วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

คนทำ(ธรรม)

คนทำ(ธรรม)
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุต้องใช้บริการแท็กซี่อยู่เกือบจะทุกวัน แน่นอนเมื่อขึ้นไปแล้วการพูดคุยกันระหว่างคนขับกับผู้โดยสารย่อมมีไม่มากก็น้อย บางคันเมื่อพูดกันได้นิดหน่อยก็มักจะวกไปเรื่องการเมืองและวิพากษ์วิจารณ์คนโน้นคนนี้ ทางที่ดีก็พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ถึงที่สุดก็ทำเป็นก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือ อ่านข่าว เพราะใจหนึ่งก็รู้สึกว่า คนเรามักเลือกที่จะฟังความข้างเดียวแล้วก็นำมาพูดให้ดูว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นเหนือกว่า เจ๋งกว่า ในสังคมก็คงเป็นแบบนี้กันมาก คือถนัดที่จะกล่าวว่าผู้อื่น เหมือนกับการดูกีฬาหน้าจอ นั่งดูข้างสนาม ตาดูหูฟังปากก็พร่ำบ่น ทำไมไม่เล่นแบบนั้นแบบนี้ ใช่หรือไม่ คนดูพูดง่ายกว่าคนที่เล่นหรือคนที่ลงมือทำจริง คนที่อยู่ในสถานการณ์ย่อมเต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อม ในสนามมีเวลาตัดสินใจน้อยนิด เพราะสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นมุมที่กว้างอย่างกล้องโทรทัศน์ ไม่ได้อยู่ในมุมที่จะเห็นทุกอย่าง เฉกเช่นการดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน คนที่กระทำการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่นั้น บางครั้งบางหนมันก็มีปัจจัยในตัวมันเองมากมายเกินกว่าคนอื่นจะเข้าใจได้ แต่... คนเรามักเลือกที่จะเข้าใจในมุมที่ตัวเองมอง แล้วก็ใส่ความคิดเห็นเพื่อให้ตัวเองดูดีกว่าผู้อื่น สังคมเรานี้จึงเต็มไปด้วยคำพูดลอย ๆ เต็มไปด้วยความคิดเห็นที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง สร้างสิ่งต่าง ๆ ด้วยคำพูดนั้นมันง่าย ถ้ากลายมาเป็นคนทำอาจจะเริ่มต้นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย


คนเราก็มักจะหลงในคำพูดที่ดี พูดเพราะ ๆ แล้วก็เชื่อตามได้ง่าย คนขับแท็กซี่คันหนึ่งเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า คนเราสมัยนี้เชื่อใจกันยาก เคยมีคนแก่คนหนึ่งเรียกให้ไปส่งแถวมีนบุรี เห็นห้อยพระเครื่องเยอะก็เลยคุยกันถูกคอ ตาลุงคนนั้นก็นำพระรุ่นเก่ามาก บอกว่าองค์นี้ได้เมื่อตั้งแต่ตอนอายุ 17 ตอนนี้ลุงอายุ 70 กว่าแล้ว คนขับก็ตาลุกวาวที่จะได้เห็นพระห้อยคอรุ่นเก่าแก่ ตาลุงก็เล่าถึงสรรพคุณไม่ว่าจะเป็นที่มา กรอบที่เลี่ยมลายเถาวัลย์เก่ามาก ถ้าเจอคนที่ถูกใจจะให้เช่า (ซื้อ) เก็บไว้ คนขับก็คำนวณในใจทันทีว่านี่น่าจะเป็นพระรุ่นเก่าที่มีอายุมากกว่า 60-70 ปีทีเดียว  ยังไม่ทันไรตาลุงก็ถามขึ้นมาทันทีว่า พ่อหนุ่มสนใจไหมล่ะ คุยถูกคอดีลุงจะให้เช่า (ซื้อ)  จะได้เก็บไว้บูชาเป็นศรีเป็นบารมี คนขับก็บอกว่าไม่มีเงินหมื่นเงินแสนที่จะเช่าบูชาพระเครื่องดี ๆ หรอก ตาลุงก็บอกว่า เห็นว่าเป็นคนดีมีเท่าไรล่ะ พันสองพันลุงก็จะให้ คนขับเล่าต่อว่า ผมมีติดตัวได้มาจากการขับมาทั้งวันอยู่ 600 บาท ตาลุงคนนั้นก็ทำเป็นเงียบดูเชิงสักพักหนึ่ง แล้วก็บอกว่า สงสารคนดี ๆ อย่างนี้ มีเท่าไรก็เอามาแล้วกัน และค่าแท็กซี่ก็ไม่ต้องคิดลุงนะ (ค่ารถประมาณ 400) รวมแล้ว 1000 บาทพอดี ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องว่าวันนี้โชคดีได้พระเครื่องรุ่นดังรุ่นเก่ามาครอบครอง
จากนั้นก็แวะเข้าปั้มเติมแก๊ส ด้วยความบังเอิญเห็นเพื่อนคนขับแท็กซี่ 2 คนกำลังเอาพระเครื่องมาส่องดู และได้ยินว่ารุ่นนี้ได้มาจากลุงคนหนึ่งแกบอกว่ามีองค์เดียวที่เหลืออยู่ อีกคนก็บอกว่าได้มาเหมือนกัน แล้วทั้งสองก็นำมาส่องดู ถึงบางอ้อ ว่าถูกหลอก คนขับก็ใจแป้วเลย เข้าไปร่วมวงสนทนาเอาพระที่เพิ่งได้มาให้เพื่อนดู แม่เจ้า!!!! เหมือนกันเป๊ะ สองคนนั้นถูกหลอกมาเหมือนกันหมดไปคนละ 1,500 บาท และก็คงมีอีกหลายรายที่โดนแบบนี้ คนขับบอกว่านี่ขนาดผมดูพระเครื่องพอเป็นนะ ยังถูกคำพูดที่น่าเชื่อถือของตาลุงคนนั้นเล่นงาน


ใช่หรือไม่ ในสังคมเราวันนี้ มักจะเชื่อคำพูดมากกว่าการกระทำ เราจึงกลายเป็นคนที่พูดทุกเรื่อง จริงเท็จไม่รู้ แค่เรื่องที่เพียงได้ยินได้ฟังมา จำเขามาพูดต่อเป็นฉาก ๆ เป็นเรื่องเป็นราวสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง ยิ่งผนวกกับโลกที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ทำให้เราตกเป็นทาสเป็นเหยื่อของปัญญาประดิษฐ์ (AI) แบบไม่รู้ตัว กล่าวคือ เวลาที่เราอ่าน เราค้นหาเรื่องอะไร ชอบดูหนังฟังเพลงสไตล์ไหน เสื้อผ้าเครื่องใช้ที่เราชอบค้นหาในอินเตอร์เน็ตก็จะถูกเก็บข้อมูล และสิ่งที่เราชอบเราใช้บ่อย ๆ ก็จะถูกนำมาเสนอในโซเชี่ยลให้เราได้รับรู้ ขึ้นมาให้เราอ่านแบบอัตโนมัติ และเราก็จะได้รับข้อมูลในสิ่งที่เราเลือกอยู่อย่างเดียว ทำซ้ำย้ำบ่อย  ๆ ข้อมูลสิ่งเหล่านั้นก็จะเข้าไปฝังในสมอง ใครจะให้ข้อมูลอย่างไรเราก็ไม่เชื่อ หรือเมื่อเจอคนกลุ่มเดียวกันก็จะยึดโยงกลายเป็นชุมชนที่สุดโต่งไปในที่สุด แล้วก็ปกป้องกันด้วยคำพูดที่ดูเหมือนว่าเหนือชั้น ว่าเก่ง ว่าเท่ห์ เราจะเห็นได้บ่อยครั้งในโลกเสมือนจริง



เราต้องตระหนักที่จะช่วยกันสร้างคนดีคนมีคุณธรรม ทำอะไรทำจริง ๆ มากกว่าคนที่เอาแต่พูด เอาดีใส่ตัวเอาร้ายป้ายใส่คนอื่น เพราะโลกวันนี้ก้าวสู่ความขัดแย้งที่มาจากปากเก่งของคนมากเกินไปแล้ว และด้วยความจริง คนดี ๆ ที่มักทำมากกว่าการพูด คำมั่นสัญญาจะยังเกิดผลต้องมาจากการกระทำ หาใช่จบเพียงคำพูดที่ให้ไว้ต่อกัน คนที่มีคุณธรรมยึดมั่นในหนทางธรรม มักให้ความสำคัญต่อการกระทำมากกว่า ต้องรู้จักเปิดใจให้กว้าง และมีวิจารณญาณ อาศัยการไตร่ตรองชีวิตบ่อยๆ อ่านกาลเวลา อ่านคน อ่านพระวาจา และทำในสิ่งที่จิตสำนึกบอกว่า “ดี” หากทำไม่ได้จง “เงียบ” และรอคอยเวลาที่เหมาะสมกับเรา ต้องเสริมสร้างปรีชาญาณให้เข้มแข็ง ไม่ตกเป็นทาสของข้อมูล ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของโลกวัตถุ รักษาชีวิตพระชีวิตจิตให้แข็งแกร่ง แล้วลงมือทำดีเท่าที่ทำได้ ลงมือทำ หยุดใช้ปากบ่น คนเราก็เท่านี้แค่ขี้ฝุ่นธุลีจักรวาล ใจที่ยิ่งใหญ่ดีกว่าเป็นคนยิ่งใหญ่ ปลายทางของเราคือความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

คุณ-ค่า-คน

คุณ-ค่า-คน
เมื่อการเดินทางไปไหนมาไหนในปัจจุบันดูเหมือนง่ายกว่าสมัยก่อน เดินทางด้วยเครื่องบินก็แสนจะสะดวกสบาย จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ทำให้เราได้รู้จักได้พบปะกับผู้คนได้มากขึ้น สามารถที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการมองดูผู้คน เข้าใจคนอื่นได้มากขึ้นเช่นกัน ในทุก ๆ ที่ที่ไป ย่อมมีสิ่งใหม่ให้เราเรียนรู้ได้เสมอ บางครั้ง บางที่เราอาจจะเห็นน้ำใจที่แสนงดงามของผู้คน ในขณะบางแห่งเราพบกับคนที่ดื้อรั้นและยึดติดกับความคิดของตัวเอง ไม่เปิดรับเปิดใจในสิ่งใหม่ ๆ หรือกระทั่งยึดโยงกลัวความเปลี่ยนแปลงที่มาจากคนอื่นก็มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ ในโลกยุคปัจจุบันทำให้เรารู้จักคน รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้มากขึ้น โลกเปิดกว้างในการติดต่อสื่อสาร แต่กระนั้นก็ดีบางทีมันก็นำมาซึ่งความยึดติดยึดโยงในข้อมูลข้างเดียว แล้วก็นำมาโต้เถียง เอียงข้างที่ตัวเราได้รับรู้ โดยคิดว่านั่นคือคุณค่าที่คู่ควร และแอบดูหมิ่นหยามหยันความคิดเห็นของผู้อื่นในที 


ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีสิ่งใดเป็นที่หนึ่งตลอด ไม่มีอันใดเป็นที่สุด ไม่มีใครที่จะยืนยงอยู่คู่โลก ทุกคนย่อมมีที่มีทางเป็นของตัวเอง เราอาจจะมีความสามารถอย่างหนึ่งที่คนอื่นไม่มี ในขณะที่เราก็เห็นคนอื่นมีดีตามแบบของเขา สังคมจะราบรื่นและร่มเย็นได้ด้วยการที่เราเห็นคุณค่าของกันและกัน ช่วยกันนำคุณค่านั้นออกมาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม โลกนี้มีคนเก่งมากมาย แต่มักจะตายไปหรือพ่ายแพ้ต่อความเห็นแก่ตัว เพราะการแข่งขันและการวัดค่าคนที่ผิดเพี้ยนไป คนเราวันนี้มักถือดีถือตัวเองเป็นที่ตั้ง คนที่มีข้อมูลมากก็คิดว่าตัวเก่งเกินคน ใครที่มีอำนาจมากก็ใช้ไปบีบบังคับข่มขู่ ใครที่มีเงินมีทองมากก็อาจจะไม่สนใจฟังความคิดเห็นของคนอื่น โลกวันนี้ดูเหมือนกว้างแต่ก็ถูกขวางทางกันจนตีบตัน อันที่จะสร้างสรรค์ก็กลับถอยหลัง เพราะต่างคนต่างมองข้ามคุณค่าของคนอื่นไปหมด 
นิทสึ ฮารุโกะ เป็นลูกครึ่งจีน-ญี่ปุ่น ด้วยความที่ไปอยู่เมืองจีนตั้งแต่ยังเล็ก เธอจึงพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ค่อยได้ การศึกษาก็ไม่สูงนัก เธอเหลือทางเลือกเพียงอาชีพพนักงานทำความสะอาดสนามบิน เป็นงานที่หนักและเป็นงานที่สกปรก งานที่ไม่มีใครอยากทำและอายที่มีอาชีพนี้
ฮารุโกะตั้งใจเรียนรู้วิธีการทำความสะอาดพื้นต่าง ๆ การใช้น้ำยาขจัดคราบจากเจ้านาย เธอเพียรสังเกต ใส่ใจ และมุ่งมั่นทำความสะอาด ทำให้ดีที่สุด สะอาดที่สุด แม้ไม่มีลูกค้าคนใดหันมาชื่นชม แต่เธอตั้งใจทำงานเอง เพราะทุกครั้งที่เธอลงมือทำความสะอาด เธอจะจินตนาการถึงผู้ใช้
“หากเด็กเล็กลงไปคลานกับพื้นสกปรก แล้วเด็กไม่สบายล่ะ? หรือถ้านักธุรกิจคนนั้นกำลังจะขึ้นเครื่องไปเจรจาธุรกิจสำคัญ แต่ถ้าพื้นยังสกปรก เขาคงรู้สึกขุ่นข้องหมองใจอย่างบอกไม่ถูกเป็นแน่แท้ ฉันคงรู้สึกแย่นะ”

ภาพ  : https://www.krungsri.com
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฮารุโกะก็ตั้งใจทำงานตรงหน้าให้ดีที่สุด ดีจนถึงขั้นประดิษฐ์อุปกรณ์ทำความสะอาดและแปรงต่าง ๆ ขึ้นมาเองเพื่อให้ทำความสะอาดได้ดีที่สุด
ฮารุโกะได้รับการโปรโมทขึ้นเป็นหัวหน้าพนักงานทำความสะอาด โดยมีลูกน้องกว่า 5 พันคน เธอยังได้รับเชิญไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ ทั้งด้านทัศนคติการทำงาน และในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการทำความสะอาด  เรื่องราวของเธอถูกนำมาสร้างเป็นสารคดีของ NHK
“แม้ทำความสะอาดเสร็จ แต่หากใครทำสกปรกก็ไม่เป็นไร เพราะหากยังคงสภาพสะอาดตลอด ฉันก็คงไม่มีงานทำ พอฉันเริ่มคิดได้แบบนี้ ฉันก็สบายใจนะ จริง ๆ แล้ว งานทำความสะอาดเป็นงานที่ตัดสินง่ายนะคะ แค่มองด้วยตาก็รู้แล้วว่างานเราดีพอหรือยัง เวลาใครอุทานว่า “สะอาดจัง” ฉันก็ดีใจ ดิฉันคิดว่า หากเราพยายามมองในแง่ดี เราก็จะมีแรงบันดาลใจในการทำงานค่ะ”
ข้อมูลจาก: SUUMO





ในวันนี้จะมีสักกี่คนที่เป็นเหมือนฮารุโกะคนนั้น ที่เห็นคุณค่าคนทั้งของตัวเองและของผู้อื่น การมองเห็นความต้องการของผู้อื่นช่วยส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของคนอื่นตามความสามารถของเขาเช่นกัน ใช่หรือไม่ เราเองก็มีค่าในตัวเองด้วยกันทุกคน หากเราทำหน้าที่ด้วยความดี ด้วยความรักเมตตา ลดละความเห็นแก่ตัว การโอ้อวด เอาตัวเองเป็นที่ตั้งลงบ้าง เพียงแค่นี้คุณค่าในความเป็นมนุษย์ก็จะบังเกิดขึ้น และคุณค่าที่เรามีนั้นไม่อาจจะนับเป็นอัตราค่าเงินค่าทองได้ เพราะนั่นเป็นเพียงเกณฑ์สมมติเท่านั้น คุณค่าที่แท้จริง นั่นคือสันติสุขในจิตใจ เราอย่าทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยของดีมีค่าที่ตั้งอยู่ในตู้โชว์เลย แต่ต้องช่วยกันทำให้เติบโตด้วยคุณค่าของคำว่า สายโลหิตในพระคริสตเจ้าเดียวกัน

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

ไม่เข้าใจว่าถามทำไม

ไม่เข้าใจว่าถามทำไม
เคยสังเกตว่าเวลามีใครมาเล่าให้ฟังหรือคุยอะไรให้ฟัง มักจะมีคำถามที่คล้ายเป็นบทสร้อยว่าเข้าใจหรือเปล่าทั้ง ๆ เรื่องที่คุยนั้นไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย ครั้นพอตอบว่าเข้าใจครับ คนเล่าก็บอกว่าไม่ได้ถาม เป็นคำอุทานเข้าใจป่าวเป็นสร้อยที่ล้ำสมัย ในตอนแรกก็คิดว่าน่าจะเป็นคำติดปากของใครบางคน แต่หลัง ๆ นี่ทำไมมีแต่คนพูดสร้อยคำนี้ตามหลังบ่อยมาก เลยเริ่มเข้าใจว่า นี่เป็นการถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ก็คงเป็นไปตามยุคตามสมัย แต่ถ้าเราใคร่ครวญดูดี ๆ บางทีมันก็มีบางสิ่งบางอย่างที่บ่งบอกถึงสังคมเราในวันนี้ได้เป็นอย่างดี

ภาพ  https://encrypted-tbn0.gstatic.com
ใช่หรือไม่ บางทีที่เราพูดไปถามไปว่า เข้าใจป่าว ก็เป็นการสื่อสารให้เห็นว่าคนเรามักตอกย้ำถึงความไม่มั่นใจในการพูดของตัวเอง เพื่อหยั่งเชิงดูว่าสิ่งที่บอกไปนั้นคนฟังรับได้ หรือในทางกลับกันก็เป็นการตีกันว่าสิ่งที่พูดสิ่งที่เล่าที่สื่อสารออกไปนั้น เป็นสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว ยิ่งในยุคที่เรามีการสื่อสารได้หลายช่องทาง แต่คนเรากลับสื่อสารกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง พูดคุยผ่านตัวอักษรบางครั้งพิมพ์ผิดกลายเป็นความหมายอีกอย่างหนึ่ง จึงต้องมีการยืนยันว่าเข้าใจในสิ่งที่จะสื่อสารตรงกัน หลายครั้งก็คุยกันไปคนละทิศละทาง ที่สุดก็ทางใครทางมัน อาจจะเป็นเพราะเรามีแหล่งที่จะหาข้อมูลมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะเราได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัสด้วยประสาทภายนอกได้ง่ายดายขึ้น จึงนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นเกราะ มาทำเป็นกำแพงที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด ในยุคนี้เราขาดการสัมผัสข้อมูลและการพูดคุยด้วยหัวใจ
ภาพ https://www.meemodel.com/image_upload/images/love/brain.jpg

การสัมผัสข้อมูลด้วยหัวใจนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในการวิเคราะห์และไม่ตกเป็นเหยื่อในกระแสที่ถูกจุดขึ้น อย่าหลงเชื่อในสิ่งที่เห็น อย่าคิดว่าถูกต้องในสิ่งที่ได้ยินกับหู อย่าติดกับในสิ่งที่เราสัมผัส เพราะบางเรื่องไม่ได้จบลงตรงที่ได้อ่านด้วยตาและสมองจดจำ หัวใจที่สัมผัส จิตสำนึกต่างหากที่จะช่วยให้เรามีคำตอบในการดำเนินชีวิตบนหนทางที่ถูกต้อง ไม่ยึดติดกับความคิดของตัวเองจนเกินงาม การเป็นผู้ฟังที่ดีก็มักไม่ค่อยมีให้เห็น เรามักแย่งชิงกันพูด กลัวว่าความคิดเห็นของตัวเองจะไม่เป็นที่ยอมรับ จึงพยายามหาทางป้องกันตัวเอง ด้วยข้อมูลที่เหนือกว่า เอาเข้าจริงลึก ๆ แล้วเราไม่ได้รู้อะไรมากขนาดนั้นเลย คนเรารู้ทุกเรื่องได้ แต่จะรู้จริงเพียงไม่กี่เรื่อง เราจึงต้องพึ่งพากัน เราจึงต้องมีสังคม เราต้องน้อมรับความคิดของผู้รู้จริง สิ่งที่จะช่วยให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้นั่นคือการมีหัวใจให้กัน แล้วเราจะเข้าใจทุกคนใช่หรือไม่ บางคำถามก็ไม่ต้องการคำตอบ แต่ต้องการคนที่จะรับฟังด้วยหัวใจมากกว่า

วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560

ควัน

ควัน
ระหว่างเดินกลับบ้าน (ตึกแถว) ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยกลุ่มควันที่มาจากการเผากระดาษเงินกระดาษทอง จากเทียนธูปที่จุดไว้หน้าบ้านของแต่ละหลังในวันสารทจีน (ปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 5 กันยายน) บ้านบางหลังยังตั้งของกิน เครื่องดื่มไว้มากมาย เมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้คิดขึ้นมาว่า ความเชื่อแบบนี้คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร ?  ก่อนที่จะไปลองหาข้อมูลนั้น มีสิ่งที่สังเกตคือควัน ที่เป็นสัญลักษณ์ของการนำทางไปสู่ความรอด เพราะควันมักลอยสูงขึ้นสู่เบื้องบน หลายความเชื่อจึงใช้ควันที่ได้จากเผาไหม้ของสิ่งต่าง ๆ นำมาเป็นสิ่งแทนการสักการะถวายความเคารพอย่างสูงสุด และจากการได้อ่านข้อมูลวันสารทจีนที่พอจะสรุปใจความได้ดังนี้



วันสารทจีนเป็นวันที่เซ็งฮีไต๋ตี๋ (ยมบาล) จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรกนั่นเองและจากตรงนี้เองคงมาจากตำนานโบราณที่เล่าขานกันมาอีกว่า
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่า “มู่เหลียน” เป็นคนเคร่งครัดในศาสนามาก ผิดกับมารดาที่เป็นคนใจบาปหยาบช้าไม่เคยเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ ครั้งหนึ่งนางได้ทำการกลั่นแกล้งผู้ที่ถือศีลกินเจ ด้วยการเชิญมากินเจที่บ้าน แล้วนางก็แอบใส่น้ำมันหมูลงในน้ำแกง เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจี ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เมื่อมู่เหลียนคิดถึงมารดาก็ได้ถอดกายทิพย์ลงไปในนรกภูมิ จึงได้รู้ว่ามารดาของตนกำลังอดอยากจึงป้อนอาหารแก่มารดา แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมดและเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับเป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง ด้วยความกตัญญูและสงสารมารดาที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส มู่เหลียนจึงขอรับโทษแทน โดยมีข้อแม้นว่าจะต้องท่องคัมภีร์และบทสวด เพื่อเรียกเซียน (เทวดา) ทุกทิศทุกทางมาช่วยผู้มีพระคุณให้หลุดพ้นจากการอดอยากและทุกข์ทรมานต่าง ๆ โดยที่มู่เหลียนจะต้องสวดคัมภีร์และถวายอาหารทุกปีในเดือนที่ประตูนรกเปิดจึงจะสามารถช่วยมารดาของเขาให้พ้นโทษได้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวจีนจึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อมากันโดยตลอดด้วยการเซ่นไหว้ โดยจะนำอาหารทั้งคาวหวาน และกระดาษเงินกระดาษทองไปวางไว้ที่หน้าบ้านหรือตามทางแยกที่ไม่ไกลนัก มีนัยว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังจะผ่านมาใกล้ที่พักของตน(สรุปย่อจาก sanook.com)



เมื่ออ่านข้อมูลนี้จบทำให้เราคิดถึงความเป็น สหพันธ์นักบุญตามความเชื่อของเราที่เราต้องสวดภาวนา ขอมิสซา ระลึกถึง ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอยู่เสมอ ๆ แม้ว่าร่างกายจะไม่อยู่ในโลก แต่ความทรงจำในความดีงามที่เรามีต่อกันตอนมีชีวิตอยู่นั้น คือ สิ่งที่จะยึดเหนี่ยวเราให้เป็นหนึ่งเดียวตลอดไป และไม่ว่าสังคมโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายสักขนาดไหน ความสัมพันธ์แบบนี้จะไม่มีวันสูญสลาย ความเชื่อต่อบรรพบุรุษของผู้คนในทุกชาติทุกภาษาก็จะยังคงอยู่ ความเชื่อทางจิตวิญญาณมิอาจจะถูกสิ่งที่เจริญหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่มาทดแทนได้เลย ควันก็ยังเป็นควันที่ล่องลอยสู่เบื้องบนเสมอ แม้ว่าวันนี้เราจะมีควันเสีย ควันดำ มากเหลือเกิน ที่ล้วนแล้วมาจากความเห็นแก่ตัว มาจากความมักใหญ่ใฝ่สูงและความต้องการที่จะเอาชนะคะคานกัน
ยิ่งเห็นข่าวการขู่ ข่ม ของประเทศที่กำลังขัดแย้งกันในเวลานี้ ด้วยการโชว์ศักยภาพของอาวุธที่ร้ายแรง อาวุธที่สามารถทำลายล้างให้ประเทศอริศัตรูจมหายไปเลยนั้น ยิ่งทำให้รู้สึกว่า โลกเรากำลังเข้าสู่ภาวะของความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน คนเราวันนี้ขาดเมตตาต่อกัน ใจร้อนใจเร็ว ชอบเอาชนะ แพ้บ้างไม่เป็น ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง และอยากจะให้ทุกคนเป็นอย่างที่เราต้องการ คิดง่าย ๆ เลย หากเกิดภาวะสงครามที่ใช้อาวุธร้ายแรงต่อสู้กัน และยิงใส่กัน โลกนี้จะถูกปกคลุมด้วยควันดำทะมึน แล้วโลกเราจะมีใครมาระลึกถึงกันอีกเล่า เพราะในเมื่อวันนั้นทุกคนคงสูญหายไปพร้อม ๆ กับโลกใบนี้ อย่าให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเลย เรายังอยากเห็นควันน้อย ๆ ค่อย ๆ ล่องลอยตามลม 

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
สายควันน้อย ๆ ล่องลอยที่เห็นนำมาซึ่งสิ่งแทนใจของผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น คงแตกต่างจากกลุ่มก้อนควันดำก้อนใหญ่ ที่มาจากอาวุธสงคราม ที่มาจากปล่องท่อของโรงงานอุตสาหกรรม มาจากเครื่องยนต์กลไก ที่ล้วนแต่นำความเดือดร้อนมาให้ผู้คนอื่นอย่างไร้ความรับผิดชอบ ใช่หรือไม่ ก็ไม่ต่างจากการดำเนินชีวิตของเรา เราจะเลือกเป็นควันที่ลอยสู่องค์พระผู้เป็นเจ้า และให้ผู้คนได้ระลึกถึงคุณงามความดีในวันที่ไม่มีร่างอยู่บนโลกนี้ หรือเราจะเป็นควันพิษที่คอยแต่จะทำลายผู้อื่นอยู่ร่ำไป สารทจีน หรือการระลึกถึงผู้ตายไปแล้วล้วนสะท้อนให้คนเราเห็นว่า เมื่อมีชีวิตอยู่ควรกระทำตัวให้เป็นบรรพบุรุษที่ดี ให้ลูกหลานเคารพ และกราบไหว้บูชาแม้ยามจากไป ยังดีกว่าจะรอให้คนทั่วไปมาเซ่นไหว้ตามข้างทาง หรือถึงขั้นแม้แต่วิญญาณก็ยังไม่มีใครคิดถึงเลย มาร่วมกันทำวันนี้ให้งดงามด้วยการสร้างสันติสุขในจิตใจของเราแต่ละคน

วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560

ตากผ้าหน้าฝน

ตากผ้าหน้าฝน
ช่วงนี้ฝนตกเกือบจะทุกวัน นำความชุ่มฉ่ำมาพอได้คลายร้อน และแน่นอนฝนตกบางทีก็นำความทุกข์ร้อนมาให้โดยเฉพาะในการเดินทางสัญจรไปมา รถราที่ติดอยู่แล้วก็ยิ่งติดหนักมากขึ้น คนที่ต้องอาศัยรถสาธารณะก็ต้องเสียเวลายืนรออีกเป็นชั่วโมง ๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มาพร้อมกับฤดูฝน บางคนบางคันที่นำรถไปล้างมาใหม่ ๆ เจอน้ำกระเด็นกระจายใส่ เล่นเอาเซ็งในอารมณ์อยู่เหมือนกัน และสิ่งหนึ่งที่หนีไม่พ้นเลยคือการซักผ้าแล้วตากผ้าไว้ ในขณะที่ออกมาทำงานพอฝนตกเสื้อผ้าก็ไม่แห้ง บางคนมีชุดทำงานเพียง 2-3 ชุดก็ต้องบริหารจัดการให้ดี ๆ ไม่งั้นต้องใส่เสื้อผ้าที่อับชื้นเกิดโรคเชื้อราตามมา หรือบางทีตากผ้าไว้กำลังจะแห้งสายฝนสาดใส่ เก็บไม่ทันก็เหมือนกับต้องซักใหม่อีกรอบ


เมื่อพูดถึงฝนตกแล้ว ก็ต้องขอบคุณพระเจ้า เพราะในวันที่เราฉลองวัดครบ 60 ปี ทั้งในค่ำวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี  ถึงแม้ว่าในค่ำวันเสาร์ฝนจะตกหนักเกือบทั้งคืน แต่พอเช้ามาก็หยุดตกเพื่อให้เราร่วมกันฉลองวัดได้อย่างราบรื่นการช่วยกันในชุมชนวัดของเราทำให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียว ทุกคนมีส่วนร่วมตามความสามารถและความสะดวกของแต่ละคน นำมาหลอมรวมกันทำให้เกิดเป็นความงามและความเข้มแข็งในชุมชนความเชื่อแห่งนี้ เรามิได้มีความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวใด ๆ ในการช่วยกันทำให้งานฉลองผ่านไปด้วยดี



ในขณะที่กำลังชื่นชมความเห็นแก่ส่วนรวมในวัดของเราอยู่ มองดูออกมาที่สังคมภายนอก แทบทุกอณูกำลังถูกแทนที่ด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างสุดขั้ว จนน่ากลัวว่านี่จะเป็นต้นทางความขัดแย้งในระดับโลก ลองดูสิ การแข่งขันกีฬาทุกระดับเดี๋ยวนี้โกงได้เป็นโกง ไม่ได้สนใจไร้ยางอาย ขอให้ได้ที่หนึ่งเข้าไว้ ประเทศไหนเป็นเจ้าภาพประเทศนั้นมักจะหาหนทางที่จะกอบโกยเหรียญทองโดยไม่สนใจในกติกา แล้วเช่นนี้จะจัดกันเพื่ออะไร!!!หรือเพราะใช้คำว่าแข่งขันกับรางวัลที่เป็นเงินเป็นทอง ทุกคนเลยตั้งหน้าตั้งตาทำทุกวิถีทางให้ได้มา สังคมกำลังหล่อหลอมเราให้มีแต่ความเห็นแก่ตัว จนดูเหมือนว่าจะไม่มีวันที่จะกลับคืนสู่ความดีงาม เข้าทำนองที่ว่าตากผ้าหน้าฝน จะมีวันแห้งหรือเปล่า แต่สำหรับเราผู้มีความเชื่อและเป็นหนึ่งเดียวกัน เรามีหลักยึดเหนี่ยวเดียวกัน ต้องรู้จักที่จะหาวิธีการที่จะยืนอยู่ในสังคมภายนอกด้วยการคงเอกลักษณ์ความเมตตาเอาไว้ให้ได้ แม้จะต้องใช้เวลาและความอดทนในการรอคอย ตากผ้าหน้าฝนยังมีวันแห้ง แล้วใยความแล้งน้ำใจจะกลับคืนมาไม่ได้....