คาดหมายนั้นได้นอนมองขึ้นบนท้องฟ้าเพื่อเตรียมวิ่งหลบจนหลับไป ตื่นขึ้นพ่อเล่าให้ฟังว่า ชิ้นส่วนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตกลงสู่มหาสมุทร โลกก็รอดพ้นจากการแตกดับ และเรื่องราวความหวาดกลัวของมนุษยชาติเกี่ยวกับวันสิ้นโลกก็ยังไม่หมดไป ที่โด่งดังที่สุดคงเป็นช่วงปี 2000 หลายคนคงจำกันได้ถึงปรากฏการณ์ Y2K ได้ดี ปีนั้นเป็นปีที่จะก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ผู้คนทั่วโลกต่างหวาดวิตกกังวลกับเหตุการณ์มากมายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ต่างพากันตื่นตระหนกว่าข้อมูลต่างๆ จะสูญหาย พากันไปถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารจำนวนมาก กลัวว่าตัวเลขในบัญชีจะสูญไป เมื่อปี 2000 มาเยือน มีการรายงานข่าวตามเวลาของแต่ละประเทศเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว แล้วทุกอย่างก็เป็นปกติจนถึงวันนี้ เป็นปกติจนทำให้หลายคนไม่เชื่อถึงคำทำนายวันสิ้นโลก กลับมาใช้ชีวิตเพื่อให้โลกได้สิ้นไปเร็วขึ้น ใช้ชีวิตที่ทำร้ายทำลายธรรมชาติและมนุษย์ด้วยกันเองมากเสียกว่ายุคใดสมัยใด

แต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุค กี่สมัย ความกลัวร่วมกันของชาวโลกในเรื่องการสิ้นโลก ก็ยังดำรงอยู่ในคนหมู่มาก มีคำทำนายออกมามากมาย ให้เราได้อ่าน สร้างเป็นภาพยนตร์ให้ได้ดูก็มากหลาย หนังสือก็มีผู้เขียนกันมากขึ้น คำทำนายล้วนแต่สร้างความหวาดหวั่นในใจมนุษย์เสมอมา และเมื่อเร็วๆนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งขายดิบขายดี หนังสื่อนั้นชื่อว่า 2012 วันสิ้นโลก ซึ่งแปลมาจากหนังสือ Apocalypse 2012 เขียนโดย ลอว์เรนซ์ อี.โจเซฟ (Lawrence E.Joseph) เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่พูดถึงวันสิ้นโลก สำหรับข้อมูลในการเขียนผสมผสานไปด้วย ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เข้มข้น น่าเชื่อถือ รายงานความเป็นไปได้จากข้อมูลที่ค้นคว้ามา

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงความเชื่อและคำทำนายของชาวมายัน (บางที่ก็เรียกว่าชาวมายา) ที่กล่าวเอาไว้ว่า โลกจะดับสูญในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 วัน เดือน และปีที่อ้างถึงนี้เป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน หนังสือ Apocalypse 2012 ขายได้เป็นแสนๆเล่ม มีการแปลเป็นภาษาต่างๆถึง 21 ภาษา

ผู้ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ต่างออกมาแสดงความเห็นต่างๆนานา เนื้อหาในหนังสือย่อมสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ชาวโลกผู้อ่อนไหวต่อการสิ้นโลก และมีคนรุ่นใหม่หลายคนที่แสดงความเห็นไว้ว่า พวกเขายังเยาว์นักหากต้องตายลงในปี 2012 ซึ่งจะมาถึงในอีก 3 ปีนับจากนี้ บางคนถึงขั้นพูดเสริมเติมเข้าไปว่า แม้โลกจะยังไม่สิ้นไป แต่ตอนนี้ เหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ก็กำลังสำแดงฤทธิ์ออกมามากบ้างน้อยบ้าง ภาพที่เห็นตามสื่อต่างๆ ก็สะท้อนถึงการค่อยๆ สิ้นลงไปของสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ คำทำนายทั้งหลายทั้งปวงหากสืบค้นดูรากฐาน ล้วนแล้วแต่มาจากพระคัมภีร์แทบทั้งสิ้น

แล้วเราจะเชื่อคำทำนายเหล่านั้นหรือไม่.... พระเยซูเจ้าตรัสว่า ส่วนเรื่องวันและเวลานั้น ไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว พระองค์ต้องการจะสอนเราว่า อย่าไปหวาดวิตก หวาดกลัวถึงวันนั้น สิ่งสำคัญคือ การดำเนินชีวิตของเราควรจะอยู่ในครรลองแห่งความชอบธรรม อย่ามัวหลงใหลกับความสุขบนโลกนี้ที่ไม่อนิจจัง ทุกสิ่งมีวันดับสูญ และถ้าถามกันจริงๆเรากลัวว่าโลกจะสิ้น หรือกลัวอะไรกันแน่ เรากลัวการถูกพิพากษาลงโทษต่างหาก... ถ้าการดำเนินชีวิตของเราทำดีเพราะกลัว ก็เป็นการทำดีที่ไม่มีความสุขบนโลกนี้ และถ้าเช่นนั้นเราจะมีความสุขนิรันดร์ได้เช่นไรเล่า