วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ใบไม้เปลี่ยนสีความดีเปลี่ยนคน

ใบไม้เปลี่ยนสีความดีเปลี่ยนคน
            จากบทความสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เขียนถึงความงามของดอกไม้หน้าบ้านในพื้นที่เล็ก ๆ ที่ให้ความสดชื่นยามตื่นนอนแล้วมารดน้ำทุกเช้าเป็นกิจวัตร มาครั้งนี้วิถีชีวิตต้องออกเดินทางไปต่างที่ต่างถิ่นอีกครั้ง เพื่อยลโฉมความงามของใบไม้เปลี่ยนสี ที่ประเทศเกาหลี ในจังหวะแรกที่ได้รับการเชิญชวนใจหนึ่งไม่ค่อยอยากจะไปสักเท่าไหร่ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเราไปเพื่อจะได้ย้อนรอยการเสด็จเยือนขององค์สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ในงานชุมชุมเยาวชนเอเชีย ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่ประเทศเกาหลีแห่งนี้ก็น่าจะดี แต่เอาเข้าจริงการท่องเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้มีการกล่าวถึงงานใหญ่ครั้งที่ผ่านมาเลย อาจจะเป็นเพราะนี่เป็นการท่องเที่ยวอย่างแท้จริงไม่อิงเรื่องวัดเรื่องศาสนา ทุกคนต่างปรารถนาอยากจะเห็นเพียงใบไม้เปลี่ยนสี ว่าจะสวยงามเหมือนดังซีรี่ย์ดังหรือเปล่า
          
  เกาหลี เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวอันสวยงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (ตุลาคมถึงพฤศจิกายน) สีสันของใบไม้ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการไปเที่ยวตามภูเขา ความงดงามตามธรรมชาติที่ใบไม้เต็มไปด้วยสีสันต่าง ๆ นานา หลายคนมาท่องเที่ยวอยากเห็นป่าเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเพลิงทั้งป่า บรรยากาศเหมือนอยู่ในยุโรป ช่วงนี้อากาศไม่หนาวมากกำลังสบายใบไม้เปลี่ยนสีเตรียมทิ้งใบเข้าสู่หน้าหนาว ประเทศเกาหลีประกอบไปด้วยภูเขาถึง 70% เป็นการยากที่จะบ่งบอกได้ว่าภูเขาลูกไหนที่มีใบไม้สีสันสวยกว่ากัน จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวไปเยือน
            การเปลี่ยนสีของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง เป็นปรากฏการณ์ผลกระทบ ที่เกิดกับใบไม้ของต้นไม้ หรือไม้พุ่มผลัดใบที่โดยปกติแล้วมีสีเขียว เปลี่ยนสีกลายเป็นสีเหลืองถึงแดง โดยใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ในฤดูใบไม้ร่วง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Fall colors และ Autumn colors (wikipedia.org)
            ประเทศเกาหลีมีธรรมชาติอันแสนงดงามในทุกฤดูจนเป็นที่นิยมในการใช้เป็นฉากในการถ่ายทำละครหลายเรื่องด้วยกัน เต็มไปด้วยขุนเขาซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ สายน้ำ และลำธาร ให้ได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่งดงามสองข้างทาง
            สำหรับผู้คนในประเทศจะเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง อาหารมักจะประกอบไปด้วยผักนานาชนิด ไม่นิยมรับประทานของหวาน จึงเห็นคนอ้วนน้อยมาก และแน่นอนผู้หญิงชาวเกาหลีมีใบหน้าที่สวยคล้าย ๆ กัน เพราะส่วนใหญ่ทำศัลยกรรม สิ่งหนึ่งที่ได้รับรู้คือคนเกาหลีหันมานับถือศาสนาคริสต์มากขึ้น มีวัดให้เห็นระหว่างทางก็ไม่น้อย จนหลายคนเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ แต่จำนวนกว่า 50 % เป็นคนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย จึงไม่แปลกที่ทำให้มีคนฆ่าตัวตายมากขึ้นเรื่อย ๆ (จากคำบอกเล่าของไกด์ชาวเกาหลี)

            อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั่วโลกรู้จักเกาหลีในฐานะแหล่งผลิตศิลปินแนวหน้า วัฒนธรรมเคป๊อป และสุดยอดผลงานละครดราม่า กลับมีเบื้องหลังการแข่งขันทางสังคมที่สูงมาก จนเชื่อว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ "อัตราการฆ่าตัวตาย" ของเกาหลีใต้ ขึ้นอันดับ 1 ในกลุ่มประเทศพัฒนาที่มีการฆ่าตัวตายสูงที่สุด ติดต่อกันถึง 9 ปี อัตราการฆ่าตัวตายสูงลิ่วนั้น เป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงและความขัดแย้งในแง่บทบาทหน้าที่ทางเพศ ความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และเหตุการณ์ความรุนแรงภายในบ้าน ที่สำคัญคือการเลียนแบบดารานักแสดงมีการฆ่าตัวตายบ่อยมาก
            ใช่หรือไม่ บางทีบางที่มีสิ่งสร้างที่สวยงาม มีธรรมชาติที่เอื้อเพื่อนำใจสู่ธรรม แต่คนเรามักสร้างสิ่งอื่นขึ้นมาเพื่อกดดัน สร้างสิ่งบันเทิงเริงรมย์เพื่อแข่งขัน สร้างตลาดการค้าเพื่อเอารัดเอาเปรียบกันแล้วก็ละเลยในการสร้างความดีต่อกัน ใบไม้เปลี่ยนสีตามกาลเวลา มีร่วงหล่นและก็มีเกิดขึ้นมาทดแทนอย่างงดงามต่อเนื่อง แต่กับสังคมของเราวันนี้จะหาความดีที่แตกหน่อเกิดขึ้นจากหัวใจของเราได้น้อยเต็มที หน้าที่ของคนเราคือสร้างความสวยงามให้ผู้คนได้พบเห็น สร้างความดี เปลี่ยนแปลงตัวเองสู่ความดีอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

            สีสันสวยงามของใบไม้หลากสี ที่ใกล้ร่วง แต่ยังสร้างความสวยงามให้กับมนุษย์เราได้เหมือนเดิม มีค่าแม้ในนาทีสุดท้าย แล้วเราเล่าเมื่อเวลาสุดท้ายมาถึงมีค่าอะไรเหลือให้ผู้อื่นเชยชมบ้าง ใบไม้มีสีสันให้ชื่นชม คนเราก็ต้องมีความดีให้กล่าวถึงบ้างมิใช่หรือ...

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เพียงดอกไม่ได้บอกถึงราก

เพียงดอกไม่ได้บอกถึงราก
            หลังจากออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายในทุก ๆ เช้าแล้ว อีกหนึ่งกิจวัตรที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตนั่นคือ การรดน้ำต้นไม้ ถึงแม้ว่าหน้าบ้านจะมีพื้นที่เล็ก ๆ ปลูกต้นไม้ได้ไม่กี่ต้น และด้วยนิสัยที่ไม่เคยปลูกดูแลรักษาต้นไม้อย่างจริง ๆ จัง ๆ มาก่อน คิดว่าปลูกไว้เล่น ๆ อีกไม่นานก็คงจะเหี่ยวเฉาตายหมด พอเอาเข้าจริง หมั่นรดน้ำทุกเช้า ปรับเปลี่ยนกระถางบ้าง เปลี่ยนดิน ทำตามคำแนะนำของคนขายและผู้รู้ที่ว่าต้นไหนควรให้น้ำมากน้อยเพียงใด ต้นไหนควรถูกแดด พันธุ์ไหนชอบอยู่ในร่ม และเฝ้าสังเกตดู แน่ล่ะ บางต้นบางพันธุ์ตายไปก็มี แต่ระยะหลัง ๆ เริ่มเป็นงาน หลายต้นจึงผลิดอกออกมาให้ได้ยลโฉม ก็แอบชื่นใจเล็ก ๆ และมีความสุขที่ได้เห็นดอกงามยามเช้า

            แม้ว่าบางดอกให้ความงดงามยามเบ่งบาน แต่ก็อยู่ได้ไม่นานวันก็ร่วงหล่น โรยราไป เช่น บัวที่เลี้ยงในบ่อปูนเล็กๆหน้าบ้าน บานเร็วกลีบดอกก็ร่วงเร็วเหลือเกิน เพียงแค่ 2-3 วันก็กลายเป็นฝักบัวเสียแล้ว การที่เฝ้าดูในแต่ละเช้าทำให้จิตใจเราพลอยสดชื่นตามไปด้วย แต่กระนั้นก็ตามยามที่เห็นดอกงอกงามเรากลับไม่รู้เลยว่า รากเหง้าของต้นนั้นเป็นเยี่ยงไร ลำต้นสร้างผลงานเช่นไร รับรู้มาเพียงทฤษฎี แต่ไม่เคยเห็นกระบวนการผลิตดอกใบเลย นี่คงคล้าย ๆ กับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต เช่น ความเชื่อ ความรัก ความศรัทธา รู้ว่ามีอยู่จริง แต่ไม่เคยมองเห็นเป็นเช่นสิ่งของ
            คนเราก็เป็นเช่นนี้ เรามักมองที่ผลสำเร็จอันสวยหรู แต่ไม่เคยรับรู้ถึงระหว่างทางว่าเป็นเช่นไร แน่ล่ะเราไม่สามารถรับรู้ทั้งหมดทั้งสิ้น แต่เราก็ควรที่จะเรียนรู้ว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ของคนที่ประสบผลสำเร็จไว้บ้างจะไม่ดีหรือ ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเพียงความพยายามที่จะเลียนแบบเพื่อได้แค่ดอกและใบที่อยู่ได้ไม่ยั่งยืน แม้ว่ามันจะสวยงามเพียงใดไม่นานก็ต้องจางหายไป สิ่งที่สำคัญนั้นจึงอยู่ที่ รากฐาน ที่ถูกปลูกฝังไว้ นักกีฬาระดับชาติ ทีมชาติ หลายคน กว่าจะได้ถึงแชมป์ย่อมต้องฝึกฝน ฝึกซ้อม พัฒนาร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงเป็นแรมปี และมีศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองทำ

            ในยุคสมัยที่เรามักจะชื่นชมผู้คนเพียงเพราะความสำเร็จ แล้วก็เกิดกิเลสอยากจะเป็น อยากจะได้ดั่งเขา แต่บางครั้งก็ไม่ยอมที่จะรับรู้ถึงขั้นตอนในระหว่างทางสู่เส้นชัย ใช่หรือไม่ หากเราหมั่นทำให้รากเข้มแข็ง แข็งแรง ดอกใบอันงดงามนั้น ก็จะผลิออกมาได้นับครั้งไม่ถ้วน หรือเราหวังเพียงแค่นำกิ่งดอกมาปักลงดิน แล้วเห็นดอกสวยอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเช่นนั้นหรือ เราจึงเห็นผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยพบความสุขอย่างแท้จริง มีแต่เที่ยวสร้างสุขชั่วคราวแบบสิ้นเปลืองไปวัน ๆ หากเราไม่หมั่นสร้างรากฐานให้แข็งแรง ยามเจอพายุ ลมแรงซัดสาด ดอกงามใบสวยก็มีอันต้องกระเด็นหลุดลอยไป ลำต้นฉุดรากที่ลอยให้พัดไปในกระแสลมพายุได้อย่างง่ายดาย ในวันนี้เราจึงพบแต่ความสำเร็จรูปมากว่าความสำเร็จแท้
            เด็กหนุ่มสาวหลายคนที่เจริญชีวิตสู่หนทางแห่งการสร้างเนื้อสร้างตัว แต่มักไม่ค่อยสมหวัง เพราะว่ารากลอยเกินไป รากที่มีไม่แข็งแรง ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง หากจะเปรียบเทียบง่าย ๆ พระเอกในหนังจีนกำลังภายใน กว่าจะมีวิทยายุทธที่แกร่งกล้า ต้องฝึกแล้วฝึกอีก เจ็บตัวแล้วเจ็บตัวอีก มีแต่ความอดทน อดกลั้นกัดฟันสู้ทนอยู่ในถ้ำ อยู่ในสำนัก จนเมื่อถึงเวลากายพร้อมใจพร้อม เดินสู่ทางผู้กล้า และได้เป็นเจ้ายุทธภพในที่สุด แต่วันนี้ในสมัยสำเร็จรูปพิมพ์นิยม เราจึงพากันหาทางลัดและพัดหลงกันไปก็มากมาย ชีวิตจริงของคนเราใช่ว่าจะอยู่ที่ผลสัมฤทธิ์สำเร็จเพียงมิติเดียว ชีวิตที่มีคุณค่าจึงต้องประกอบไปด้วยหลากหลายมิติ ต้องมีราก ลำต้น กิ่งก้านใบที่สอดประสานกันอย่างลงตัว แล้วเราจะได้ดอกผลที่งดงาม ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดไป
           
อีกหนึ่งข้อคิด ใช่หรือไม่ เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง ควรเรียนรู้ในสิ่งที่จะส่งเสริมชีวิตของเราตามครรลองที่เราเป็น เราเลือก เดินหน้ามุ่งไปอย่างมั่นคง ชีวิตเราไม่จำเป็นที่จะต้องเก่งเหมือนคนอื่น แต่ต้องพยายามหาคุณค่า เพิ่มคุณภาพในความดีให้มีอยู่ในชีวิต หมั่นดูแล รักษาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อความสมบูรณ์ของความเป็นมนุษย์ลูกของพระเจ้า

            ที่สุดแล้ว แม้ว่าวันหนึ่งเราจะมีผลดอกออกมาอย่างงดงาม เราก็ต้องรู้จักที่จะสำนึกในรากเหง้า ที่คอยประคองให้เราเติบโตขึ้นจนประสบความสำเร็จ ใช่หรือไม่ ทุกสิ่งสร้างย่อมเติบโตได้ด้วยรากแห่งรัก ที่เป็นพลังผลักดัน เป็นแรงหนุน ทำให้มีวันแห่งความสุขสมหวังได้ เรารักรากเหง้าของเราฉันใด ดอกใบที่ได้ย่อมให้ร่มเงาและความสดชื่นแก่ผู้อื่นฉันนั้น และดอกใบแห่งรักนี้จะคงอยู่ไม่มีวันจางหายไปไหน มีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้นในหัวใจของคนหนึ่งต่อไปอีกคนหนึ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด... 

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เสมอฟ้า

เสมอฟ้า
   การเดินทางไปยังต่างที่ต่างถิ่นในยุคสมัยของเรานี้ นับว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรามีพัฒนาการด้านคมนาคม ทำให้ร่นระยะเวลาเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เราเชื่อมโยงติดต่อยังต่างที่ต่างถิ่นได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางทางอากาศด้วยเครื่องบิน นำความสะดวกสบาย นำมาซึ่งปฏิสัมพันธ์ของผู้คนทั่วโลกได้อย่างดียิ่ง

      เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีภารกิจที่ต้องเดินทางไปยังต่างจังหวัด ด้วยการใช้บริการของสายการบิน แต่เนื่องจากตรวจสอบเช็คตารางเวลาแล้วเห็นว่ามีบริการบินอยู่เพียง 2 ช่วงเท่านั้น คือช่วงเช้า และช่วงค่ำ  ขาไปจึงได้เลือกช่วงเช้า ซึ่งเครื่องขึ้นในเวลาประมาณ 06.30 . เป็นจังหวะเดียวกับพระอาทิตย์เริ่มขึ้น จากความมืดสู่ความสว่างของวันใหม่ ใช่หรือไม่ สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนส่งเสริมกันและข่มกัน โลกจึงจะเกิดความสมดุลดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่... เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่
    ยามเมื่อเครื่องบินขึ้นสู่ฝากฟ้า รักษาระดับการบิน บินผ่านฝ่าเข้าไปยังฝูงเมฆ บางจังหวะบางช่วงลอยขึ้นอยู่เหนือก้อนเมฆ แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในตัวเครื่อง เห็นพระอาทิตย์ใกล้ขึ้น ดวงตะวันยามเช้า เส้นขอบฟ้า สีสันบนเวหา ล้วนคือความงามในนามของสิ่งสร้าง ณ เวลานี้เรามาอยู่เสมอฟ้า แต่ก็คงมิอาจจะเทียบเท่าฟ้าได้ ใจพลันระลึกขึ้นว่า ดูเหมือนเราลอยสูงขึ้นเสมอฟ้า แต่ก็ยังมีฟ้าที่สูงขึ้นไปอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เอาเข้าจริงมนุษย์เราคิดประดิษฐ์สิ่งอำนวยความสะดวกได้มากมาย แต่ยังมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า สิ่งที่งดงามไร้การแต่งเติม สิ่งที่เหนือกว่าเราอยู่เสมอ
     หันมาดูในความเป็นปัจเจกชนคนธรรมดา เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ท่ามกลางความหลากหลายมากมาย ในหลายจังหวะชีวิตเราก็มักมีจริตคิดเอาเองว่าเก่งกว่าผู้ใดในโลกล้า อาจจะเห็นเพียงผนังห้องแคบ ๆ เป็นโลกใบใหญ่ อาจจะหลงกลปีศาจแห่งความยโสโอหังคิดว่าในที่นี้มีเพียงเราเท่านั้นที่ทำได้และเก่งกาจเป็นที่สุด อาจจะถูกมารยาเข้าครอบงำสวมมงกุฎให้เป็นเทพในพวกพ้อง แต่เมื่อหลุดออกจากเขต จากกรอบที่ยึดครอง เห็นผู้คนมากมาย เห็นโลกกว้างขึ้น มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ไม่รู้จบรออยู่ข้างหน้า บางครั้งถึงกับยืนงงงันไปต่อไม่เป็น หลงทิศหลงทาง กลายเป็นสิ่งอ่อนแออ่อนด้อย ทำให้ความเย่อหยิ่ง ความโอ้อวด ลดน้อยลง ยอมน้อมรับความอ่อนด้อยของตัวเอง และปรับปรุงตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสรรพสิ่งรอบข้างตัว รู้จักถาม รู้จักฟัง รู้จักทำตามคำแนะนำของผู้อื่น คนเราจะให้ดีไปเสียทุกอย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ได้อย่างหนึ่ง มักเสียอย่างหนึ่งเสมอ จะให้เก่งไปเสียทุกเรื่องคงไม่มี จะให้รู้ทุกสิ่งคงเป็นไปไม่ได้ เราจึงไม่ควรเย่อหยิ่งลำพอง ไม่ควรคิดว่าตัวเอง ยิ่งใหญ่ที่สุด
      เดิมที สิงโตเป็นสัตว์ที่อ่อนแอ หาความสง่างามมิได้เลย มันรู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง จึงคร่ำครวญต่อเทพเจ้าทุกวัน จนกระทั้งเทพเจ้าทนไม่ไหว เสกให้สิงโตกลายเป็นสัตว์ใหญ่ที่แข็งแรงและสง่างามที่สุด แต่ว่าสิงโตก็ยังไม่พอใจโอดครวญต่อเทพเจ้าว่าข้าพเจ้ายังกลัวไก่โต้ง
      เทพเจ้าตอบว่าข้าได้ประทานสิ่งที่วิเศษที่สุดให้แก่เจ้าแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก
      สิงโตรู้สึกเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ในขณะที่มันกำลังคิดที่จะฆ่าตัวตายนั้นเอง มันก็พบช้างตัวหนึ่ง ช้างพูดพลางกระดิกหูไปมา สิงโตจึงถามช้างว่า
      “ทำไมต้องกระดิกหูอยู่ตลอดเวลา
      ช้างตอบว่าแกเห็นยุงตัวเล็ก ๆ ที่ตอมอยู่รอบ ๆ ตัวของฉันหรือเปล่า ถ้าหากมันบินเข้าไปในหูของฉันละก้อ ฉันคงจะตายแน่ๆ
        สิงโตได้ฟังแล้ว จึงรำพึงขึ้นว่าแม้แต่สัตว์ใหญ่อย่างช้าง ยังกลัวยุงตัวเล็ก ๆ ถ้าเช่นนี้ ทำไมฉันจะต้องเสียใจที่ตัวเองกลัวไก่โต้งด้วยเล่า” ...
           
   ทุกคนล้วนมีปัญหาของตนเอง มีข้อดี ข้อด้อย มีความยากลำบากที่แตกต่างกัน ต้องรู้จักที่จะเคารพกันและกัน ทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง เราต้องเรียนรู้ที่จะน้อมรับความเก่งกาจของผู้อื่น เพื่อว่าความเย่อหยิ่ง ความอวดดี อวดเก่ง ของเราจะได้ลดลง รู้จักมองทั้งคนที่เหนือกว่าและต่ำกว่า จึงจะเกิดความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่  

    เห็นความสับสนว้าวุ่นของเรา และของผู้คนในสังคมวันนี้แล้ว นั่นคงเป็นเพราะเราต่างคนต่างคิดว่า สิ่งที่ทำอยู่ เป็นอยู่ คือ สิ่งที่ถูกต้องที่สุด แล้วก็มักหลงใหลไปในกระแสที่สร้างให้เราจมอยู่กับความเก่งของตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา ในบางครั้งเมื่อมีผู้อื่นนำสิ่งที่ดีกว่า สูงค่ากว่ามามอบให้ เรากลับไม่ยอมรับไว้ ซ้ำร้ายวันนี้เรายังติดนิสัยที่จะจับผิดกันไปมา เพื่อที่จะทำให้ตัวเองดูสูงล้ำกว่าคนอื่น ใช่หรือไม่ ยิ่งเราทำตัวให้เสมอฟ้า ฟ้าก็มิอาจจะอยู่ให้เราเทียบได้ แต่หากเรายอมรับที่จะอยู่ใต้ฟ้า ฟ้าย่อมให้ร่มเงา ให้ความสวยงามในยามค่ำคืนแก่เรามิใช่หรือ...

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คนเราก็แปลก

คนเราก็แปลก
ในยุคที่เรามีเครื่องมือสื่อสารที่นำสมัย สามารถตอบสนองกับความต้องการของผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่กลายเป็นว่า คนที่นำมาใช้กลับไม่ค่อยจะได้รับประสิทธิผลสักเท่าไรนัก เทคโนโลยีที่มีทำให้คนอยู่กับตัวเองมากขึ้น สร้างโลกส่วนตัวโดยมโนว่าเป็นโลกทั้งใบ ครอบครองความเก่ง ยึดโยงความฉลาดไว้เพียงผู้เดียว แน่ล่ะ เมื่อคิดคนเดียว อยู่คนเดียว ก็ย่อมต้องเก่งคนเดียวอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริง อันโลกเรานี้มีผู้คนแตกต่างกันมากมาย ขนาดพี่น้องท้องเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะคิดจะทำอะไรไปในแนวทางเดียวกันทั้งหมด ในวันนี้ทุกคนกำลังต้องการจะทำเหมือน ๆ กัน คือ ต้องการอยู่คนเดียวโดยไม่หวังพึ่งพาใคร ไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นผู้คนต่างยึดโยงพื้นที่ส่วนตัวกันอย่างเหนียวแน่น ...
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
นอกจากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยแล้ว เรายังมีสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ อีกมากมาย แต่ก็ดูเหมือนว่ายิ่งสะดวกขึ้นเรากลับมีความโลภอยากได้มากยิ่งขึ้น ไม่เคยพอใจกับสิ่งที่มี ไม่เคยอยู่กับสิ่งที่เป็น ไม่ค่อยนิ่ง กายสบายแต่จิตใจคนวันนี้ไม่สงบ ผู้คนไม่ค่อยมีสติ มักใช้อคตินำทางชีวิต ความสับสนวุ่นวายจึงเกิดขึ้น  ลีโอนาโด ดาวินชี นักปราชญ์แห่งอารยธรรมตะวันตก ผู้ที่เป็นทั้งจิตรกร นักปั้น นักพฤกษศาสตร์ บิดาแห่งศิลปะและกายวิภาคศาสตร์ ได้กล่าวไว้เป็นปรัชญาสำคัญในการดำรงชีวิตว่า คนส่วนใหญ่มักจะ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
มองแต่ไม่เห็น (You look, but you don’t see)
ฟังแต่ไม่ได้ยิน (You listen, but you don’t hear)
กินแต่ไม่ได้ลิ้มรส (You eat, but you don’t taste)
สัมผัสแต่ไม่รู้สึก (You touch, but you don’t feel)
พูดแต่ไม่ได้คิดก่อนที่จะพูด (You speak, but you don’t think)”
มองแต่ไม่เห็น : ทุกๆวันเราตื่นขึ้นมามองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เอาเข้าจริงเรากลับมองไม่เห็นความงดงามของวันใหม่ ซ้ำร้ายมีบ้างบางคนมองไม่เห็นคนที่อยู่ข้างกาย คนที่อยู่ใต้ร่มชายคาเดียวกับเรา ตื่นมาก็ต้องรีบ ๆ ทำภารกิจส่วนตัว ต่างคนต่างไป รีบ ๆ เร่ง ๆ เดินทางไปให้ทันเวลาเข้างาน ทำงานก็แข่งกันมองไม่เห็นความสำคัญของกันและกัน อยู่ร่วมกัน ทำงานด้วยกัน แต่ทำเป็นมองไม่เห็นกัน ความสุขจึงไม่บังเกิดขึ้น
ฟังแต่ไม่ได้ยิน : เรามักจะเกิดอาการหงุดหงิดเมื่อเราพูด เราบอกใครคนใดคนหนึ่งแล้วเขาทำเป็นหูทวนลม ทำเป็นไม่ได้ยิน ทำเป็นเมิน เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเราได้เสมอ เมื่อเกิดแล้วก็จะทำให้เราโมโห เพราะดูเหมือนว่าเราด้อยค่าไป หรือถ้าย้อนมองกลับไป เขาอาจจะไม่ต้องการปะทะกับเรา ไม่อยู่ในสภาวะที่จะฟัง เราก็เช่นกันที่มีบ้างบางครั้งบางหนที่ต้องทำเป็นไม่ได้ยินกับบางเรื่องเพื่อความสบายใจ แต่ที่สุดแล้วหนทางที่ดี เราต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย
กินแต่ไม่ได้ลิ้มรส : การกินของเราในทุกวันนี้ เรากินเพื่อกิน กินเพราะถึงเวลากิน ทั้ง ๆ ที่ การพัฒนาของโลกสมัยใหม่ทำให้เรามีอาหารการกินที่ดีมากมาย แต่ด้วยเพราะความรีบเร่ง จำเจ ก็กิน ๆ มันไปอย่างนั้น ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์เสียเท่าไร หรือถ้าถึงเวลาที่จะต้องกินเพื่อลิ้มรสจริง ๆ ก็ต้องเลือกร้านหรู ๆ บรรยากาศเลิศ ๆ ที่จะทำให้การกินนั้นเต็มไปด้วยความสุข กินเสร็จจ่ายเงินเสร็จวันต่อไปก็กินไปแบบแกลน ๆ เหมือนเดิม
สัมผัสแต่ไม่รู้สึก : ในภาวะที่เราต้องอยู่ท่ามกลางข่าวสารที่มีให้เสพจนเห็นเรื่องโหดร้าย กลายเป็นเรื่องชินชา เราสัมผัสได้ว่าโลกนี้ สังคมวันนี้ มีความเจ็บปวด มีความทุกข์ยากแสนเข็ญอยู่ไม่น้อย แต่เราก็ไม่ได้รู้สึก อิน กับเรื่องราวเหล่านั้นมากนัก เพราะความถี่ที่มีให้เห็น ให้ดูมันมากเกินไป ดูจนเห็นเป็นเรื่องปกติ เช่น ความทุกข์ยากของชาวอิรัก ชาวซีเรีย  ชาวยุโรปที่เป็นเฉลยถูกตัดศีรษะ โดยกลุ่ม ISIS ใช่หรือไม่ ในวันนี้ ความรู้สึกสงสารหายไปจากหัวใจผู้คนค่อนโลก
พูดแต่ไม่ได้คิดก่อนที่จะพูด : การพูดที่ไม่คิดมักนำมาซึ่งความเข้าใจผิด นำไปสู่ความขัดแย้ง ถึงแม้เราจะมีเครื่องมือสื่อสารใช้กันเกือบทุกคน แต่เป็นอะไรกันก็ไม่รู้ มักคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อาจจะเป็นเพราะคนพูดก็จะพูดอย่างเดียว คนฟังก็ไม่สนใจฟัง เพื่อให้คนอื่นหันมาฟังก็เลยต้องพูดเรื่องร้าย ๆ พูดแรง ๆ ใส่อารมณ์ การพูดจึงเป็นปัญหาใหญ่ตั้งแต่ระดับผู้นำประเทศ จนถึงพ่อค้าแม่ขาย
มนุษย์ส่วนใหญ่มักทำอะไรโดยขาดสติ เหม่อลอย ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ลดต่ำลงอย่างมาก ดังนั้น ลีโอนาโด ดาวินชี จึงแนะนำวิธีฝึกสติอย่างง่าย ๆ คือ เมื่อมองสิ่งใดก็ตามให้ตั้งใจมอง เมื่อฟังให้ตั้งใจฟัง เมื่อกินจะต้องลิ้มรสอาหารนั้น สัมผัสสิ่งใดให้รู้ตัวว่ากำลังสัมผัสสิ่งใดอยู่ และก่อนจะพูดให้คิดพิจารณาก่อนทุกครั้งและให้พูดทีละคำฟังทีละเสียง
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
          ครั้นเมื่อเรามีสติ มีสมาธิแล้ว เราก็จะได้เห็นโลกนี้งดงามมากยิ่งขึ้น จะมองเห็นคุณค่าของทุกผู้คน จะพร้อมรับฟังและพูดคุยในสิ่งดี ๆ ที่สุดแล้ว เราก็จะได้ยินเสียงจากจิตใจของเรา เสียงเรียกร้องภายในให้กระทำในสิ่งที่ดีงาม และเสียงตักเตือนเมื่อเราเริ่มเดินหลงทางไป เป็นการตอบสนองต่อเสียงภายใน เป็นการเตรียมพร้อม และรู้ตัวว่าอะไรควรทำไม่ควรทำในชีวิต เมื่อเป็นดังนี้ ชีวิตเราก็จะเกิดการพลาดน้อยลง ให้เวลากับการฟังเสียงภายในของเราบ้างในแต่ละวัน เพื่อลดความสับสนวุ่นวายในชีวิตของเรา ความสุขอยู่ไม่ไกล อยู่ที่เราพร้อมที่จะพบเจอหรือเปล่า

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ก้อนหินก้อนไหนเป็นเรา

ก้อนหินก้อนไหนเป็นเรา
บนพื้นโลกทั้งบนพื้นดิน ใต้บาดาล ในมหาสมุทร ต่างมีก้อนหินทับโถมกันอยู่มากมาย บางก้อนใหญ่โตเสริมความเข้มแข็งให้ภูเขา บางก้อนเล็ก ๆ แต่กลับฝังตัวอยู่บนยอดดอยสูง บางก้อนกลิ้งกลม วนเวียนอยู่ใต้น้ำไหลเรื่อยล่องลอยไปตามกระแส บางก้อนถูกนำมาใช้เป็นเสาค้ำตึกรามบ้านเรือน บางก้อนเป็นเพียงส่วนประดับสวยงามในสนามโล่ง เป็นความหลากหลาย ต่างประโยชน์ใช้สอย แต่มันก็คือ ก้อนหิน 
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ก้อนหินก็เป็นเหมือนชีวิตผู้คนที่หลากหลาย แตกต่างคุณค่า แตกต่างความงาม บางคนเหมาะกับที่หนึ่งแต่ไม่อาจจะเหมาะกับอีกที่หนึ่ง บางคนเหมาะกับงานแบบหนึ่ง บางคนเหมาะสมกับสถานะหนึ่ง หากคนทุกคนเหมือนกันหมดโลกนี้จะมีความงามหรือไม่ เราจึงไม่จำเป็นต้องทำตัวให้เหมือนกับทุกคน เก่งอย่างคนนั้น เป็นอย่างคนนี้ ชีวิตเราต้องรู้ว่าเราเหมาะสมที่จะอยู่แบบไหนอย่างมีคุณภาพ มากด้วยคุณค่า เปี่ยมด้วยคุณธรรม 
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (ไม่นานเท่าไหร่)...ก้อนหินก้อนหนึ่ง อยู่เดียวดายในที่ส่วนตัวของมันลำพังในท้องทุ่งกว้าง..บางวันก้อนหินไถตัวเองเล่น ไปขีดไปเขียนลงบนพื้นทราย สร้างรอยอันขรุขระบนพื้น และผนังตัวเอง จากการกลิ้งตัวไปมา...ร่องรอยเหล่านั้น จนมีคนมาอ่าน มาเห็นก็ชอบใจและตีความไปตามประสบการณ์ของแต่ละคน...
เจ้าก้อนหินไม่รู้ว่า ตลอดชีวิตมันเดินมาไกลเท่าไหร่แล้ว ต้นไม้ ดอกไม้ นก ในถิ่นใหม่ รวมทั้งก้อนหินก้อนอื่น ต่างอยากรู้จักกับก้อนหินเดียวดายพลัดหลงก้อนนี้...พวกเขาต่างพากันเดินทางมา ทักทายก้อนหินเดียวดาย “ฉันอยากเป็นเพื่อนเธอ”
ก้อนหินเดียวดายตอบว่า “ฉันก็อยากเป็นเพื่อนเธอ...” เธอดีใจที่มีเพื่อนมากขึ้น หลาย ๆคนเข้ามาสนิทสนม เธอหลงใหลมิตรภาพบาง ๆ เหล่านั้น จนรู้สึกราวกับว่า ตัวเองมีความหมาย สำคัญ และก็ไม่ได้โดดเดี่ยวต่อไปอีกและยินดีอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสักระยะหนึ่ง...
แต่แล้ววันหนึ่ง..ก้อนหินเดียวดายเดินทางไปพบกับก้อนหินอีกก้อนหนึ่ง มันนั่งอยู่เงียบ ๆ ..เธอเข้าไปถามว่า “เป็นอะไรไปหรือ”
ก้อนหินก้อนนั้นตอบว่า “ฉันกำลังถูกทิ้ง...เมื่อก่อนฉันก็เป็นแบบเธอ”
“เธอรู้จักฉันด้วยหรือ” ก้อนหินเดียวดายถามอย่างแปลกใจ
“รู้จักสิ..ฉันรู้จักเธอดี จากการเล่าของคนอื่น ๆ ใครบ้างไม่รู้จักเธอ” ก้อนหินเดียวดายฟังถ้อยคำเหล่านั้นอย่างแปลกประหลาดใจ
“น่าขอบคุณที่มีคนพูดถึงฉัน...แต่ฉันคงไม่มีโอกาสรู้ว่าใครจะพูดถึงฉันอย่างไรบ้าง” ก้อนหินเดียวดายรำพึงกับก้อนหินก้อนนั้น
“เธออยากฟังไหม..ว่าเขาพูดถึงเธอว่าอย่างไรบ้าง”
“อืมไม่แน่ใจ..แต่จะเล่ามาก็ได้” ก้อนหินเดียวดาย เธออยากฟังสิ่งที่คนอื่นเล่าถึง มันท้าทาย มันน่าตื่นเต้นไม่น้อย เธอนั่งเงียบ ๆ แล้วก็ฟังเรื่องราวที่เขาพูดถึงเธอ...
เรื่องราวเหล่านั้นพรั่งพรูออกมา...บ้างก็บอกว่า
“ก้อนหินเดียวดายเหรอ..อืม น่ารักดีนะ..มองโลกในแง่ดี”
“เราว่าเธอสร้างภาพมากกว่า”
“เธอมีอุดมการณ์ดีนะ ดูเข้มแข็งดี”
“คงเป็นพวกชีวิตที่ตัวกับใจไม่เหมือนกันนะ”
“ไม่อยากเชื่อหรอก ว่าก้อนหินจะรักบ้านรักเมืองเราจริง ๆ อยู่ไม่นานเดี๋ยวก็คงไป”
“ฉันก็อยากจะตีสนิทดูนะ..ก็แกล้งคุยดีไปอย่างนั้นเอง”
ก้อนหินเดียวดายนั่งนิ่ง ๆ ฟังถ้อยคำเหล่านั้นจากก้อนหินก้อนเหงา ๆ เธอฟังมันแล้วก็ให้ผ่านพ้นไป เหมือนไม่เคยได้ฟัง “อืม..ขอบคุณนะที่เล่าให้ฉันฟัง..แล้วทำไมเธอถึงเลือกเล่าให้ฉันฟังล่ะ”
“เพราะว่าฉันเคยเป็นอย่างเธอมาก่อนไง...ฉันมีเพื่อนมากมาย ใคร ๆ ก็รักฉัน แล้ววันหนึ่ง เมื่อพวกเขาตีสนิทและได้รู้สิ่งที่อยากรู้ เขาก็จากไป”
“อืม..ขอบคุณนะที่เล่าให้ฟัง..ฉันคงไม่เสียใจ ถ้าจะมีใครรักฉันและไม่รักฉัน พวกเขาก็ต่างมีชีวิตและอุดมคติที่แตกต่างกันไปน่ะ”
“เธอคิดว่าจะยังมีคนจริงใจกับเธออีกหรือ ก้อนหินเดียวดาย” ก้อนหินน้อยถามมา
“อืม มีสิ..ฉันคิดว่าน่าจะยังมีอยู่ โลกเรากว้างใหญ่ไพศาล บางทีคน ๆ นั้นอาจจะมีเพียงคนเดียวในโลก ก็พอแล้ว”
ก้อนหินรำพึงรำพันกับตัวเอง จากนั้นเธอกลิ้งตัวถูไถเพื่อนใหม่ และก็ปลอบใจว่า “อย่าใส่ใจกับถ้อยคำเหล่านั้นเลย ไม่มีใครรัก เราก็ต้องรักตัวเอง ดูสิโลกยังสดใสดีออก”
เธอว่าแล้วก็เดินจากมาพร้อมรอยยิ้ม แม้มันจะไหลปนเปื้อนน้ำตาอยู่อย่างเงียบ ๆ อย่างไม่เข้าใจ...เรื่องโดย : วาดวลี
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ในขณะที่เรามีความแตกต่าง มีจุดเด่นจุดดี บางมุมบางเวลาอาจจะไปถูกจริตกับคนอื่นก็จะได้รับการชื่นชมและยกย่อง ในบางจังหวะไปขัดแข้งขัดขา ขวางทางอีกคนหนึ่งก็ถูกมองว่า เราน่าเกลียด น่ากลัว ไม่น่าคบหา เช่นกัน ในมุมที่เราเป็นคนมองผู้คนบ้าง บางครั้งเราอาจจะเจอคนที่ใช่ไปกับเราได้ บางขณะเราก็รับไม่ได้กับพฤติกรรมของคนอื่น หากวันนี้เรามีเวลาพิจารณา หนทางชีวิตของเราซึ่งล้วนมีหลากหลายมุม แต่เราต้องเลือกที่จะเป็นเรา นี่คือการเรียนรู้ชีวิตอีกอย่างหนึ่ง แล้วสิ่งที่จะทำให้ทุกคนมาบรรจบกันได้บนความแตกต่างนั่นคือ ความงดงามในความดี เราต้องค้นหาว่าเราเป็นก้อนหินประเภทไหน เหมาะที่จะอยู่แบบไหน เป็นก้อนหินที่แข็งแรงเป็นฐานรากให้กับผู้อื่นได้ไหม หรือจะเป็นหินก้อนงามที่พร้อมจะเปล่งประกายเพื่อสร้างให้โลกนี้งดงามยามเฝ้ามอง หรือจะเป็นก้อนที่ไร้ค่าที่ผู้คนเห็นแล้วหยิบโยน ขว้างทิ้งไป หรือ เป็นก้อนหินที่พร้อมจะกลิ้งเพื่อขัดเกลาให้เกิดความงาม กลายเป็นเพชรน้ำดี เราถูกกำหนดให้เป็นก้อนหิน แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้ชีวิตเราเป็นดั่งก้อนหินที่มีค่าหรือไร้ค่าได้เช่นกัน