วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มุมเล็ก ๆ สร้างโลกให้งดงาม (ตอน 1)

มุมเล็ก ๆ สร้างโลกให้งดงาม
(ตอน 1)
            หากเปรียบตัวเรากับโลก เราก็เป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนโลก หากเปรียบโลกกับจักรวาล โลกก็เป็นเพียงดาวเคราะห์น้อย ๆ ที่ล่องลอยท่ามกลางดาวดวงอื่น ๆ อีกนับล้าน ๆ ดวง แล้วเมื่อเปรียบตัวเรากับสิ่งสร้างอย่างจักรวาลเราก็เป็นเพียงเศษธุระ จุลภาคหนึ่ง แต่ด้วยความที่เราอาศัยอยู่บนโลก เราก็เลยคิดว่าโลกนี้กว้างใหญ่ วันหนึ่งที่มนุษย์เราสามารถเชื่อมโลกด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ โลกจึงดูเล็กลง เราจึงสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา เห็นแต่ความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่โลกนี้ยังมีผู้คนอีกมากมาย แล้วในความหลากหลายนั้นมีสิ่งดีงามเกิดขึ้นมาสม่ำเสมอ แม้จะเกิดขึ้นในมุมเล็ก ๆ การกระทำเล็ก ๆ ที่งดงามในนามของการให้ หากโลกนี้ไม่มีคนที่คิดให้และแบ่งปัน คงอยู่ยากมากขึ้นทุก ๆ วัน วันนี้เรามาลองมองดูความงามในมุมต่าง ๆ จากโลกนี้ แล้วถามตัวเองกลับว่า วันเวลาที่ผ่านมาเราได้ “ให้” อะไรกับผู้คนบนโลกนี้มาบ้าง ไม่ต้องให้อะไรที่ยิ่งใหญ่เพียงแค่ให้ “ใจ” ความยิ่งใหญ่ก็จะตามมา

            เรื่องราวแสนมหัศจรรย์นี้ เริ่มต้นขึ้นที่หนูน้อยวัยเพียง 5 ขวบ ชื่อ แคทเธอรีน คอมเมล เธอได้ดูสารคดีเกี่ยวกับทวีปแอฟริกาเรื่องหนึ่ง ในสารคดีกล่าวว่า ทุก 30 วินาทีจะมีเด็กคนหนึ่งตายเพราะโรคมาลาเรีย เพราะที่แอฟริกายากจนไม่มีเงินซื้อมุ้งกันยุงที่ชุกชุม จากนั้นเด็กอนุบาลตัวเล็ก ๆ ก็เริ่มต้นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ชนิดที่ใคร ๆ ก็คาดไม่ถึง โดยเธออดออมเงินค่าขนม แล้วขอให้แม่พาไปซื้อมุ้งที่แช่น้ำยากันยุง และให้แม่ช่วยหาทางส่งมุ้งไปที่แอฟริกา
           
แคทเธอรีน คอมเมล
กระทั่งผ่านไป 1 สัปดาห์เธอได้รับจดหมายขอบคุณจาก องค์กรการกุศล Nothing but net ที่จัดทำเรื่องส่งมุ้งไปให้เด็กแอฟริกาโดยเฉพาะ องค์กรการกุศลนี้บอกว่าเธอเป็นผู้บริจาคที่อายุน้อยที่สุด และถ้าบริจาคมุ้งครบ 10 หลังเธอจะได้รับใบประกาศเกียรติคุณ       
            ด้วยความคิดและหัวใจที่ยิ่งใหญ่เกินวัย แคทเธอรีนขอให้แม่ไปเปิดท้ายขายของกับเธอ เอาหนังสือเก่า ของเล่น เสื้อผ้าเก่ามาขาย เพื่อหาเงินไปซื้อมุ้งเพื่อบริจาค เธอคิดแบบเด็กๆ เพียงว่าทุกคนที่ซื้อของท้ายรถจากแม่ของเธอ ก็ควรจะได้ใบประกาศเกียรติคุณด้วยเช่นเดียวกับเธอ แล้วเธอก็เริ่มลงมือทำใบประกาศเกียรติคุณด้วยลายมือของเธอเอง ทุกใบมีตัวหนังสือที่เธอเขียนเองว่า ในนามของคุณ เราได้ซื้อมุ้ง 1 หลังส่งไปแอฟริกาในเวลาไม่นานนัก เธอก็ได้เงินครบพอซื้อมุ้ง 10 หลัง บริจาคให้องค์กร Nothing but net จากความตั้งใจและความเอื้ออาทรครั้งนี้ทำให้เธอได้รับแต่งตั้งเป็น ทูตแห่งมุ้ง”       
            ไม่เพียงเท่านี้ เพื่อนบ้านของเธอนอกจากซื้อมุ้งจากแคทเธอรีนแล้ว ยังช่วยเธอทำใบประกาศเกียรติคุณอีกด้วย ขณะเดียวกันบาทหลวงในชุมชนก็ได้เชิญเธอไปพูดในโบสถ์ ทำให้เธอได้เงินบริจาคมาอีก 800 เหรียญ หลังจากนั้นเธอก็เดินทางไปพูดที่โบสถ์อื่น ๆ กระทั่งเธออายุครบ 6 ขวบ เธอได้รับเงินบริจาคไปแล้วกว่า 6,316 เหรียญ       
            จากนั้นเธอก็ส่งใบประกาศเกียรติคุณให้เจ้าของไมโครซอฟท์ ในนั้นเธอเขียนว่า คุณบิลเกตที่เคารพ เด็กแอฟริกาไม่มีมุ้งและจะตายเพราะมาลาเรีย พวกเขาต้องการเงิน แต่เงินอยู่ที่คุณด้วยใบประกาศเกียรติคุณนั้น ทำให้มูลนิธิบิลเกตประกาศบริจาคเงิน 100 ล้านบาทให้ “Nothing but net” จากให้หนึ่งแตกหน่อออกดอกผลอย่างมากมาย
           
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ในอีกมุมหนึ่งของโลก กลางดึกของคืนวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา นักศึกษาสาวคนหนึ่งวัย 22 ปี ชื่อ ดอมินิก ฮาริสัน-เบนเซน ได้ไปงานปาร์ตี้ในเมืองเพรสตัน เมื่องานเลิก เธอจะขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้าน ตอนนั้นเองที่เธอทราบว่ากระเป๋าเงินของเธอหายไป เธอไม่มีเงินติดตัวเลย ดึกก็ดึก หนาวก็หนาว เธอยืนงง ๆ อยู่ไม่รู้จะทำอย่างไร และแล้วก็มีชายเร่ร่อนขอทานคนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้น ได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด ได้เดินเข้ามาหาเธอ หยิบยื่นเงิน 3 ปอนด์ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีอยู่แค่นั้น ให้เธอไปจนหมดเพื่อเธอจะได้กลับบ้านได้
            เธอประทับใจในน้ำใจของเขามาก หลังจากวันนั้น ดอมินิกพยายามสืบเสาะตามหาชายเร่ร่อนผู้ใจดี จนในที่สุดก็ได้พบและทราบชื่อว่า ร็อบบี้ และยังทราบด้วยว่า ร็อบบี้เร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัยมาได้เจ็ดเดือนแล้ว เขาไม่ได้ใจดีกับเธอเท่านั้น เวลาที่เขาพบกระเป๋าเงินของใครที่ทำหล่นหาย เขาก็พยายามหาเจ้าของและคืนกระเป๋าเงินให้เจ้าของ บ่อยครั้งเขาให้ยืมผ้าพันคอของเขาแก่ผู้ที่ยืนหนาวสั่นขณะรอรถเมล์
            ในอังกฤษ หากใครไม่มีที่อยู่อาศัย ก็ไม่มีบ้านเลขที่สำหรับการติดต่อ ก็ไม่สามารถหางานได้ ดอมินิกจึงเริ่มรณรงค์โดยอาศัยสื่อสังคมออนไลน์ ขอให้คนช่วยกันบริจาคคนละ 3 ปอนด์ (ประมาณเกือบ 150 บาท) เพื่อรวบรวมเงินไปซื้อบ้านหลังเล็กๆให้ร็อบบี้

            ทราบว่าตอนนี้เธอได้รับเงินบริจาคกว่า 9 พันปอนด์แล้ว และคงสามารถหาบ้านให้ร็อบบี้ได้ทันวันคริสต์มาส ก่อนที่อากาศจะหนาวเย็นมากไปกว่านี้ความงดงามยังเกิดขึ้นทุก ๆ วันบนโลกใบนี้  ( ต่อภาค 2 ในปีใหม่ครับ)

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

หลงลืม ลุ่มหลง

หลงลืม ลุ่มหลง
                นับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งของชีวิตที่มีผู้ใหญ่ใจดี มีอุปการคุณส่งข้าวสารมาให้เป็นประจำทุกเดือน ทำให้มีข้าวสวยหอมอร่อยรับประทาน แต่ด้วยความเร่งรีบผสมกับความรักสบายมากไปหน่อยกระมัง บ่อยไปก็ไม่ได้สนใจที่จะหุงข้าวสวยทาน มีไม่น้อยครั้งเลยที่เที่ยวหาของทานอย่างอื่นแทนข้าวสวย ถามว่าเบื่อข้าวสวยหรือ ก็ไม่ใช่นะ คงเป็นเพราะว่าทานอยู่เป็นประจำทุกมื้อทุกวันก็อาจจะรู้สึกเฉย ๆ กับข้าวสวย และพอได้ไปทานอาหารอะไรที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ เราก็อาจจะรู้สึกว่าอาหารนั้นมีคุณค่า น่าสนใจ และน่าให้ความสำคัญมากกว่า ถามว่าถ้าให้ทานอาหารแบบนั้นทุกมื้อเลยจะเอาไหม ก็คงไม่เอา ในขณะที่เราทานข้าวสวยธรรมดา ๆ ทุกมื้อทุกวัน เราก็หลงลืมความหอมอร่อย และคุณค่าของมันไป
ภาพ  :  อินเตอร์เน็ต
                ในชีวิตของคนเรานั้น บางทีก็มองข้ามความสำคัญของสิ่งที่มีอยู่กับเราไป ซึ่งหลายครั้งที่เรารู้สึกเฉย ๆ กับมัน อาจเป็นเพราะว่าสิ่งนั้นยังไม่เคยขาดหายไปจากชีวิตเรา ต่อเมื่อสิ่งนั้นขาดหายไปแล้ว เราจึงเริ่มมองเห็นความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ ในทางกลับกัน เราอาจจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ได้อยู่กับเราเป็นประจำ ด้วยความที่นาน ๆ เราไม่ได้พบเห็นสิ่งนั้นที  เราจึงเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของแปลกใหม่ และให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น ๆ อย่างมากมายจนกลายเป็นความลุ่มหลง
                ในยุคที่เรามักมีของใหม่ ๆ ให้ใช้สอยเพิ่มความสะดวกสบายได้อย่างทันใจ ทำให้หลงลืมสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายดายขึ้น มีความหน่ายเร็วเป็นอุปนิสัยใหม่เพิ่มเข้ามาในชีวิต ใช่หรือไม่เรามีเทคโนโลยีสื่อสาร โทรคุย แชทพิมพ์ผ่านตัวอักษรผ่านตัวสัญลักษณ์ ส่งผ่านไป ในหลายครั้งหลายหนเรามิได้ใส่หัวใจ  ใส่ความห่วงใยที่แท้จริงลงไปด้วย เมื่อบ่อยครั้งเข้าหัวใจที่ต้องสัมผัสด้วยหัวใจก็ลืมหายไปในอากาศเราลุ่มหลงวิธีการสื่อสารแบบใหม่จนหลงลืมการพบปะแบบเห็นหน้า การเยี่ยมเยียนกันถูกหมางเมินเพราะเพียงนึกถึง ก็ส่งผ่านคลื่นไปได้
                ใช่หรือไม่ หนุ่มสาวบางคนกำลังลุ่มหลงตกอยู่ในช่วงรักแรกแย้มงาม ทำทุกอย่างให้คนรัก แต่กลับหลงลืมคนที่รักเขาหรือเธอ ที่เฝ้าถนอมให้กำเนิดและเลี้ยงดูตนเองมาตั้งแต่เล็กจนโต คอยให้ความช่วยเหลือดูแลทุกอย่างมาโดยตลอด ซึ่งแน่นอนพ่อแม่ไม่ได้ต้องการให้หนุ่มสาวเหล่านั้นต้องมาดูแลทุกอย่าง แต่สิ่งที่พ่อแม่ปรารถนาคือการไม่หลงลืมคำสั่งสอน ไม่หลงลืมที่จะกลับมาหา เยี่ยมเยียนพวกท่านบ้างในบางโอกาส
                เป็นเรื่องจริงเลยทีเดียวที่เราถูกฝึกให้ตรงไปข้างหน้าสู่สิ่งที่เรียกว่า ความสำเร็จในชีวิตและความสำเร็จก็ทำให้เราหลงลืม ละเลยสิ่งรอบข้างไม่ได้พิถีพิถันในการใช้ชีวิตเท่าที่ควร มองข้ามและหลงลืมไปว่า บนถนนหนทางของชีวิตนั้น ไม่ได้ตัดเป็นเส้นตรงมุ่งสู่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว มีสิ่งอื่นอยู่ระหว่างทางก็มากมี ช้าบ้างและเสียเวลาหน่อย อ้อมสักนิด ก็ทำให้ชีวิตสำราญและมีความสุขมากขึ้นได้
ภาพ  :  อินเตอร์เน็ต
                หลายคนเลือกที่จะใช้เวลา เสียเวลา ให้เวลา ในแต่ละวันหมดไปเพื่อค้นหาหนทางลัดสู่ความสำเร็จ ความงามที่ผ่านทางกาลเวลา ผ่านทางผู้คน ผ่านทางความห่วงใยของบางคน กลายเป็นสิ่งไร้ค่า การที่จะก้าวขึ้นสูงโดยไม่ได้หัวใจของใครเลยจะมีความหมายอันใดเล่า??? มีแต่จะนำความทุกข์มาสู่หัวใจอันเดียวดาย อย่าลุ่มหลงความสุขชั่วขณะที่มาพร้อมกับความสำเร็จของชีวิต เพราะทุกครั้งที่ความสุขหมดลงความทุกข์ก็เข้ามาแทนที่ เป็นอยู่อย่างนี้ วนเวียน ไม่รู้จบ             บางครั้ง เมื่อเราทุกข์ท้อใจมาก ๆ กับปัญหาในชีวิต เราก็คิดถึงบางคน ปรารถนาที่จะให้ใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน ต้องการกำลังใจพลังใจจากการเยี่ยมเยียนของมิตรสหาย ในขณะเดียวกันเราก็ควรที่จะต้องคำนึงถึงว่าในบรรดาญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ที่ผ่านเข้ามาบนหนทางชีวิตนั้น ต้องมีสักครั้งที่พวกเขาต้องพบเจอกับความทุกข์ หากเราใส่ใจต่อกัน ช่วยเหลือกันยามทุกข์ท้อ ความงามแห่งการให้ ความหวังของผู้คนย่อมได้รับการเติมเต็ม

                บางทีมนุษย์เราก็หลงลืมไปว่า หน้าที่หลักที่แท้จริงของเรานั้นคืออะไรการที่เราทำงานหาเงิน หาเลี้ยงชีพ มุ่งมั่นสร้างความสำเร็จ ความร่ำรวย ความมีชื่อเสียงให้กับตัวเองนั้น เป็นเพียงหน้าที่รองทั้งสิ้นแต่เรากลับใช้เวลาส่วนใหญ่ลุ่มหลงไปกับสิ่งเหล่านี้ จนเข้าใจผิดคิดว่ามันคือ หน้าที่หลักของชีวิต เรากำลังหลงทางและปล่อยให้ชีวิตตัวเอง ต้องไล่ล่าอยู่กับสิ่งภายนอกโดยไม่สิ้นสุด เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งเติมเต็มให้ชีวิตเรานั้นสมบูรณ์ได้ ซึ่งเป็นเพียงความลุ่มหลงทั้งสิ้น ช่วงเวลาปลายปีแบบนี้เป็นโอกาสที่เราจะหันมาสำรวจตรวจสอบ เพื่อให้ชีวิตของเราหลุดพ้นจากความลุ่มหลงโดยไม่หลงลืม สิ่งที่มีค่าที่อยู่กับเราในทุก ๆ วัน แล้วความชื่นชมยินดีจะมีขึ้นในชีวิตเราตลอดไป...

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มากกว่าคำพูด

มากกว่าคำพูด
            คำพูดคือ สิ่งมหัศจรรย์หนึ่งของสิ่งสร้างเล็ก ๆ อย่างมนุษย์เรา คำพูดนอกจากจะใช้เพื่อการสื่อสารแล้ว ยังเป็นเหมือนอาวุธที่คมกริบใช้เชือดเฉือนผู้คน ใช้เพื่อเสริมสร้างคนให้กลายเป็นคนยิ่งใหญ่ได้  ในโลกนี้ทุกสิ่งย่อมมี 2 ด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ด้านไหน ส่วนมากแล้วเรามักใช้ด้านร้ายมากกว่าด้านดี ไม่เว้นแม้กระทั่งคำพูด ใกล้เวลาสิ้นปีมาทุกขณะ ชีวิตก็ยังดำเนินต่อไป ในแต่ละวันผ่านพ้นจะมีสักกี่คนที่ได้รับของขวัญอันล้ำค่า ของขวัญที่ส่งเสริมให้ชีวิตก้าวผ่านไปอย่างงดงาม ในนามของการ “ให้” เพียงคำพูดไม่กี่คำที่อาจจะสร้างหัวใจอันยิ่งใหญ่ให้ใครบางคนได้
ภาพ  : อินเตอร์เน็ต
            ครั้งแรกในการเข้าร่วมการประชุมผู้ปกครอง คุณครูชั้นอนุบาลพูดว่า “ลูกชายของคุณเป็นโรคอยู่ไม่สุข ไม่สามารถนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้ แม้เพียงสามนาที คุณควรพาไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาล”
            ตอนเดินทางกลับบ้าน ลูกชายถามเธอว่า คุณครูพูดอะไรบ้าง เธอเจ็บปวดหัวใจ น้ำตาแทบจะไหลรินออกมา เพราะว่าในบรรดาเด็กทั้งห้องลูกเธอแย่ที่สุดคุณครูแสดงออกถึงความดูแคลน แต่เธอยังคงบอกกับลูกชายว่า
            “คุณครูชื่นชมเธอ บอกว่าเดิมทีเธอไม่สามารถนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้แม้แต่นาทีเดียว ตอนนี้สามารถนั่งได้สามนาทีแล้ว ส่วนคุณแม่คนอื่นๆ ต่างก็อิจฉาแม่ เพราะว่า ทั้งห้องมีลูกเพียงคนเดียว ที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น”
            ค่ำวันนั้น ลูกชายของเธอกินข้าวหมดสองถ้วย ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งไม่ต้องให้เธอป้อน
            ต่อมาเมื่อลูกชายขึ้นชั้นประถมแล้ว ในการประชุมผู้ปกครอง คุณครูพูดว่า......
            “นักเรียนทั้งชั้นห้าสิบคน ผลการสอบคณิตศาสตร์ครั้งนี้ ลูกชายของคุณได้อันดับที่สี่สิบ พวกเราสงสัยว่า สติปัญญาของเขาอาจจะมีปัญหา คุณควรพาเขาไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาลบ้าง”
            ระหว่างเดินทางกลับบ้าน น้ำตาเธอไหลรินออกมา เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว เธอพูดกับลูกชายว่า “คุณครูเชื่อมั่นในตัวเธอมาก เขาบอกว่า เธอไม่ใช่เด็กที่โง่เขลา ขอเพียงแต่เพิ่มความละเอียดรอบคอบให้มากขึ้น ก็จะเหนือกว่าคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับเธอ เพราะครั้งนี้ เขาสอบได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ด”
         
ภาพ  : อินเตอร์เน็ต
   ตอนที่เธอพูดคำพูดเหล่านี้ เธอเห็นดวงตาของลูกชาย ค่อย ๆ เปล่งประกายขึ้น ใบหน้าที่เศร้าสร้อยเมื่อครู่ก็ร่าเริงขึ้นมาทันที อีกทั้งลูกชายก็อ่อนโยนจนทำให้เธอตกใจ คล้ายดั่งเขาได้เติบใหญ่ขึ้นมากในทันที วันรุ่งขึ้นก็ไปโรงเรียนเช้ากว่าปกติ                                      
เมื่อลูกชายขึ้นชั้นมัธยมต้น เป็นอีกครั้งของการประชุมผู้ปกครอง เธอนั่งรอคอยคุณครูขานชื่อของลูกชายเธอ เพราะว่าการประชุมผู้ปกครองทุกครั้งที่ผ่านมา รายชื่อของนักเรียนที่มีผลการเรียนย่ำแย่ จะมีรายชื่อของลูกชายเธอทุกครั้ง แต่ครั้งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเธอ จวบจนสิ้นสุดก็ไม่ได้ยินชื่อของลูกชายเธอ ก่อนกลับจึงไปถามคุณครู คุณครูบอกกับเธอว่า
            “ดูจากผลการเรียนของลูกคุณแล้ว หากไปสอบเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง ยังพอมีความเสี่ยงอยู่ ”
            เธอเดินออกจากโรงเรียนด้วยความดีใจ ยามนี้เธอเห็นลูกชายยืนรอคอยเธออยู่ ระหว่างทางเธอจับไหล่ของลูกชาย ภายในจิตใจรู้สึกหวานชื่นยิ่ง เธอบอกกับลูกชายว่า
            “คุณครูประจำชั้น พอใจในตัวเธอมาก เขาบอกแล้วว่า ขอเพียงลูกมีความพยายามก็จะมีหวังยิ่งขึ้น ที่จะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียง ”
            จบมัธยมปลายแล้ว รายชื่อนักเรียนชุดแรกที่ทางมหาวิทยาลัยได้แจ้งผลการสอบผู้คัดเลือกได้ เธอมีลางสังหรณ์ว่า ลูกชายของเธอจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแน่ เพราะว่าตอนที่ไปสมัครสอบเธอได้พูดกับลูกชายว่า เธอเชื่อและมั่นใจว่า เขาต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้แน่นอน ลูกชายนำจดหมายที่มีตราประทับ จากสำนักงานของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังยื่นให้เธอ จากนั้นร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง ร้องไปก็พูดไปว่า
            “แม่ครับผมรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กที่เฉลียวฉลาด แต่บนโลกนี้ มีเพียงแม่ที่ชื่นชมผม.........Page : เรื่องดี ๆ มีข้อคิด

            เธอสุดแสนดีใจ จนไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่อัดอั้นมาสิบกว่าปีอีกต่อไปได้ จึงปล่อยให้ไหลรินร่วงลงมา คำพูดที่ให้กำลังใจ สามารถแปรเปลี่ยนทัศนคติ และพฤติกรรมของคนคนหนึ่งได้ หรือแม้กระทั่งแปรเปลี่ยนโชคชะตาของคนคนหนึ่ง คำพูดร้าย ๆ ก็ทิ่มแทงหัวใจและร่างกายของคนคนหนึ่งจนบาดเจ็บชอกช้ำได้ สามร้อยกว่าวันที่ผ่านมา คำพูดของเราสร้างหรือทำลายผู้คน แบบไหนเล่าที่มากกว่ากัน....

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สายลมที่ไม่หวนคืน

สายลมที่ไม่หวนคืน
            ภาพผู้หญิงสูงอายุที่ปรากฏบนกระจกมองหลัง เป็นภาพที่ทำให้เกิดความรู้สึกหลายอย่างหลายสิ่งวิ่งออกมาจากความทรงจำ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน คือ “แม่” หลังจากพามาพบหมอเพื่อตรวจเช็คโรคประจำตัว โรคที่ทำให้แม่โรยราไปมาก ขณะขับรถเพื่อไปส่งแม่ แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น รถราติดเป็นแถวยาว แม้กระทั่งบนทางด่วน พูดคุยกันในหลายเรื่อง หลายจังหวะแม่นั่งเหม่อมองออกไปข้างนอก ทำให้ยิ่งคิดถึง "พ่อ" ผู้จากแม่ไปในหลายปีที่ผ่านมา แม่จึงเหงาลงไปมาก และเริ่มมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ หลายครั้งหลายหนบนรถนั้นแม่ก็ถามเรื่องนี้เรื่องนั้นซ้ำไปซ้ำมา แม้จะหงุดหงิด แต่เมื่อมองเห็นแม่ผ่านกระจกหลัง ยิ่งย้อนกลับไปวันที่พ่อและแม่ตรากตรำทำงานหนักเพื่อลูก ๆ แต่พวกท่านก็ไม่เคยบ่น แล้วสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้มันยังไม่ถึงหนึ่งในร้อยเลย
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            สายลมมักพัดผ่านเลยไปมิอาจหวนคืน แต่ก็มักมีสายลมลูกใหม่ ๆ เท่านั้นที่จะพัดมาอีกครั้ง บ่อยไปที่เราต้องทำให้พ่อแม่โกรธ โมโห หงุดหงิด แต่ทั้งชีวิตท่านกลับมีแต่มอบสิ่งดี ๆ ให้เรา บ่อยครั้งเรากลับมองไม่เห็น ทำให้นึกถึงบทความเรื่องหนึ่งที่เคยอ่าน เขียนไว้อย่างซาบซึ้งและย้ำเตือนว่าเราอย่าได้ละเลย ผู้ที่อยู่เบื้องหลังชีวิตเรา เพราะหากเราไม่ทำให้พวกท่านในวันนี้ วันข้างหน้าจะมานั่งเสียใจก็จะไร้ประโยชน์
            ชายหนุ่มคนหนึ่งจะเรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้ว เขาคิดอยากได้รถคันใหม่เป็นของขวัญ พ่อของเขาก็ได้พาเขาตระเวนดูรถหลายรุ่นหลายยี่ห้อ หลายบริษัทด้วยความอดทน
            จบจากพิธีสำเร็จการศึกษา ทั้งครอบครัวกลับมาถึงบ้าน ภายในใจเขา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นรถใหม่ที่เขาชื่นชอบ จอดอยู่หน้าบ้าน ทว่า..ไม่เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ไม่มีวี่แววอะไรเลย เห็นเพียงแต่พ่อของเขาออกมาจากห้องหนังสือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในมือถือพระคัมภีร์ไว้หนึ่งเล่ม บอกกับเขาว่า
            “ลูกเอ๋ย..พ่อดีใจมาก ที่ลูกเรียนจบแล้ว”
            ยามนั้น อารมณ์โมโห แทบเหมือนดั่งไฟผุดมาจากนรก ได้ครอบงำลูกชายคนนี้ เขาไม่คาดคิดว่า คุณพ่อที่ตนเองเคารพรัก จะเป็นผู้ที่ไร้สาระและไร้ยางอายถึงเพียงนี้ เขา..ก็ไม่ได้พูดอะไรหันหลังแล้วก็เดินจากไป การจากไปในครั้งนี้เป็นการจากไปถึงสามสิบกว่าปี
            ในพิธีฝังศพของคุณพ่อของเขา ลูกชายคนนี้ก็กลับมาจนได้ เขามองดู ตาแก่ที่ไร้ยางอายถูกฝัง เขาประคองคุณแม่ที่เสียใจ กลับมาถึงบ้าน ยามที่เขาเข้าไปที่ห้องของตนเองในอดีต มองดูทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนไม่เปลี่ยนแปลงไปจากตอนที่เขายังเด็กอยู่เลย
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

            ทว่า..บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขา วางพระคัมภีร์ไว้เล่มหนึ่ง เล่มที่ทำให้ความหวังของเขาแตกสลายจนหมดสิ้น ของขวัญสำเร็จการศึกษา เวลานี้ อารมณ์ความรู้สึกที่เขามีต่อคุณพ่อสับสนมาก ทว่า ความโมโหในอดีต ตอนนี้ก็ดับมอดไปมากแล้ว เขานั่งลง เริ่มเปิดของขวัญที่เขาปฏิเสธ เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน เห็นด้านในพระคัมภีร์ มีลายมือของคุณพ่อ
            “มอบแด่ลูกชายสุดที่รักจากใจ หวังว่าลูกจะบินสูงเหมือนดั่งนกอินทรีย์ แม้นจะวิ่งกลับก็ไม่เหนื่อย เดินก็ไม่เมื่อยล้า
            เขา..เปิดไปอีกทีละหน้า ๆ และแล้วที่ปรากฏต่อสายตาเขาคือ เช็คใบหนึ่งที่กลายเป็นสีเหลือง ยอดเงินบนนั้น ตรงกับราคารถที่เขาได้ไปดูไว้ อีกทั้งวันที่ก็ตรงกับวันที่เขาจบการศึกษา อาการช็อกของเขายากที่จะบรรยายเป็นตัวหนังสือได้ ความสำนึกผิดของเขา ก็ไม่สามารถใช้การกระทำใด ๆ มาลดหย่อนให้เบาบางลงได้ เป็นเพราะความคิดโง่เขลาในตอนวัยหนุ่ม ทำให้เขาสูญเสียความรักอันล้ำค่า ระหว่างพ่อกับลูกไป
            อีกทั้งที่แปลกประหลาดก็คือ...สามสิบกว่าปีที่ยาวนานนี้ เขาไม่เคยที่จะคิดเลยว่า การตัดสินใจในครั้งนั้น อาจจะเป็นความผิดพลาด อารมณ์โมโหจากความผิดหวัง ทำให้เขาหน้ามืดตามัว เชื่อในคำโกหกที่ร้ายแรงสุดๆว่า...คุณพ่อที่รักเขามาสิบแปดปี จะกลายเป็นปิศาจร้ายที่น่ากลัวเพียงชั่วข้ามคืน(จาก Page เรื่องดีๆมีข้อคิด)
            ใช่หรือไม่ คงไม่ใช่ชายคนนั้นเพียงคนเดียว ที่ตกลงไปในหลุมพรางนี้ ในชีวิตนี้ มีกี่ครั้งกี่หน ที่เราใช้ความผิดพลาดจากจริตโมโห จากไฟโกรธที่เผาไหม้เพียงชั่วครู่ แล้วกระทำในสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ไปตลอดชีวิต หลายคนโชคร้ายที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่คอยดูแล แต่ที่แย่กว่าคือคนที่มีพ่อแม่แต่กลับรำคาญ หงุดหงิด และไม่เคยมองเห็นหัวอกของความเป็นพ่อเป็นแม่เลย แน่ล่ะ คนเราย่อมโมโห โกรธ หงุดหงิด ได้ แต่ต้องไม่จมอยู่กับสิ่งเหล่านั้นจนปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างที่ล้ำค่าหลุดลอยหายไป จนไม่มีวันที่จะเรียกกลับคืนมา ไม่แน่ว่า สายลมหนาวอาจจะไม่หวนมาในปีนี้ก็ได้....