วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563

คนชอบทำ

 

คนชอบทำ

สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คงยังร้ายแรงอยู่ หลายประเทศมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากขึ้นในทุก ๆ วัน ในประเทศสหรัฐอเมริกาเสียชีวิตไปกว่าสองแสน ในยุโรป เริ่มอาการหนักหน่วงขึ้น ฝรั่งเศส อังกฤษ เริ่มเคร่งครัดและอาจจะเริ่มปิดเมืองกันอีกรอบ ประเทศเพื่อนบ้าน รอบ ๆ เมืองเราก็อยู่ในช่วงสาหัส ดูแล้วโควิด-19 คงไม่จากโลกนี้ไปง่าย ๆ  ประเทศไทยเราควรต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เพราะมันอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก อย่าประมาทคิดจะรอดปลอดภัยตลอดไป ป้องกันตัวไว้ดีกว่า แต่ละคนต้องช่วยกันทำจริง ๆ จัง ๆ อย่าปล่อยให้คนอื่นหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคนทำไปแต่ฝ่ายเดียว ใคร ๆ ก็รู้ว่า โควิด-19 ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ที่จะติดเชื้อได้ทุกเมื่อ ยิ่งมองเห็นหลายคนที่พยายามทำเพื่อป้องกันแต่ไม่ได้รับความร่วมมือก็เริ่มท้อเริ่มถอย ด้วยเพราะมีหลายคนไม่ใส่ใจ เอาแต่ใจ สะใจตัวเองกันอย่างเดียว หลายคนที่พยายามทำหรือช่วยให้คนอื่นอยู่ในมาตรการรักษาความปลอดเชื้อกลับถูกหยามเกียรติ ถูกบ่นถูกกล่าวว่า เริ่มหมดกำลังใจ สังคมไทยมักเป็นแบบนี้ เรามักง่าย เราเห็นแก่ตัวกันเกินไป ถ้าหากเรายังไม่ร่วมมือกัน โอกาสที่จะเกิดการระบาดอย่างหนักก็มีสูง...

ภาพ : อินเทอร์เน็ต

ในช่วงวิกฤติโควิดนี้ มีคนไม่น้อยที่มักชอบจะทำอะไรแบบเงียบ ๆ ทำในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวม และพร้อมที่จะถอยออกมา ถ้าเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นไร้ประโยชน์หรือสร้างปัญหา ซ้ำร้ายหลายคนพบเจอปัญหาที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือ ความเข้าใจผิดที่มีบางคนคิดว่า สิ่งที่เราทำนั้นต้องการอยากเด่น อยากดัง อยากโชว์ โดยที่มิได้มองให้ลึกลงไปถึงความตั้งใจจริง เห็นกันเพียงว่าจะมาเด่นมาดังกว่ากันไม่ได้ จึงกดดัน กีดกัน มีไม่น้อยจึงถอยกลับ หันหลังเดินออกมาจากตรงจุดนั้น แล้วไปทำสิ่งที่ดีงาม ในสถานที่อื่น ในที่ ๆ มีคนพร้อมน้อมรับ ในบางครั้งมีบ้างที่เราทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยใจบริสุทธิ์ แต่กลับถูกมองว่าทำเกินหน้าที่ ทำเกินขอบเขต ถ้าเป็นเช่นนี้ เมื่อรับรู้ว่าทำให้คนอื่นคิดมาก ทำให้ผู้อื่นเข้าใจเจตนาเราผิดไป ก็แค่หยุดทำ มีสิ่งอื่นที่อื่นให้เราทำอีกมากมายในโลกใบนี้ คนที่ปฎิบัติแบบนี้ได้ ย่อมเป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนพลังจิตใจมาพอสมควร เพราะสิ่งที่ทำไปนั้น เขามิได้เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มีผลที่จะก่อเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมต่างหากเป็นเป้าหมายปลายทาง

ภาพ : อินเทอร์เน็ต

ในชีวิตจริงบางช่วงจังหวะ บางเวลา บางอารามณ์อาจจะไม่เข้าใจ อาจจะรู้สึกหงุดหงิดว่าอะไรกัน? ทำไมต้องคิดกันไปไกลขนาดนั้น? หากเราเติบโตพอที่จะเข้าใจโลกเข้าใจคน เราก็จะทำเหมือนคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าที่ตรัสกับศิษย์ไว้ว่า “ถ้าเขาไม่ต้อนรับท่าน จงออกจากเมืองนั้นและสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานกล่าวโทษเขา” ( ลก9: 6 ) คำสอนนี้เป็นปัจจุบันเสมอ ใครไม่เข้าใจ ใครไม่ใคร่ให้เราทำสิ่งที่มีประโยชน์ก็อย่าได้ดันทุรังทำ เดินออกมาแล้วไปทำให้กับคนที่เขาต้องการ โลกนี้ยังกว้างพอที่จะให้เราเติมความดีลงไป เป็นการปล่อยวางตัวตน ไม่ยึดติด และเราจะเป็นคนเช่นนี้ได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเอง อยู่กับความเงียบให้เป็น สวดภาวนาของพระจิตนำทาง และเมื่อถึงจังหวะหนึ่งสิ่งดีที่เราทำย่อมเกิดดอกออกผลในตัวมันเองอย่างแน่นอน รางวัลของเรา คือ ความสุขใจที่ได้เห็นผลเหล่านั้นมิใช่หรือ??? คุณค่าทางจิตใจมีค่ามากกว่ามูลค่า

ภาพ : อินเทอร์เน็ต

ปล่อยให้ตัวเองได้อยู่เงียบ ๆ บ้าง ได้ฟังเสียงความคิด ฟังเสียงของหัวใจของตัวเอง การที่เปิดโอกาสให้เห็นมุมที่อ่อนแอและรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง  จะทำให้เราสามารถจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้ได้เร็วยิ่งขึ้น ในสังคมวันนี้เราจึงเห็นคนที่มักรับปากไว้ก่อนที่จะลงมือเพื่อให้ได้หน้าได้ตา มักเป็นคนที่ไม่คิดก่อนทำ ส่วนคนที่รอบคอบสักหน่อยจะคิดก่อนทำ ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่กล้ารับปาก ขอลองทำก่อนลงมือ เราจึงมักเห็นคนสองประเภทนี้เสมอในทุกสังคมแต่ก็แปลก!!! คนที่มักได้รับการยอมรับมักเป็นคนประเภทแรก เหมือนว่ามีน้ำใจงาม รับปากทุกเรื่อง เอาเข้าจริงทำแล้วก็ส่งผลกระทบไปทั่ว มนุษย์มักมองเห็นด้วยตาเท่านั้น

ในเวลาเช่นนี้ ในช่วงที่เรากำลังหวาดวิตก หากเกิดการระบาดที่ร้ายแรงขึ้นอีกครั้ง เราจะรอดปลอดภัยหรือเปล่า? หากเราก้าวเดินหน้าไป ทำในสิ่งดีก็อย่าได้วิตกกังวล บางทีโรคโควิด-19 ก็ยังคงอยากจะสอนเราอีกว่า ลดลงตัวตนกันให้มากกว่านี้ ลดความเห็นแก่ตัว ในลดทิฐิ ลดการอวดเก่ง ชอบโชว์ แล้วหันมาทำความดีกันจริง ๆ จัง ๆ มิใช่แต่เพียงทำด้วยปาก แต่ต้องทำด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ ในสวนองุ่นที่พระเจ้าส่งเรามาอยู่นี้...

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2563

เส้นบาง ๆ

 

เส้นบาง ๆ

ถึงแม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จะยังคงทวีความร้ายแรงขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ การแก้ปัญหานี้จะมัวแต่รอคอยแต่วัคซีนอย่างเดียวคงไม่ได้ผลมากนัก ความมีวินัย ความร่วมมือร่วมใจ ใส่ใจตัวเองและผู้อื่น คือ หนทางที่พอจะเยียวยาได้ในวิกฤตนี้ และดูเหมือนว่ามนุษย์โลกเริ่มจะชิน เริ่มคุ้นเคยกับโควิด-19 และวิถีทางใหม่มากขึ้น จนอยู่ร่วมกันกับมันได้พอสมควร ความหวาดกลัวค่อย ๆ จางหายไป เราปรับตัวเพื่ออยู่ด้วยกัน การแก้ไขปัญหาก็ คือ การรู้จักปรับตัวให้กลมกลืนกับปัญหานั่นเอง

ในทุกนาทีโลก คนทุกคน ต่างต้องผจญประสบกับปัญหา ในยุคที่มีโซเชียลครองเมือง เราจึงเห็นปัญหาของคนนั้นคนนี้ บางทีมีจนล้นจอ สิ่งหนึ่งที่เห็นจะมีผู้รู้เกิดขึ้นมามากมาย ที่เข้าไปแสดงความคิดเห็น ซึ่งบางทีก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะหลายครั้งปัญหาที่แท้จริง เราเท่านั้นที่รู้สาเหตุ เราเท่านั้นที่รู้ดี บ่อยไปที่เราไปเอาวิธีการของคนอื่น หรือเอาคำแนะนำของคนอื่นมาใช้ อาจจะได้ผลบ้าง หรือบางทีก็เกิดปัญหาอย่างอื่นตามมา เสียเวลา เสียทรัพยากรไปเปล่า ๆ เพราะปัญหาบางอย่างมิใช่ต้องใช้คนเก่ง ความรู้อะไรเลย แต่ใช้หัวจิตหัวใจ และความเรียบง่าย การมีหัวใจเข้มแข็งพร้อมรับแรงกระแทกในหนทางที่เดินไปให้เป็นต่างหาก คือ สิ่งที่จะทำให้เราก้าวผ่านไปได้ และภายหลังเมื่อเราเหลียวมองกลับไป ปัญหาที่ใหญ่วันนั้น มันกลายเป็นเรื่องขี้ผงในวันนี้

ในชีวิตคนเรามักพบเจออุปสรรค ปัญหามากน้อยแตกต่างกัน อาจจะเกิดจากตัวเราเองและคนอื่น แต่ละคนก็มีวิธีที่จะแก้ปัญหา ตามสภาพแวดล้อมของตัวเอง คนที่มีความรู้สูง ก็มักจะใช้ตรรกะ เหตุผลกลไกจากการศึกษามาปรับใช้ คนที่มีประสบการณ์มากก็จะนำมากลั่นกรอง ตรองเอาไปใช้แก้ปม แก้เงื่อน หลากหลายกันไป คนที่หนักแน่นย่อมไม่ยอมแพ้ แก้ครั้งหนึ่งไม่ได้ก็ต้องแก้ต่อไป และบางทีปัญหามันใกล้เราจนเรามองไม่เห็น แต่คนอื่น กลับมองมาเห็น ผู้ที่ฉลาดเฉลียวและอ่อนน้อมมักจะใช้วิธีการที่ผสมผสาน คนที่ดื้อรั้นบางทีก็อาจจะจมปลักกับปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่า ทิ้งซากไว้ให้มันทับถมกันไปเรื่อย ๆ หลายคนเรียนรู้ว่า ปัญหามาปัญญาเกิด เปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นอุปกรณ์ และไม่มีวิธีการใดวิธีการหนึ่งตายตัวในการแก้ไขในหนทางชีวิตนี้ ปรับตัว ปรับใจ ยอมรับ น้อมรับ คือสิ่งที่จะสู้ในทุกปัญหา

 เจ้าของบริษัทผลิตยาสีฟันแห่งหนึ่ง ประสบปัญหาที่น่าปวดหัวที่โรงงานผลิต เพราะยาสีฟันจำนวนหนึ่งที่ออกมาจากโรงงานไปถึงลูกค้า บางกล่องมีเป็นกล่องเปล่า ไม่มีหลอดยาสีฟันอยู่ข้างใน เขาจึงไปปรึกษาฝ่ายวิศวกรของโรงงานก็ได้ข้อสรุปว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่ระบบสายพานที่มีความเร็วสูง จะไม่มีกล่องเปล่าหลุดออกมา


เจ้าของจึงตัดสินใจลงทุนหลายสิบล้าน เพื่อซื้อเครื่องติดตั้งระบบ เป็นเครื่องชั่งความเร็วสูงไว้ที่ปลายสายพาน เพราะระบบสายพานมีความเร็วสูงมาก เครื่องชั่งปกติไม่สามารถชั่งน้ำหนักได้ทัน แต่สำหรับเครื่องนี้ถ้ามีกล่องเปล่าหลุดมา สายพานจะหยุด และให้คนงานมาเก็บกล่อง แล้วกดปุ่มreset ทำงานต่อ เขารู้สึกพอใจมาก หนึ่งเดือนต่อมา เขาได้รับรายงานว่า เครื่องชั่งสุดไฮเทคนี้ ไม่เคยพบกล่องเปล่าอีกเลย เขาจึงเข้าไปตรวจดูด้วยความภาคภูมิใจในการแก้ไขปัญหา แต่....เขากลับพบพัดลมตัวเล็ก ๆ วางอยู่ที่ใกล้ ๆ เครื่องชั่งราคาแสนแพง เขาถามเด็กคนงานว่า “เอาพัดลมมาตั้งทำอะไร???”

เด็กตอบว่า “ผมใช้พัดลมตัวนี้ เป่ากล่องเปล่า ลงในตะกร้าครับ เพราะว่าถ้ามีกล่องเปล่าผ่านเข้าเครื่องชั่งสุดไฮเทคตัวนี้ไป สายพานจะหยุดการทำงาน แล้วผมก็ต้องเดินไปกดปุ่มเริ่มต้นใหม่ มันเสียเวลาเปล่าน่ะครับเขาอึ้งไปเลย เขาเพิ่งจัดการกับเส้นผมที่บังภูเขาด้วยเงินหลายสิบล้าน

เป็นเรื่องที่แต่งเติมกันขึ้นมา เพื่อเปรียบเทียบการแก้ปัญหา ที่อาจจะเป็นเพียงแค่เส้นบาง ๆ แต่หลายคนคิดแก้ปัญหาด้วยความคิดและความรู้เยอะของตัวเอง โดยมิได้ฟังหรือเรียนรู้ที่จะลองแก้ขึ้นจากสิ่งที่เรียบง่ายก่อน จากปัญหาเล็กกลายเป็นปัญหาใหญ่ คนเก่งที่แท้จริง คือคนที่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมาย โลกนี้มีความรู้เยอะมีคนเก่งมาก แต่บางทีก็ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาในโลกหมดไปได้ ซ้ำร้ายยังพบปัญหาใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน ใช่หรือไม่ หากเราต้องการสันติเราต้องเรียนรู้ความสงบ หากเราจะแก้ปัญหาได้เราก็แค่ปรับตัวหาวิธีการที่ให้เข้าใจปัญหาโดยบางครั้งไม่ต้องใช้หลักการอันใดเลย ในชีวิตจริง วิชาการที่แกร่งก็ไม่เท่ากับการมีจิตวิญญาณที่แข็งแรง...

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2563

เจ้าชิงช้า

 

เจ้าชิงช้า

วันหยุดชดเชยที่ภาครัฐจัดให้มีในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนหลายครอบครัวถือโอกาสออกจากเมืองหาที่พักผ่อนเพื่อให้คลายจากการถูกตีกรอบด้วยวินัยและพื้นที่จากมาตรการป้องกันโรคโควิด -19 กันอย่างเนื่องแน่น แม้ว่าบางที่ที่ไปพักยังต้องปฏิบัติตามวินัยอย่าเคร่งครัดอยู่ เพราะหลายประเทศรอบบ้านเมืองเรา สถานการณ์ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ได้ออกจากที่เดิม ๆ บ้าง ได้เห็นโลกที่ต่างมุม ได้สูดบรรยากาศที่สดชื่น ได้รื่นรมย์กับธรรมชาติ ใช่หรือไม่ ชีวิตคนเราจะอย่างไรเสียก็ยังต้องพึ่งพาธรรมชาติปลอบประโลมและเยียวยาต่อลมหายใจให้ยืนยาวขึ้นอยู่ดี แม้เราจะสร้างตึกรามบ้านช่องสร้างเมืองกันไว้อย่างสวยงามและยิ่งใหญ่ เอาเข้าจริง...ใครเล่าจะละทิ้งสิ่งสร้างตามธรรมชาติอันสวยงามได้ ยิ่งธรรมชาติหลังจากมีเวลาพักฟื้นฟูตัวเองจากการไม่มีมนุษย์เข้าไปรุกราน ยิ่งมีความงามกลับมาตามเดิม จนอดที่เรา ๆ ท่าน ๆ จะต้องกลับไปชื่นชมไม่ได้ สิ่งที่น่าระวังสักหน่อย คือ ระหว่างชื่นชมกับรุกรานนั้นห่างกันไม่มากนัก!!!....


ใต้ต้นไทรงามยามสาย ต้นที่ดูยิ่งใหญ่ แต่อ่อนโยนด้วยสายไทรที่พลิ้วไหวตามแรงลม ริมแม่น้ำบางปะกง เก้าอี้กึ่งนั่งกึ่งนอนพอที่จะแหงนหน้ารับแสงแดดที่ลอดแหวกใบไม้ สาดส่องลงมา  แสงแวววับเป็นจังหวะตามคลื่นลมพัดผ่าน ใบไม้บางใบที่ถึงกาลเวลาก็ปลิดปลิวร่วงหล่นลงมายังเก้าอี้ที่ใช้พักเอน บางใบหล่นมาบนตัวพอให้ได้กลิ่นยาง บางจังหวะมีเสียงลมกระทบกิ่งก้านพอให้ได้เคลิ้มฝัน นี่จึงเป็นเวลาที่แนบชิดสนิทกับสิ่งสร้าง เป็นเวลาที่จะนิ่ง เงียบ ฟังเสียงที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวัน จากที่มีแต่เสียงเครื่องยนต์ เสียงผู้คน เสียงดนตรีสังเคราะห์ เป็นเวลาเหมาะที่ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในสันติสุขใต้ร่มไม้ใหญ่ แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก อย่างน้อยก็พลอยได้ฟื้นฟูให้จิตใจเห็นความงามตรงหน้า เห็นการเอื้ออาทร เห็นห่วงโซ่แห่งการเกื้อกูลกันของสรรพสิ่ง


ไม่ห่างกันมากนักใต้ต้นไทรใหญ่นี้ยังมี “ชิงช้า” ใหญ่แขวนอยู่ กำลังรอคอยใครสักคนมานั่งแกว่งไกว ชิงช้าค่อย ๆ เคลื่อนเลื่อนลอยตามแรงผลัก ความงามอยู่ที่การค่อย ๆ โยนไปหน้าโอนไปหลัง แกว่งแรงก็โยกย้ายแรง แล้วไม่นานก็จะค่อย ๆ ช้าลง รอแรงดันแรงผลักครั้งต่อไป แล้วก็ชิงกลับมาช้าใหม่ หากชีวิตเราดำเนินตามรอยชิงช้าบ้างก็จะดีไม่น้อย เพราะโลกวันนี้เราเห็นแต่การชิงดีชิงเด่น ชิงเก่งชิงโก้ ชิงเร็วชิงไว ใครเร็วกว่าคนนั้น คือ คนที่ประสบความสำเร็จ การแย่งชิง แข่งขันเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่คนยุคนี้ต้องมี  เราทุกคนตกหลุมพราง จึงแสวงหาในสิ่งไร้คุณค่า ด้วยการสะสมมูลค่า เราสร้างตัวตนจนหลงลืมคนรอบข้าง เรามุ่งหน้าไปให้เร็ว ใครช้าถูกทิ้งขว้าง เพื่อไปคว้าชัยคว้าชื่อมาประดับไว้เป็นที่ต้น ๆ ของทุกเรื่อง แล้วก็มาวางมาดวาดท่าเขื่องใส่กัน เมื่อได้มีชื่อเสียงมีคนยกยอ ใครจะพูดใครจะเสนอก็ไม่ฟัง ความคิดคนอื่นไม่ได้เรื่อง ต้องทำในสิ่งที่เราเป็นคนคิดเท่านั้น แล้วก็นั่งภาคภูมิใจอย่างโดดเดี่ยว ไร้คนเหลียวแล แม้จะมีบ้างอาจจชื่นชมต่อหน้าเพื่อให้ผ่านไปอย่างสอพลอ เรื่องแบบนี้เราพบเห็นเกิดขึ้นมากมาย เห็นจนหน่ายเหนื่อย กลับความไม่จริงใจของผู้คน เราวิ่งวุ่น เรารู้มาก เราเก่งกันไปเพื่ออะไร? เพื่อตัวเองเท่านั้น หรือแค่ยกมากล่าวอ้างว่าทำเพื่อคนอื่นให้ตัวเองดูดี... เจ้าชิงช้าที่ไร้คนนั่ง เอื้อย ๆ ยังรอคอยคนที่จะแสวงหาความสงบอยู่ตรงนั้น

ใช่หรือไม่ ชีวิตที่ช้าก็ใช่ว่าจะไร้ค่า หากจะสังเกตกัน ในท่ามกลางความรวดเร็วของนวัตกรรมโลกวันนี้ ก็ยังต้องการจุดพักบ้าง ทุกสิ่งมีวงจรจังหวะเร่ง จังหวะผ่อน แต่คนเรากลับชอบจังหวะเร่งกันมากกว่า รถยนต์ยิ่งวิ่งเร็วยิ่งร้อนย่อมต้องแวะพักเครื่อง ชีวิตเราวันนี้อาจจะเร็วและแรงแซงกันอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย หากไม่เรียนรู้ที่จะพัก ที่จะช้าลงบ้าง อาจจะน็อคช็อกลงได้ในสักวัน การชิงช้ามิได้ทำให้ชีวิตเราหยุด แต่การชิงช้าทำให้เรามีเวลาไต่ตรองและรอบคอบในการดำเนินเดินทางต่อไปได้มากขึ้น และชิงช้ายังสอนเราว่า หากไร้ที่ยึดแขวนชิงช้านั้นก็ไร้ความหมาย อะไรเล่าที่เป็นหลักยึดแขวนจิตวิญญาณของเราในวันนี้ สิ่งนั้นคือ ใช่...ทรัพย์สิน ชื่อเสียง คำยกย่องสรรเสริญหรือ?... ความรักความเมตตาที่มีต่อกัน สายสัมพันธ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้าหนึ่งเดียวต่างหาก ที่เกี่ยวร้อยเราให้ชีวิตนี้มีสันติสุขด้วยกันตลอดไป... 

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2563

มาหาทำกัน

 

มาหาทำกัน

เรารอดปลอดจากเชื้อโควิด-19 มาครบ 100 วัน พอเริ่ม 101 วัน ก็มีผู้ติดเชื้อในประเทศหนึ่งคน และก็เกิดความกลัวว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นการระบาดระลอก 2 หรือไม่!!! เราจะสู้เราจะปกป้องให้ปลอดภัยไร้เชื้อได้อีกไหม!!! ประเทศเพื่อนบ้านเราก็มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับว่าเรากำลังโดนโจมตีขนาบข้างเข้ามาทุกขณะ สิ่งที่ทำให้ประเทศไทยของเรา “สำเร็จ” ในการป้องกันเชื้อมาได้จนถึงทุกวันนี้ได้ ก็มาจากความร่วมมือร่วมใจกันรักษาวินัย วันนี้อาจจะเริ่มล้า อาจจะหมดแรง อาจจะคิดว่าปลอดภัยแล้ว เลยหละหลวมหย่อน ๆ ลงไป แต่แท้จริงโลกกำลังถูกโควิดเล่นงานอยู่ทุกห้วงเวลา เราต้อง “อย่าหาทำ” อะไรที่จะเป็นการทำให้เชื้อระบาดในสังคมเรา แต่ต้อง “มาหาทำ” ในสิ่งที่จะให้เราก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน ซึ่งมิได้ขึ้นอยู่กับสถิติของทางตัวเลขเท่านั้น และไม่ใช่ว่า...พอสำเร็จแล้วเลิก หากแต่เมื่อสำเร็จครั้งนี้ก็ต้องเพิ่มพูนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง สิ่งนี้ต่างหาก คือ ความงามที่จะตามมา และสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ต้องคิดเสมอว่า เราทำไปด้วยความรัก มิใช่การบังคับ ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน 

ภาพ : อินเทอร์เน็ต

ในขณะที่โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน เราต่างก็มุ่งหวังเพียงความสำเร็จส่วนตัว มาถึงวันนี้เราต้องหวนกลับมาคิดกันใหม่ว่า ความสำเร็จส่วนตัวอาจจะไม่ได้ช่วยให้เรารอดปลอดภัยเสมอไปหากแต่เป็นความสำเร็จของส่วนรวมต่างหาก ที่จะนำพาให้เรารอดปลอดภัย เราถูกฝังค่านิยมให้งมงายกับความคิดที่จะหามาเพื่อส่วนตัวกันเกินไป ธรรมชาติจึงสอนมนุษย์ว่า แท้จริงแล้วหนทางในชีวิตที่สั้นยาวไม่เท่ากันนี้ มีเพียงเพื่อส่งมอบให้กันและกัน สร้างตนเพื่อคนอื่น อย่าให้คนอื่นเป็นฐานสร้างตน ในวันที่เรายังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นต่อไป ขอเพียงให้เรารู้ว่าหากในวิถีมีความรัก เราก็มักเดินหน้าอย่างมั่นใจได้ตลอดไป


ชายหนุ่มคนหนึ่งขับรถมุ่งหน้าไปยังภูเขาแห่งความสำเร็จ เส้นทางยาวไกล ไม่มีแผนที่บอกทาง บางครั้งเขาเจอทางตัน ต้องลงจากรถมาถางทางรกด้วยตัวเองเพื่อไปต่อ ก่อนออกเดินทางเขาเติมน้ำมันมาเต็มถัง เพราะรู้ดีว่าภูเขาแห่งความสำเร็จไม่ได้ไปถึงได้โดยง่าย แต่ก็แน่ละ รถวิ่งมานาน น้ำมันย่อมร่อยหรอเป็นธรรมดา สัญญาณที่หน้าปัดเตือนว่าน้ำมันกำลังจะหมด มองไปข้างหน้า โชคดี มีปั๊มน้ำมันตั้งอยู่ไม่ไกลนัก เขาจอดรถ แต่ปรากฏว่าปั๊มร้าง ไม่มีเด็กปั๊มสักคน

“จะไปไหนล่ะพ่อหนุ่ม” ชายชราคนหนึ่งส่งเสียงขึ้นมา

“ภูเขาแห่งความสำเร็จ อีกไกลไหมครับ”

ชายชราส่ายหน้า “ใครจะไปรู้”

“น้ำมันผมกำลังจะหมด”  “เติมสิ”

“ไม่มีคนเติมให้สักคน”  “เส้นทางนี้ เธอต้องเติมเอง

            “เติมเอง?”  ใช่ ลองหยิบหัวจ่ายน้ำมันขึ้นมาสิ แล้วบีบมันดู ถ้าโชคดี น้ำมันอาจจะไหลออกมา แต่ถ้าโชคร้าย น้ำมันไม่ไหล ก็ไม่ได้ไปต่อ”

“ถ้าน้ำมันปั๊มนี้หมดแล้ว ลุงก็แค่บอกมาตรงๆมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับปั๊ม มันขึ้นอยู่กับเธอต่างหาก น้ำมันที่จะเติมให้เธอเดินทางต่อไป มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเธอกับจุดหมาย กับเส้นทาง กับสิ่งที่ทำอยู่”

ชายหนุ่มฟังแล้วหงุดหงิด หยิบหัวจ่ายขึ้นมาแล้วบีบคันโยกเพื่อเติมน้ำมัน ปรากฏว่า น้ำมันไหลออกมาจนเต็มถัง “ขอบคุณนะลุง” “ขอบคุณทำไม ปั๊มนี้ไม่ใช่ของฉัน มันเป็นของทุกคน”

ชายหนุ่มส่ายหน้า คิดในใจว่าตาลุงนี่เพี้ยน ๆ แล้วเขาก็ขับรถออกจากปั๊มมุ่งหน้าสู่ภูเขาแห่งความสำเร็จต่อไป เส้นทางทอดยาวไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึง เขาเหลือบมองกระจกหลัง เห็นชื่อปั๊มน้ำมันว่า ความรัก  (เรื่องเล่าจาก นิ้วกลม)

บางทีชีวิตถึงเวลาหยุดพักก็ต้องหยุด เพื่อจัดการชีวิตด้วยตัวเอง โดยฟังคำแนะนำของคนรอบข้างบ้าง บางทีคนเราถือว่าตัวเองเก่งกันเกินไป ไม่ฟังคนอื่น เอาตัวเองเป็นที่ตั้งชีวิตก็พังและทำให้สังคมรอบตัวพังตามไปด้วย ถึงแม้เราอาจจะคิดว่างานเราสำเร็จแต่หากคนรอบตัวไม่พบความสุขไม่เห็นความงาม หนทางแบบนี้ก็ไร้ค่า อย่าได้หาทำ ต่างกับคนที่ทำกิจการเล็ก ๆ แต่ทำด้วยความรัก โดยมีคนอื่น คนรอบข้างเป็นหลักชัย สิ่งนี้ต่างหากที่เราต้องหามากันให้มากขึ้นและมากขึ้นไป ต่อเติมเพิ่มให้มีขึ้นทุก ๆ วัน