วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บนความนิรันดร์

บนความนิรันดร์

การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ กาลเวลาเปลี่ยนไป สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนตาม ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนไป ใจคนยังมีสั่นมีไหว สั่นคลอนได้

ในความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาเห็นผู้คนตามถนนหนทาง ต่างดิ้นรน เร่งรีบ รวบรัด และต่างก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ใบหน้าเหมือนกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง บ้างก็หน้าบึ้งตึงรอยยิ้มหลบอยู่ใต้มุมปาก

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงผู้คนต่างมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง เป็นปัจเจกชน มีโลกส่วนตัวพื้นที่ส่วนตนเอาไว้ซุกซ่อนความลี้ลับที่เป็นสมบัติติดตัว ชอบอยู่กับเครื่องมากกว่าอยู่กบผู้คน คุยกันผ่านการสื่อสารไร้สายมากกว่าคุยด้วยการนั่งสบตาจ้องหน้า อยู่กับเพื่อนคนหนึ่งกลับคุยโทรศัพท์ไปหาอีกคน เป็นแนวของคนรุ่นใหม่ใจไร้สาย

บนความเปลี่ยนแปลงกับการผ่านไปมาของผู้คน ที่รู้สึกเหมือนมีวัตถุที่ผ่านไป อยู่ในที่ที่เดียวกันก็ไม่ค่อยได้พูดคุย สัมพันธภาพในหน่วยงาน ในองค์กร ในตึกอาคารมีน้อยเสียกว่าจำนวนชั้นของอาคารก่อสร้าง

บนความเปลี่ยนแปลงกับวิถีชีวิตที่ต้องมาอาศัยตึกสูง แต่ห้องเดียว มากผู้คน แต่โดดเดียวเดี่ยวดาย จนแล้วจนรอด วันเปลี่ยนเดือนย้าย ก็ไม่เคยได้คุยกับคนในชุมชนแนวตั้งแห่งนี้ โลกเปลี่ยนไปสู่การเชื่อมโยงได้ทั่วโลก แต่ข้างห้องกลับไม่เคยทักทาย

ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ แต่ความเห็นแก่ตัวของคนเป็นเงาของนิรันดร์ ระบบสังคมที่เปลี่ยนแปลงกลับทำผู้คนใช้ความเห็นแก่ตัวส่งเสริม เสริมสร้างให้วิถีชีวิตเข้าสู่มุมอับ เข้าสู่ความเอกเทศ เข้าความอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว...

นักดนตรี เสียงเพลง นักร้อง นักแสดง เปลี่ยนแปลงจากความสุนทรียกลายเป็นพานิชศิลป์เต็มรูปแบบที่แอบทิ้งความเขินอายไว้เบื้องหลัง

ความเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์ หมุนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก ชา ชา ชิน ชิน
บนความเปลี่ยนแปลงอันนิรันดร์ กัดกร่อนผู้คนมากขึ้นและมากขึ้นในทุกวันเวลา
ความเปลี่ยนแปลงในนิยามของความแปลกหน้าในขณะที่เราอยู่ใกล้

ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนหลายคนปรับตัวไม่ทัน ปฏิเสธความเป็นนิรันดร์ของการเปลี่ยนแปลง จมปลักอยู่ตามครรลองเก่าๆในกระแสธารทางสังคมแบบใหม่รุ่นล่าสุด แล้วจะอยู่ได้อย่างไรเล่า?

คนเราก็ชอบหาเหตุผล ข้ออ้างเพื่อมาสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของการต้านทานกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมปรับกลยุทธ์ ไม่ย่อมเรียนรู้และไม่มีความคิดสร้างสรรค์ จริงหรือไม่ วิถีชีวิตของคนเรามักจะถูกกำหนดด้วยกระแสของสังคม บางอย่างก็ดูพัฒนาขึ้น แต่บางอย่างกลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเฉพาะเมื่อโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและการคาดการณ์เพื่อเตรียมวางแผนไว้ล่วงหน้าก็ทำได้ยากยิ่ง

ถ้าหากในเช้าวันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้น เราอยู่ในโลกที่มีเพียงตัวคนเดียว พร้อมกับเครื่องอำนวยความสะดวก มันเป็นความเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน ทำอะไรก็ไม่เป็น จะวิ่งออกจากบ้านไปข้างบ้าน ข้างห้องก็คงจะเหนื่อยเปล่า เพราะว่าสังคมตอนนี้ ลำพังตัวเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอดแล้วใครจะมาสนใจ

สำหรับการตั้งรับความเปลี่ยนแปลง เพราะแต่ละคนก็มีวิธีแก้ปัญหาของตัวเองไม่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ต้องมีเสมอ คือ สติปัญญาและความวางใจในพระเจ้า เพราะพระองค์เป็นเจ้าของของความนิรันดร์

เมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง ขออย่าได้พึงนึกเสียว่าเป็นเรื่องเลวร้ายหรือดีมากเสมอไป ขอให้มองว่ามันเป็นเรื่องหนึ่งที่มาแล้ว และผ่านไป ตามเงื่อนไขของเวลา เมื่อมันแวะมาเคาะประตูบ้าน จงเปิดรับมันด้วยความยินดี เพราะว่าทุกความเปลี่ยนแปลง ย่อมนำมาซึ่งบททดสอบเพื่อการเจริญเติบโตของมนุษย์เสมอ และถ้ามันเป็นเพียงบททดสอบสักบท ทำไมเราไม่ร่วมกันค่อยๆ แก้มันไป ตรึกตรองมันไปอย่างคนที่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง อย่างคนที่เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต

โลกผันผ่านกับการเปลี่ยนแปลงมานับครั้งไม่ถ้วน ล้วนผ่านบททดสอบ บทแล้วบทเล่า แต่ก็สามารถเคลื่อนผ่าน ผลัดใบผลิดอกออกผล เป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่งดงามเสมอมา ใครจะไปรู้ว่าวันนี้เรากำลังยืนอยู่บนเส้นที่คาบเกี่ยวของการเปลี่ยนแปลง กำลังยืนอยู่บนขอบเขตแห่งนิรันดร์เส้นนี้ หากเราข้ามไปได้ชีวิตก็จะงดงามและแข็งแกร่ง บนหนทางชีวิตความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ โดยมีความรักของพระเจ้าที่จะอยู่กับมนุษย์เป็นอมตะนิรันดร์กาลตราบฟ้าดินสลาย ที่จะช่วยให้เราควรค่าความเป็นคน..

กองแช่ง

กองแช่ง

จำได้ว่าตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ก็เริ่มติดตามชมการแข่งขันฟุตบอลอังกฤษจนกระทั่งกลายเป็นแฟนของทีมดังทีมหนึ่ง (ผีแดง) เพื่อนแต่ละคนก็จะมีทีมโปรดเป็นของตัวเอง ส่วนมากก็จะอยู่ที่ผีแดงและหงส์แดง วันไหนบังเอิญเกิดสองทีมดังมาเจอกัน (ศึกวันแดงเดือด) กองเชียร์ของแต่ละทีมก็จะรวมตัวรวมกลุ่มกัน ส่งเสียงเชียร์อย่างเมามันส์... วันเวลาผ่านไปเป็นสิบปี (เร็วเหมือนโกหก) วัฒนธรรมการเชียร์ฟุตบอลก็ยังอยู่ เพื่อนๆหลายคนก็ยังรวมตัวรวมกลุ่มกันออกไปเชียร์ตามร้านรวง (กลุ่มนี้ปราศจากการเล่นพนัน) และสิ่งที่ดูน่ารักและน่ากวน... ก็คือการได้เยาะเย้ย หยามหยันกันเมื่อทีมของตัวเองเป็นฝ่ายชนะ แม้กระทั่งมีการพูดจากระแนะกระแหนกันในโลกไซเบอร์ (เข้ากับยุคสมัย)

และถ้าครั้งไหนที่ทีมตรงข้ามไปแข่งกับอีกทีมหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่ใช่ทีมโปรดของตัวเอง ก็จะมีการตั้งกองแช่ง เพื่อให้พลาด แช่งเพื่อให้พ่ายแพ้ ยิ่งผลการแข่งขันเป็นไปตามการแช่ง มันสะใจวัยรุ่น (เหลือน้อย) เขาล่ะ วัฒนธรรมนี้เป็นที่งงงวย ระคนหมั่นไส้สำหรับคนวงนอก บ้างหาว่าบ้าบอ แต่ขอบอก บางครั้งมัน คือ ความสุขที่ได้ทั้งแช่งและเชียร์ ใช่หรือไม่ นี่อาจจะเป็นการแสดงออกของนิสัยพื้นฐานของมนุษย์ การเห็นผู้อื่นพ่ายแพ้แล้วสะใจ หรือไม่ก็ถ้าเห็นใครได้ดีกว่าแล้วอิจฉา ขอแช่งให้ถึงวันอันตกอับ วันที่พ่ายแพ้ แต่คนกลุ่มนี้มาถ่ายเทออกทางกีฬา ดีกว่าไปนั่งแช่งกันแบบตัวเป็นๆ

มีคนกลุ่มใหญ่อยู่เหมือนกันบนโลกใบที่แสนสับสนและวุ่นวาย ที่วันๆตั้งหน้าตั้งตาเที่ยวหาคนที่พ่ายแพ้ หาคนที่จังหวะชีวิตพลาดท่าเสียศูนย์ มีความสุขอยู่บนกองทุกข์ของชาวบ้าน และคนเราจะมีใครบ้างหล่ะที่จะสมบูรณ์ได้ทั้งปีทั้งชาติ จะมีใครบ้างเล่าดีพร้อมไปเสียทุกเรื่อง ในชีวิตหนึ่งสามหมื่นกว่าวัน วันที่พ่ายแพ้กลับเป็นวันที่เลวร้ายที่สุด เหตุเพราะจะมีพวกที่สะใจ พวกที่คอยซ้ำเติมพุ่งเข้าใส่อีกระรอก ในวันที่ผ่านมาวันที่แสนงดงาม (เป็นส่วนมากของชีวิต) กลับไร้ค่าไปในพริบตา จะมีใครบ้างที่ไม่เคยตกทุกข์ ไม่เคยผ่านห้วงแห่งกางเขน เพื่อสู่วันที่แกร่งกว่า ยิ่งคนกลุ่มใหญ่ ก็มักมีเรื่องให้แช่ง มีเรื่องให้พูดถึง ให้วิจารณ์กันได้ไม่เว้นแต่ละวัน วันดีคืนร้ายเรื่องพ่ายแพ้มาตกใส่เราและบังเอิญคนกลุ่มหนึ่งที่จ้องเป็นกองแช่งเห็นเข้า ก็กลายเป็นสิ่งโอชะอร่อยปากไป

มีเรื่องของกบตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ที่สามารถฟันฝ่า เสียงแช่ง เสียงตะโกน เสียงพูดจาที่บั่นทอนให้กำลังใจ กบน้อยตัวนี้ไม่สนใจในเสียงรบกวนเหล่านี้ ไปถึงเส้นชัยจนได้ เรื่องนี้มีอยู่ว่า

ครั้งหนึ่งมีกลุ่มของลูกกบตัวเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขัน เพื่อจะปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเสาไฟฟ้าแรงสูง โดยมีกลุ่มชนชาวกบมารอชมและเชียร์การแข่งขันครั้งนี้ เป็นจำนวนมาก

และแล้วการแข่งขันเริ่มขึ้น พูดก็พูดเถอะ ไม่มีชนชาวกบตัวใดเลยที่จะเชื่อว่า
เจ้ากบตัวเล็กๆเหล่านั้น จะปีนขึ้นไปจนถึงยอดได้ มีเสียงพูดลอยมาให้ได้ยิน เป็นต้นว่า
เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงยอดหรอกมันยากลำบากขนาดนั้น และอีกเสียงก็ว่า เขาไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรอก เสามันสูงขนาดนั้น เจ้ากบตัวน้อยๆเหล่านี้ ก็เริ่มที่จะร่วงหล่นลงมาทีละตัวทีละตัว จะยกเว้นก็แต่เจ้ากบอีกไม่ถึง 5 ตัว ยังปีนอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้น และก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ....

ชนชาวกบก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกน "มันยากเกินไปไม่มีใครทำได้หรอก!จริงๆนะ ลงมาเถอะ" กบน้อยที่เหลือเริ่มเหนื่อยและยอมแพ้ค่อยรูดเสาลงมา... ...แต่มีกบตัวหนึ่ง ที่ยังตั้งหน้าตั้งตาปีนสูงขึ้น สูงขึ้น ... เจ้าตัวนี้ไม่ยอมแพ้!

เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบทุกๆตัวจึงอยากรู้ว่า เจ้ากบตัวเล็กๆตัวนี้ทำได้อย่างไร? รวมทั้งกบคู่แข่งขันต่างอยากรู้เช่นกันว่า เจ้ากบเล็กๆตัวนี้มีพลังในการปีนขึ้นสู่ยอดเสา อันเป็นเป้าหมาย จนประสบความสำเร็จได้อย่างไร? และท่านผู้อ่านล่ะคิดว่าเพราะเหตุใด ...เรื่องกลับกลายเป็นว่า... กบผู้ชนะตัวนั้นหูหนวก!!!!

บางครั้งในชีวิตเราต้องทำเป็นหูหนวก หรือ หูทวนลมบ้าง อย่าฟังคำพูดในด้านลบ หรือฟังเรื่องในแง่ลบจากผู้อื่น เพราะสิ่งเหล่านั้นมันจะดึงเอาความฝันและความปรารถนาดีที่งดงามในหัวใจของเราออกไป ระวังในพลังของคำพูดคน เพราะมันจะทำให้วันที่เราพ่ายแพ้มาถึงอย่างปัจจุบันทันด่วน ใจเราต้องเป็นดั่งศิลาที่กล้าแกร่ง ท่านนักบุญเปโตร จากคนที่ล้มเหลวในชีวิต กลายเป็นเสาเอกของพระศาสนจักรได้ก็จากหัวใจที่เป็นดั่งศิลา ท่านนักบุญเปาโล ผู้ไม่เคยฟังเสียงที่คอยแช่งด่า ท่านเดินทาง เดินหน้ากล้าประกาศถึงสัจธรรมด้วยหัวใจเพชร และวันนี้ในนามพระคริสตเจ้าเราอยู่ในกองเชียร์หรือกองแช่งกันแน่...

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ใครสักคนที่เข้าใจ

ใครสักคนที่เข้าใจ

หนึ่งชีวิตที่ยืนหยัดอยู่คู่โลกเพียงไม่กี่หมื่นวัน แต่กลับมีเรื่องราวผ่านเข้ามาในแต่ละวันอย่างมากมาย มีทั้งสุข ทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง มีเลวบ้างดีบ้างควบคู่กันไป มีหลายเรื่องราวเก็บงำเอาไว้คนเดียว มีบางเรื่องเพียงต้องการให้ใครสักคนเข้าใจและพร้อมที่จะรับฟัง แต่วันนี้ เวลานี้หามีไม่ เพราะแต่ละคนล้วนมีเรื่องราวของตัวเองอย่างมากมายเฉกเช่นกัน แม้เวลาเป็นส่วนตัวยังไม่มี สาอะไรจะมีเวลาไปให้คนอื่น ใครสักคนสำหรับเราวันนี้ มองซ้าย มองขวาก็ไม่เจอ..

เหตุการณ์ในโลก กระแสแห่งปัจจุบัน เป็นเหตุผลปั่นถอนจิตใจ กำลังใจ ของผู้คนในสังคมลงไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว จิตใจของผู้คนดูจะอ่อนแอ ในท่ามกลางความแข็งแรงของเครื่องยนต์กลไก ท่ามกลางความสะดวกสบาย แต่ชีวิตภายในกลับล้มเหลว ท่ามกลางการหมุนเวียนของเงินทองมหาศาล แต่เรากลับเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ใช้เงินสร้างทุกข์มากกว่าสร้างสุข แล้วชีวิตจะหาความเบิกบานหรรษาได้อย่างไรเล่า.... ใครสักคนที่เข้าใจก็เป็นเช่นเดียวกับเรา ต่างคนต่างมองหน้า ต่างคนต่างเวิ่งว้าง ต่างคนต่างเปลี่ยวเหงา จะแปลกอะไรที่เราจะเห็นเด็กและเยาวชนไม่มีภูมิที่จะต่อส็กับปัญหาและอุปสรรคในชีวิต

สัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับคลิปวีดีโอที่ดีมากๆมาคลิปหนึ่งทาง E-mail ซึ่งเป็นเรื่องราวของชายพิการคนหนึ่งมีชื่อว่า นิค เขาไม่มีแขน ไม่มีขา กำลังบรรยายให้เด็กๆเยาวชนในฟัง เริ่มต้นการแสดงความสามารถ ทำให้ทุกคนสนุกสนานพร้อมกับทึ่งในความสามารถของเขา แล้วเขาก็นำเยาวชนเหล่านั้น เข้าสู่บทเรียนชีวิต เขาเป็นใครสักคนให้เด็กที่สมบูรณ์ทุกอย่าง เขาทำเป็นล้มลงและพูดกับเด็กๆเหล่านั้นว่า

พวกคุณทำอย่างไรเวลาล้มลง รีบลุกขึ้นเลยใช่ไหม แต่มีบางครั้งในชีวิตน่ะครับ ที่คุณล้มลง แล้วคุณรู้สึกว่าไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้น คุณคิดว่าคุณยังมีความหวังไหมล่ะ.... ผมล้มลงอยู่ตรงนี้ (ทุกคนเริ่มเงียบ) ก้มหน้าอยู่ตรงนี้ ผมไม่มีแขนไม่มีขา ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะลุกขึ้น แต่มัน...ไม่ใช่เลย คุณรู้มั๊ยผมพยายามเป็นร้อยๆครั้ง เพื่อเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นในทุกครั้งที่ผมล้มลง ถ้าผมล้มลงและยอมแพ้คุณคิดว่าผมจะลุกขึ้นได้ไหม ไม่ ...แต่ผมพยายามแล้วพยายามเล่า มันไม่ใช่จุดจบ มันสำคัญนะครับว่าคุณจะสิ้นสุดลงอย่างไร ถ้าคุณผ่านไปได้อย่างเข้มแข็ง คุณต้องอาศัยกำลังใจที่จะลุกขึ้น อย่างนี้ครับ

แล้วเขาก็ค่อยๆเอาศรีษะยันกับสิ่งของชิ้นหนึ่งที่ประกอบการแสดง แล้วลุกขึ้นยืนครึ่งท่อนได้อย่างสง่า เด็กทุกคนในห้องนั่งนิ่ง บางคนกั้นน้ำตาไว้ไม่ไว้ นี่ไงกำลังใจจากคนที่ไม่ครบแต่มีความสงบในจิตใจจนกระทั่งกลายเป็นใครสักคนที่เป็นกำลังใจให้อีกหลายชีวิตดำเนินต่อไป แล้วเราล่ะเป็นใครสักคนให้ใครบ้าง อย่าเอ่ยอ้างว่าไม่มีเวลา อย่าอ้างว่าไม่มีความสามารถ เพราะเอาเข้าจริงบางเรื่องในโลกไม่ต้องใช้ความสามรถ เพียงใช้หัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่พร้อมมอบให้กัน

มีอีกตัวอย่างหนึ่ง น่ารักและน่าคิดเป็นอย่างยิ่ง....เจ้าของร้านติดป้ายไว้ที่ประตู มีข้อความว่า มีลูกสุนัขขาย มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวใต้ป้ายแผ่นนั้น และถามว่า ลูกหมาที่ขายราคาเท่าไรครับ มีหลายราคา ตั้งแต่ 30 ไปจนถึง 50 เหรียญ เจ้าของร้านตอบ หนูน้อยล้วงเข้าไปในกระเป๋าและควักสตางค์ออกมา ผมมีอยู่เพียง 2.37 เหรียญเองครับ ผมขอดูพวกมันหน่อยได้ไหมครับ เจ้าของร้านยิ้มแล้วผิวปาก เรียกลูกสุนัขขนฟู 5 ตัว หนึ่งในนั้นเดินตามมาอย่างช้า ๆ หนูน้อยสนใจลูกหมาตัวนี้ทันที เห็นได้ชัดว่ามันเดินลากขาเหมือนเป็นหมาพิการ

หมาตัวเล็ก ๆ นั่นเป็นอะไรครับ เจ้าของร้านบอก สัตวแพทย์ตรวจตรวจเจ้าลูกหมาตัวนี้แล้วพบว่ามันไม่มีสะโพก มันจะต้องเดินขากะเผลกและจะพิการไปตลอดชีวิต เด็กชายตื่นเต้นขึ้นมาทันที ผมขอซื้อลูกหมาตัวนี้ได้ไหมฮะ เจ้าของร้านตอบว่า อย่าเลย หนูคงไม่อยากได้ลูกหมาตัวนี้หรอก แต่ถ้าหนูอยากได้จริง ๆ ล่ะก็ ฉันจะยกให้ หนูน้อยเริ่มไม่พอใจ เขาจ้องหน้าเจ้าของร้านพร้อมกับชี้นิ้วพูดว่า ผมไม่ต้องการให้คุณยกมันให้ผมฟรี ๆ หมาตัวนี้มีค่ามากเท่ากับตัวอื่น ๆ และผมก็จะจ่ายให้คุณเต็มราคาด้วย แต่ผมจะให้คุณก่อน 2.37 เหรียญ และจะผ่อนให้เดือนละ 50 เซ็นต์ จนกว่าจะครบ
เจ้าของร้านยังค้านอีกว่า หนูคงไม่อยากได้ลูกหมาตัวนี้หรอกมันวิ่งไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้และเล่นกับหนูเหมือนกับลูกหมาตัวอื่นๆก็ไม่ได้ ถึงตอนนี้ หนูน้อยจึงนั่งลงและถกขากางเกงให้เจ้าของร้านเห็นขาข้างซ้ายที่ลีบเล็ก และมีเหล็กแท่งใหญ่พยุงเอาไว้ เขาเงยหน้ามองเจ้าของร้านและพูดนุ่ม ๆว่า นี่ไง ผมเองก็วิ่งไม่ได้เหมือนกัน และลูกหมาตัวนี้ก็คงต้องการใครสักคนที่เข้าใจมัน

และคุณล่ะจะเป็นใครสักคนสำหรับใครในโลกนี้บ้างไหม.....

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ได้แค่รองแต่ครองใจมหาชน

ได้แค่รองแต่ครองใจมหาชน
ในชีวิตจริงของเราในบางครั้งบางคราเราก็เคยดูถูกตัวเอง และมีบ่อยครั้งที่เราไม่กล้าเผชิญกับความเป็นจริง ขาดความมั่นใจในรูปลักษณ์และบุคลิก ทำให้พลาดฝันไปก็มาก ในขณะที่นั่งรถผ่านตึกรามบ้านช่องในเมือง เคยมีความรู้สึกว่า กรุงเทพฯเรานี้เป็นเมืองที่รวบรวมเอาความฝันของคนหลายล้านคนมากองเอาไว้ เป็นแหล่งที่ทุกคนต่างมุ่งหน้าล่าฝัน ในบางซอกหลืบอาจจะมีผู้นำประเทศชาติแอบซ่อนเร้นอยู่ก็ได้ ในตึกรกๆโทรมๆอาจจะมีศิลปินที่ยิ่งใหญ่กำลังชุบเลี้ยงความฝันบนความยากไร้อยู่ก็ได้ ในตึกแถวร้านรวงอาจจะมีผู้อาศัยที่กำลังจะก้าวเป็นผู้นำจิตวิญญาณ เป็นผู้กล้าต่อต้านความอยุติธรรมของสังคม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าสังคมมักสร้างค่านิยมเป็นกับดักความฝันของผู้คนให้ตายซากเป็นขยะฝันค้างไว้มากมายค่านิยมที่วัดคนจากภายนอกก็ดี ค่านิยมที่บูชาเงินและความร่ำรวย ค่านิยมที่สวย หล่อ เท่ห์ คือ คนเก่ง ล้วนแต่เป็นกระแสหลักของบริโภคนิยมและทุนนิยมที่กำลังครองโลกอยู่ในวันนี้ แต่แล้วในยุคสมัย ในกาลเวลาย่อมมีบทเรียนร่วมกันของมนุษยโลก เพื่อให้หันกลับมามองคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ ของความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้าที่มอบให้กับทุกผู้คน ความยุติธรรมที่มากับความฝัน ใครที่กล้าทำฝันให้เป็นจริงย่อมพบกับความยุติธรรมแล้วโลกของความจอมปลอมก็ถูกตบหน้าอย่างจัง ด้วยผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อายุอานามปาเข้าไป 48 ปี ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องหยุดฟังเธอ ฟังเสียงที่ไพเราะและทรงพลัง และเรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่ในมุมเล็กๆในโลกใบนี้ของเธอ ซึ่งผ่านวันเวลามาอย่างลำบาก แต่เธอไม่เคยหยุดฝัน หากลมหายใจยังมีใยต้องหยุดฝันด้วยเล่า โลกนี้มิได้มีแต่กลางคืนที่เอาไว้ฝัน กลางวันก็ฝันได้และกล้าเดินสู่ความเป็นจริง ผู้หญิงที่อ้วนๆเตี้ยๆและใบหน้าที่แสนธรรมดา ผมเผ้าไม่ได้ตัดแต่งอย่างประณีต เธอคือ ซูซาน บอยล์ จากสก็อตแลนด์หนึ่งในผู้ที่เข้าประกวดร้องเพลงในรายการ Britain’ Got Talent และได้เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เธอทำได้เพียงที่สอง แต่คนทั้งโลกจดจำเธอได้มากกว่าผู้ชนะเลิศ ใช่หรือไม่บางครั้งในชีวิตจริงไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชนะในการแข่งขันเสมอไป สิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือ การได้ชนะใจคนต่างหากเหตุที่เธอครองใจมหาชนคนทั้งโลกได้นั้น มาจากเรื่องราวและเสียงที่เธอเปล่งออกมาที่ได้มอบความสุขให้ผู้ชมผู้ฟัง คลิปของเธอที่ร้องเพลงในการประกวดนั้นถูกนำไปลงในเว็บ YouTube มีคนคลิกเข้าไปดูแล้วเกือบ 100 ล้านครั้ง เชิญ Click ชม Clip เป็นการสร้างประวัติคลิปที่มีคนดูมากที่สุดในโลก ซูซาน เป็นน้องคนเล็กสุดของบ้าน ที่มีพี่ชาย 4 คน พี่สาวอีก 6 คน คุณแม่ให้กำเนิดเธอตอนที่มีอายุมากแล้ว จึงทำให้คลอดยากและตอนคลอดเธอออกมาก็ได้ขาดออกซิเจนไประยะหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อสมอง ทำให้เธอไม่อาจจะรับรู้ได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป จึงมีผลต่อการเรียนรู้ และกลายเป็นตัวตลกของเพื่อนๆเธอมิเคยได้ทำงานอย่างจริงจัง ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับแม่และแมว และไปร้องเพลงในวัด เป็นสิ่งที่เธอชอบมาก ช่วยงานของวัดทำงานเพื่อสังคมมาตลอด ต่อมาเธอต้องดูแลแม่ที่กำลังป่วยเพียงอย่างเดียว เธอบอกว่า แม่รู้มาตลอดว่าเธอร้องเพลงได้ดี และมีเสียงร้องที่พิเศษ และแม่ก็ยุให้เธอเข้าประกวดในรายการร้องเพลงต่างๆ รวมทั้งรายการ Britain’ Got Talent ด้วย แม่บอกว่าเธอจะชนะ แต่แม่ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จของลูกสาว ที่ขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีอย่างที่ใฝ่ฝัน เพราะแม่จากไปเสียก่อน
หลังจากที่แม่เธอจากไป ซูซาน บอกว่าเธอเศร้าจนไม่อาจร้องเพลงได้เลยเกือบ 2 ปี แต่เมื่อคิดว่าอยากให้แม่ที่อยู่บนสวรรค์ได้ภูมิใจ เธอจึงตัดสินใจเข้าประกวดร้องเพลง ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของคนดู ท่ามกลางการดูถูกดูแคลนของเพื่อนร่วมรายการ รวมทั้งคณะกรรมการตัดสิน เมื่อเธอปรากฏตัวกลมๆออกมาหน้าจอ มีแต่เสียงเซ็งแซ่ ว่าหน้าตาอย่างนี้ยังมีหน้ามาประกวดรึ (ซึ่งเธอให้สัมภาษณ์ในตอนหลังว่าเธอมาประกวดร้องเพลงไม่ได้มาประกวดนางงาม เจ็บไหมล่ะ) ทันทีที่เธอเปล่งเสียงออกมา ทุกคนถึงกับเงียบ และมีความสุขในเสียงร้องของเธอ เมื่อจบเพลงทุกคนในห้องถ่ายทำ ต่างลุกขึ้นปรบมืออย่างยาวนานให้เธอ กรรมการบางคนน้ำตาไหล หลังจากนั้นเรื่องราวและเสียงร้องของเธอก็ดังก้องไปทั่วทั้งโลก คนทั้งโลกหลงเสน่ห์เสียงของเธอ และที่สำคัญที่สุด เธอกลายเป็นแรงบันดาลใจของคนอีกหลายล้านคน ที่กล้าลุกขึ้นมาทำฝันให้เป็นจริงโดยไร้กำแพงแห่งวัตถุนิยม รูปลักษณ์นิยมขวางกั้น
ปรากฏการณ์ ซูซาน บอยล์ ในครั้งนี้สอนสังคมโลกในหลายๆเรื่อง อย่าตัดสินคนจากภายนอก การกล้าเดินตามความฝัน และการแสวงหาพรสวรรค์ของตนเอง การปลูกฝังให้เด็กรู้จักช่วยงานวัด งานสังคม มีจิตอาสา ใช่หรือไม่ เรามักถูกสอนให้เอาชนะตามมาตรฐาน แต่น้อยครั้งที่เราจะสอนลูกๆหลานๆของเราให้เอาชนะใจคน นี่ต่างหากคือความสำเร็จของชีวิต จริงไหม ซูซาน…