วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ขบวนแห่งความสุข

ขบวนแห่งความสุข
หากใครที่ต้องอาศัยรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดินเดินทางเพื่อไปทำงาน ไปทำธุระในตอนเช้า ๆ มักจะเห็นภาพที่ผู้คนอัดแน่นเต็มทุกขบวน บางคนถึงกับต้องรอแล้วรออีกกว่าจะมีที่ยืนบนขบวนรถ มีบ้างบางคนถึงกับตกขบวนไปทำงานสาย ก็ได้แต่หวังว่าอีกไม่ช้าไม่นานเราจะมีเส้นทางคมนาคมที่มีทางเลือกมากขึ้น จะได้ทำให้หลาย ๆ คนมีที่ยืนอยู่บนขบวนรถที่สามารถนำเราไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีความสุข คนที่ยืนก็มักจะมองหาที่นั่ง คนที่นั่งมักจะทำเป็นมองไม่เห็นคนอื่น หรือเห็นแต่ทำเป็นเมินซึ่งต่างจากความเป็นจริงในชีวิตที่เราชอบมองดู(เพื่อจับผิด)คนอื่น
ในชีวิตคนเมืองความสุขมักถูกดูดกลืนหายไปกับความเจริญ หมดไปกับการถูกมองถูกตีค่าในสายตาคนอื่น และเราเองก็ติดนิสัยที่มักจะมอง จะตีความสุขของคนอื่นเพียงสายตาที่มองเห็น ไม่ได้ใช้ใจที่สัมผัสถึงคุณค่าของแต่ละคน ใครจะไปรู้ได้เล่าว่าคนขายของข้างทางอาจจะมีความสุขมากกว่าผู้บริหารบริษัทใหญ่บนรถคันหรูที่ติดอยู่กลางถนน แน่ล่ะ...อันความสุขของใครก็ของเขา เราไม่สามารถตีตราราคาได้ หากเปรียบเทียบการเดินทางในชีวิตเราเป็นเหมือนผู้โดยสารบนขบวนรถ เรามีที่ยืน เรามีความสุข เราเห็นความสุขคนอื่น หรือเราดูถูกคนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่าเพื่อสร้างสุขเทียม ๆ ให้กับตัวเอง บ้างหรือเปล่า

ชารอนกับเพื่อนกำลังรอรถไฟใต้ดิน เนื่องจากฝนตกติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน จึงไม่ค่อยมีใครออกนอกบ้าน ด้วยเหตุนี้ สถานีรถไฟใต้ดินจึงค่อนข้างเงียบเหงา    ครู่หนึ่งขบวนรถไฟที่พวกเธอต้องการจะโดยสารก็เข้าเทียบชานชาลา ทั้งสองคนเดินเข้าไปในตู้โดยสารด้วยกัน
ในตู้โดยสารก็เป็นเช่นเดียวกับที่สถานี    ผู้คนบางตาอย่างยิ่ง   ในขณะที่ชารอนกำลังนั่งเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับเต็มที เธอก็เห็นพ่อลูกคู่หนึ่งเดินเข้ามาในตู้โดยสาร  ผู้เป็นพ่อสวมแว่นตาดำ  ลูกชายเป็นคนจูงเดิน ท่าทางคงจะเป็นคนตาบอด   ลูกชายอายุยังน้อย  แต่กลับต้องเป็นผู้นำทางให้ผู้เป็นพ่อ ทั้งสองค่อยๆ เดินมาทีละก้าวอย่างช้าๆ  จนถึงบริเวณกลางช่องทางเดิน จึงหยุด
ชารอนเห็นสองพ่อลูกยืนนิ่งไม่ขยับก็ให้รู้สึกแปลกใจ  เพราะในรถมีที่นั่งว่างอยู่มากมาย    เหตุใดจึงต้องยืนด้วยเล่า?     รถไฟยังคงเคลื่อนที่ต่อไป เด็กชายเอ่ยขึ้นว่า
“สวัสดีครับคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทุกท่าน ผมชื่อโจอี้ ผมจะร้องเพลงให้ทุกท่านฟังสักสองสามเพลงครับ”
ในเวลานี้ผู้เป็นพ่อปลดหีบเพลงที่แบกอยู่บนบ่าลงมา และเริ่มบรรเลงคลอไปกับเสียงร้องอันกังวานใสของลูกชาย     ชารอนเข้าใจแล้ว ที่แท้พ่อลูกคู่นี้ก็คือวณิพกเร่ขายเสียงเพลง  ทว่า ไม่ว่าอย่างไรคนในตู้โดยสารก็ดูจะไม่สนใจ   พากันหลับใหลไปหมด    ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแม้แต่น้อย
หลังจากร้องจบไปหลายเพลง   เด็กชายผู้นั้นก็เดินมาที่หัวรถด้านหนึ่ง  เริ่มขอเรี่ยไรเงินจากผู้โดยสารทีละคน   ทว่า ในมือของเด็กชายหาได้มีอุปกรณ์ประเภทหมวกหรืออย่างอื่นไม่     อีกทั้งไม่ได้แบมือไปตรงหน้าผู้โดยสาร เขาเพียงแต่เดินมาหยุดตรงหน้าแล้วเรียกอย่างนอบน้อมว่า
“คุณผู้ชายครับ...คุณผู้หญิงครับ”
จากนั้นก็ยืนคอยเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งชารอนเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่น  แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้เงิน   เนื่องจากถูกหลอกมาหลายครั้งเต็มที  ไม่ว่าเป็นใครก็คงอดเอือมระอาไม่ได้    ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะให้เงิน ทุกคนต่างทำเป็นไม่มอง บ้างก็หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างไม่ช้านานเด็กชายก็เดินมาใกล้จะถึงชารอน    เธอพลันรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงคนร้องเอะอะโวยวายขึ้น
“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน     ไม่รู้ยังไงนะขอทานในลอนดอนถึงได้มากมายขนาดนี้  กระทั่งในรถไฟใต้ดินก็ยังมี...”
คราวนี้สายตาทุกคู่ต่างพุ่งไปยังสตรีวัยกลางคนที่ร้องเสียงแหลมผู้นี้เป็นตาเดียวกัน    เธอนั่งอยู่ข้างหน้า  ถัดจากชารอนไปเพียงแถวเดียว   เด็กคนนั้นดูสงบเยือกเย็นมาก หนูน้อยชี้แจงอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“คุณผู้หญิงครับ ผมไม่ใช่ขอทาน ผมเป็นคนขายเสียงเพลง
วินาทีนั้นบรรยากาศภายในห้องโดยสารก็เงียบกริบ      ราวกับทุกอย่างเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง     หลังจากนั้นสายตาเย็นชาทุกคู่ก็พลันเปลี่ยนเป็นสายตาอันอบอุ่น  มีเสียงคนปรบมือนำขึ้นมา   จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นกึกก้อง จากนั้นชารอนก็ลุกขึ้นวางธนบัตรใบหนึ่งลงบนมือของหนูน้อยอย่างสุภาพโดยไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการให้ทาน (จาก Page เรื่องดีๆ มีข้อคิด)


 ความสุขแบบง่าย ๆ ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้เสมอนั่นคือ การที่เราหยุดที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หยุดที่จะดูคนเพียงแค่ภายนอก ให้คุณค่ากับทุกชีวิต แล้วชีวิตเราจึงจะมีคุณค่า ในสังคมที่หลายหลาก เราจำเป็นต้องหาความสุขให้พบ การมองสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาด้วยหัวใจ เราจึงจะเข้าใจ และสนใจผู้คนได้ ในขบวนรถของชีวิตเราแต่ละคน ต่างต้องพบเจอ พูดคุย รู้จักกับคนมากมาย หลายช่วงเวลา บางครั้งมีบ้างที่ตกอยู่ในขบวนรถที่เต็มแน่น เป็นสถานการณ์ชีวิตเลวร้าย  เป็นสิ่งที่เราจนปัญญาจะควบคุมได้   แน่ล่ะ...คงไม่มีใครอยากประสบความล้มเหลว  ไม่มีใครอยากจะมีชีวิตอยู่ยากลำบาก ท่ามกลางสายตาคนรอบข้างที่มองเรา  ย่อมเปลี่ยนไปในสภาพเช่นนี้เราจะมีความสุขและความเบิกบานใจได้อย่างไร??? ยิ่งเราแคร์สายตาคนอื่นมากไป กังวลกับความคิดของคนอื่นเกินงาม เราย่อมจะเจอแต่ความอึดอัด หงุดหงิด เราจะต้องหวนกลับมาทำให้ขบวนชีวิตนี้เป็นขบวนรถที่เดินทางไปพร้อมกับความสุข อย่าปล่อยให้สายตาคนอื่น ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเรา ทำจิตใจของเราให้มองหาคุณค่ากับทุกสรรพสิ่งสร้าง ทำหัวใจให้ยากจน ทำหัวใจให้บริสุทธิ์ เพราะผู้ใดที่มีใจยากจนและบริสุทธิ์ย่อมเป็นสุข เมืองสวรรค์เป็นของเขา 

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความงามบนแผ่นหิน

ความงามบนแผ่นหิน
การเยี่ยมชมปราสาทใหญ่โตมากมายในเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา (เขมร) คือ สถานที่เป้าหมายสำหรับการท่องโลกกว้างในครั้งนี้ เป็นการมาเยือนกัมพูชาอีกครั้งหลังจากเคยมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ในครั้งนั้นเดินทางไปที่กรุงพนมเปญ และได้รับรู้ถึงความทุกข์ของมนุษยชนคนชาติเดียวกันที่ต้องมาเข่นฆ่ากัน ทิ้งรอยเจ็บช้ำไว้ให้คนรุ่นหลัง ได้เคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง “จากกัมพูชามาติมอร์ส่อถึงใจคน (บทเรียนซ้ำ ๆ ของอารยชน)”  เมื่อปี 2002 ในตอนหนึ่งว่า “ใครที่เคยไปประเทศกัมพูชา ย่อมรับรู้ถึงบาดแผลแห่งสงครามได้ดี อนุสรณ์ของความสูญเสียยังคงอยู่ ฝังลึกลงในจิตใจของชาวเขมร คุกตุลสแลง ทุ่งสังหาร คือแผลเป็นในใจของพวกเขา ยากที่จะลืม หัวกะโหลก เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้มาเยือนมีทัศนคติที่ดี มีความเข้าใจ เห็นใจถึงความเป็นอยู่ของชาวเขมร.....

ประเทศที่เต็มไปด้วยศิลปะอันงดงาม ปฎิมากรรมอันอ่อนช้อย บ่งบอกถึงจิตใจอันอ่อนไหวของผู้คน ประเทศที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งศิลปะเช่นนี้ ทำไมวันหนึ่ง.. ต้องพบกับความทารุณโหดร้าย แน่นอนความไว้เนื้อเชื่อใจกันจึงไม่มี มีแต่ผลประโยชน์เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ความเห็นแก่ตัวจึงเข้ามาแทนที่จิตวิญญาณแห่งความอ่อนไหวจนหมดสิ้น...”
กลับมานั่งอ่านบทความเก่าที่เขียนไว้ถึงความเป็นอยู่ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งในครั้งกระโน้นก็คิดว่า “อยากจะเดินทางมาเยี่ยมชมปราสาทนครวัด นครธม” ที่เมืองเสียมเรียบเหมือนกัน แต่ถนนหนทางไม่เอื้ออำนวยให้เดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับมานอนที่พนมเปญ จึงมีโอกาสเพียงไปรับรู้ผลของสงครามล้างเผ่าพันธุ์ในกรุงพนมเปญเท่านั้น
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปในรอบ 10 กว่าปีการพัฒนาในประเทศเพื่อนบ้านก็พัฒนาขึ้นมามากเป็นลำดับ จากความทุกข์เข็ญ ค่อย ๆ เริ่มต้นพัฒนาขึ้น ถนนจากเมืองหนึ่งสู่เมืองหนึ่งจึงได้รับการสร้างให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ในครั้งนี้เดินทางเข้าเขมรผ่านตรงชายแดนจังหวัดสระแก้ว มุ่งสู่เมืองเสียมเรียบ ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง และแน่นอนอย่างที่เคยเขียนไว้ในบทความข้างต้นว่า ความทุกข์ที่เกิดจากสงครามกลางเมืองสร้างรอยแผลในจิตใจของผู้คนชนเขมรมาอย่างยาวนาน ในทุกพื้นที่ไม่เว้นในจังหวัดเสียมเรียบแห่งนี้ ผู้นำเที่ยวจึงนำพวกเราไปสัมผัสถึงความสาหัสแห่งสงครามของชนชาติของเขา ที่ยังคงทิ้งร่องรอยทุกข์ไว้อย่างไม่มีวันจางหาย ถูกจารึกหยั่งรากลึกลงในจิตใจของประชาชนคนเขมร ถือว่าเป็นความขมขื่นที่ย้ำเตือนใจให้ผู้มาเยือนให้รู้รักถิ่นฐาน มีความสามัคคี อย่าทำให้สังคมแตกแยกด้วยเพียงเพราะอำนาจบาตรใหญ่
และแน่นอนมาเมืองแห่งนี้ สิ่งที่เราใฝ่ฝันอยากจะเห็นอยากจะสัมผัสสักครั้งนั่นก็คือ “ปราสาท” ทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ในเมืองแห่งนี้ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว แสงแดดที่แผดส่องลงมาในยามสาย ๆ ตลอดจนเที่ยงยันบ่ายแก่ ๆ กับการเดินชมความงามและความวิจิตรตระการตาของมรดกโลก ทำให้เราได้รับรู้ถึงความเชื่อ แรงศรัทธา ที่ชนชาติหนึ่งมีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนเกิดเป็นสิ่งสร้างที่มหัศจรรย์ ก้อนหินแต่ละก้อนที่ถูกเคลื่อน เลื่อน ซ้อนทับกันทีละชั้นทีละชั้น จนเป็นขั้นเป็นเหลี่ยมเป็นมุม จากนั้นก็สกัด แกะกะเทาะออก ให้เกิดเป็นลวดลาย เกิดเป็นเรื่องราวอันประณีตงดงาม ที่บอกเล่าถึงแรงศรัทธา ปราสาทที่สร้างขึ้นส่วนมากเพื่อบูชาต่อทวยเทพกษัตริย์ผู้ปกครอง ผู้สร้างความเจริญเติบโตของอาณาจักร ไม่ต่างกับการสร้างตึกสร้างอาคารของยุคนี้ที่เป็นเครื่องแสดงถึงเมืองที่พัฒนา แต่ยุคนั้นสร้างบนฐานแห่งศรัทธา ยุคนี้สร้างบนฐานแห่งเศรษฐกิจ มีสิ่งที่แตกต่างกันอีกอย่างหนึ่งคือในแต่ละปราสาทมักบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา ความเป็นอยู่ สภาพบ้านเมือง มีทั้งที่สลักลายลักษณ์อักษร เป็นรูปปั้น จดจารเป็นตำนาน ให้คนรุ่นหลัง รุ่นเราได้เรียนรู้ ให้เราได้ศึกษาถึงความงามและความหมั่นเพียรบันทึกเหล่านี้คือความงามบนแผ่นหินนั่นเอง
การสลักความงามบนแผ่นหินย่อมคงทนมากกว่าการขีดเขียนลงบนแผ่นดินพื้นทราย หรือบันทึกไว้บนกระดาษ ซึ่งหลายชนชาติเลือกที่จะใช้กัน และมักสูญหาย เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา เป็นความรู้สึกยามเมื่อกำลังเดินชมภายในปราสาทเหล่านั้น และยังสะท้อนให้ไตร่ตรองถึงการมีชีวิตอยู่ของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเลือกได้ใช่ไหมว่าเราจะบันทึกความดี ความงามของชีวิตเราลงแผ่นหิน และเขียนระบายเรื่องราวร้าย ๆ ลงบนพื้นทราย ให้มันละลายหายไป เมื่อลมมา น้ำพัดสาด เราเลือกที่จะสร้างความดีให้คงทน ลบลืมเรื่องราวร้าย ๆ คำพูดที่ไร้ค่าให้หายไปจากชีวิต เราเลือกที่จะสร้างฐานชีวิตให้แข็งแกร่งดุจศิลา ด้วยศรัทธาในความดีมีเมตตาต่อคนอื่น เราเลือกได้ที่จะสลักความงามลงในจิตใจ เราเลือกได้ที่จะพัฒนาจิตวิญญาณเพื่อเป็นเครื่องบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่อพระผู้สร้าง


ใช่หรือไม่ ใครสร้างบ้านบนแผ่นหินย่อมทนทานกว่าการสร้างบ้านลงบนพื้นทราย แล้ววันเวลาที่ผ่านมา ในวันเวลาที่กำลังเคลื่อนเลื่อนมาหาเรานั้น เราได้สร้าง จารึกอะไรไว้บนแผ่นหินบนศิลาแห่งชีวิตนี้บ้าง มีเรื่องราวความงามฝากไว้ให้ใครได้จดจำบ้างหรือยัง!!! ที่สำคัญความดีที่เราทำนั้นหากได้บันทึกไว้ในใจคนย่อมมีค่าและควรคู่มากกว่าสิ่งใดทั้งหมดทั้งสิ้น ในด้านหนึ่งที่ควรคำนึงถึง ในแต่ละวัน ย่อมมีความทุกข์ท้อจากตัวเรา จากคนรอบข้าง จากสังคม เราควรที่จะปล่อยให้หลุดหายไปบ้าง ปล่อยทิ้ง ปล่อยวางลงบ้าง  อย่าทำให้เป็นภาระที่หนักทับหลังในการเดินทางของเรา หรือไม่เราต้องนำสิ่งเหล่านั้นมาแกะสลัก ขัดเกลาให้งดงาม กลายเป็นฤทธิ์กุศลสร้างความเข้มแข็งให้ชีวิตเรา แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเช่นนั้น แต่เราต้องพยายาม คิดดูเถอะ...ขนาดแผ่นหินบนภูเขาคนรุ่นก่อนยังสกัดขัดเกลาสร้างปราสาทใหญ่โตได้ แล้วสำหาอะไรกับแค่ความทุกข์ยากลำบากในชีวิต จะทำให้กลายเป็นเรื่องความดีมีเมตตาต่อกันไม่ได้เล่า เพื่อว่าความดีของเราจะช่วยให้จิตใจของเราเป็นปราสาทราชวังที่งดงามถวายให้แด่พระเจ้า เราพร้อมที่จะพยายามลงมือขัดเกลา สลักรัก ก่อร่างสร้างขึ้นมาบนก้อนแข็งกร้าวของจิตใจเราหรือยัง...

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หน้า กาก ๆ

หน้า กาก ๆ
การเดินทางไปยังต่างที่ต่างถิ่น มีสิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คน มักจะคิดเหมือนกัน คือ เที่ยวตามหาของฝาก บางทีบางคนหมดเวลาไปครึ่งค่อนวันกับสิ่งเหล่านี้ หมดเวลากับการจ่อมจมอยู่ในร้านขายของที่ระลึก บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า มาเที่ยวตั้งไกลไฉนมาซุ่มอยู่ในร้านเล็ก ๆ สิ่งรอบกายที่แปลกตาตื่นใจกลับมองข้ามกันไป แต่เรื่องแบบนี้ก็เป็นรสนิยม เป็นสไตล์ส่วนตัวของใครของมัน นั่นอาจจะเป็นความสุขในการท่องเที่ยวของคน ๆ นั้นก็ได้ เช่นเดียวกันกับสิ่งที่มักชอบไปมองดู (แต่ไม่เคยซื้อ) ซึ่งในร้านขายของที่ระลึกเหล่านั้น ก็จะมีมุมหนึ่งที่ขายหน้ากาก ในแต่ละที่แต่ละถิ่นก็มีหน้าตา มีสีสัน มีอารมณ์ ในหน้ากากนั้นแตกต่างกัน ที่เหมือนกันคือ เอาไว้ใส่ชั่วครั้งชั่วคราว สร้างอารมณ์ครื้นเครง และก็เก็บเกี่ยวไว้เป็นที่ระลึก

เวลาที่เรามองดูหน้ากากนั้น ก็มักจะมองมุมกลับมาในสังคมที่เราอยู่ ใช่หรือไม่ เราล้วนต่างก็สวมใส่หน้ากากเข้าหากัน เป็นหน้ากากที่เผยโฉมได้อย่างแนบเนียน จนเป็นหนึ่งเดียวกับใบหน้าที่แท้จริง หลายครั้งเราถูกปลูกฝังว่าต้องตีหน้าแบบนี้ ทำหน้าแบบนั้น เพื่อให้ถูกจริตส่วนรวม เมื่อทำกันไปนาน ๆ เข้า ก็กลายเป็นว่าหน้ากากนั้นเป็นหน้าของเราจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่หน้าแบบนั้นคือหน้าของการเสแสร้ง เราถูกสร้างให้เป็น “มนุษย์หน้ากาก”  จนฝังรากลึกลงไปในหัวใจของคนในสังคม
สังคมทุกวันนี้มีแต่การหลอกลวง คนดีนั้นผิด...คนชั่วกลับลอยนวล  ความดีเลือนหายไป ความชั่วร้ายก้าวเข้ามาแทน  ทำตัวเสแสร้ง....ซ่อนอยู่ในสังคม
หน้ากากที่แสนดีปกปิดเงื่อนซ่อนงำไว้... ลึก ๆ ข้างในคือสัตว์ร้ายที่โสมม
ได้แต่มอง..ได้แต่ลุ้นให้คนอื่นเขาล้ม ได้แต่คิดภาวนาให้คนอื่นเขาล่มจม..นี่ล่ะหนาความระยำของมนุษย์ชน มันช่างวกวนซับซ้อนเงื่อนงำ..แต่คนที่ไม่ขำมันก็คือพวกเรา เพราะเรานั้นรู้ว่าใต้หน้ากากใบนี้..มันไม่จริง(หนึ่งในถ้อยคำของผู้สร้างสรรค์งานเพลงนิรนาม)
ในสังคมมนุษย์เรา ทุกหมู่เหล่ากำลังหันมาสวมใส่หน้ากากที่มีสีสันสวยงาม และเป็นหน้ากากที่มีรอยยิ้มสดใสที่ประดับประดาไปด้วยสิ่งจอมปลอมที่ถูกเรียกกันว่า คุณธรรม “จริยธรรม” เคลือบบางเบาอยู่บนเปลือกนอก แต่กลับละเลยเนื้อหาสาระแก่นแท้ในความดีงาม ใช้เป็นเพียงสิ่งเทียมทนให้คนได้สรรเสริญยกย่อง ทำความดีมีคุณธรรมเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น พอลับหลัง ความดีงามนั้นกลับไม่ใช่ของจริงของแท้ ที่จะช่วยขัดเกลาจิตวิญญาณให้เจริญเติบโตขึ้น
ยิ่งเราอยู่ในสังคมที่เคลือบเพียงแต่กรอบของวัฒนธรรม กรอบของธรรมเนียมปฏิบัติ กรอบของค่าวัตถุนิยมแล้ว เรากลับไปยึดมั่นกรอบเหล่านี้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่กลับไปพยายามทำตามในสิ่งที่สังคมบอก ทำตามสิ่งที่สังคมนิยมชมชอบ ทำตามสิ่งที่สังคมชี้นำ มันเหมือนว่าเราไม่เคารพตัวเอง เมื่อคนคนหนึ่งไม่เคารพตัวเอง เขาก็คงจะไม่สามารถรักตัวเองได้อย่างแท้จริงแล้วเช่นนี้เราจะรักคนอื่นได้อย่างไร ยิ่งเราใส่หน้ากากเข้าหากันมากเท่าไหร่ ความเมตตาที่มีให้กันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในสังคม
มีคนเคยกล่าวว่า “มนุษย์เราต้องก้าวไปข้างหน้า” เราจึงพัฒนาวัตถุ พัฒนาสังคมบนวัตถุแล้วเราก็เดินตามวัตถุ เราสร้างค่าให้วัตถุแล้วเราก็หลงใหลไปในวัตถุ จนถึงวันนี้วันที่เราพัฒนาตนเองอย่างถึงที่สุด แล้วเราก็หลงตัวเอง พยายามสร้างค่าให้ตัวเองแล้วเราก็หลอกตัวเอง ด้านหนึ่งเราก็หาทางเพื่อจะหนีความรู้สึกของตัวเองแต่เราก็วางกับดักไว้ให้ตัวเอง จนไม่มีทางออก ความสับสนวุ่นวายจึงกลายเป็นมรดกทางวัตถุที่เราสะสม ปลูกฝังกันมา คุณค่าทางจิตใจเป็นสิ่งไร้ความหมายในสายตาของคนยุคใหม่ ที่ไร้ความจริงใจต่อกัน เราอยู่ร่วมกันได้ด้วยความหลอกลวง เรามีสิ่งจอมปลอมเป็นเครื่องมือพัฒนา แล้วมันใช่หรือ..!!!!
หน้ากากโดยส่วนมากมักไม่ใช่หน้ากากที่สวยงาม ส่วนมากมักเป็นหน้ากากปีศาจ หน้ากากแฟนตาซี แล้วหน้ากากของคนส่วนใหญ่ที่สวมใส่นั้น หลายคนหลงว่าคือหน้ากากที่สวยงาม หน้ากากพระเอกนางเอก จนคนบางคนสวมใส่หน้ากากไว้หลาย ๆ ชั้นเพื่ออำพรางใบหน้าที่แท้จริง เพื่อให้เข้ากับสังคม เพื่อต้องการพื้นที่ให้ตัวเองได้ยืนอยู่ในสังคม และเมื่อถึงเวลาต้องถอดหน้ากากออกทีละชั้น ๆ ในวันที่ต้องแสดงจุดยืนจุดหนึ่งของตน สิ่งที่อยู่ข้างในหน้ากากนั้นก็ยังเป็นหน้ากากอยู่วันยังค่ำ เป็นหน้า กาก ๆ ในความจอมปลอม ไม่มีใบหน้าที่แท้จริงแต่อย่างใด จนกระทั่งแม้แต่ตัวเองก็จำไม่ได้แล้วว่า แท้จริง เราเป็นคนแบบไหนกันแน่

แต่ใช่ว่าโลกนี้จะเต็มไปด้วยความจอมปลอม เรายังมีความจริง คนจริงใจ ทำความดีอย่างตรงไปตรงมา ไม่เคยสวมใส่หน้ากากยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากหน้ากากและปฏิเสธสิ่งเย้ายวน มายาภาพของหน้ากากนั้น   พวกเขายังสามารถยิ้มและหัวเราะได้ด้วยรอยยิ้มที่สดใสกลั่นออกมาจากใจได้จริงๆ และสามารถอุทิศให้ มีเมตตาด้วยความจริงใจ ทำความดีโดยมิหวังสิ่งตอบแทน คนเหล่านี้มีความสุขอยู่ในมุมเล็ก ๆ ที่แต่ละคนมีใบหน้าผ่องใส เป็นใบหน้าที่งามตามธรรมชาติ ไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องกังวลว่าจะหยิบหน้ากากไหนมาสวมใส่ และไม่ต้องกลัวว่าจะหยิบหน้ากากผิดงานมาใส่

ในวันเวลาแบบนี้ สังคมเราต้องการความจริงใจต่อกัน ไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์ เราต้องถอดหน้ากากที่เรียกกันว่า “ความเสแสร้ง” ออกและทิ้งไปอย่างถาวร ร่วมกันสร้างสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ให้สังคมของเราทุกคนคงเหลือเพียงมนุษย์แท้ ๆ ที่ปราศจากหน้ากาก ๆ และสร้างรอยยิ้มอันสดใสสวยงามที่เปล่งออกมาจากใจให้แก่กันและกัน ไปจนตราบกาลนาน เราต้องเรียนรู้ที่จะเคารพตัวเอง ทำให้ตัวเรามีความสุขกายสบายใจ จริงใจต่อตัวเอง ผู้ที่อยากมีความสบายใจคือผู้ที่ถ่อมตนเพื่อรับใช้ผู้อื่น นี่ต่างหากหน้าตาที่แท้จริงที่เราควรหันมามองใส่กันและกัน อย่าให้หน้ากาก ๆ เข้าครอบครองใบหน้าอันงดงามของเราเลย...

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เดินทางกลางพายุ

เดินทางกลางพายุ
อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าการเดินทางมาไต้หวันในครั้งนี้จะต้องประสบพบเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยเจอมา หลังจากออกจากสนามบินพร้อมคณะ ฝนก็เริ่มตกตลอดทาง เห็นเป็นเพียงสายฝนธรรมดา ๆ เหมือนบ้านเรา แต่ตกนานตกตลอดตกจนกระทั่งไม่สามารถออกจากที่พักมาหาอะไรทานได้ในมื้อเย็นวันนั้น ในกลุ่มจึงมีผู้เสียสละ ผู้ที่เคยมาพักอยู่แถวนี้ รับอาสาออกไปซื้ออาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อซึ่งต้องใช้เวลาเดินออกมาร่วม ๆ 20 นาที หลังจากมื้อเย็นที่ว่าด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มีการนัดหมายว่าสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้น คณะเราจะเดินทางไปยังสถานที่จัดแสดงงาน ค่ำคืนนั้นจึงนอนหลับไปพร้อมกับสายฝน

วันใหม่ในไต้หวัน ได้รับการแจ้งว่าขอ “งดการนัดหมาย” แต่เราก็ไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร? อาจจะเป็นความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร ที่ได้รับการแจ้งมาเพียงเท่านี้ ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวจึงตัดสินใจว่าจะออกไปเที่ยวชมเมืองไทเป กางแผนที่ออกศึกษาเส้นทางรถไฟฟ้า เราอยู่ในสายสีแดงสายหลัก ที่ผ่านสถานที่สำคัญ ๆ สถานที่หมายตาแรกคืออนุสรณ์สถานรำลึกถึงท่าน เจียง ไคเช็ก ผู้บุกเบิกไต้หวัน มีรถไฟใต้ดินไปถึง เมื่อไปถึงสายฝนก็กระหน่ำลงมาอีก และตก ๆ หยุด ๆ สลับไปมา บริเวณนั้นมีทั้งหอภาพยนตร์ และศูนย์แสดงงาน มีสวนสาธารณะสวยงามอยู่รอบ ๆ แต่ทุกที่ปิดทำการหมด นักท่องเที่ยวหลายร้อยคนยืนรอ ยืนหลบฝน ที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อาศัยจังหวะฝนซาจึงออกมาถ่ายรูป ก่อนออกมาจากสถานที่ตรงนั้น ร่มกับหมวกเป็นสิ่งที่พอจะช่วยกันฝนได้ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในบริเวณนั้น แต่ก็....ปิดหมด ชักเริ่มสงสัย เพราะไม่ค่อยเห็นผู้คนบนท้องถนน ในระหว่างที่เดินหาสถานที่เยี่ยมชมอยู่นั้น ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ลมเริ่มแรงเป็นพัก ๆ จะหาคนถามทางก็หายากมากขึ้น ในจังหวะหนึ่งกำลังจะข้ามถนน ลมลูกใหญ่พัดมาปะทะเต็มตัว ร่มหัก หมวกปลิว เปียกชุ่ม กลางสายฝน คนเดินทางจากต่างถิ่นที่ไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้น ใช่หรือไม่ ในชีวิตจริงของเราบางทีก็เป็นแบบนั้น เข้าไปอยู่ในที่ที่อันตรายแบบไม่รู้ตัว แบบไม่ทันตั้งตัว ไม่มีเวลาที่จะศึกษา สิ่งที่ทำได้คือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
เมื่อเห็นท่าทางว่าฝนจะไม่หยุดตกง่าย ๆ จึงตัดสินใจขึ้นรถไฟกลับที่พัก และก่อนจะเข้าที่พักจึงแวะหามื้อเย็นทาน ในขณะที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ พี่ผู้หญิงคนหนึ่งหันมาถามว่า “มาจากเมืองไทยหรือคะ” จากนั้นพี่เค้าก็บอกข่าวและสถานการณ์ว่า พายุไต้ฝุ่นกำลังเข้าสู่ไต้หวัน รัฐบาลประกาศให้หยุดงาน และจะหนักขึ้นในค่ำนี้หรือไม่ก็พรุ่งนี้ พอเสร็จจากมื้ออาหารในช่วงที่เดินกลับที่พัก ลมเริ่มแรงขึ้น ๆ ฝนหนักขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเริ่มท่วม ระยะทางเพียงแค่กิโลกว่า ๆ ต้องเดินฝ่าลม ต้านฝน ลุยน้ำ บางจังหวะตัวแทบปลิว ระหว่างทางเห็นร่มที่หักพังถูกทิ้งไว้หลายคัน แล้วเราก็ถึงที่พักจนได้ คล้อยหลังจากนั้นเพียงสิบนาที ลมพัดอย่างแรง ฝนตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา บ้านพักสั่นไหว ตามแรงลม หน้าต่างประตูเสียงดังจากแรงปะทะ นับว่าโชคดีที่เรามาถึงที่พักก่อนพายุใหญ่มาถึงแบบเฉียวเฉียด..!!!!
พอเข้าที่เข้าทางจึงเปิดเช็คข่าว “ไต้ฝุ่น ตู้เจวียน ซึ่งมีความรุนแรงเทียบเท่าเฮอร์ริเคนระดับ 4 กำลังเคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่เกาะไต้หวัน โดยระหว่างนั้นจะเคลื่อนตัวผ่านภูมิภาคใต้สุดของญี่ปุ่นคาดทำให้ฝนตกลมแรง...สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ไต้ฝุ่น “ตู้เจวียน” พายุกำลังแรงซึ่งมีความเร็วลมสูงสุดถึง 210 กม./ชม. หรือเทียบเท่าพายุเฮอร์ริเคนระดับ 4 กำลังเคลื่อนตัวในมหาสมุทรแปซิฟิก และคาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งตะวันออกของเกาะไต้หวันในช่วงบ่ายวันจันทร์นี้ (28 ก.ย.) เสี่ยงทำให้เกิดฝนตกหนักและคลื่นลมแรง ไต้ฝุ่น ตู้เจวียน กำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ โดยจะผ่านพื้นที่ทางใต้สุดของหมู่เกาะริวกิวของประเทศญี่ปุ่น และภาคเหนือของไต้หวัน ซึ่งรวมทั้งกรุงไทเป”
เมื่อติดต่อกลับมาทางประเทศไทยผ่านระบบไวไฟซึ่งใช้งานได้เป็นปกติ (เยี่ยมมาก ๆ ) ญาติสนิทมิตรสหายต่างเห็นข่าวแล้วเป็นห่วง ถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ ก็บอกกลับมาว่าปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่เลวร้ายอย่างที่ข่าวนำเสนอ แต่คืนนั้นทั้งคืน นอนฟังและหวาดหวั่นกับพายุไต้ฝุ่นนี้พอสมควร เพราะเป็นครั้งแรกที่อยู่ท่ามกลางไต้ฝุ่นที่ไต้หวัน

เช้าวันต่อมา สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย แต่มีคนมาแจ้งว่ารัฐบาลสั่งให้หยุดงานต่อ พอมาอ่านข่าวจึงเห็นว่าถึงความเสียหายพอสมควร “สำนักข่าวกลางของไต้หวัน รายงานว่า พายุไต้ฝุ่นตู้เจวียน ที่พัดถล่มไต้หวัน เมื่อคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีฝนตกหนัก และกระแสลมแรงต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ชั่วโมงเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 2 คน บาดเจ็บอีก 324 คน บ้านเรือนอีกกว่า 710,000 หลัง ไม่มีไฟฟ้าใช้ และอีกกว่า 370,000 หลังไม่มีน้ำประปาใช้ด้วย โดยทางการไต้หวันยังได้สั่งปิดโรงเรียน หน่วยงานราชการ และตลาดหุ้นต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังยกเลิกเที่ยวบินระหว่างประเทศ 241 เที่ยว และเที่ยวบินภายในประเทศอีก 144 เที่ยว” ไทยรัฐออนไลน์

           
มองย้อนไปในวันที่ต้องเดินฝ่าสายฝน โต้ลมแรง กลางพายุ เราต่างต้องทิ้งร่ม ทิ้งสัมภาระบางอย่าง เพื่อจะได้เดินหน้าฝ่าไปได้ ก้มหน้าโน้มตัวลงเล็กน้อย เพื่อต้านลมต้านฝน หากเงยหน้าขึ้นเม็ดฝนที่มากับสายลมแรงจะตีเข้าใบหน้า ทำให้คิดถึงในวันที่เราต้องเจอสิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามาในชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัว ที่เรียกว่า “พายุชีวิต” สิ่งที่เราทำได้คือเราต้องปล่อยทิ้งบางอย่างลงกลางทาง ทิ้งสิ่งของที่รกรุงรัง ที่อาจจะขังขึงตัวเราไม่ให้ก้าวพ้นผ่านความทุกข์ไปได้ กลางพายุยิ่งตัวเบาเท่าไหร่ยิ่งจะสามารถเดินฝ่าไปได้อย่างไม่ลำบากนัก และหลายครั้งเราก็เห็นว่าสิ่งที่เราเสาะแสวงหา สะสม เก็บเกี่ยวไว้นั้นคือสิ่งที่ฉุดรั้งให้เราพลั้งพลาดล้มลงกลางพายุ ในชีวิตจริงของเราสิ่งที่เราคิดว่าจะช่วยเราให้รอดพ้นได้อาจจะกลายเป็นอุปสรรคทันทีก็เป็นได้เสมอ และที่สุดการน้อมรับสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามรักษาสิ่งที่มีค่าที่สุดนั่นคือ “ชีวิต”ไว้ให้ได้ตลอดรอดฝั่ง หากยอมแพ้ล้มลงคงมีแต่ต้องจมไปกับสายน้ำกลางพายุทุกข์ท้อ ความเชื่อมั่นและมีศรัทธาในคุณค่าของชีวิตที่พระเจ้ามอบให้เรามา การมีสติ ความรอบคอบ ความไม่ประมาทต่างหาก นำมาซึ่งความสดใสหลังจากพ้นผ่านวันคืนอันโหดร้าย

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

wifi - โครงข่ายปันสุข

wifi - โครงข่ายปันสุข
ชีวิตยุคใหม่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือการเชื่อมโยงติดต่อกันด้วยระบบสื่อสารสมัยใหม่ ไม่ว่าจะผ่านทางเครื่อข่าย แอปปิเคชั่นใด เวลาไปไหมาไหนโดยเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องเดินทางไปต่างบ้านต่างแดน ต่างเปิดเครื่องเสาะหาโครงข่ายไวไฟเพื่อใช้เป็นพาหะในการส่งสาร ในการสนทนา ในการทำงาน “ไวไฟ” จึงเป็นระบบที่ผู้คนปรารถนามากที่สุด ถือว่าเป็นโครงข่ายแห่งการปันสุขให้กับคนทั้งโลก

หลังจากลงเครื่องที่ไทเป ประเทศไต้หวัน และต้องรออีกกลุ่มหนึ่งที่จะตามมาสมทบในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า สิ่งที่ทำให้ชีวิตการรอคอยไม่เงียบเหงา คือ ระบบไวไฟฟรีของสนามบิน ได้ส่งข่าว ให้กับคนทางบ้าน ให้คนในครอบครัวได้หมดห่วง และร่วมสุขสันต์ไปกับการเดินทางของชีวิตอีกคำรบหนึ่ง ช่วงนี้เองจึงหยิบไอแพดกระดาษชวนไฟฟ้า ขึ้นมาบรรเลงบทความ เพราะไม่รู้ว่าตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ต้องอยู่ในไทเปนี้จะมีเวลา จะมีระบบไวไฟฟรีไว้ให้ใช้งาน ที่ไหนบ้างหรือเปล่า ขอบคุณสำหรับทุกที่สาธารณะที่ให้บริการใช้ไวไฟฟรี ที่ช่วยให้คนไกลได้ใกล้ชิด เหมือนที่เคยเคียงข้างกันตลอดมา และหากเรามาทบทวนชีวิตว่า ถ้าการแบ่งปันความสุขแบบให้ฟรีมีให้พบเห็นได้ทั่วไป ความสุขที่มิจำเป็นต้องเก็บไว้เชยชมเพียงผู้เดียว ใช่หรือไม่ สังคมเราย่อมมีแต่สันติ ความสุขยิ่งให้ยิ่งเบ่งบาน ยิ่งงดงาม ยิ่งเพิ่มพูน เหมือนเช่นนิทานเซนเรื่องนี้
อาจารย์เซ็นท่านหนึ่งปลูกดอกเบญจมาศไว้บริเวณลานหลังวัด ปีที่ 3 ของช่วงฤดูใบไม้ร่วง ลานหลังวัดก็กลายเป็นทุ่งดอกเบญจมาศบานเหลืองอร่ามสวยงามเต็มไปหมด กลิ่นของดอกเบญจมาศส่งกลิ่นหอมไปถึงหมู่บ้านรอบเชิงเขา ไม่ว่าใครที่มาทำบุญที่วัด ต่างก็พากันอุทานด้วยความชื่นชม
โอ้โห ทำไมช่างสวยงามเช่นนี้!
อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีผู้กล้าเอ่ยขอดอกเบญจมาศไปตากแห้งเพื่อนำไปเป็นพันธุ์เพื่อปลูกไว้ในสวยหลังบ้านของตนเอง ท่านอาจารย์เซ็นไม่มีการลังเลที่จะเอ่ยอนุญาต อีกทั้งเป็นผู้เด็ดดอกที่ทั้งโตทั้งสวยให้แก่ชายผู้นั้น แถมยังขุดให้เขาไปหลายต้น
ข่าวท่านอาจารย์เซ็นมอบดอกเบญจมาศให้ชายผู้นั้นถูกเล่าปากต่อปากไปยังญาติโยมทั้งหลาย ผู้คนในหมู่บ้านรายรอบต่างพากันมาขอดอกเบญจมาศจากท่านอาจารย์ 
ท่านอาจารย์ไม่กล้าปฏิเสธ เพราะทุกคนต่างเป็นคนรู้จักและเป็นโยมอุปฐากวัดกันทั้งนั้น จึงมอบดอกเบญจมาศให้แก่ญาติโยมที่มาขอกันทุกคน ไม่กี่วันต่อมา ดอกเบญจมาศในสวนหลังวัดก็ถูกเด็ดไปจนหมดเกลี้ยง ลานหลังวัดไม่มีดอกเบญจมาศให้เห็นอีกแล้ว 
เหล่าเณรน้อยทั้งหลาย เมื่อได้เห็นความว่างเปล่าของอดีตสวนเบญจมาศต่างก็พากันพูดด้วยความเศร้า
น่าเสียดาย ๆ ลานหลังวัดนี้เดิมทีสวยสะพรั่งไปด้วยดอกเบญจมาศที่หอมชื่นใจ มาบัดนี้ไม่เหลือแม้แต่ดอกเดียวให้ได้เห็น! เสียดาย เสียดาย ! 
ท่านอาจารย์เห็นท่าทีของเหล่าลูกศิษย์ ก็ได้แต่หัวเราะและก็ได้เอ่ยขึ้นว่า
เจ้าทั้งหลายพิจารณาดูเถิด3 ปีหลังจากนี้ไป หมู่บ้านรอบภูเขาจะกลายเป็นหมู่บ้านดอกเบญจมาศ มันไม่ดีกว่าวันนี้หรอกหรือ!
หมู่บ้านดอกเบญจมาศ!
เหล่าเณรน้อยต่างก็พูดขึ้นพร้อมกัน แล้วก็ยิ้มตามมโนภาพที่ต่างคนต่างเห็นในอีก3ปีให้หลัง
เราควรแบ่งปันสิ่งดี  เหล่านี้กับคนอื่น ให้ทุกคนต่างได้รับความสุข ต่อให้วันนี้เราไม่เหลือดอกเบญจมาศแล้ว แต่ในใจก็เป็นสุขมิใช่หรือนี่ต่างหากที่เป็นความสุขที่แท้จริง เจ้าทั้งหลายว่าจริงหรือไม่?”
สิ้นเสียงของท่านอาจารย์เซ็น เณรน้อยต่างขานรับเป็นเสียงเดียวกันว่า
ใช่ขอรับพระอาจารย์.....................................ขอบคุณ เรื่อง :นุสนธิ์บุคส์
ในสังคมที่มักสอนให้เราเก็บ กอบ โกย ทุกสิ่งไว้แต่เพียงผู้เดียว มันก็ชื่นชม ชมเชยเฉพาะคนเดียว มีบ้างบางคนที่กลัวว่าเมื่อแบ่งปันออกไปแล้ว อาจจะได้รับการตอบกลับในทางตรงกันข้าม อาจจะถูกกล่าวหาว่าต้องการได้หน้าได้ตา แบ่งปันเพื่อสร้างฐาน สังคมวันนี้อยู่ยาก เพราะพอคิดจะทำอะไร ก็มักมีสองมุม สามด้าน ส่งผลกระทบต่อการกระทำนั้นได้เสมอ หลายคนจึงเลือกที่จะเก็บงำความดีงามไว้เอง สร้างแปลงงามในนามปัจเจกชน คนผู้อื่นอย่าได้มาข้องแวะ
ใช่หรือไม่ หากเราร่วมกันสร้างสังคมโครงข่ายแห่งความสุข และปล่อยออกไปให้มันงอกเงย ให้คนอื่นได้รับรู้ประโยชน์บ้างคงจะดีไม่น้อย วันนี้เรามีโครงข่ายและเครือข่ายของการสื่อสารที่สามารถจะทำให้เราได้พบกับมิตรภาพ ให้พบเจอกับเพื่อนเก่าที่ห่างหาย ได้รับรู้ความเป็นอยู่ของบุคคลอันที่เป็นรักทำไมเราไม่มาสร้าง มาบูรณะโครงข่ายและเครือข่ายความดีงาม ความสุข ให้กระจายออกไปทั่วแดนแผ่นดินเหมือนกัการใช้งานระบบสื่อสารสมัยใหม่เล่า เมื่อนั้นความสุขสันติจะอยู่กับโลกนี้ เป็นไปได้ไหมว่า ในวันข้างหน้า เวลาที่ใครมาพบเจอเรา เวลาที่ใครมาอยู่ในพื้นที่ของเรา เขาเหล่านั้นก็จะได้รับสิ่งดี ๆ กลับไป และนำสิ่งเหล่านั่นไปปลูกฝังลงในจิตใจต่อไป หรือเราไปพบเจอใครที่ปันความสุขให้เรา ก็นำมากระจายให้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความสุข ความงาม ที่จะไม่มีวันห่างหายจากสังคมของเรา ความดีมีไว้แบ่งปัน เหมือนระบบไวไฟฟรีที่มีให้ใช้งานขอบคุณไวไฟสนามบินไทเป ไต้หวัน...