วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จิตอาสาจากใจสาธารณะ

จิตอาสาจากใจสาธารณะ

เห็นเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งในชุดนักเรียน กำลังกวาดใบไม้รอบๆวัดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เด็กสาวเหล่านี้คงกำลังทำกิจกรรมเพื่อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ เห็นกวาดกันไปถ่ายรูปกัน ท่าทางน่ารักแต่ท่าทางการกวาดดูเก้ๆกังๆจับไม้กวาดกันไม่ค่อยจะเป็น เวลาผ่านไปสัก 5 นาที เด็กสาวเหล่านี้ก็นำกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ทางวัดรับรองการมาทำประโยชน์ แล้วพวกเธอก็จากไป ใบไม้ที่กองไว้ยังคงอยู่เป็นกองเล็กๆ หรือว่านี่เป็นภาคบังคับให้เด็กเหล่านี้ต้องมาบำเพ็ญประโยชน์ หรือว่านี่เป็นหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องจิตอาสา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม แต่...ดูแล้วน่าสงสารพวกเด็กหญิงเหล่านี้ที่ขาดการเรียนรู้วิถีแห่งการเป็นจิตอาสาที่แท้จริง ทำเพื่อทำ ทำเพื่อให้มีผลงาน ได้ใบประเมินและเมินเฉยต่อแก่นแท้

พูดถึงจิตอาสา เราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้าง แต่ก็ยังมีอีกมากมายหลายคนที่ยังไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายของคำๆนี้ ซึ่งแน่นอนเด็กๆเหล่านั้นไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เพียงเข้าใจในนัยของจิตอาสาไม่กระจ่างแจ้งและขาดการชี้แนะที่ดี

จิตอาสา คือ ผู้มีจิตใจที่พร้อมจะให้ ให้สิ่งของ ให้เงินทอง ให้ความช่วยเหลือด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังสมองและสติปัญญา ซึ่งเป็นการเสียสละในสิ่งที่ตนเองมี ในสิ่งที่ตัวเองเป็นหรือชำนาญการ ให้แม้กระทั่งเวลา มอบให้กับส่วนรวมด้วยความเต็มใจและไม่แอบอิงสิ่งตอบแทน หรือแม้แต่คะแนนในการทำความดี ในอีกมิติหนึ่งจิตอาสายังช่วย ลดความเห็นแก่ตัวลงได้บ้าง

เนื้อแท้ของความเป็นอาสาสมัครนั้นอยู่ที่จิตใจ คือมี จิตอาสา ที่ต้องการช่วยเหลือผู้อื่น หรือนึกถึงส่วนรวม จะเป็นครู พ่อค้า นักธุรกิจ ข้าราชการ ก็สามารถเป็นอาสาสมัครได้ตลอดเวลา หากมีจิตใจที่คำนึงถึงส่วนรวมอยู่เสมอ เราจำเป็นต้องตระหนักอยู่เสมอว่า อาสาสมัคร นั้นไม่ใช่เป็นอาชีพ หากคือสำนึกที่สมควรมีอยู่คู่กับความเป็นมนุษย์ของเราจนกว่าชีวิตจะหาไม่ (พระไพศาลวิสาโล)

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ทุกคนล้วนมีจิตอาสาอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว มีความหวังดีต่อผู้อื่น อยากช่วยผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน แต่ทำไมสังคมที่มีความวุ่นวาย มีการแข่งขันที่ร้อนแรงในทุกๆด้าน มีการเอาเปรียบผู้ด้อยโอกาส มีการกล่าวร้ายเสียดแทง มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ชิงประชาชน ใช่หรือไม่ ล้วนแล้วแต่มา ความเห็นแก่ตัว หรือเอาแต่เป็นหลักเป็นที่ตั้ง

ความเห็นแก่ตัว เริ่มจากความกลัวตัวเองและกลัวภัยคุกคามจากโลกปัจจุบัน เราต่างก็ปรารถนาจะสร้างรังเล็กๆของตนขึ้น สร้างเปลือกห่อหุ้ม เพื่อว่าเราจะได้อยู่เพียงลำพังอย่างปลอดภัย ทำอย่างไรที่จะช่วยกันลดความเอาแต่ได้ลง การให้ คือคำตอบที่ง่ายและสั้นแต่ทำยาก เริ่มต้นด้วยการมองออกไปสู่ภายนอก มองเห็นผู้อื่นอย่างลึกซึ้งอย่างแท้จริงมากขึ้น เริ่มเข้าใจมุมมองของคนอื่น เขาต้องการอะไร เขาอยู่ในสภาพไหน เราช่วยอะไรได้บ้าง และเริ่มให้ เริ่มสละสิ่งที่เรามีอยู่ สละความเป็นตัวเราของเรานั่นเป็นหนทางการพัฒนาจิตใจแต่ละคน

มีข่าวเล็กๆข่าวหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ มีนักศึกษาสาวเครียดปัญหาทางบ้าน แถมทะเลาะกับแฟนหนุ่ม ชวนเพื่อนมานั่งเล่นระบายอารมณ์ใต้สะพานพระราม 8 ก่อนจะแอบขึ้นไปบนสะพานโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย หนุ่มขายของเก่าที่สนามหลวง ที่นั่งตกปลาอยู่ รีบกระโดดลงไปช่วยเอาไว้ได้ แต่เกิดเป็นตะคริวจมน้ำตาย

เป็นจิตสำนึกของชายหนุ่มผู้เก็บของเก่าขาย เป็นคนที่มีใจสาธารณะ ซึ่งไม่เกี่ยวกับฐานะและการศึกษา การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คิดชีวิตเป็นจิตอาสาขั้นสูง เป็นจิตสำนึกของคนผู้เกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐ ใช่หรือไม่ การศึกษาที่ก้าวล้ำนำเด็กสู่ทางตัน แก้ปัญหาไม่เป็น เพราะจมปลักอยู่กับเรื่องของตัวเอง การตายของหนุ่มคนนั้นอาจจะทำให้นักศึกษาสาวได้คิดถึงคุณค่าของชีวิต และคุณค่าของความรักที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน ไม่จำเป็นต้องเที่ยวตามงอนง้อกัน เพราะรักที่แท้ไม่ใช่แค่ฐานะ ยี่ห้อรถยนต์ รักที่มีนามสกุลใหญ่ รักแท้ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนและรักแท้มีอยู่คู่โลก โลกที่เต็มไปด้วยความสวยงามเสมอ

การปลุกน้ำใจให้งอกงามกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มาช่วยกันดูแลสังคมร่วมกัน ดูแล ชุมชน ดูแลวัด โดยมองออกนอกกรอบของเรื่องตัวเอง ออกมาดูคนอื่น เห็นใจ เข้าใจคนอื่นกันมากขึ้น ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดี ทำดีให้เป็นรูปธรรมกันมากขึ้นในสังคมไทย มิใช่เพียงแต่นั่งวิพากษ์วิจารณ์ ออกมารับผิดชอบมีส่วนร่วมด้วยกัน นี่เป็นการสร้างจิตอาสา ใจสาธารณะ เป็นหัวใจของคริสต์มาสที่เราจำเป็นต้องมีและปลูกฝังลงในหัวใจของเด็กรุ่นใหม่ทุกคน หาไม่เช่นนั้นอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะเห็นข่าวเด็กฆ่าตัวตายเป็นเรื่องปกติสามัญประจำสังคม เพราะคนดีอย่างหนุ่มคนนั้นสูญพันธุ์จากโลกนี้ไปหมดแล้ว...

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เพราะอะไรใจคน

เพราะอะไรใจคน

เคยไหมที่วันดีคืนดี เรื่องราวของเราก็กลายเป็นเรื่องราวสาธารณะเล่าสู่กันฟัง เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันสารพัดสาระพันสุดจะบรรยาย

เคยไหมที่อยู่ดีๆอยู่เฉยๆอยู่นิ่งๆยังกลายเป็นประเด็นให้ผู้พบเห็นนำไปติฉินนินทา

เคยไหมที่การกระทำของเราที่คิดว่าดี แต่ในมิติของคนอื่นแล้วมัน คือ เรื่องที่เลวร้ายสิ้นดี

เคยไหมที่มีเมตตา กลับถูกด่าว่าแสร้งทำ เพื่ออยากเด่นเพื่ออยากดัง

เคยคิดไหม บางครั้งบางเวลาใจของเรากับใจของผู้อื่นตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เราคิดอย่างหนึ่งแต่ถูกตีความหมายไปอีกอย่าง หรือว่าคนเราต้องคิดเหมือนๆกัน แต่พอคิดเหมือนคนอื่นก็ยังถูกว่าไม่มีความคิด ไร้สมอง อ้าว...แล้วไงล่ะใจคน

บางครั้งการพยายามหาเหตุผล ก็ก่อให้เกิดความสับสนให้กับชีวิตได้เหมือนกัน หลายช่วงเวลาของชีวิตมักเลือกที่จะอยู่เงียบๆนิ่งๆ จนกลายเป็นภาพลักษณ์ จนถูกมองว่าเป็นคนเฉยชา เป็นพวกศิลปิน แต่บ่อยครั้งเราก็มักพบกับความเจ็บปวดที่ไม่อาจจะอธิบายความจริงให้ผู้อื่นฟังได้ พูดไปก็กลายเป็นการเรียกร้อง พูดไปก็กลายเป็นการหาข้ออ้าง พูดจากใจก็ดูไร้เหตุผล หรือว่าบางครั้งเราต้องโกหกกันเพื่อให้เกิดความสบายใจของทุกๆฝ่าย ยากแท้ใจคน...

หากว่าชีวิตต้องยืนหยัดในสิ่งถูก ใจเราเท่านั้นที่บอกว่าควรปฎิบัติเช่นไร แต่ก็นั่นแหละ ในสังคมของคนหมู่มาก สิ่งที่ใจเราบอกว่าถูกต้อง ก็อาจจะไปขัดใจใครบางคน บางครั้งก็ต้องยอมผ่อนตามๆกันไป ข้อสำคัญอยู่ตรงที่ว่า การผ่อนตามนั้นต้องเดินไปอยู่บนหนทางความถูกต้อง บนครรลองของความยุติธรรม สิ่งนั้นก็จะนำมาซึ่งความสันติ และเป็นการสละน้ำใจตัวเอง เป็นการเรียนรู้ด้วยว่า ความถูกต้องไม่ใช่ถูกใจเราเสมอไป ความถูกต้องไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองหรือสาม ผลของความถูกต้องนำมาซึ่งความรักและสันติสุขภายในใจ...นี่แหละใจคนที่ต้องค้นหา

คนเราส่วนใหญ่ก็ปรารถนาจะให้ผู้อื่นทำตามใจเรา ลูกต้องเดินตามทางที่พ่อแม่ฝันไว้ และบีบบังคับให้ได้ดังใจก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง ลูกๆเติบโตขึ้นก็คิดว่าชีวิตอิสระเสรีเหนืออื่นใด ใจสั่งมาให้ทำอะไรก็ทำไปเลย ไม่มีลิมิต ชีวิตเกินร้อย พ่อแม่เป็นเต่าโบราณ เป็นสิ่งค้างคืน ขืนทำตามถูกเพื่อนล้อตายเลยว่า ป๊อดนี่หว่า เป็นลูกแหง่ จึงเกิดการขัดข้อ ขัดขวางและก็ขัดใจกันในครอบครัว คู่รักคู่ขวัญวันเริ่มแรกแจกเบอร์กัน ฉันตามใจเธอ เธอตามใจฉัน เรารักกัน ชี้ไม้เป็นไม้ชี้นกเป็นนก ผ่านวันชื่นคืนสุขกลับสู่ตัวตนของตัวเอง อยากให้เธอเป็นอย่างนี้ได้ป่ะ อ่ะ เธอบอกว่า ไม่ได้ ฉันเป็นของฉันอย่างนี้ และก็มีแต่ความระแวง ระวัง จนกลายเป็นความละเลยต่อกัน ไม่มีความเห็นใจมีแต่ขอให้ตามใจ ความรักสั่นคลอน หมดความไว้วางใจต่อกัน เพราะอะไรเล่าใจคน...

หรือโลกนี้เต็มไปด้วยความหลอกลวง ความจริงอยู่หนใดในจักรวาล ความจริงเป็นเช่นไรในใจคน ความจริงใช่อยู่กลางใจเราหรือ การใช้จิตสำนึก ใจสามัญ ขยันตรวจสอบ เราก็จะพบความจริงในจิตวิญญาณ จิตใจคือพระเจ้าในตัวตน หากเราค้นพบความจริงแห่งใจ ใช่..เราก็ค้นพบองค์พระผู้เป็นเจ้า การซื่อตรงต่อความจริงเป็นการซื่อตรงต่อพระเจ้า แน่ล่ะ บ่อยครั้งเราต้องฟังเสียงในใจของเราและต้องไม่เมินเฉยต่อคำของผู้อื่น เรียนรู้ที่จะปรับเสียงภายนอกและภายในให้สอดคล้องไปกับความเป็นจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริง ก็ฟังเรา พระเยซูเจ้าตรัสไว้เช่นนั้น หลอกใครก็หลอกได้แต่หลอกตัวเองนี่สิหาใช่การเป็นมนุษย์สุดประเสริฐไม่ จงเชื่อมั่นความจริงในใจ เพื่อจะได้จริงใจในทุกก้าวย่างแห่งชีวิต

คนเราหน่ะ หลายครั้งที่ถกเถียง โต้แย้งหาเหตุผลของความจริงกัน จนกลายเป็นฝักเป็นฝ่าย แท้จริงความจริง คือ สิ่งเดียวกัน เพียงแต่ต่างมุมมอง ต่างมุมคิด เรามักใช้สมองควานหาข้ออ้างและเหตุผล เพื่อแสดงความเหนือชั้น เพื่ออวดภูมิกันมากกว่า สังคมที่ไม่มีใครยอมใคร สังคมที่พูดมากกว่าฟัง สังคมที่ใช้ปากมากกว่าหู จึงเป็นสังคมที่ไม่มีใจให้กัน ลองนิ่งๆเงียบๆฟังกันให้มากเราจะพบความจริง เราจะเข้าใจกัน เราจะรู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่คนอื่นพูด ที่นำเราไปเล่าสู่กันฟัง ที่เราคิดว่าถูกติฉินนินทา เป็นเพียงความเข้าใจผิดคิดกันไปเอง บางครั้งในชีวิตจริง ความเงียบมักมีคำตอบเกิดขึ้นในใจคนเสมอ ใช่หรือไม่ ความจริงอย่างหนึ่งที่พระเจ้าเฝ้าบอกเราทุกวันก็คือ เราก็แค่สรรพสิ่งเล็กๆเป็นแสงเล็กๆในจักวาล เป็นดังแสงดาวบนท้องฟ้า ดาวที่มีแสงอ่อนแต่มันเป็นแสงที่นิรันดร์ ความจริงในใจเราก็เป็นนิรันดร์ เพราะพระเจ้าอยู่ในเราตลอดมาและจะตลอดไป....

จิตวิญญาณสูงสุดอยู่ข้างใน ความจริงอยู่ในนั้น พระเจ้าอยู่ที่นั่น.....ในใจของเรา

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กลัวสิ้นโลกหรือกลัวอะไรกันแน่

กลัวสิ้นโลกหรือกลัวอะไรกันแน่

ความตั้งใจตั้งแต่เริ่มแรกว่าอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ หาที่สงบๆอากาศเย็นๆ นั่งริมธารน้ำอ่านหนังสือให้จบสักเล่มสองเล่ม เพื่อปลดปล่อยผ่อนคลายจากความสับสนวุ่นวายในชีวิตช่วงนี้ จึงรับปากกับผู้เชิญชวนให้ไปพักผ่อนกับชมรมผู้สูงอายุของวัดเซนต์หลุยส์ที่เมืองกาญจน์ มีที่พักริมลำธารใส แต่เมื่อไปถึงพบแต่อากาศที่ร้อนอบอ้าว ลมหายเข้ากลีบเมฆ เมฆหายเข้าแผ่นฟ้า ปล่อยให้อาทิตย์เริงร่า แผ่ซ่านแสงอันร้อนระอุให้จุใจ แต่ก็ยังดีที่มีรอยยิ้มจากผู้สูงวัย มีหัวใจอันกล้าแกร่งของผู้เป็นแม่ สร้างให้โลกวันนั้นน่าอยู่น่าภิรมย์ขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ความร้อนใดเล่าจะเผาไฟรักในหัวใจคนได้

พูดถึงความร้อนของอากาศก็คิดถึงเรื่องของภาวะโลกร้อน ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือว่านี่เป็นสัญญาณเตือนถึงกาลของโลกใกล้แตกดับ ย้อนคิดกลับไปอีกว่าสิ่งหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมกับอายุขัย คือ คำเล่าขานถึงวันสิ้นโลก จำได้อย่างแม่นยำตอนยังเด็ก สมัยที่ยังต้องนอนฟังข่าวสารจากวิทยุเป็นหลัก วันที่มีข่าวว่าสกายแล็บ ชิ้นส่วนยานอวกาศจะหล่นใส่โลก ครั้งนั้นบรรดาผู้ใหญ่ต่างก็กล่าวขานกันว่าอาจจะเป็นวันสิ้นโลกแล้วกระมัง วันที่คาดหมายนั้นได้นอนมองขึ้นบนท้องฟ้าเพื่อเตรียมวิ่งหลบจนหลับไป ตื่นขึ้นพ่อเล่าให้ฟังว่า ชิ้นส่วนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตกลงสู่มหาสมุทร โลกก็รอดพ้นจากการแตกดับ และเรื่องราวความหวาดกลัวของมนุษยชาติเกี่ยวกับวันสิ้นโลกก็ยังไม่หมดไป ที่โด่งดังที่สุดคงเป็นช่วงปี 2000 หลายคนคงจำกันได้ถึงปรากฏการณ์ Y2K ได้ดี ปีนั้นเป็นปีที่จะก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ผู้คนทั่วโลกต่างหวาดวิตกกังวลกับเหตุการณ์มากมายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ต่างพากันตื่นตระหนกว่าข้อมูลต่างๆ จะสูญหาย พากันไปถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารจำนวนมาก กลัวว่าตัวเลขในบัญชีจะสูญไป เมื่อปี 2000 มาเยือน มีการรายงานข่าวตามเวลาของแต่ละประเทศเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว แล้วทุกอย่างก็เป็นปกติจนถึงวันนี้ เป็นปกติจนทำให้หลายคนไม่เชื่อถึงคำทำนายวันสิ้นโลก กลับมาใช้ชีวิตเพื่อให้โลกได้สิ้นไปเร็วขึ้น ใช้ชีวิตที่ทำร้ายทำลายธรรมชาติและมนุษย์ด้วยกันเองมากเสียกว่ายุคใดสมัยใด

แต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุค กี่สมัย ความกลัวร่วมกันของชาวโลกในเรื่องการสิ้นโลก ก็ยังดำรงอยู่ในคนหมู่มาก มีคำทำนายออกมามากมาย ให้เราได้อ่าน สร้างเป็นภาพยนตร์ให้ได้ดูก็มากหลาย หนังสือก็มีผู้เขียนกันมากขึ้น คำทำนายล้วนแต่สร้างความหวาดหวั่นในใจมนุษย์เสมอมา และเมื่อเร็วๆนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งขายดิบขายดี หนังสื่อนั้นชื่อว่า 2012 วันสิ้นโลก ซึ่งแปลมาจากหนังสือ Apocalypse 2012 เขียนโดย ลอว์เรนซ์ อี.โจเซฟ (Lawrence E.Joseph) เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่พูดถึงวันสิ้นโลก สำหรับข้อมูลในการเขียนผสมผสานไปด้วย ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เข้มข้น น่าเชื่อถือ รายงานความเป็นไปได้จากข้อมูลที่ค้นคว้ามา

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงความเชื่อและคำทำนายของชาวมายัน (บางที่ก็เรียกว่าชาวมายา) ที่กล่าวเอาไว้ว่า โลกจะดับสูญในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 วัน เดือน และปีที่อ้างถึงนี้เป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน หนังสือ Apocalypse 2012 ขายได้เป็นแสนๆเล่ม มีการแปลเป็นภาษาต่างๆถึง 21 ภาษา

ผู้ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ต่างออกมาแสดงความเห็นต่างๆนานา เนื้อหาในหนังสือย่อมสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ชาวโลกผู้อ่อนไหวต่อการสิ้นโลก และมีคนรุ่นใหม่หลายคนที่แสดงความเห็นไว้ว่า พวกเขายังเยาว์นักหากต้องตายลงในปี 2012 ซึ่งจะมาถึงในอีก 3 ปีนับจากนี้ บางคนถึงขั้นพูดเสริมเติมเข้าไปว่า แม้โลกจะยังไม่สิ้นไป แต่ตอนนี้ เหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ก็กำลังสำแดงฤทธิ์ออกมามากบ้างน้อยบ้าง ภาพที่เห็นตามสื่อต่างๆ ก็สะท้อนถึงการค่อยๆ สิ้นลงไปของสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ คำทำนายทั้งหลายทั้งปวงหากสืบค้นดูรากฐาน ล้วนแล้วแต่มาจากพระคัมภีร์แทบทั้งสิ้น

แล้วเราจะเชื่อคำทำนายเหล่านั้นหรือไม่.... พระเยซูเจ้าตรัสว่า ส่วนเรื่องวันและเวลานั้น ไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว พระองค์ต้องการจะสอนเราว่า อย่าไปหวาดวิตก หวาดกลัวถึงวันนั้น สิ่งสำคัญคือ การดำเนินชีวิตของเราควรจะอยู่ในครรลองแห่งความชอบธรรม อย่ามัวหลงใหลกับความสุขบนโลกนี้ที่ไม่อนิจจัง ทุกสิ่งมีวันดับสูญ และถ้าถามกันจริงๆเรากลัวว่าโลกจะสิ้น หรือกลัวอะไรกันแน่ เรากลัวการถูกพิพากษาลงโทษต่างหาก... ถ้าการดำเนินชีวิตของเราทำดีเพราะกลัว ก็เป็นการทำดีที่ไม่มีความสุขบนโลกนี้ และถ้าเช่นนั้นเราจะมีความสุขนิรันดร์ได้เช่นไรเล่า

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สิ่งใดมีค่า

สิ่งใดมีค่า

ท่ามกลางเสียงพลุ เสียงประทัดของคืนวันลอยกระทงที่ผ่านมา หลายผู้คนออกไปท่องเที่ยวตั้งแต่หัวค่ำทำเอารถราติดกันเป็นทิวแถว แต่สำหรับเราคริสตชนวันนั้นเป็นวันระลึกถึงผู้ล่วงลับและวิญญาณในไฟชำระ วัดหลายแห่งมีพิธีมิสซาในช่วงหัวค่ำ วัดเซนต์หลุยส์ของเราก็เช่นกัน จึงมีโอกาสได้มานั่งรำพึงถึงชีวิต ความเสียใจจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยังไม่จางหายไป ภาพหลายภาพเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ยังคงวิ่งวนอยู่ในหัว พิธีมิสซาในวันนี้คล้ายๆกับบรรยากาศเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในมิสซาปลงศพของผู้เป็นบิดา...แต่ในครั้งนี้มีสิ่งทำให้เรามองเห็นความจริงของชีวิตมากขึ้น เมื่อได้เห็นภาพเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 และพิธีปลงพระศพที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางประชาชนที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ความจริงในชีวิตคือการเดินทางในพระเจ้านั่นแหละคือความเที่ยงแท้

หลายร้อยหลายพันวันในชีวิตที่ผ่านมา เราหมดไปกับการแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนเราแสวงหากันไม่สิ้นสุดจริงหรือ... ทรัพย์สินเงินทอง หน้าที่การงาน เกียรติยศ ลาภสรรเสริญ ที่สุดก็หยุดแค่ลงนอนในกล่องสี่เหลี่ยม สุดท้ายปลายทางได้แค่การนอนเหยียดยาว มือประสานหน้าอก มือที่เคยไขว่คว้าหาความสำเร็จ เท้าที่เดินหน้าสู่เป้าหมาย สุดท้ายก็ต้องกลับสู่ท่ามาตรฐานในวันสิ้นลมหายใจ

สิ่งใดเล่ามีค่าที่สุดในชีวิต เราย่อมรู้กันดีอยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนหลุดพ้นจากวงจรแห่งการแสวงหา จะมีสักกี่คนที่เกิดเป็นผู้ให้โดยแท้ จะมีกี่คนที่ไม่สะสม เราก็รู้ เราก็นับได้ ท่ามกลางหลายล้านคนมีเพียงไม่กี่ร้อยที่เป็นคนเช่นที่กล่าวมา นอกนั้นก็ขาดๆเกินๆ เหมือนกับเราๆท่านๆ หลายคนไม่สะสมเงินทองแต่กลับสะสมคำสรรเสริญ หลายคนไม่ต้องการคำสรรเสริญเยินยอแต่กลับหวังให้ผู้อื่นเห็นว่าเป็นคนดี ซึ่งบางทีการพยายามทำดีก็กลายเป็นกองกิเลสอีกชนิดหนึ่ง การพยายามทำความดีนั้น แท้จริงฤทธิ์กุศลอยู่ตรงความพยายามหาใช่อยู่ที่ความดีที่กระทำ

แล้วอันใดเล่าที่เราต้องกระทำในโลกนี้ เพื่อยกระดับจิตใจและจิตวิญญาณให้งดงาม ทำดีคิดดีโดยไม่มีสิ่งใดเจือปน ไม่ต้องหวังบรรลุเป็นนักบุญ เพราะการหวังก็เป็นความโลภอีกแบบหนึ่ง ต้องกระทำสิ่งดีเพื่อผู้อื่น มอบรักโดยไม่หวังรักตอบ มีเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน สร้างกุศลโดยไม่สนคำสรรเสริญ สวดภาวนาโดยไม่หวังทำแต้มทำสถิติ และขอพรจากพระเจ้าสำหรับการตัดสินใจในทุกกิจการ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือร้าย เพราะทุกสิ่งคือบทสอนที่พระเจ้ามอบให้เราได้เรียนรู้

ขณะกำลังใคร่ครวญสัจจะของชีวิต บทเพลงหนึ่งในพิธีในค่ำคืนนั้น ทำให้ค้นพบบางอย่าง สิ่งที่มีค่า คือ การเดินตามคำสอนของพระเยซูเจ้า บทเพลงบทนั้นมีชื่อว่า สิ่งใดมีค่า เป็นครั้งแรกที่ได้อ่านเนื้อหาอย่างจริงจัง หรือว่า นี่เป็นคำตอบของความสงสัยในชีวิตตลอดหลายวันที่ผ่านมา

หากชีวิตสิ้นสุดเพียงความตาย จะมีค่าอันใด

เงินทองหรือคือสิ่งที่ต้องการ มีประโยชน์อันใด

หากวันนี้ต้องจบชีวิตลง จะมีค่าอันใด

เงินและทองมีค่ามากมาย จะเอาไปได้หรือ

หากวันนี้องค์พระเยซูกลับมา จะมีค่าอันใด

คงต้องพบพระด้วยน้ำตา รอความตายนิรันดร์

จงละทิ้งชีวิตวันนี้ ก้าวเข้ารับชีวิตใหม่

องค์พระเยซูผู้ทรงเมตตา ทรงรักท่านตลอดไป.....

แต่ก็อีกนั่นแหละ เราผู้อยู่ในยุคที่ทองคำมีราคาแพง ราคาสูงขึ้นทุกๆวัน ความละโมบโลภมากย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อยู่ในยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้ทุนรอน สิ่งที่ได้มาต้องแลกด้วยความมุ่งมั่น หลายครั้งต้องแลกด้วยการสูญเสียคุณธรรม จรรยาบรรณ การเป็นคนไม่มีสมบัติ ไม่ร่ำรวย กลายเป็นคนไร้ค่าไร้ราคาต่อรองในสังคมทุนนิยม วันเวลาของเราจึงหมดไป เพื่อแลกกับสิ่งที่ต้องการสร้างความสะดวกสบาย ใช่หรือไม่..วันนี้เราเห็นเรื่องเปลือกนอก เรื่องภายนอกสำคัญกว่าแก่นแท้ชีวิตภายใน ใช่หรือไม่ วันนี้เราดำเนินชีวิตด้วยมือ เท้า สมองเป็นหลักแต่ไร้หัวจิตหัวใจในการดำรงชีวิต เราจึงไม่รู้ว่าสิ่งใดมีค่าที่สุดในชีวิต ความดี ผลบุญที่เรากระทำในโลกนี้พระเจ้าไม่ได้มีมาตรฐานเกณฑ์วัดเอาไว้ แต่หากว่าสิ่งใดที่เราทำด้วยหัวใจบริสุทธิ์ ทำด้วยความเต็มใจ สิ่งนั้นมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์เสมอ แล้วเรายังแสวงหาเพื่อให้คนอื่นวัดความดี ความร่ำรวยจากเปลือกที่เราแสดงอยู่หรือ.. ถ้าเป็นเช่นนั้นชีวิตเราก็ยังคงไร้ค่า แม้จะมีมูลค่าที่สูงล้นฟ้า..

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แล้ววันนี้ก็มาถึง...จนได้

แล้ววันนี้ก็มาถึง...จนได้

เสียงโทรศัพท์จากพี่สาวดังขึ้นในวันที่เดินทางถึงเชียงใหม่พอดี ปลายสายแจ้งว่า พ่อเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการวูบไป แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ออกจากห้อง ICU ได้แล้ว ไม่ต้องห่วง จากนั้นอีกเพียง3-4 วัน โทรศัพท์จากน้องชายแจ้งว่า พ่อช็อกต้องปั้มหัวใจด่วน หัวใจพ่อเกือบหยุด หัวใจลูกหล่นหาย ใจหนึ่งก็คิดว่าพรุ่งนี้เป็นงานใหญ่ พิธีการมากมายความรับผิดชอบด้านหนึ่งเป็นของเรา ใจหนึ่งก็เฝ้าอ้อนวอนภาวนาอย่างสุดแรง เพื่อให้พ่อได้มีแรงใจ มีลมหายใจต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง เป็นความหวังสุดท้าย แต่แล้วประมาณตี 3 แสงจากโทรศัพท์และเสียงที่ไม่พึงปรารถนาก็ดังขึ้น กดรับโทรศัพท์ด้วยมืออันสั่นเทา เสียงปลายสายสั้นอย่างน่าใจหาย พ่อไปแล้ว จากนั้นนัยน์ตาก็เต็มล้นไปด้วยสายธารแห่งความรักและความคิดถึงพ่อ ท่ามกลางความโดดเดียว ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี เสียงร้องไห้อย่างไม่อายฟ้าดินเป็นไปอย่างยาวนาน นับเป็นชั่วโมงที่นอนร้องไห้ทุรนทุรายอยู่บนพื้นห้อง เพราะไร้เรี่ยวแรงกลับไปสู่เตียงอันอบอุ่น พระเจ้าข้าทำไมโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน....

แล้ววันใหม่กับความเศร้าโศกแสนสาหัสกับภารกิจความรับผิดชอบก็มาถึง ตลอดทั้งวันมีแต่ความพยายามที่จะประคองกำลังกายกำลังใจ เพื่อให้การเปิดงานสื่อมวลชนคาทอลิกโลกดำเนินไปอย่างเรียบร้อยตามตารางผสมกับน้ำตาที่ตกใน มีบ้างบางครั้งที่หลั่งไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว รุ่งเช้าวันนั้นได้ตัดสินใจแล้วยังไงก็ต้องเดินทางกลับมากราบพ่อให้ได้ หลังพิธีเปิดจึงมีโอกาสกลับบ้าน บ้านที่บัดนี้ไร้เงาพ่อผู้สุขุมและนิ่งสงบ พ่อสู่ที่สงบกว่า

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาวันเวลาผ่านไปเหมือนโกหก หลายเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วและ แรง จนเกือบจะตั้งตัวไม่ทัน วันนี้มีโอกาสอยู่นิ่งๆนั่งทบทวนชีวิตที่ผ่านมา เรื่องราวในชีวิตจริง เหตุการณ์ต่างๆทั้งร้ายดีย่อมเกิดขึ้นในชีวิตเราได้แทบทุกวินาที ยังจำถึงความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นในวงอาหารฉลองการแต่งงานครบ 52 ปี ของพ่อกับแม่ได้ดี เคยคิดว่าหากวันที่แม่ไร้พ่อ หรือพ่อไร้แม่ จะเป็นเช่นไรหนอ แม่จะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีพ่อ พ่อจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีแม่ ใครจะไปก่อน และเราฐานะที่เป็นลูกจะทำอะไรให้พ่อกับแม่ได้บ้าง พ่อบอกเสมอว่า ทุกวันนี้พ่อมีความสุขมากที่เห็นลูกๆทั้ง 5 คน มีหน้าที่การงานที่ดีมั่นคง เป็นคนมีเกียรติ เป็นคนที่ทำงานเพื่อคนอื่น และวันนี้พ่อได้รับความสุขยิ่งกว่า เป็นความสุขในอ้อมกอดของพระบิดาเจ้า

ใช่หรือไม่ คนเรามักวางแผน เตรียมการไว้อย่างดี อย่างพร้อมเพรียง แต่ในบางเรื่องบางเหตุการณ์ก็มักเกิดขึ้นเหนือความคาดเดาคาดหมาย นอกเหนือจากการตระเตรียม มีอีกสิ่งหนึ่งต้องมิอาจลืมได้ นั่นคือ ทั้งหมดต้องอาศัยความเชื่อในพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างจึงสำเร็จ

ไม่เคยคิดว่าวันแห่งการสูญเสียพ่ออันเป็นที่รักในครั้งนี้ ลูกชายคนนี้กลับอยู่แสนไกล ลูกชายคนนี้ไม่ได้พูดกับพ่อ ลูกชายคนนี้ไม่ได้มาดูแลพ่อยามป่วยไข้ เมื่อวันนี้มาถึงลูกชายพ่อได้แต่กลับมากราบพ่อในสภาพร่างไร้ลมหายใจ ทำไมชีวิตคนเรามักเดินย่ำรอยกับผู้อื่นเสมอ เคยคิดว่าพ่อยังไม่แก่ พ่อยังดูแข็งแรง พ่อยังจะอยู่กับเราอีกนานแสนนาน ว่างๆจะกลับไปเยี่ยมไปหา และเป็นไง วันที่มาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว ก็ทำให้คิดว่าเรามีเวลากับพ่อน้อยเหลือเกิน คนเราก็เป็นเช่นนี้รู้ค่าเมื่อสิ่งล้ำค่าจากไป

ในวันนี้มีแต่เรื่องราวของพ่อที่พอจะเป็นบทสอนให้ลูกๆมั่นคงในชีวิตที่มีเพื่อผู้อื่น ชีวิตพ่อในวัยเด็กแสนลำเค็ญ แต่ได้วิชาความรู้จากพระสงฆ์มิชชันนารี สอนให้อ่านเขียนภาษาละติน เมื่อพ่อถูกเกณฑ์ทหารในฐานะที่พออ่านภาษาฝรั่งได้ จึงถูกเลือกให้ไปอยู่กองเสนารักษ์ จากนั้นเป็นต้นมาพ่อจึงเรียนรู้การเป็นหมอตลอด 2 ปีกว่า เมื่อพ้นเกณฑ์ทหาร ประจวบกับการหาปลาเริ่มขัดสนมากขึ้น ความยากจนก็ยังไม่พ้นจากชีวิต ที่สุดพ่อจึงตัดสินใจหยุดการหาปลา มาใช้วิชาหมอออกหากิน โดยยึดหลักในการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งแรก เรื่องเงินทองเป็นเรื่องรอง ไม่เคยรอให้คนป่วยมาหาถึงบ้าน พ่อมักตระเวนไปกับจักรยานคันเก่า เข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้หาคนป่วย จวบจนวันนี้กว่า 40 ปี ที่พ่อยังใช้วิธีการแบบเดิมออกเยี่ยมเยียนคนป่วยตามหมู่บ้านต่างๆ จะมีข้อแตกต่างกันตรงที่พ่อเปลี่ยนพาหนะมาเป็นรถมอเตอร์ไซด์ บางครั้งบางคราวมีคนเจ็บคนป่วยมาเรียกยามดึกดื่นพ่อก็ตื่นไปฉีดยาไปรักษา แม้ว่าจะมีคำบ่นออกไปบ้าง แต่พ่อก็ไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้งเดียว

เมื่อวันที่เราต้องสูญเสียพ่อจนวันนี้ทุกอย่างดูเหมือนมายาภาพ และไม่มีความรู้สึกถึงความสำเร็จของงานแม้แต่น้อย ใครจะชื่นชม ใครจะต่อว่า ดูเหมือนเป็นอากาศธาตุที่ล่องลอยผ่านเข้าหู วันนี้มีเพียงความรักของพ่อที่มีต่อเราลูกๆจะส่งผ่านไปยังแม่ ผู้หญิงที่พ่อรักที่สุดที่เคียงข้างกันมาตลอด 52 ปี โดยไม่เคยห่างกันเกินสองวัน ผู้หญิงที่สร้างครอบครัว ผู้หญิงคนนี้เข้าใจพ่อมากที่สุด และสำหรับเราหวังว่าเมื่อวันนั้นของเรามาถึง เราจะพร้อมกันทั้งครอบครัวในบ้านแสนอบอุ่นของพระบิดาเจ้า...