วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ค่าของเงินอยู่ที่ได้ใช้.. ค่าของคนอยู่ที่ไหน


ค่าของเงินอยู่ที่ได้ใช้.. ค่าของคนอยู่ที่ไหน
ค่าของเงินมันอยู่ที่การได้จับจ่าย ไม่เช่นนั้นเป็นแค่กระดาษใบหนึ่ง เวลาเราไปต่างประเทศ ธนบัตรไทยก็ไม่มีค่า ไม่มีใครอยากได้ คำพูดของอาจารย์วีระ ธีรภัทร ที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากรายการวิทยุก้องขึ้นมาในค่ำคืนฝนพรำ คืนที่ชะตาพลิกผันชั่วเสี้ยวนาที คืนแห่งการเสาะหาประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ก็ได้พบประสบการณ์ที่แปลกกว่า
ในค่ำคืนนั้นเป็นการนัดหมายของผู้ใหญ่ใจดี ที่ปรารถนาเลี้ยงอาหารโดยให้เลือกสถานที่ตามใจชอบ หนึ่งในกลุ่มผู้ร่วมรับเชิญจึงหาที่ที่ไม่เคยไป แต่เคยเห็นและอยากจะไป เพื่อลิ้มลองบรรยากาศและลิ้มรสอาหารของร้านหรูริมน้ำเจ้าพระยา โดยมีฉากหน้าเป็นวัดอรุณราชวราราม ด้วยว่าเวลาที่นัดหมาย(จอง)กับทางร้านไว้นั้น หากเดินทางด้วยรถยนต์มิอาจจะไปทันเวลาแน่แท้ ทั้งหมดจึงได้ลงเรือด่วนไปยังร้าน เมื่อไปถึงเราได้โต๊ะมุมอับที่ไม่ได้เห็นบรรยากาศอย่างที่คาดคิด ใช่หรือไม่ คนเรามักตั้งความหวังไว้สูงเกินไปเสมอ แม้จะมีรอยผิดหวังเล็กๆ พยายามต่อรองขอที่ทำเลที่ดีกว่า แต่ทุกโต๊ะถูกจับจองเป็นเวลาแรมเดือน เราจึงพอทำใจได้ว่าก็เรามาทีหลัง     เราต้องน้อมรับกฎกติกาสากล แต่ทางร้านก็มีมุมให้เราได้ซึมซับบรรยากาศริมน้ำบนชั้นลอย ก่อนลงมาประจำที่เพื่อทานอาหาร แล้วสิ่งที่เราไม่ได้คิดการล่วงหน้า ก็ล่วงหล่นลงมาตรงหน้า นั่นคือเม็ดฝนใหญ่ที่เริ่มพัดกระหน่ำนองลงมา จากมุมอับกลายเป็นมุมหลบมุมปลอดภัยจากสายฝน จากโต๊ะที่ได้มุมดีโล่งโปร่งมองเห็นวิวทิวทัศน์กลายเป็นมุมเปียกปอน กระเด็นกระดอนจากที่นั่งที่จอง ชีวิตก็เป็นเช่นนั้น ใครเลยจะล่วงรู้ถึงชะตากรรมแม้เพียงชั่งโมงหนึ่งข้างหน้า นอกจากพระผู้เป็นเจ้า สำหรับเราต้องไว้วางใจในหนทางที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้ในทุกลมหายใจ
หลังจากอิ่มหนำสำราญอาหารจานแปลกใหม่ ก็ถึงเวลาต้องกลับสู่บ้าน ในคืนแห่งสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความคุ้นชินว่าเมืองหลวงของเราถนนหนทางไม่มีเวลาหลับ รถแท็กซี่มีมากมายให้เลือกสีเลือกคันเก่าใหม่ และแล้วสิ่งที่คาดหวังก็ต้องเริ่มต้นหวังกันใหม่อีกครั้ง โดยหวังว่าจะมีรถแท็กซี่ว่างสักคันผ่านมาแถวนี้ ผ่านไปหลายนาที เป็นหลายสิบนาที ก็หามีไม่สักคัน วิถีชีวิตที่ต้องให้ดิ้นรนค้นหาทางแก้ไขปัญหา จำต้องหาทางที่จะเดินทางกลับสู่บ้านให้ได้ รถเมล์ คือ คำตอบ ณ เวลานั้น เพื่อให้ไปสู่ในที่ที่จะหารถราได้ง่ายกว่าย่านนั้น ผ่านมาสักสามสี่ป้าย เป้าหมายของเราก็มาถึง ลงจากรถเมล์รอเรียกรถแท็กซี่บนถนนที่ดูเหมือนว่าจะมีรถวิ่งไปมามากกว่า แต่แล้วก็ยังไม่มีวี่แวว สุดท้ายทางเลือกคือรถตุ๊กตุ๊ก ที่อัดแน่นนำเราสู่บ้านอย่างปลอดภัยและอัธยาศัยที่งดงามของคนขับ มันน่าแปลกไหมล่ะ เมื่อครู่เรายังนั่งละเมียดรสอาหารในร้านหรู แต่ไม่นานเราต้องมาดิ้นรนมองหารถเพื่อพาเรากลับบ้าน รถอะไรก็ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินเพื่อให้ได้มาเพื่อความสะดวกสบาย แต่เรามิอาจจะใช้เงินจ่ายด้วยด้วยปัจจัยที่เงินก็ไม่อาจจะช่วยได้...
หันมามองชีวิตของคนเราล่ะ ค่าของเราอยู่ตรงไหน ความดีที่มีในตัวตนมีประโยชน์อันใด หากไม่ได้นำออกมาใช้แจกจ่ายออกไป เราจะสะสมความดีไว้เพียงเพื่อตัวเองอย่างนั้นหรือ คนเราจะมีค่าเมื่อเราก่อประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้อื่น ในสังคมที่มีค่านิยมที่สอนให้เราจมปลักอยู่กับตัวเองจนเกินไป ทำอะไรก็เพื่อตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่การทำความดี ที่มีเป้าหมายเพื่อให้เราเป็นที่เชิดชู เป็นที่ยกย่อง ค่านิยมของวัตถุที่ทำให้เราก้าวสู่การเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่กิน หากไม่ได้ดังหวังแทนที่จะหาทางเริ่มต้นตั้งความหวังใหม่เพื่อเดินหน้าต่อไป เรากลับหยุดลงตะโกนร้องเรียกให้ผู้อื่นมาหยิบยื่นให้เรา ใช่หรือไม่ ในสังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนหวงแหนความดีงามเก็บไว้เพื่อตัวเอง สังคมจึงกลายเป็นแหล่งรวมของสิ่งที่มีชีวิตแต่ไร้จิตใจ แห้งแล้งจิตวิญญาณ หาค่าของกันและกันไม่เจอ
ในความพลิกผันของชีวิตที่มีอยู่ตลอดเวลา หากเราทำชีวิตให้มีคุณค่า ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงใด ก็สามารถเดินไปได้อย่างดี ด้วยว่าเรามีความดีเป็นสิ่งนำทาง ในด้านความเชื่อก็เช่นกัน ถ้าเราไม่สามารถนำความเชื่อให้ออกมาสู่การปฏิบัติ ความเชื่อก็ไร้ค่า ความเชื่อที่แท้จริงต้องนำพาไปสู่ความรักและสู่ความเมตตา แบ่งปันไปให้ผู้อื่น เรามีเงินแต่ใช้ไม่ได้ก็ไร้ค่า เรามีความเชื่อแต่ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติก็ไร้ผล...
ใน ปีแห่งความเชื่อที่กำลังจะมาถึงนี้ เราควรจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่  ในการดำเนินชีวิตเพื่อรื้อฟื้นความเชื่อ เพื่อเข้าใจความเชื่อให้ลึกซึ้ง และเพื่อแบ่งปันความเชื่อดังกล่าวให้กับผู้อื่น ไม่ใช่ด้วยการสอนเท่านั้น แต่ด้วยการกระทำที่เป็นแบบฉบับแห่งความรักของคริสตชนด้วย
ปีแห่งความเชื่อ สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเรียกร้องให้เราคริสตชนค้นให้พบ ประตูแห่งความเชื่อซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนวิญญาณ ความเชื่อสามารถเป็นประตูที่สามารถทำให้เราเปลี่ยนแปลงภายในได้ แม้ว่าสิ่งต่างๆ ของโลกนี้จะสูญหายมลายไป สิ่งที่จะคงเหลืออยู่ก็คือความสุขอันเป็นนิรันดร  เพราะความรักพระเจ้า ผลักดันเราวันนี้ให้มีชีวีเพื่อเป็นพยาน ก้าวเข้ามาสู่ประตูแห่งความเชื่อที่รอเราอยู่ เปิดหัวใจและมองดูจะรับรู้ถึงพระเมตตา โปรดนำเราในทางแห่งความหวัง รัก และศรัทธา ให้เรารู้ว่า ความเชื่อนั้นสร้างชีวิตให้สวยงาม เป็นท่อนหนึ่งของบทเพลง ประตูแห่งความเชื่อ ที่แสนไพเราะ (บทเพลงชุดพิเศษ โอกาสปีแห่งความเชื่อ มีจำหน่ายแล้ว) ....ใช่หรือไม่ หากเราเปิดหัวใจให้ความดี ความงาม และความรักของพระเจ้าในตัวเราออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้ เราจึงจะมีค่า แต่ที่สำคัญนั้น เราได้สร้างความดี ความงาม ความรักของพระเจ้าให้เกิดขึ้นในตัวของเราแล้วหรือยัง.....

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เมตตาอย่าเปลี่ยน…


เมตตาอย่าเปลี่ยน
ยุคสมัยใหม่ที่เต็มล้นไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายก่ายกอง จนผู้คนแทบไม่ต้องใช้สมองใช้พลังทางกายภาพก็สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสบาย จึงทำให้เราตกอยู่ในสภาวะที่ถูกวัตถุครอบงำ สมองและร่างกายถูกใช้งานลดน้อยลง จิตใจ จิตวิญญาณก็พลอยสูญสลายหายไป แปลกไหม เมื่อโลกเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือช่วยให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นแต่ทำไมเราจึงอยู่ร่วมกันยากขึ้น... ใครซื่อสัตย์ เที่ยงตรงก็อยู่ในองค์กรที่มีเรื่องลับลมคมในไม่ได้ ไม่ทำตามน้ำก็ต้องจมน้ำตาย คนที่ถือคุณธรรมก็มักถูกกระทำให้ยับเยินเรื่องที่จะสรรเสริญกันหน่ะต้องใช้เงินก้อนใหญ่เท่านั้นจึงจะได้มา ไม่ทำตามกระแสก็ต้องกระเสือกกระสนหาที่หาทางอยู่ใหม่ ไร้ความยุติธรรม ความถูกต้องอยู่ที่มีพวกมากพาลากกันไป คดโกงไม่ต้องอายใช้การตลาดการโฆษณา จัด Event กลบเกลื่อนกันไป เราอยู่กันด้วยความฉาบฉวยอวยกันไปอวยกันมา ทั้งๆที่ความจริงสิงอยู่ก้นลึกของหัวใจไม่ได้รับการเผยแสดงออกมา ใครตกอับ พลาดล้มลง มีไหม!!! ที่จะช่วยพยุง มีแต่จ้องกระทืบซ้ำให้จมพื้น ความเมตตาสมัยนี้มันหายากมากกว่าเงินทองเสียอีก หรือว่าสิ่งสร้างสมัยใหม่มันลดทอนความเป็นคนของเราลงไปทุกวัน แต่เราไม่ใช้มันก็ไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไร เป็นคำถามที่วนเวียนเวียนวนๆปนๆอยู่ในหัวสมอง...
จริงๆแล้วเราทุกคนล้วนมีความเมตตาติดตัวด้วยกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ ที่เราจำต้องงดเมตตาลงไป เพราะในสังคมนี้มีแต่สิ่งจอมปลอม ดีไม่ดีทำไปแล้วถูกหลอก ถูกลวงให้ช้ำใจไปเปล่าๆ สู้อยู่เฉยๆดีกว่าสบายกว่ากันเยอะเลย นั่นก็เป็นสิ่งที่เราคิดแบบแนวสมัยใหม่ ที่ทำอะไรต้องมีการประเมินค่า มีผลได้เสีย มีการพิสูจน์ออกมาเป็นสิ่งของจับต้องได้ แต่สำหรับ...ความเมตตาบางทีให้ไปแล้วสิ่งสำคัญคือ สุขใจ และเพื่อสุขใจอย่างแท้จริงเรายอม ต้องรอบคอบและใส่ใจในทุกรายละเอียด เริ่มเมตตาจากใจและต้องจบด้วยความจริงใจ น่าจะเป็นสิ่งที่จะทำได้ในสังคมวันนี้ อย่าให้วันเวลาเปลี่ยนทุกสิ่งต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เรื่องจิตวิญญาณ ความรัก ความเมตตาอาทร ควรเป็นนิรันดร์ เหมือนเช่นนักบุญหลุยส์กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน มีความสะดวกสบายที่สุดจนแทบไม่ต้องทำอะไร แต่พระองค์ไม่ได้ให้ค่ากับตำแหน่งและทรัพย์สมบัตินั้นเลย สิ่งที่พระองค์มีคือความเมตตา และให้ไปอย่างเต็มกำลัง แม้อยู่ในเวลาแห่งสงครามท่ามกลางความขัดแย้ง ท่านเป็นแบบอย่างของผู้ที่เป็นใหญ่เพื่อรับใช้ทุกผู้คนด้วยหัวใจเมตตา...
            กษัตริย์หลุยส์ที่ 9 ทรงให้ความสำคัญต่องานเมตตากิจเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ยากไร้อย่างแท้จริง แม้ในขณะที่พระองค์เสด็จประพาสต่างแดน จะทรงมอบหมายหน้าที่สำคัญนี้ให้ขุนนางได้รับผิดชอบดำเนินการแทนความต่อเนื่องของโครงการช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ยากไร้ และคนโรคเรื้อนที่สังคมรังเกียจ ทำให้เกิดโครงการสร้างโรงพยาบาลเพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลืออย่างครบวงจร ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงมีพระประสบการณ์เรื่องการทนทุกข์ จึงทรงทราบดีว่า ความเจ็บป่วยทางกายเป็นผลต่อจิตใจและจิตวิญญาณเช่นกัน....
            กษัตริย์หลุยส์ทรงมีพระทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตา ทรงมีความสุขมากเมื่อได้เสด็จเยี่ยมผู้ป่วยที่ทนทุกข์ทรมาน นอนรอความตาย เพื่อตรัสบรรเทาใจ ให้คำแนะนำที่จำเป็นและให้พวกเขามอบความวางใจในพระเป็นเจ้า
กษัตริย์หลุยส์ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อสร้างโรงพยาบาลที่เมืองเวอร์นอน ทรงประทาน ที่อาศัยและของใช้อื่นๆที่จำเป็นแก่ผู้ป่วยและผู้ยากไร้ ในพิธีเปิดโรงพยาบาลไม่ห่างจากปราสาทกอมเปียนญ (Compiegne) ทรงต้อนรับผู้ป่วยที่จนที่สุดเข้ารักษาเป็นรายแรก
พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ในทุกข์สุขของประชาชน ทรงสร้างโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลแก๊งซ-แวงต์ (Quinze –Vingts) รับผู้ป่วยยากไร้และคนตาบอดได้มากถึง 300 เตียง พระองค์หาเวลาเสด็จเยี่ยมและบรรเทาใจพวกเขาเสมอ ทรงทำทานแก่ขอทานหลายร้อยคนทุกๆวัน และเพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์ราชวงศ์ ทรงอนุญาตให้นำขอทานเข้ามาทางประตูด้านหลังของพระราชวัง
ในบั้นปลายชีวิต พระองค์ทรงแนะนำพระราชโอรสและพระราชธิดาให้มีใจเมตตาต่อผู้ทนทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ พระองค์ตรัสแก่พระราชโอรสว่า ลูกรัก พ่อขอให้ลูกมีใจอ่อนโยนต่อผู้ยากไร้ และผู้ทนทุกข์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจเสมอ และตรัสแก่พระราชธิดาว่า ขอลูกจงเมตตาสงสาร แก่ประชาชนผู้ประสบเคราะห์กรรมด้านร่างกายหรือจิตใจ(น.หลุยส์ กษัตริย์ผู้เชื่อศรัทธา :วีณา โกวิทวนิชย์)
ในยุคสมัยใหม่นี้ ความเมตตากำลังสูญพันธ์ เงินตรากำลังถูกนำมาแทนที่และใช้การประเมินวัดค่าความเป็นคนในสังคม แต่สิ่งเหล่านั้นอยู่ได้ไม่นาน ก็ตายไปจากความทรงจำของผู้คน เมื่อใช้วัตถุวัดค่ากันเดี๋ยวก็มีคนที่มีมากกว่ามาแข่งเปรียบค่าให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้แล้วคุณค่ามันอยู่ตรงไหน ใช่หรือไม่ โลกมักจดจำและให้ค่าของคนที่มีเมตตามากกว่าคนที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สิน การมีทรัพย์สินมากๆไม่ใช่เรื่องผิด (หากได้มาจากน้ำพักน้ำแรงและความขยันหมั่นเพียร)  ถ้าหากว่ามีการนำทรัพย์ไปเพื่อก่อเกิดกิจเมตตาน่าจะเป็นหนทางที่ดีเสียด้วยซ้ำไป แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการให้ความเมตตาต่อผู้อื่นนั้นคือ ความจริงใจ อย่าหวังเพียงเพื่อให้ได้ชื่อเสียงและหน้าตา เพราะความเมตตาสร้างแล้วใบหน้าจะผ่องใสด้วยตัวของมันเอง และไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าเราจะเริ่มต้นความเมตตาในตัวตน มอบให้แก่คนที่อยู่รอบข้างเรา มีเมตตาต่อพ่อแม่พี่น้อง ลูกๆ เพราะคนเหล่านี้เรามิอาจจะสร้างภาพลักษณ์เพื่อให้คนอื่นมาเชิดชูเราได้ อย่าปล่อยให้ความเมตตาหายไปจากใจในยุคสมัยที่เต็มล้นไปด้วยวัตถุนี้เลย...

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จะกอดไว้ทำไม ..


จะกอดไว้ทำไม ..
ชีวิตในหนึ่งวัน 24 ชั่วโมง แต่ละวินาทีผ่านไป มีไม่น้อยที่คิดว่าทำไมหนอ...ชีวิตมีแต่ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อน หมดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ตามมา ทุกข์อย่างกับ 7 11 ที่เปิดบริการ 24 ชั่วโมงเลย จริงหรือ!!! หากนั่งคิดคำนวณตัวเลขแล้ว เราก็มีเวลานอนพักผ่อน ปล่อยให้ทุกข์หลับใหลคาอกคาหัวอยู่ราวๆ 6-8 ชั่งโมง เช้ามามีเวลาได้ปลดทุกข์ แต่ก็นั่นแหละ หลายคนไม่ยอมให้ทุกข์หลุดพ้นไปจากตัว หวงแหนกอดรัดมัดมันไว้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิต แล้วก็มานั่งระทมตรมใจกับก้อนทุกข์
ทุกข์เรื่องอันใดบ้าง ส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆ บางคนไม่มีเงินจะจับจ่าย บางคนไม่มีจะลงทุนต่อทุน บางคนไม่มีเงินที่จะซื้อข้าวกิน บางคนไม่รู้จะเอาเงินไปซื้อกินที่ไหนให้สมฐานะ ร้อยแปดพันประการ นั่นเพราะเราถูกฝังไมโครชิปให้คิดว่า เงินในกระเป๋า เลขหลักในบัตรเครดิตคือที่มาของความสุข ต้องหาเพิ่มเติมใส่มันเข้าไป แล้วเราก็โอบกอดค่านิยมนี้จนกลายเป็นอุปนิสัย นำไปสู่ทุกข์ซ้อนอันใหม่ขึ้นมาในนามความสัมพันธ์ของผู้คน ที่ต้องมีเงินจึงมีเกียรติ ต้องมีหน้าที่ตำแหน่งที่ใหญ่จึงจะได้เงินเยอะๆ ต้องพูดคุยแต่เรื่องธุรกิจหลักแสนล้าน พูดคุยเรื่องอื่นไม่เป็น วันๆคิดแต่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนเก่งคนดังในวงสังคม วงสนทนา วงสุรา คนที่คุยเรื่องคุณธรรมความดีงามคือ คนงมงาย คนคุยเรื่องลึกๆลงในจิตใจคือ พวกคลั่งศาสนา อ้าว...ต่างคนต่างคุยเรื่องของตัวเองกันหมดมิตรภาพก็เลยหดหาย คุยกันไปก็อิจฉากันไป ก่อทุกข์ให้เกิดขึ้นอีก นี่เป็นต้นสายปลายเหตุของทุกข์เก่าๆในสมัยใหม่ๆ แต่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่คนเราก็มิอาจจะปลดปล่อยทุกข์ได้ จนความทุกข์ได้ใจไล่เท่าไรก็ไม่ไปจากเรา เหมือนเรื่องราวในนิทานเรื่องนี้...
ภาพ : http://fukduk.com

ลิงป่าตัวหนึ่งพลัดหลงจากฝูงเข้ามาในหมู่บ้านที่อยู่ชายป่าแห่งหนึ่ง และพบว่าที่นี่มีอาหารอร่อยๆ สำหรับมันมากมาย หลังจากนั้นมันก็แฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้และไม่ยอมกลับเข้าป่าอีกเลย
ชาวบ้านนั้นเมื่อแรกเห็นลิงตัวนี้ก็นึกเอ็นดู ให้อาหารมันกินบ้าง หยอกเล่นกับมันบ้าง แต่นานวันเข้า พวกเขาก็เริ่มไม่ชอบใจเสียแล้ว เนื่องจากวิสัยของลิงป่านั้นหาได้มีความสำรวมอย่างสัตว์เลี้ยงทั่วไป หากมันจะกินอาหารที่อยู่ในมือของใครมันก็จะขู่และแยกเขี้ยวใส่
นอกจากนั้นความฉลาดตามเผ่าพันธุ์ยังทำให้ลิงเรียนรู้ได้เร็ว เพียงไม่นานมันก็รู้ว่าชาวบ้านแต่ละคนเก็บอาหารไว้ที่ไหน มันจึงเริ่มเข้าไปขโมยอาหารจากในบ้าน และยังรื้อค้นทำลายข้าวของของพวกเขาจนไม่มีชิ้นดี บางครั้งเมื่อลิงหาทางเข้าบ้านไม่ได้เพราะเจ้าของบ้านปิดประตูแน่นหนา มันก็ขึ้นไปขย่มหลังคาบ้านจนพังลงมา หลังจากนั้นก็เข้าไปในบ้านของเขา บางครั้งมันก็กัดลูกเล็กๆ ของเจ้าของบ้านและบางทีก็แย่งอาหารจากพวกเขาซึ่งๆ หน้า
ชาวบ้านอดทนไม่ทำร้ายลิงเพราะสงสาร แต่นานวันเข้า พวกเขาก็ทนไม่ไหว วันหนึ่งหัวหน้าหมู่บ้านจึงเรียกประชุมลูกบ้านเพื่อจัดการกับปัญหานี้ เอาลูกดอกอาบยาพิษยิงมันให้ตายไปเลย ชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งถูกลิงตัวนี้เข้าไปรื้อบ้านเมื่อวานเสนอด้วยความโกรธแค้น ไม่ดีหรอก หัวหน้าหมู่บ้านว่า มันเป็นลิงป่า พวกเราจะไม่ทำร้ายสัตว์ป่า” “เว้นเจ้าลิงนี่ตัวหนึ่ง  อีกคนบอก ลูกของเขาก็เพิ่งถูกตัวนี้กัดมาเมื่อเช้า
ไม่ได้ สัตว์ป่าเป็นของป่า เป็นของเจ้าป่าเจ้าเขา ถ้าเราทำร้ายลิงตัวนั้นอาจเกิดอาเพศร้ายแรงได้ หัวหน้าหมู่บ้านยังคงยืนยันคำเดิม และลูกบ้านอีกหลายคนก็เห็นด้วย ทั้งหมดจึงช่วยกันคิดหาวิธีการขับไล่ลิงตัวนั้นออกไปจากหมู่บ้านโดยไม่ต้องฆ่ามัน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งคิดออก เขาร้องบอกทุกคนว่า เอาอย่างนี้ เราต้องหาทางจับลิงตัวนี้ให้ได้ แล้วพามันไปปล่อยป่าอื่นที่ไกลๆ กว่านี้ มันจะได้ไม่กลับมาอีก
ชาวบ้านเห็นด้วยกับความคิดนี้ หลังจากวันนั้นพวกเขาก็พากันวิงไล่จับลิงตัวนี้โดยไม่เป็นอันทำอะไร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสามารถจับลิงตัวนี้ได้ เพราะมันเป็นลิงป่าที่หลบหลีกได้อย่างแคล่วคล่องว่องไวมาก จนชาวบ้านชักถอดใจ
วันหนึ่งลิงป่าเข้าไปในบ้านหญิงชราคนหนึ่ง หญิงชราคนนี้ทำขนมตาลได้อร่อยที่สุดในหมู่บ้าน นางจะทำขนมตาลลูกใหญ่ไปขายในตลาดและแจกเพื่อนบ้านทุกวัน วันนี้เผอิญมีขนมตาลส่วนหนึ่งเหลือ หญิงชราไม่มีภาชนะสำหรับใส่ขนมที่เหลือจึงเอาไปใส่ไว้ในหม้อเหล็กปากแคบไว้ก่อน
เจ้าลิงป่าลอบมองเหตุการณ์นี้อยู่ตลอด มันเห็นที่ซ่อนขนมแล้ว ครั้นพอหญิงชราเดินออกไปจากครัว มันจึงกระโจนเข้าไปทางหน้าต่างแล้วเอามือล้วงลงไปหาขนมตาลในหม้อ แต่เพราะหม้อนั้นปากแคบมาก ลิงป่าจึงไม่สามารถดึงขนมออกมาจากหม้อได้
ตอนนั้นเองหญิงชราก็เดินเข้ามาเห็นพอดี นางร้องด้วยความโกรธว่า ชิชะ! เจ้าลิงชั่ว แกมาขโมยขนมของข้าอีกแล้วรึ มาเร็วพวกเรา มาจับมัน มันอยู่ตรงนี้!
ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็พากันเฮโลมาจับลิงที่บ้านหญิงชรา เจ้าลิงป่าตกใจรีบกระโจนหนี แต่เพราะความตะกละ มันจึงไม่ยอมปล่อยมือจากขนมในหม้อ และวิ่งหนีชาวบ้านโดยต้องแบกหม้อเหล็กหนักๆ ไปด้วย ในที่สุดเจ้าลิงก็อ่อนแรงและเป็นลม ชาวบ้านจึงจับมันใส่กระสอบแล้วพาไปปล่อยยังป่าลึกที่ไกลจากหมู่บ้านที่สุด หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเจ้าลิงตัวนี้อีกเลย.... (นิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)
หากถามว่าความสุขกับความทุกข์ใครชอบสิ่งใดมากกว่ากัน ทุกคนคงตอบพร้อมกันว่าความสุข แต่เราก็แบกความทุกข์ที่หนักอึ้งเอาไว้ ถ้าเรารู้จักเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยความทุกข์เสียบ้าง หาความสุขกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ และเชื่อมั่นในพระเจ้าเหมือนแม่พระที่ได้รับการประกาศว่า เธอเป็นสุขเพราะได้เชื่อ..  เชื่อหรือเปล่า ถ้าไม่เชื่องั้นลองทำดู แล้วความสุขก็จะบังเกิดขึ้น ถ้าสำเร็จก็นำมาแบ่งปันคนข้างๆบ้างนะครับ....

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ธรณีนี่นี้แม่ครอง


ธรณีนี่นี้แม่ครอง
เมื่อมีโอกาสวันว่างๆสบายๆ ใจก็หวนคืนสู่แผ่นดินถิ่นกำเนิด อยากกลับคืนสู่ธรณีแม่ ซึ่งแน่นอนมีแม่เป็นหลักชัยให้กลับไปรับไออุ่น ในแต่ละทีที่ได้กลับไปหาแม่ก็มักจะนัดหมายไปพร้อมหน้าพร้อมตากันพี่ๆน้องๆ ใบหน้าของแม่จะสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็รู้ว่าหลังความแช่มชื่นนั้น แม่มีอาการเปลี่ยนแปลงไปมาก ความทรงจำเรื่องราวในอดีตเริ่มจางหาย เหตุการณ์หลายๆอย่างถูกลบเลือนไปจากคลังแห่งความทรงจำ แต่แม่กลับไม่เคยลืมลูกๆทุกคนได้เลย 
บนผืนแผ่นดินถิ่นเกิด บ้านพ่ออู่แม่ ชีวิตที่ได้เคยผ่านวัยเติบใหญ่ขึ้น พร้อมกับพี่ๆน้องๆหลายคน ที่สุดต่างก็เดินจากมาเพื่อค้นหาทางของตัวเอง หลายครั้งหลายหน เหนื่อยแสนเหนื่อยบนทางเดินที่วนเวียนด้วยโมหะและความโลภหลงใหล แต่คราวใดก็ตามต้องการปลีกวิเวก หลีกหลบภัยที่มาก่อกวน เป็นต้องย้อนกลับไปรับไออุ่นบนธรณีถิ่นนี้ บนที่ผืนเล็กๆแต่กว้างใหญ่ไพศาลไปด้วยรักและอาทร อาหารที่ว่าต้องสืบเสาะเพื่อลิ้มชิมรส ก็ไม่มีที่ไหนอร่อยเท่าอาหารจากมือแม่ นี่คงเป็นความสวยงามแห่งความสัมพันธ์ในครอบครัว คงเป็นดังเช่นคำพูดในบทละครเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง ที่ว่า
ความสวยงามทั้งหมดนี้ถ้าเธอใช้สมองจำก็อาจมีวันลืม แต่ถ้าเราใช้หัวใจจำ ภาพนั้นก็อยู่กับเราตลอดไป ไม่มีวันลืม....
ความภาคภูมิใจของคนเป็นแม่ คือการที่ได้เห็นลูกๆเติบโตขึ้นเป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร มีการมีงานทำอย่างสุจริตไม่เป็นคนคดโกง แม่มักพร่ำสอนเสมอให้เป็นคนขยัน และแม่ก็เป็นตัวอย่างที่ดียิ่งในเรื่องนี้ แม้ว่าวันนี้แม่จะเข้าสู่วัยชราเต็มขั้นแล้ว แต่แม่ไม่เคยหยุดมือที่จะทำนั่นทำนี่ แม้เรี่ยวแรงจะไม่อำนวย ก็มักจะบอกคนรอบข้างให้เก็บนั่นเก็บนี่ให้หน่อย จนกลายเป็นคนน่ารำคาญในสายตาของลูกหลานในบางเวลา ก็ด้วยความขยันขันแข็งแต่ไหนแต่ไรมา ความอดทนทำงาน และความมีระเบียบไม่คิดเบียดเบียนใคร ทำให้เรามีพื้นที่แห่งความดีครอบครอง คำสั่งสอนของแม่นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคำสอนของย่าแดงในละครที่กล่าวว่า
เป็นอะไรได้ทั้งนั้นลูก  ขอให้งานที่ทำสุจริต และไม่เบียดเบียนใคร  ตั้งใจมุ่งมั่นทำอย่างรู้แจ้งในสิ่งที่เราทำ  ทำอย่างสุดกำลังด้วยความรัก
ณ แผ่นดินถิ่นเกิดที่ติดลำน้ำเจ้าพระยา แม่...ที่ยิ่งใหญ่ ที่สร้าง ที่มอบชีวิตให้กับผู้คนมารุ่นแล้วรุ่นเล่า พ่อกับแม่ก็เคยใช้ลุ่มน้ำสายนี้หาผักหาปลาเลี้ยงดูครอบครัว วันเวลาผ่านไป ครอบครัวหันมาประกอบอาชีพอย่างอื่นแต่หน้าบ้านก็ยังเป็นท่าออกลอยข่ายหาปลา ยามใดที่ได้กลับบ้าน แม่มักบอกกับคนหาปลาว่าถ้าได้ปลาขนาดพอดีสักตัวให้เก็บไว้ให้หน่อย เพื่อทำกับข้าวให้ลูกๆกิน แม้ว่าพวกเราไม่ปรารถนาจะให้แม่ต้องเหนื่อยกับการเตรียมอาหารให้พวกเรา แต่แม่ก็ยินดีทุกครั้ง ความอาทรของแม่ได้แผ่ไปยังคนอื่น เห็นได้จากวันนี้ที่ได้กลับไปนั้น มีคนนำปลาขนาดใหญ่มาให้โดยไม่คิดเงิน ด้วยเหตุผลที่ว่ามีครั้งหนึ่งแม่เคยช่วยเหลือเรื่องเงินๆทองๆกับเขาในวันที่เขาไร้สิ้นหนทาง และจากวันนั้นทำให้เขาขยันหมั่นเพียรทำมาหากิน และรู้ว่าสายน้ำมีทรัพยากรให้กินให้ใช้ตลอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย
มนุษย์เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะเรามีใจที่แข็งแกร่ง เราล้มได้ร้องไห้ได้ แต่จงอย่าล้มเลิกความตั้งใจนะลูก...เราเป็นเพียงแค่มดปลวกก็จริง แต่เราก็ขยันและอดทน ด้วยพลังใจอันมหาศาลเท่านั้น ที่จะทำให้เราอยู่กับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน
การได้มีเวลาอยู่กับแม่ ก็เป็นการย้อนความหลังของสมาชิกในครอบครัว ในหมู่พี่ๆน้องๆ มีการแลกเปลี่ยนมุมมองให้เห็นถึงความดื้อรั้นตามภาษาแห่งวัยที่หลายครอบครัวต้องข้ามผ่าน โดยเฉพาะครอบครัวใหญ่ที่มีลูกๆหลายคน ต้องมีสักคนในบ้านที่ค่อนข้างเกเรและดื้อรั้น เป็นปัญหาใหญ่ของพ่อแม่ และเป็นที่ห่วงใยที่สุดของสมาชิกในครอบครัว แม่มักบอกเล่าความทุกข์ที่มีลูกเกเร ลูกที่ชอบหาเรื่องไม่หยุดหย่อน ถามว่าแม่โกรธเกลียดมากไหม แม่บอกว่าตอนนั้นนะโมโหที่สุด แต่เมื่อลงโทษลูกอย่างสาแก่ความผิดแล้ว ในหลายครั้งน้ำตาไหลออกมา เพราะสงสารที่ลูกถูกลงโทษ ยามเมื่อครอบครัวเราก้าวผ่านบรรยากาศอันคุกรุ่นแบบนั้นมาแล้ว สิ่งที่แม่สอนสั่ง สิ่งที่แม่ลงโทษ กลับทำให้พวกเรากลายเป็นคนคุณภาพ ที่พร้อมจะน้อมรับได้ทุกอย่าง หากแม่ไม่ลงโทษ หากแม่ไม่ให้อภัย เราจะแข็งแกร่งเช่นวันนี้ได้หรือ เราพร้อมที่จะรับทุกมรสุมที่เข้ามาได้อย่างไร และที่สุดเราพร้อมที่จะให้อภัยกับทุกคนที่คิดร้ายต่อเราได้อย่างไร...
ไม่มีใครที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดในชีวิตหรอกลูก อยู่ที่เราเอาความผิดพลาดนั้นมาปรับใช้ให้เป็นบทเรียนกับชีวิตหรือเปล่า ทำพลาดครั้งหนึ่งแล้วต้องพยายามไม่ให้พลาดซ้ำในเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง เขาถึงจะเรียกว่า ผิดเป็นครู (คำพูดคุณย่าแดง ในละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง)
แม่เป็นทั้งผู้ให้กำเนิด  อบรมเลี้ยงดู  ให้ความรักให้ความอบอุ่น  คอยชี้นำ  สั่งสอน  คอยปกป้องจากภัยรอบข้าง และให้อภัยยามผิดพลาด คอยพยุงยามล้มลงให้ลุกขึ้นสู้ใหม่ จนเติบใหญ่แม่ก็ยังเป็นห่วงคอยช่วยเหลือตลอด  ยามทุกข์หรือสุขเพียงใดแม่ก็เปรียบเสมือนเพื่อนอีกคนของเราที่ให้ทั้งความรักและความอบอุ่น เป็นที่พักพิงอิงกายได้เสมอ แม่ทำให้เรามากมายเกินกว่าที่เราจะตอบแทนพระคุณของแม่ได้ แม่นั้นไม่เฉพาะที่จะเป็นแม่ในสายตาของใครบางคนเท่านั้น  แม่ยังเปรียบเสมือนสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในจิตใจของเราทุกๆคนตลอดไป ธรณีนี่นี้มีแม่ที่ครอบครองเพื่อลูกๆทุกคน ...แด่ผู้เป็นแม่ทุกคน....

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Like ความเงียบ


Like ความเงียบ
บ่อยครั้งเวลามาร่วมพิธีมิสซา เริ่มเห็นหลายคนมิได้ให้ความสนใจกับพิธีกรรมมากนัก เพราะมัวแต่จับจอง กด พิมพ์ บนสมาร์ทโฟน บางคนก็ดึงเข้าดึงออกจากกระเป๋ามาเปิดดูหน้าจอ มีไม่น้อยปล่อยให้มีเสียงเรียกเข้าหลุดออกมา แถมด้วยการพูดคุยกันในที่นั่งร่วมพิธี การใช้สื่อใหม่กลายเป็นสิ่งเสพติดขอคนยุคนี้ไปเสียแล้ว เราอยู่นิ่งๆเงียบๆกันไม่เป็น ทั้งๆที่ความนิ่งและความเงียบคือพลังอันยิ่งใหญ่ของการสื่อสาร ใช่หรือไม่...พอว่างปุ๊บเราต้องหยิบมือถือเปิดเฟชบุ๊คป๊าบ เพื่อแสดงสถานะ ว่าเราทำอะไร อยู่ที่ไหน กินอะไร คิดอย่างไง บ่นๆๆๆ !!!! เหมือนกับว่าเราไม่เคยมีสถานะอะไรบนโลกนี้ สิ่งนี้แหละที่ทำให้เรามีที่ยืน มีที่ให้แสดงออก แล้วก็รอคอยว่าเพื่อนในโลกเสมือนจริงจะชอบใจในสิ่งที่เราแสดงออกไปทางตัวอักษรข้อความหรือไม่ วันนี้ไม่โดน ครั้งหน้ามันต้องโดน เมื่อมีคนกด Like มี Comment มากๆก็รู้สึกภาคภูมิใจ ทำไปทำมาชีวิตคนวันนี้จึงไม่เคยพบกับความเงียบ dislike ความนิ่งๆไปเสียแล้ว
ในโลกยุคสื่อสารครองเมือง เรื่องราวต่างๆ ถูกส่งผ่านมาอย่างรวดเร็วโดยไร้การกลั่นกรอง สมองถูกใช้งานน้อย สำนึกสูญหาย เพียงแค่เห็นก็กด Like แล้วก็ Share เพื่อ Show ให้สาธารณชนได้เห็นว่า ฉันไม่เคยตกข่าว ตกรุ่นตกเรื่องราวเป็นขาเมาส์ขั้นเทพ และด้วยความที่คนเราวันนี้ไม่ได้มีความรอบคอบ เอาความเร็ว ความสะใจ โชว์ความดิบเถื่อนกันเกลื่อนเมืองนี้เอง ก็ทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งอาศัยค่านิยมดังกล่าวไปสร้างราคาค่างวดให้กับตัวเอง เช่น การทำเพจในเฟชบุ๊คในโลกเสมือนจริง และเพื่อเพิ่มยอดการเข้าชมด้วย การนำเรื่องนั้นเรื่องนี้มาปะติดปะต่อก่อให้เกิดกระแสแรงๆ เมื่อมีคนจับได้ ก็พูดว่าบอกความจริงไปแล้ว แต่ไม่อ่านกันเอง ดังที่เราอาจจะพอทราบเรื่องว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เราสูญเสียทหารในเหตุการณ์ความรุนแรงทางภาคใต้ ผ่านมาได้ไม่กี่วัน ก็มีเพจๆหนึ่งนำภาพคนร้ายถูกจับได้ แล้วขึ้นหัวเรื่องว่า จับได้แล้วคนฆ่าทหาร มีคนกระหน่ำเข้าไปกด Like และแสดงความโกรธแค้นด้วยคำพูดแสดงอารมณ์ หลายคนถึงขั้นหยาบคาย แต่เมื่ออ่านกันดีๆรูปนั้นเกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว แต่นำมา Tag ซ้ำเพื่อสร้างกระแส เพื่อต้องการให้มีการกด Like เยอะๆ เพื่อสร้างราคาให้กับเพจของตน คนแบบนี้เห็นแก่ตัวสุดๆ
แล้วกด Like นั้นคืออะไร เพื่ออะไร ก็เป็นเพียงหนึ่งในการตลาดสังคมออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ การสร้าง Fan Page ใน Facebook เพื่อให้เพื่อนๆ ในสังคมออนไลน์ สามารถติดตามข่าวสาร กิจกรรมของบริษัทหรือสินค้าที่พวกเขาชื่นชอบ สมาชิกเพียงแค่กดปุ่ม “Like” หรือ ชอบ ที่หน้า Page บรรดาบริษัทหรือเจ้าของสินค้าต้องการจำนวนสมาชิกที่กด “Like” มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความคิดที่ว่า ยิ่งจำนวนสมาชิกที่กด Like มากเท่าไร ก็สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้นเท่านั้น เป็นการเช็ค Ratting ความนิยมของสมาชิก
Like  เป็นเหมือนการให้คะแนน ทั้งภาพ เสียง และข้อความ เป็นการวัดผลได้เป็นคะแนนนิยม เหมือนการวัดผลโฆษณาโทรทัศน์ผ่านจำนวนคนดู   จากผลสำรวจพบว่าแฟนเพจ 10 อันดับแรกที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลก เป็นของวงการเพลงมากกว่าครึ่ง  หากในขณะที่ โลกบันเทิง และการตลาด ใช้ Like วัดคะแนนนิยม ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีกลุ่มคนที่กำลังใช้  Like สร้างคะแนนนิยมให้แก่ตัวเอง 
การสร้างค่านิยมผ่าน Like ของ กลุ่มเยาวชนในวันนี้ ดูเหมือนว่าไปกันใหญ่ กลายเป็นแหล่งรวมภาพเด็ก สาวมีตัวเลข ในแต่ละแฟนเพจตั้งแต่หลักพันปลาย จนถึงหลักแสนกลาง กลุ่มเด็ก สาวเหล่านี้งลืมไปว่า ตนเองยังไม่มีวุฒิภาวะ มากพอ ลืมคิดถึงผลกระทบและความเสียหายที่จะตามมา  คิดถึงแต่ความสนุก และตัวเลขของยอด Like จนบางครั้งถึงขั้นกระตุ้นตัวเลข ให้สูงขึ้น ด้วยการเผย สัดส่วนมากขึ้น  มีทีท่ายั่วยวนมากขึ้น  ได้รับการแสดงความปลื้ม ชื่นชอบ ทั้งเท่  ทั้งสวย น่ารักอ่ะ...นี่คือ ตัวอย่างที่แสดงว่าสังคมของเยาวชนกลุ่มหนึ่ง กำลังมีอาการสาหัสน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ในขณะที่เรามีการแจก แท็บเล็ต ให้เด็กๆได้ใช้งาน แต่ยังไม่เห็นมีองค์กร หน่วยงานไหนออกมาให้ความรู้อย่างจริงจัง (เน้นว่าอย่างจริงจัง) ถึงการใช้งานอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัยนั้นทำอย่างไร จะกด Like แต่ละทีควรต้องทำความเข้าใจเนื้อหา ต้องซึมซับทางศิลปะของภาพและเสียงที่ได้เห็นได้ยินก่อน สร้างมาตรฐานทางสำนึกกับคนรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น แต่ดูแล้วน้ำตา แทบเล็ดมากกว่า เพราะผู้ใหญ่หลายคนยังโงหัวไม่ขึ้นจากหน้าจอเลย...
วัฒนธรรมใหม่เกิดขึ้นมากับสื่อสมัยใหม่   แต่กลับเป็นการปลุกฟื้นวิญญาณด้านลบให้ออกลาย ให้ออกมาอาละวาด ทำให้โลก สังคม คนรอบข้าง ตกอยู่ในวังวนแห่งความหยาบโลนและรุนแรงมากขึ้น ความเงียบ ถูกเพิกเฉย การรับสารที่ไหลหลั่งมาอย่างไม่มีการไตร่ตรองก่อนที่จะกด Like Share Comment
ในความเป็นจริงแล้ว เราควร Like สื่อใหม่ที่ทำให้เรานำ Love จากพระวาจาไปสู่สังคมของคนหมู่มากได้ หรือรับสารรักจากผู้ส่งสารผ่านทางพระวาจา แล้วใช้ความเงียบเพื่อให้พระวาจาเข้ามาสัมผัสกับชีวิตเรา เพื่อเราจะได้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ใช้สื่อสารสมัยใหม่อย่างมีคุณภาพและรู้จักกาลเทศะ แล้วนำพระวาจาไปสู่โลกสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าให้ชีวิตหลุดลอยเสียเวลาไปกับการเฝ้ากด Like โดยไม่เคย love สิ่งเหล่านั้นเลย
(Fan Page วัดเซนต์หลุยส์ กรุงเทพฯ มีการ Post ข้อความพระวาจาในทุกๆเช้า เพื่อให้ผู้ติดตามได้ไตร่ตรองพระวาจาประจำวัน เป็นการแบ่งปันสิ่งดีๆสิ่งที่งดงาม เรามิได้หวังยอดกด Like เราเพียงหวังยอดผู้ที่เข้ามาอ่านได้นำไปใช้