วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ให้ไม่ยาก แต่ไม่อยากให้

ให้ไม่ยาก แต่ไม่อยากให้

เคยสังเกตไหมว่าในโลกปัจจุบันทุกวันนี้ ชีวิตส่วนตัวของเราถูกคุกคาม ถูกบั่นทอนลงไปด้วยเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ ที่ทุกคนเสพติดจนไม่สามารถจะถอนถอยห่างจากมันได้ ถ้ากล่าวในด้านดี นี่เป็นยุคที่ทุกคนสามารถจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์กันได้ เป็นยุคที่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แลกเปลี่ยนทุกข์-สุข กันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และเป็นอีกหนทางที่จะนำความรัก ความดีงาม จากพระธรรม คำสอน เผยแผ่ออกไปให้กว้างไกล แต่เอาเข้าจริงการณ์กลับเป็นเช่นนั้นไม่ เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่คล้ายจะเป็นเชื้อร้ายค่อยๆ กัดกร่อนจิตวิญญาณของคนในสังคม สิทธิความเป็นส่วนตัวถูกกัดกินจนแหว่งวิ่น หลายคนโดยไม่รู้ตัวมิอาจทนความโดดเดี่ยวอ้างว้างจะต้องเชื่อมต่อสื่อสารกับใครสักคนตลอดเวลา ผู้ถูกเชื้อร้ายกัดกินล้วนกลายเป็นเหยื่อโดยเต็มใจและไม่รู้ตัว

คนสมัยนี้โหยหาอะไรกัน คนเราวันนี้ต้องการสิ่งใดกัน และทำไมในหัวใจจึงเปี่ยมล้นไปด้วยความเหงา อาจเป็นเพราะเราแต่ละคนไม่เคยคิดออกจากตัวเอง มีแต่เรียกร้องขอความเห็นใจ โหยหาความเข้าใจจากคนอื่น การให้ การสร้างความสุข ด้วยการมอบความเมตตา ให้ความอาทร ให้กำลังใจมันหายไปจากสังคมไทยอย่างน่าใจหาย ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงไม่มากก็น้อยมาจากการที่เราขาดความใส่ใจกัน แม้แต่คนใกล้ตัว คนรอบข้าง เห็นกันเป็นเพียงสิ่งเคยชิน เป็นคนคุ้นเคย ก็เลยปฏิบัติต่อกันแบบเดิมๆ ไม่ได้เพิ่มเติมความห่วงหาอาทรต่อกัน เป็นไปได้ไหมถ้าเราจะลองเรียกรักให้กลับมาโดยไม่ต้องเรียกร้อง ทำแบบง่ายๆด้วยการสร้างสุข สร้างรอยยิ้ม สร้างวันที่ดีคืนที่งดงามให้แก่กันและกัน

มีชาย 2 คน ป่วยหนักทั้งคู่ และบังเอิญมาอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน ในห้องเดียวกัน ชายคนแรกจะต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียงวันละ 1 ชั่วโมง ในทุกๆบ่าย เพื่อให้ของเหลวไม่ท่วมปอด ในขณะที่ชายคนที่สองจะต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา ชายคนแรก ได้นอนติดหน้าต่างซึ่งมีอยู่บานเดียวในห้องนั้น

ทั้งสองคนใช้เวลาส่วนใหญ่พูดคุยกันในเกือบทุกเรื่อง ทั้งเรื่องครอบครัว ภรรยา บ้าน ที่ทำงาน ตอนไปเกณฑ์ทหาร เวลาไปเที่ยวพักร้อน ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงของทุกๆ บ่ายนั้น เมื่อชายคนแรกได้ลุกขึ้นนั่งนั้นเขาก็จะเล่าให้ชายคนที่สองฟังถึงสิ่งต่าง ที่เขาได้เห็นจากหน้าต่างบานนั้น

นานวันเข้าโดยไม่รู้ตัว ชายคนที่สองก็รอคอยช่วงเวลาชั่วโมงนั้นทุกวัน เพราะเป็นช่วงเวลา ที่เขาจะได้รับรู้ถึงความสนุกสนานความรื่นเริงและสีสันของโลกภายนอก ที่มองจากทางหน้าต่าง จะมีสวนสาธารณะ ซึ่งตรงกลางมีบึงใหญ่มีเป็ดและหงส์ว่ายน้ำไปมา เด็กๆ ก็มาเล่นเรือลำเล็กๆที่บึงนี้ รอบๆ สวนเต็มไปด้วยแปลงดอกไม้หลากสีสัน คู่รักมาเดินเล่นพูดคุยกันอย่างมีความสุข มองออกไปไกลๆก็จะเห็นเส้นขอบฟ้าที่ตัดกับตึกระฟ้าของเมือง ทุกๆ ครั้งที่ชายคนแรกบรรยายสิ่งที่เขาได้เห็นจากหน้าต่างนั้น ชายคนที่สองก็จะหลับตาและก็จินตนาการถึงภาพต่างๆไปด้วยเสมอ แม้กระทั่งในบ่ายวันหนึ่งที่ชายคนแรกเล่าให้ฟังว่า มีขบวนพาเหรดผ่านไป ชายคนที่สองก็เห็นภาพผู้คนในขบวนพาเหรดในชุดหลากสีสัน เดินตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงเพลงเลยแม้แต่น้อย

เวลาผ่านไป เช้าวันหนึ่ง เมื่อพยาบาลจะเข้ามาเช็ดตัวตามปกติก็พบว่า ชายคนแรกได้จากไปแล้วอย่างสงบ ไม่นานนักชายคนที่สองก็ได้ขอร้องพยาบาลให้เขาย้ายไปนอนติดกับหน้าต่างแทน ซึ่งเธอก็ไม่ขัดข้อง เมื่อย้ายเตียงเรียบร้อยแล้ว ชายคนที่สองก็ค่อยๆขยับตัว ถึงแม้จะเจ็บ เขาก็พยายามยันข้อศอกขึ้น เขาต้องการจะเห็นสิ่งที่เขาได้รับฟังมาตลอดจากชายคนแรก จากสิ่งต่างๆที่อยู่นอกหน้าต่างนั้น

ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง สิ่งที่เขาเห็น คือ กำแพงที่ว่างเปล่า เขาไม่รีรอที่จะถามกับพยาบาลด้วยความสงสัยว่า ทำไมชายคนแรกถึงได้เล่าให้เขาฟัง ถึงสิ่งสวยงามต่างๆ ที่เกิดขึ้นนอกหน้าต่างนั้นตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พยาบาลบอกให้เขาทราบว่า ชายคนแรกนั้นตาบอดและเขามองไม่เห็นอะไรเลย แม้กระทั่งกำแพงนั้น บางทีเขาแค่อาจจะอยากคอยให้กำลังใจคุณนะคะ

ในการทำให้ผู้อื่นมีความสุขนั้น ก่อให้เกิดความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่า ความเศร้าหมองเมื่อได้รับการแบ่งเบาจะบรรเทาไปได้ครึ่งหนึ่ง แต่ความสุขเมื่อได้ถูกแบ่งปันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เพียงแค่ให้น้ำแก้วเดียวในนามของพระคริสต์ เราก็จะได้บำเหน็จแล้วในสวรรค์ และถ้าเราทำให้คนรอบข้าง คนใกล้ตัวมีความสุข สวรรค์ก็เกิดขึ้นแล้วในวันนี้ วันหน้า และจะคงอยู่ตลอดไป ให้นั้นน่ะไม่ยากแต่เราก็ไม่อยากทำกันมากกว่า...

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

หมู่มากนิยม

หมู่มากนิยม

คนเราทุกคนต่างก็มีความทุกข์ หากเรานำเอาความทุกข์ยากปัญหาของผู้คนทั้งโลกมากองรวมกันจะก้อนขนาดไหน คงจะใหญ่โตกว่าโลกนี้หลายเท่าตัว เพราะในแต่ละวัน แต่ละคน ล้วนแล้วแต่พบเจอปัญหาอุปสรรคความทุกข์ยากด้วยกันทั้งนั้น เป็นความทุกข์ที่เกิดจากใจ จิตที่ไม่นิ่ง ใจที่ไม่สงบ เกิดจากความอยากได้อยากมี ทุกข์ที่เกิดจากการเปรียบเทียบ หลายคนก็ทุกข์เพราะคิดมาก คิดไปเอง คาดการณ์เกินเลยจนกลายเป็นความกลัว พอกลัวแล้วก็ทุกข์ ทุกข์แล้วก็เกิดปัญหาตามมา เครียด เบื่อหน่าย ซึมเศร้า บางคนอมทุกข์ทั้งวันทั้งคืน ตื่นขึ้นมา กองทุกข์ก็ทับถมจนโงหัวไม่ขึ้น นั่นเป็นเพราะก่อนเอนกายลงนอน เอากองทุกข์เป็นหมอนข้าง เอาปัญหาเป็นผ้าห่ม ไม่ยอมปล่อยวางและปลดปลง ถามกันตรงๆตอบกันจริงๆ ชีวิตนี้มีเพื่ออะไร!!! เพื่อทุกข์ฉะนั้นหรือ แบกกองทุกข์กันจนหลังอาน และก็หลังยาวไม่หาทางแก้ทุกข์ เพราะมัวแต่ไปแก้กรรม ตัดกรรม

กับวันเวลาที่ผ่านไปผ่านมา เคยคิดว่าเป็นพระพร ที่จะนำพาความสันติสู่จิตใจกันบ้างหรือเปล่า ทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนเพราะนั่งจมอยู่กับสิ่งเดิมๆปัญหาเก่าๆ ไม่กล้าก้าวสู่ความงดงามแห่งชีวิตที่สถิตกับเราตลอดมา ความงดงามในสายลมแสงแดด ความงดงามของจิตใจมนุษย์ ความงดงามที่เกิดจากความเมตตาอาทร ความงดงามที่มาพร้อมกับความรัก

กระแสสังคมมักหลอก สร้างภาพลวงตาให้จมไปกับมายาภายนอก ความสุข คือต้องมีสิ่งเสพ ความสุข คือ ความสำเริงสำราญ ความสุข คือ การได้ครอบครอง คนหมู่มากคิดอะไรก็ต้องเดินตามกันไปเป็นขบวน ใช่หรือไม่ ชีวิตแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับทาสในเรือนดิจิตอล(ทาสในเรือนเบี้ย) คนปั่นกระแสมีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนกับพร้อมใจกระโดดลงไปเวียนว่ายในกระแสธารที่จอมปลอม คนหมู่มากกลับไปเชื่อฟังคนไม่กี่คน คนไม่กี่คนก็ใช้พลังความเป็นมวลชนสร้างราคาค่างวดให้ตนเอง สังคมที่ไร้สุข เพราะทุกคนขาดจุดยืน ขาดหลักยึด ขาดความลึกซึ้งในแก่นของศาสนาและผสมกับความต้องการส่วนตัว ทัศนะส่วนตนที่ได้ยินได้ฟัง ฝังหัวกลายเป็นค่านิยม

ยิ่งในยุคข้อมูลข่าวสารที่ไหลบ่ายิ่งกว่าฝนโหมเท ยิ่งกว่าพายุซัดสาด จนไม่มีเวลาไตร่ตรอง ตรวจสอบ ในความชั่ว-ดี-ถี่-ห่าง หลงกลหลงลม ถูกชวนก็เชื่อ ถูกชี้ก็เชื่อง หากลองนั่งคิดสักนิดที่เขาสั่งให้ไปนั้นหน่ะ จะไปไหน ไปทำอะไร เราอาจจะพบแต่ความว่างเปล่า ในสังคมหมู่มากนิยม เอาเข้าจริงความเป็นตัวตน ความเป็นคนของปัจเจกแทบไม่เหลือหรอ ใช่..บางครั้งเราตะโกนกู่ก้องร้องพร้อมเพียงกันว่า อยากให้สังคมเปลี่ยน แต่เรายังยืนอยู่ในจุดเดิม ในรูปแบบเดิมๆ อย่างงั้นหรือ

การที่เรามาร่วมกันเป็นคนหมู่มาก มิติที่ลึกซึ้งกว่าการเรียกร้อง คือ พลัง คือ ความสามัคคีที่ยิ่งใหญ่ หากรวมกันมากโดยปราศจากการเรียกร้อง ความรักความเมตตา อันยิ่งใหญ่อยู่ตรงนั้น ในความมืดมนถ้าเราจุดเทียนขึ้นมาหนึ่งเล่ม ยื่นต่อให้กันไปเรื่อยๆความสว่างก็เกิดขึ้นในพื้นแผ่นดิน แต่หากว่าเราจุดเทียนไปแล้วปากก็ก่นด่าสายลม มือก็ปกป้องแต่เทียนของตัวเอง และเมื่อไรเล่าความสว่างจะเกิดในแผ่นดิน ต้นไม้ต้นเดียวมิอาจจะยืนยงต้านสายน้ำหลากได้ แต่เมื่อรวมกันเป็นกอเป็นเหล่า ยามพายุกระหน่ำ ต่างเกี่ยวเกาะกัน ผลึกรวมตัวกันเป็นหนึ่ง ป่าใหญ่ที่ร่มรื่นก็มาจากสิ่งนี้มิใช่หรือ ...

หลายครั้งในชีวิตของเรา การรับใช้ การช่วยเหลือคนอื่นดูเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องเสียหน้า เสียฟอร์ม เนื่องจากเราแต่ละคนปรารถนาที่จะให้คนอื่นมาเอาใจใส่ มา ปรนนิบัติรับใช้เรามากกว่า (เราจึงชอบไปอยู่กับคนหมู่มาก ชอบอยู่ฝ่ายที่ได้เปรียบเสมอ) ในพระวรสารนักบุญมาระโกบอกเราว่า ถ้าใครอยากเป็นที่หนึ่งก็ให้ผู้นั้นเป็นคนสุดท้ายและรับใช้ผู้อื่นทุกคนเถิด (มก.9:35) ตามความเชื่อคาทอลิก เราทุกคนเป็นพระศาสนจักรของพระเป็นเจ้า เป็นพระกายทิพย์ ที่มีหน้าที่เกื้อกูลกัน หน้าที่ของเราที่เป็นส่วนหนึ่งในพระศาสนจักร คือ การรับใช้ ซึ่งจะต้องอาศัยความสุภาพ ความเรียบง่ายแบบเด็ก ๆ และพร้อมที่จะรับทนทุกข์ต่างๆที่ถาถมโหมเข้าใส่มาในชีวิตของเรา หลายครั้งหลายเหตุการณ์ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำใจยอมรับได้ แต่เราก็ต้องไม่ท้อ ต้องมีความหวัง ที่สำคัญต้องมีความเชื่อ พระศาสนจักรที่แท้จริงย่อมก่อเกิดจากการรวมกันเป็นกายเป็นใจเดียวกัน ความมั่นคง ก็จะยิ่งทวีพัฒนาสู่ความถาวร อาศัยหมู่มากหลากหลายอวัยวะ ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ความทุกข์ใดเล่าจะเอาชนะได้ แก่นของหมู่มากนิยมอยู่ตรงที่แต่ละคนรู้จักหน้าที่ของตัวเอง และใช้หน้าที่นั้นเพื่อช่วยปลดปล่อยความทุกข์ แก้ปัญหาให้กันและกัน คริสตชนเรามีตรงนี้อยู่แล้ว แต่วันนี้อาจจะเลือนหายไปบ้าง ก็ช่วยกันฟื้นฟูให้กลับคืนมาโดยเร็ววัน.....

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

เก้า ก้าว ก้าว (ร้าว)

เก้า ก้าว ก้าว (ร้าว)

09 09 09 (วันที่เขียน)

ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณผู้ที่คิดค้นประดิษฐ์ระบบปฏิทินขึ้นมา จนทำให้เรามีกำหนดการ มีวันเวลา มีวันเดือนปี เป็นเครื่องมือให้การดำเนินชีวิตมีระบบระเบียบมากยิ่งขึ้น จนให้มีวันนี้ คือ วันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 เป็นวันเดียวในรอบ 100 ปี ที่จะเวียนมาสักหนหนึ่ง และอีกประการหนึ่งสำคัญมากๆ ที่ทำให้ คนข้างวัด มีเรื่องที่จะเขียน... ^_^

ทั้งๆที่วันที่ 9 กันยายน 2009 ก็ไม่ได้ต่างจากวันธรรมดาๆวันหนึ่ง จะมีสิ่งที่แปลกไปสักหน่อย ก็คือ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็เห็นแต่การประโคมข่าวเรื่อง 09 09 09 กันเป็นทิวแถว (ทั้งๆที่ประเทศไทยเราใช้ปี พ.ศ. ไม่ใช่หรือ) เด็กคลอดในวันนี้กี่คน (ทุกวันก็มีทารกแรกเกิดอยู่แล้วใช่ป่ะ) ใครคือคนที่ลืมตาดูโลกตอนเวลาเดินทางเข้าสู่วันใหม่ ตลอดทั้งวัน ก็พยายามนับกันให้ได้ 9 คน จริงหรือ... คนที่ 10 ไม่ต้องไปนับไม่เช่นนั้นเดี๋ยวขายข่าวไม่ได้ จบ เจ้ง เลย -_-

ยังมีอีกหลายๆ คนในสังคมไทย การมาถึงของวันที่ 09-09-09 ถือเป็นวันดีเป็นวันมงคล ก็แน่หล่ะ คนไทยเรากับความเชื่อเรื่องโชคลางมันเป็น DNA ประจำสัญชาติไปซะแล้ว จึงไม่แปลกอะไรที่เลข 9 ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า ก้าว จึงเป็นเลขมงคล เหมาะกับการจัดงานมงคลสารพัด เพื่อความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป เป็นความจริงหรือ ถ้าเราเริ่มต้นกิจการในวันนี้แล้วจะเจริญ และวันที่เหลือเราก็ตั้งหน้าตั้งตาโกงกิน มันจะเจริญได้อย่างไร หลายคู่ก็จัดพิธีสมรสในวันนี้ หวังว่าจะอยู่กันอย่างยาวนาน หลายโครงการก็เปิดตัวโครงการ เปิดตัวสินค้า เปิดกล้องถ่ายหนังกันมากมาย จนดูเหมือนว่า ประเทศชาติเราจะเจริญก็วันนี้แหละ แต่หันกลับมามองความเป็นจริง สังคมเราก็ยังตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง ภาวะที่มึนตึงใส่กัน ภาวะที่พร้อมจะคุกรุ่นในอารมณ์ จากก้าวหน้าในเลขมงคลมันคือความก้าวร้าวในชีวิตจริงของวันนี้ต่างหาก

ใครหลายคนที่เชื่อถือในโชคลาง อาจมองว่า การเรียงกันของเลข 09-09-09 นั้น เป็นการเรียงตัวกันของตัวเลขที่ดูแล้วสวยงาม จึงถือโอกาสหยิบฉวย ไปใช้สำหรับการทำกิจกรรมดีๆ ด้วยเชื่อว่าจะทำให้เกิดสิริมงคล ถ้าเช่นนี้แล้วเราไม่ต้องรอถึง 100 ปีหรือ เพื่อจะได้ทำกิจการดี ใครอยู่ถึงบ้างช่วยยกมือขึ้น และถ้าเราจะทำอะไรที่ดีๆสักอย่างทำไมต้องรอวันเวลาหล่ะ ถึงว่า...ก็เรามัวแต่รอเวลาวันสวยเลขงาม ความเสื่อมโทรมจึงปรากฎเต็มบ้านเต็มเมือง

เลข วัน เดือน ปี คือ สิ่งที่เราสมมุติร่วมกันขึ้นมา เพื่อเป็นกรอบเป็นกติกาสากลก็เท่านั้นเอง เป็นเราเองที่มาสร้างค่านิยมกันเองว่าเลขนี้สวย เลขนี้งาม เลขนี้เด็ด สิ่งที่เที่ยงแท้ที่จะช่วยให้เรา ก้าวหน้าในชีวิต คือ การยึดมั่นในการทำความดี เป็นผู้ที่มีใจเมตตา มีจิตอาสา สิ่งเหล่านี้ต่างหากควรเป็นเข็มทิศในชีวิตเรา คนเราเกิดมาหาใช่เพื่อตัวเอง เราต้องมีชีวิตเพื่อผู้อื่น ในแต่ละวันเป็นการพยายามสร้างความดี ปันความอาทรต่อกัน ในขณะที่เรามัวแต่รอวันที่ 9 เดือน 9 ปี 09 เพื่อทำให้ชีวิตก้าวหน้า แต่วันที่เหลือมีแต่ความก้าวร้าวใส่กัน ใช่หรือไม่ คนสมัยใหม่มักจะโกรธง่าย โมโหง่าย ใจร้อน ใจร้าย ต่อให้คอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วรอบเป็นแสนเป็นล้านกิกกะไบก์ ก็ยังไม่ทันใจคนสมัยนี้ ผิดหน้า ผิดใจกันง่าย มีความเป็นศัตรูกันง่าย แค่ไม่รู้จักกัน มองหน้ากันนิดเดียวก็ฆ่ากันได้แล้ว ขับรถอยู่ดีๆก้อนอิฐ ก้อนหินก็ลอยมาใส่ได้ง่ายๆ ค้าขายอยู่ดีๆก็มีคนมาข่มขู่เอาเงินไปช่วยใช้แบบง่ายๆ เพียงชั่วเสี้ยวนาที

ในยุคสมัยของเราอะไรที่ไม่เคยเห็นเราก็ได้เห็น เป็นยุคที่เรายังมุ่งมั่น มุ่งเน้นพัฒนาความเจริญทางด้านวัตถุ ความเจริญทางด้านอาชีพ แสวงหาเงินตราสะสมทอง แต่ทางด้านจิตใจ คุณธรรม จรรยา ความอดทน อดกลั้น ความยั้งคิดยั้งทำกลับเสื่อมลง! การพัฒนาทางด้านวัตถุ มีเงินทอง ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด แต่ต้องปรับสังคมให้สู่ความสมดุล เมื่อนั้นแล้วก็นำผลขยายสู่เพื่อนพี่น้องผู้ยากไร้ เป็นการปรับสมดุลของการอยู่ร่วมกัน แล้วความเจริญที่สมดุลจะพัฒนาศักยภาพในทุกด้านของสังคมประเทศชาติให้พุ่งสู่ความเป็นเลิศแห่งมนุษยชาติ

หลักของความสมดุลนั้น การเจริญทางด้านวัตถุกับการเจริญทางด้านจิตใจ ต้องไปด้วยกัน การติดตามพระเยซูเจ้าในยุคสมัยนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เราหลีกเลี่ยงทุนนิยมไม่ได้ ก็ใช้ทุนนิยมสร้างคุณธรรมนิยมได้ เราอยู่บริโภคนิยมเราก็บริจาคนิยมได้ เราก็ใช้โลกาภิวัฒน์เพื่อนำวัดเข้าสู่จิตใจผู้คนก็ได้ เลิกนึกถึงแต่ตัวเอง เป็นคาถาง่ายๆสำหรับการสร้างความเจริญ สร้างมงคลให้กับชีวิต โดยที่ไม่ต้องรอให้ วันที่ 9 เดือน 9 ปี 2109 มาถึง เพียงแค่นี้ชีวิตก็ก้าวหน้า ความก้าวร้าวก็ไม่มาเยี่ยมกราย.....

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ผิวสี สีผิว

ผิวสี สีผิว

มนุษย์เรานี่ก็แปลกประหลาด ตั้งแต่จำความได้เริ่มพูดจากันรู้เรื่อง ก็เริ่มที่จะมีอารมณ์หยอกล้อเล่นกับเพื่อนๆ เรื่องที่นำมาล้อกันเล่นก็ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องปมด้อยของเพื่อนบางคน ใช่หรือไม่ นอกจากการล้อชื่อพ่อชื่อแม่แล้ว สิ่งที่สร้างความสุขอีกชนิดหนึ่งนั่นคือการล้อเรื่องหน้าตา ผิวสี คนไหนที่ผิวคล้ำหน่อย ก็จะถูกล้อว่า หนูดำบ้าง ดำดีสีไม่ตก ข้าวนอกนา แกะดำ และอีกหลายๆชื่อ สุดแต่การสร้างสรรค์คำในแต่ละยุคแต่ละสมัย และไม่น่าเชื่อว่าเรื่องสีผิวกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกปัญหาหนึ่ง

ใครกันหนอ เป็นผู้นิยามว่า คนผิวขาวย่อมดูดีกว่าคนผิวดำ ใครกันหนอเป็นผู้เริ่มทัศนคติที่ฝังสมองผู้คนทั้งโลกจนกลายเป็น DNA ให้ผู้คนเหยียดหยามคนผิวสี หรือว่าผู้ที่มีบทบาท ผู้ที่คิดค้นความเจริญทั้งหลายทั้งปวงเริ่มจากชนชั้นผิวขาวที่มีความพร้อมทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และทรัพยากรในการเข้าถึงความเจริญ และก็ใส่ Memory ลงไปให้ดูแคลนคนผิวสี

การเหยียดผิว มีในรูปแบบและระดับที่แตกต่างกัน เป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นในมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปี ปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิวเป็นปัญหาสำคัญและปรากฏอยู่ทั่วไปรอบๆตัวเรา แม้กระทั่งในเกมฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมของผู้คนทั่วโลกก็มีปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิว แฝงอยู่อย่างมาก และกลายมาเป็นสัญลักษณ์เรียกร้องความเท่าเทียมในหลายๆนัดของการแข่งขัน ก็ยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

จากการสืบค้นเพื่อดูว่าปัญหานี้เริ่มมาจากตรงไหน ก็พบข้อมูลว่า หลังจากที่มีการเลิกทาส ในยุโรปได้มีกลุ่มที่เรียกว่า KKK ก่อตั้งขึ้นโดยพวกเมกันที่เกลียดคนผิวดำ และไม่ยอบรับแนวคิดที่จะให้คนผิวดำมีสิทธิมีเสียงเท่าคนผิวขาว ก็เลยตั้งขบวนการใต้ดินไว้ทำร้าย ข่มขู่คนผิวดำในยุคปี 60

ในปัจจุบันนี้ปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิวได้ลดระดับลงไปได้บ้าง เห็นได้จากการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อมใจกันเลือกประธานาธิบดีผิวสีคนแรก ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคมโลก และยังมีการรณรงค์เรียกร้องจากองค์กรต่างๆ ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ การเหยียดสีผิวแท้จริงแล้วหมายถึงการเหยียดหยามความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เพียงแค่คนเหล่านั้นคิดแตกต่างกับเรา มีวัฒนธรรมแตกต่างกับเรา และก็ประเมิน ความเป็นคน ของผู้อื่นจากสิ่งภายนอกที่มองเห็น เป็นเสมือนการมืดบอดของสังคมโลกโดยแท้ ละเลยความเป็นบุตรของพระเจ้า ไม่เคารพฉายาลักษณ์ของพระองค์ในเพื่อนพี่น้อง นี่จึงเป็นที่มาของการจงเกลียดจงชัง เลือกที่รักมักที่ชัง ตามมาด้วยการทำลายล้างกัน ภัยพิบัติจากธรรมชาติว่าน่ากลัวแล้ว ภัยจากความขุ่นเคือง เกลียดชังกันระหว่างคนกับคนอันตรายกว่าหลายเท่าตัว

เมื่อเร็วๆนี้มีเด็กอัฟริกันคนหนึ่งได้เขียนกลอนเข้าประกวดจนได้รับรางวัลชนะเลิศยอดเยี่ยมจากองค์การ UNบท

When I born, I black : เมื่อผมเกิด ผมผิวดำ
When I grow up, I black : เมื่อผมโตขึ้น ผมก็ยังผิวดำอยู่
When I go in Sun, I black : เมื่อผมอยู่ใต้แสงแดด ผมก็คงยังผิวดำ
When I scared, I black : เมื่อผมกลัว ผมก็ผิวดำ
When I sick, I black : เมื่อผมป่วย ผมก็ยังผิวดำ
And when I die, I still black : และเมื่อผมตาย ผมก็ยังคงผิวดำ
And you white fellow : และคุณ...เพื่อนมนุษย์ผิวขาว
When you born, you pink : เมื่อแรกเกิด คุณมีผิวสีชมพู
When you grow up, you white : เมื่อคุณโตขึ้น คุณมีผิวสีขาว
When you go in sun, you red : เมื่อคุณอยู่ใต้แสงแดด คุณมีผิวสีแดง
When you cold, you blue ; : เมื่อคุณหนาว คุณมีผิวสีน้ำเงิน
When you scared, you yellow : เมื่อคุณกลัว คุณมีผิวสีเหลือง
When you sick, you green : เมื่อคุณป่วย คุณมีผิวสีเขียว
And when you die, you grey : เมื่อคุณตาย คุณมีผิวสีเทา

And you calling me colored?? : และคุณเรียกผมว่า คนผิวสี

(อ่านแล้วรู้สึกอย่างไง.... คนเราผิวสีต่างกันแต่เลือดสีเหมือนกันไม่ใช่หรือ)

จงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า” (โรม 6:13) พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอด และคนหูหนวกให้หาย เป็นการยืนยันถึงความเคารพในความเป็นมนุษย์และการให้เพื่อนมนุษย์ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการสรรเสริญ ความดี ความงามและความรักของพระเจ้าบนโลกใบนี้ มันถูกต้องแล้วหรือ ที่เราจะตัดสินคนๆ หนึ่งได้ จากสีผิวที่แตกต่างไปจากพวกเรา เรามีสิทธิ์อะไร...