วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2562

กว่าจะได้เป็นเช่นวันนี้


กว่าจะได้เป็นเช่นวันนี้

เราทุกคนต่างกำลังตื่นเต้นรอคอยปลื้มปิติกับการเสด็จเยือนประเทศไทยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายนนี้ คณะกรรมการจัดงานก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้การต้อนรับผู้แทนของพระคริสตเจ้า ที่จะมาประทับอยู่ท่ามกลางเราชาวไทย แต่ละขั้นตอนต้องทำด้วยความรอบคอบ แต่ละช่วงเวลา แต่ละสถานที่ที่จะเสด็จไปเยี่ยมเยียนได้มีการวางแผนเพื่อให้ทุกคนได้รับพระพรครั้งนี้อย่างทั่วถึง หลายฝ่ายกำลังเตรียมงานกันอย่างเข้มข้น ส่วนเราสัตบุรุษทั่วไปสิ่งหนึ่งที่เราจะทำได้คือการให้ความร่วมมือกับส่วนกลาง ทำตามการประกาศ และที่สำคัญคำภาวนาของพวกเรานี่แหละจะทำให้การณ์ครั้งนี้สำเร็จได้อย่างดียิ่ง โดยเฉพาะคำภาวนาสายประคำที่เราจะเริ่มต้นในเดือนหน้า 

และแน่นอน ยังมีหลายคนใจร้อนใจเร็ว ตามกระแสแห่งโลกวันนี้ จึงอยากจะให้เป็นดังใจ ต้องใจเย็น ๆ ลงบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลรองรับเสมอ สิ่งที่เราคิดหลายคนก็คิดเหมือนกันแต่ที่สุดความเป็นไปได้ก็ต้องมีการตัดสินจากคณะทำงาน อาจจะไม่ถูกใจตรงใจเราไปเสียทั้งหมด อาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดไว้ เราต้องให้อภัยกันและร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ทำให้เสียบรรยากาศไม่ทำให้คนทำงานหมดกำลังใจ สิ่งนี้ต่างหากที่จะทำให้เกิดความยินดีร่วมกันในเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ อะไรเราควรที่จะเรียนรู้บ้างจากชีวิตของพระสันตะปาปาฟรังซิส เริ่มต้นจากการที่ถูกรับเลือกอย่างสุดความคาดหมาย
14 ปีที่แล้ว (ค.ศ.2005) หลังสิ้นสุดสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 คณะพระคาร์ดินัลได้ทำการลงคะแนนเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ผู้ที่ได้รับตำแหน่งคือ พระคาร์ดินัลโยเซฟ รัตซิงเกอร์ (สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16) ครั้งนั้น ส่วนคนที่ตามมาเป็นอันดับสองคือพระคาร์ดินัล ฆอร์เค่ แบร์โกโญ่ พระอัครสังฆราชแห่งบัวโนวไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า


8 ปีต่อมา (ค.ศ.2013) หลังจากปฏิบัติหน้าที่พระสันตะปาปาสุดความสามารถ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ก็ประกาศสละตำแหน่งแบบช็อกคนทั่วโลก โดยทรงให้เหตุผลว่า ด้วยพละกำลังและสุขภาพที่ถดถอยลงเรื่อย ๆ ในวัย 85 ชันษา พระองค์ไม่สามารถนำพาพระศาสนจักรคาทอลิกได้อีกต่อไปทำให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ “ปาปาบิเล” (Papabile) หรือพระคาร์ดินัลตัวเต็งที่จะได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาองค์ต่อไปไม่มีชื่อของ พระคาร์ดินัล ฆอร์เค่ แบร์โกโญ่ ผู้ที่ได้คะแนนอันดับสองในการเลือกตั้งพระสันตะปาปาครั้งที่แล้ว สาเหตุที่สื่อมวลชนมองข้ามพระคาร์ดินัลชาวอาร์เจนไตน์ ไม่มีอะไรซับซ้อนนอกจาก “อายุเยอะเกินไป” นั่นเอง (ปี 2013 แบร์โกโญ่ อายุ 76 ปี)
การเลือกตั้งพระสันตะปาปาปี 2013 มีพระคาร์ดินัลที่เข้าร่วมการเลือกตั้งทั้งหมด 115 คน ผู้ที่ได้เสียง 2 ใน 3 หรือ 77 เสียงขึ้นไป จะได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่
วันที่ 12 มีนาคม 2013 การเลือกตั้งพระสันตะปาปาได้เริ่มขึ้นเป็นวันแรก ผลการลงคะแนนรอบที่หนึ่ง การลงคะแนนเสียงยังไม่สำเร็จ จากผลคะแนนรอบแรก “พระคาร์ดินัลแบร์โกโญ่” กลับมาอีกครั้ง เช้าวันที่ 13 มีนาคม 2013 พระคาร์ดินัล 115 คนลงคะแนนรอบสอง ผลปรากฏว่า ยังไม่มีใครได้ถึง 77 เสียง
เกิดข่าวซุบซิบว่า “พระคาร์ดินัลแบร์โกโญ่ มีปัญหาสุขภาพ เพราะเหลือปอดข้างเดียว” เรื่องนี้พระคาร์ดินัลแบร์โกโญ่ปฏิเสธทันทีว่าไม่มีปัญหาสุขภาพ แต่ยอมรับว่า เมื่อปี 1957 ตนเคยเข้ารับการผ่าตัดปอดตอนอายุ 21 ปี แพทย์เอาปอดออกหนึ่งข้างจริง แต่จนถึงปัจจุบัน ปอดข้างเดียวที่เหลืออยู่ ก็ยังทำงานได้ตามปกติ ข่าวลือที่สองที่พยายามสกัดกั้นพระคาร์ดินัลแบร์โกโญ่ก็คือ “แบร์โกโญ่เป็นพวกเดียวกับเผด็จการทหารที่ปกครองอาร์เจนติน่าระหว่างปี 1976-1983” เรื่องนี้คำตอบที่ได้รับก็คือ “ข่าวลือนั้น เหลวไหลทั้งเพ!


พระคาร์ดินัลแบร์โกโญ่ เหมือนจะรู้อนาคตตัวเองเช่นกัน เนื่องจากบ่ายวันนี้พระคาร์ดินัลคนอื่น ๆ เข้ามาพูดคุยสอบถามเรื่องต่าง ๆ มากผิดปกติ ในที่สุด การเลือกตั้งก็เริ่มขึ้น พระคาร์ดินัล 115 คนกลับเข้าสู่วัดน้อยซิสติน พระจิตทรงทำงานในการลงคะแนนรอบที่ห้า ชื่อ “แบร์โกโญ่” ถูกกล่าวออกมาเป็นครั้งที่เจ็ดสิบเจ็ด เสียงปรบมือก็ดังสนั่นวัดน้อยซิสติน เพราะนั่นหมายความว่า พระคาร์ดินัลมีมติเป็นเอกฉันท์แล้วว่า พระสันตะปาปาองค์ใหม่เป็นใคร สิ้นสุดการนับคะแนน ทุกอย่างกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่กับพระสันตะปาปาองค์แรกจากลาตินอเมริกา และเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่มาจากคณะเยสุอิต และเลือกใช้พระนามว่า ฟรังซิส 
เรื่องราวการเลือกตั้งพระสันตะปาปา 2013 สอนอะไรเราได้หลายอย่าง ถ้าพระเจ้าเลือกใครแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ผู้ที่ถูกเลือกก็ต้องได้ทำงานให้กับพระอยู่ดี  เป็นอีกครั้งที่ “มนุษย์มองแบบนี้ แต่พระเจ้ามองต่างออกไป” มนุษย์มักคาดการณ์กันไปเรื่อย คำนินทาและแผนใส่ร้ายป้ายสีทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้เป็นตามที่เขากล่าวหา และเรามีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งจริง ๆ(บทความบางส่วนจากเพจ PopeReport)
เพื่อเป็นการเตรียมตัวต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส คอลัมน์ “คนข้างวัด” จะพยายามนำเรื่องราว ข้อคิด คำสอน ของพระองค์ท่านมาแบ่งปันในครั้งต่อ ๆ ไป


วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2562

มากไปก็หนัก


มากไปก็หนัก
น้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียงนำความทุกข์ยากลำบากมาให้หลายคนหลายชีวิต ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งน้ำจิตน้ำใจคนไทยทั้งชาติที่ออกมาช่วยเหลือกัน แม้จะมีการสาดใส่กันด้วยวาทกรรมต่าง ๆ บ้าง ก็ถือเสียว่าเป็นสีสัน สร้างความตระหนักรู้ ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนสังคมแห่งความเมตตา แปลงความริษยาเป็นกรุณาเผื่อแผ่กัน สร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน เรื่องตัวเลขเงินทองก็อย่าไปให้ความสำคัญกันมากนัก เพราะจะทำให้การช่วยเหลือกลายเป็นการแช่งเหลือไปเสีย ชีวิตผู้คนยังต้องดำเนินเดินหน้ากันต่อไป หลังจากน้ำลดก็ต้องช่วยกันฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่และจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบกันต่อไป

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ในขณะเดียวกันก็มีเหลือบส่วนเกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอเห็นยอดเงินบริจาคแล้วเกิดกองกิเลสใหญ่ตาโต รีบฉวยโอกาสเปิดบัญชีปลอม สวมรอยคนดังหวังเม็ดเงินบุญ ใช้ความฉลาดในกลโกงหลอกลวงผู้อื่น เอาความเดือดร้อนมาหากิน คนเหล่านี้ในจิตใจมีแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ โดยไม่สนใจใยดีต่อเรื่องของความเป็นคนสักเท่าไร!!! ใช่หรือไม่ ในกระแสสังคมในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาสร้างพื้นฐานผู้คนให้สะสม กอบโกย แล้วเรียกมันว่า “ความมั่นคงในชีวิต” เมื่อเราต่างคนต่างเก็บกักของส่วนรวมจนกลายเป็นของส่วนตัว ในนามของความเห็นแก่ตัวนั่นเอง ได้อ่านบทความหนึ่ง น่าสนใจที่จะนำมาไตร่ตรองถึงวิถีชีวิตของเราสอดคล้องกับคำสอนในวันนี้

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
นายสำราญเก็บขยะขายตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ก่อนตายเขียนพินัยกรรมยกเงินเก็บสองแสนบาทให้ลูก 
นายกนกทำงานบริษัทมาตั้งแต่หนุ่ม    เมื่อเกษียณมีเงินเก็บหนึ่งล้านกว่าบาท เขาส่งทรัพย์สินต่อให้ลูกสองคน 
นางนงเยาว์เปิดโรงงานผลิตปลาหมึกกระป๋อง     กิจการใหญ่ขึ้นมีบ้านห้าหลังรถยนต์สิบคัน ก่อนตายก็เขียนพินัยกรรมส่งต่อทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีให้ลูกหลาน
การส่งทรัพย์สินต่อให้ลูกหลาน  เป็นระบบที่มนุษย์สร้างไว้มานานแสนนาน  กติกาของเราคือทำงานสะสมทรัพย์สินให้เต็มที่   เมื่อตายก็ส่งต่อทรัพย์สินที่ดินให้ลูกหลาน ได้ทำให้รู้สึกว่าคุ้มแก่การลงแรงทำงาน ดังนี้จึงเป็นภาพปกติที่เห็นพ่อแม่จำนวนมากก้มหน้าก้มตาหาเงิน    เก็บเงินให้ลูก จะว่าไปแล้ว ระบบนี้ใช้ตัณหาเป็นแรงขับเคลื่อน  ตัณหาในที่นี้มิได้หมายความในเชิงร้าย   แค่หมายถึงว่าใครทำงานมากกว่าก็ได้มากกว่า เคยสังเกตไหมว่า เมื่อเราย้ายเข้าบ้านใหม่หรือห้องเช่าใหม่   กินเวลานานเท่าไรที่เปลี่ยนจากห้องว่างเป็นห้องที่มีข้าวของเต็มแน่น ส่วนใหญ่ไม่นานเพราะเป็นสัญชาตญาณของเรา คนเราเกิดมาก็เริ่มสะสม จนกลายเป็นนิสัย สัตว์จำศีลเก็บอาหารเท่าที่ต้องกินตลอดฤดูหนาว   แต่มนุษย์สะสมทรัพย์สินเงินทองมาก ๆ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้มากขนาดนั้นจนมันกลายเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยามากกว่าความจำเป็น ยิ่งมีเงินทองมากยิ่งอุ่นใจ เคยถามตัวเองไหมว่า     เราต้องการทรัพย์สินเงินทองมากเท่าไรจึงจะรู้สึกปลอดภัย? เราต้องการความปลอดภัยมากจนมันกลายเป็นนิสัยงกหรือไม่? และบางครั้งมีเงินมาก ๆ แล้วเหนื่อยกว่าเดิม! ยิ่งมีสมบัติมากก็ยิ่งมีห่วงผูกคอมากเท่านั้น กลายเป็นชีวิตที่รุงรัง
สมมุติว่านายสำราญ นายกนก นางนงเยาว์ อยู่คนเดียวไม่มีญาติมิตร ไม่มีผู้รับมรดก    บางทีพวกเขาอาจเดินชีวิตช้าลง ถ้าหากการไม่มีห่วงทำให้เรารู้สึกพอเพียงง่ายกว่า เราอาจลองลดห่วงโดยมองว่าการมอบสมบัติให้ลูกหลานมากเกินไปอาจทำร้ายพวกเขามากกว่า
ทรัพย์สินพันล้านหมื่นล้าน    ก็ไม่ได้ทำให้คนคนหนึ่งเป็นคนพิเศษขึ้นมา   ถ้าใช้มันไม่เป็น หรือให้เงินทองใช้เรา กลายเป็นทาสของมัน ดังนั้น ทัศนคติว่าต้องมีมากกว่าคนอื่น     อาจเป็นการสร้างโซ่ตรวนมาพันธนาการวิญญาณตัวเอง แน่ละมันย่อมมิใช่เรื่องเลวร้ายที่จะมีสมบัติพัสถานมาก หรือร่ำรวยล้นฟ้า แต่หากไม่สามารถอยู่เหนือความรวย ชีวิตก็ต้องเหนื่อยกับการแบกของหนักตลอดเวลา เราไม่จำเป็นต้องทิ้งทุกอย่าง  เพียงแต่อยู่เหนือทรัพย์สินเงินทอง เป็นเจ้านายมัน ไม่ใช่เป็นทาสมัน เมื่อห้องของหัวใจว่างจากตัณหา ก็ไม่เป็นทุกข์ การปล่อยวางทางวัตถุต้องเริ่มที่ปล่อยวางทางจิต  แต่ไม่ง่าย เราเลือกพ่อแม่ไม่ได้  เลือกสีผิว ประเทศ ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเดินแบกของหนักหรือเดินแบบตัวเบาสบายไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ได้ (บางส่วนจากหนังสือ 1 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้  - วินทร์ เลียววาริณ)

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
เงินทองมีความจำเป็นสำหรับทุกคน แต่ต้องใช้จ่ายตามความเหมาะสม เพื่อส่งเสริมความดีความงาม ความซื่อสัตย์ในชีวิต ถ้าเราซื่อสัตย์ต่อตัวเองเราก็จะซื่อสัตย์ต่อสรรพสิ่งในโลกนี้ ทรัพยากรเป็นของส่วนรวม ต้องรู้จักใช้รู้จักนำ การฉกฉวยและสะสมเก็บไว้ให้นอนนิ่ง ๆ ไม่ก่อประโยชน์กับใครก็ถือว่าคดโกงต่อโลก นอกจากจะกลายเป็นเชื้อโรคเป็นเนื้อร้ายที่กัดกินจิตวิญญาณให้เสียไป ความมีเมตาตาต่อกัน การไม่เอาเปรียบกัน ไม่คดโกง ไม่คิดกลหลอก ไม่สะสมให้มาก ไม่ต้องแบกให้หนักเกินตัว เราก็สามารถเดินทางไปไหนต่อไหนด้วยความสุข แม้จะมีทุกข์ขวางทางเราก็ก้าวข้ามผ่านไปด้วยความเบิกบาน เบาบาง สำราญใจเป็นยิ่งนัก

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562

อะไรที่หายไป


อะไรที่หายไป
ในชีวิตจริงเรามักพบเจอกับเหตุการณ์ที่ของสำคัญ ของจำเป็น ของมีค่าสูญหาย แล้วเราก็พยายามหาแล้วหาอีกนึกแล้วนึกอีกว่าสิ่งนั้นมันเคยอยู่ตรงไหน!!! บางครั้งบางเวลาถึงกลับต้องรื้อค้นจนมีของอื่นที่ลืมไปแล้วโผล่มาให้เห็น สิ่งที่หาไม่พบ สิ่งที่พบไม่ต้องการ....ถ้าเจอเราก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น แต่ถ้าสูญหายไปจริง ๆ เราจะรู้สึกเศร้า โกรธตัวเองที่ลืม ที่ไม่ใส่ใจสิ่งนั้นให้เพียงพอ ยิ่งในสมัยนี้ด้วยแล้วเรามักจำสิ่งต่าง ๆ ไม่ค่อยได้ เนื่องเพราะเราคิดว่าเรามีเครื่องมือช่วยจำแทนเรา ในความเป็นจริง มันจำแทนเราไม่ได้เสียทุกเรื่อง ยิ่งนับวันสมองของคนเราไม่ได้รับการใช้งานมากนัก เราจึงหลง ๆ ลืม ๆ กันมากขึ้น จดจำได้น้อยลง ถ้าถามตัวเราว่า จำเบอร์โทรศัพท์ญาติมิตรสหายสัก 10 เบอร์ คงเป็นเรื่องยาก ขนาดเบอร์ตัวเองแท้ ๆ บางครั้งยังนึกไม่ออกบอกไม่ถูก ความจำส่วนนี้สูญหายไปหมดสิ้น


เรายังมีความสะดวกที่เอื้อให้เราไม่กลัวการลืมของอีกชนิดหนึ่ง นั่นคือ แต่ละบ้าน แต่ละที่มีกล้องวงจรปิด ถ้าลืมเมื่อไรเราก็รีรันเหตุการณ์ได้ เช่น ในวัดเซนต์หลุยส์ของเรา บ่อยครั้งมีคนลืมนั่นลืมนี่หลังจากมาร่วมมิสซา ส่วนใหญ่ของเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้ให้เจ้าของมารับคืน หรือถ้านานวันสักหน่อย เราก็ย้อนดูว่ามีใครเก็บของเหล่านั้นไว้บ้างหรือเปล่า ทำให้การหาของหายง่ายดายขึ้น สำคัญที่เราก็ต้องจดจำให้ได้ว่าเรานั่งตรงไหน เวลาใด ถ้าทุกสิ่งเราจำไม่ได้ ของนั้นก็มีโอกาสที่จะไม่ได้กลับคืน ฉะนั้นแล้ว ความจำ ยังสำคัญเสมอ อย่าปล่อยให้ความจำสูญหาย เพราะเรามีเครื่องไม้เครื่องมือช่วย มันอาจจะช่วยได้บางส่วนเท่านั้น
เมื่อเราพูดถึงของที่หาย มีหลายเรื่องราวก็หายไปจากชีวิต สิ่งนั้นเคยสำคัญกับเรา แต่วันหนึ่งเราอาจจะไม่ให้ความสำคัญ จึงทำให้ชีวิตเราดูบางเบา ดูไม่ค่อยจะสมบูรณ์ เคยสังเกตไหมว่าความสุขในชีวิตเราหายไปบ้างหรือเปล่า บางครั้งเราให้เวลากับสิ่งภายนอก กับการเสาะหา โดยลืมการแสวงหาความสุขภายในไป เรามุ่งมั่นสู่ความสำเร็จทางด้านการงานและการเงิน จนเกินความจำเป็นจนทำร้ายร่างกายอย่างไม่รู้ตัว มีแต่ความเครียด ความหงุดหงิด ความกลัว และความอิจฉาผู้อื่น จนลืมไปว่าความสุขนั้นของใครก็ของมัน ต้องสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งการสร้างสุขนั้นต้องเปิดใจกว้างเพื่อรับความสุขจากผู้อื่น และส่งต่อความสุขนั้นไปยังผู้อื่นเพื่อเพิ่มพูนให้สุขยิ่งขึ้น สิ่งนี้จะบังเกิดได้ด้วยการลดละความเห็นแก่ตัว และไม่มุ่งที่จะนำคนอื่นมาเปรียบเทียบ ยิ่งถ้าสร้างมาตรฐานการดำเนินชีวิตทางวัตถุสูงเกินจำเป็น ต้องมีข้อเงื่อนไข บีบคั้นชีวิตอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่รู้ตัว ถูกสิ่งที่เรียกว่า “วัตถุแห่งความสุข” หลอกให้วิ่งหา จนเมื่อได้ความสุขนั้นมาแล้ว ก็ยังถูกหลอกให้วิ่งหาความสุขอื่น ๆ อีกต่อไปไหม?  การแสวงหาความสุขของเรา “ชอบธรรม” พอที่จะไม่นำความทุกข์ย้อนกลับมาเป็นของแถมที่ไม่ต้องการให้ในภายหลังไหม?  
ความสุขที่หายไปบางครั้งก็มาจากการทำความรักหล่นหายระหว่างทาง ความเมตตาถูกทิ้งลงข้างทาง เราเห็นการหย่าร้าง เลิกรา ของเหล่าดารานักแสดงเป็นประจำ มีให้เห็นทุกวันบนหน้าฟีดข่าว สิ่งนี้กำลังสร้างฐานข้อมูลใหม่ให้ผู้คนในสังคม แล้วก็มองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ครอบครัวไม่เป็นครอบครัว การแต่งงานเป็นเพียงพิธีกรรม เป็นเพียงงานสังสรรค์ภายนอกเท่านั้น ผู้คนมักให้ความสำคัญกับการจัดงานมากกว่าคำสัญญาว่าจะถือซื่อสัตย์ต่อกันตราบวันสิ้นชีวา ลืมว่าจะดูแลกันทั้งในยามสุขและยามทุกข์ เนื่องเพราะเราต่างฝ่ายต่างยึดมั่นในตัวตน ความอดทนไม่มี หลงลืมวันแรกรัก ความฝันแรกร่วมกันสร้างครอบครัว มักมีคำว่า “ทัศนคติไม่ตรงกัน” เป็นคำกล่าวอ้างเพื่อให้ตัวเองดูดีที่จะห่างร้างลาจากกัน ในวันหน้าเราจะมีผู้คนที่ไร้รากหรือรากอ่อนแออยู่ในสังคมอีกเท่าไรกัน เราลืมการสร้างครอบครัวเพื่อสร้างสังคมกันหมดแล้วหรือ???


เราหลงลืมรอยยิ้มหายไปจากใบหน้า รอยยิ้ม ความสง่างาม ความมั่นใจนั้นเป็นทรัพย์สินทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากมีสิ่งเหล่านี้ จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อหมดยิ้ม หมดรัก ทำให้ผู้คนหล่นหายไปจากชีวิตเรา วันเวลาผ่านไปมีผู้คนเข้ามาทำความรู้จักมากมาย แต่ที่ยังสนิทเป็นมิตรสหาย ยินดีที่จะคบหากันในระยะยาวมีสักกี่คน ในสังคมที่ต่างคนต่างอยู่ ในเมืองที่วุ่นวายกลับรู้สึกเดียวดายและเงียบเหงา เพราะเราลืมความจริงใจต่อกัน แค่ยิ้มให้กันยังมีอคติมาขวางกั้น ความสัมพันธ์ต่อกันจึงเปราะบางพร้อมแตกหัก โรคซึมเศร้าจึงระบาดอยู่ทุกหนแห่ง เราต่างทำให้ความสุขหายไปอย่างไม่รู้ตัว
ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม ก็จงเป็นคนดีมีเมตตา การมีจิตใจดี ก็จะทำให้เราเป็นผู้ที่ได้รับความคุ้มครองดูแลอย่างดีที่สุดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ความร่ำรวยและอำนาจ ทำดีย่อมได้ดีตอบแทนเสมอ หมั่นสำรวจค้นหาว่าการทำความดี เรายังเรียกร้องให้คนยกย่องสรรเสริญ อยากให้คนอื่นเห็นหรือเปล่า  เรายังหวังผลตอบแทน หรือคาดคั้นจะเอาผลตอบแทนให้ได้หรือเปล่า? ถ้าเป็นดังนี้ แสดงว่าเรายังเป็นคนดีแบบมีเงื่อนไข ซึ่งจะทำให้เราไม่สามารถสัมผัสคุณค่าแห่งความดีที่แท้จริงได้  เราลืมความจริงข้อนี้ไป ความสุขเราก็สูญหาย ดังนั้นการค้นหาความสุขจึงต้องปล่อยบางสิ่งไว้ในที่ที่ของมัน   การหยุดความอยากได้ คือ ฟากฝั่งแห่งความสุข อะไรที่หายไปเรายังออกแรงค้นหา แล้วความดีที่หายไปเล่า เราพร้อมที่จะออกแรงค้นหากันแล้วหรือยัง

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562

ข้าวสวยอยู่ที่ข้าว


ข้าวสวยอยู่ที่ข้าว
นับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิตที่ตลอดเวลามีข้าวสารส่งมาจากญาติผู้ใหญ่ใจดีจากต่างจังหวัดไม่ขาดหม้อ และได้ทานข้าวสวยหอมกลุ่นกลิ่นข้าวใหม่ การหุงข้าวสารให้เป็นข้าวสวยจึงเป็นกิจวัตรประจำบ้าน บางวันบางเวลาก็เกิดอาการเบื่อที่จะไปซื้อกับข้าวแค่อุ่นข้าวสวยในหม้อให้ร้อน ไข่เจียวสักจานก็สำราญพุงแล้ว ความง่าย ๆ ของข้าวสวยจึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับช่วงเวลาแบบนั้น และด้วยการที่เรามีข้าวสวยทานประจำ บางครั้งก็ทำให้เราลืมความสำคัญของข้าวสวยไป เรามักจะว้าวุ่น กระวนกระวายหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาทานมากินกัน เราให้คุณค่ากับสิ่งที่จะมาทานกับข้าวมากเกินไป เรามองข้ามหลักแห่งการทานแบบไทย ๆ ไป แต่วันใดที่เราคิดอะไรไม่ออกเราก็จะมองเห็นข้าวในหม้อ ชีวิตเราก็มักเป็นแบบนี้ เรามักไม่ค่อยจะเห็นค่าของสิ่งที่มี เรามักมองหาสิ่งที่ขาดจนพลาดสิ่งที่มีอยู่เสมอ สิ่งที่มีนั้นบางครั้งคือสิ่งที่ให้คุณค่าคุณประโยชน์ และคู่ควรกับเรามากที่สุด


ด้วยความที่เราแสวงหาสิ่งอื่นมาตบแต่งจนลืมเนื้อแท้แกนหลักในชีวิตไปยิ่งทีเรายิ่งแสวงหาจนนับครั้งไม่ถ้วน และแสวงอย่างไม่มีวันหยุด ใช่หรือไม่บางทีเราดันให้คุณค่ากับสิ่งที่ห่อหุ้มมากกว่าเนื้อใน แล้วคิดไปว่าสิ่งนั้นคือเนื้อแท้ เราให้ความสำคัญกับจานชามที่ใส่ข้าว ให้ความสำคัญกับข้าวมากกว่าข้าวสวยร้อน ๆ ที่นอนรออยู่ในหม้อ ที่จำเป็นต้องทานเป็นอาหารหลักของคนไทย ทำไมเราจึงเรียกว่า“ข้าวสวย ?”

เพิ่มคำอธิบายภาพ : อินเตอร์เน็ต
“ข้าวสวย” นั้น น่าจะเป็นคําที่กร่อนเสียง หรือ กลายเสียงจากคําว่า ซุย แทนที่จะเรียกว่า ข้าวซุย คําว่า ซุย มีความหมายคล้ายคํา ว่า ร่วน คือมีลักษณะไม่เกาะกัน คนภาคกลางไม่เรียกเช่นนั้น เรากลับเรียกว่า ข้าวสวย ในการนิยามความหมายคําว่า สวย จึงนิยามความหมายตามที่มีการใช้ทั่ว ๆ ไป อย่างมีการใช้ว่า บ้านสวย คนสวย ฟ้าสวย รถสวย ฯลฯ สวยตรงนี้มีความหมายคร่าว ๆ ว่างามนั่นเอง แต่ถ้าจะอธิบายคําว่า สวย ที่ผนวกอยู่ท้ายคําว่า ข้าว เราคนไทยไม่ได้แปลว่า ข้าวงามหรือข้าวสวยดี แต่เราหมายถึงข้าวเจ้าที่หุงสุกแล้วพร้อมกินได้ (นิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม)
หญิงสาวนางหนึ่ง หลังจากแต่งงานไปแล้ว ยามที่เธอพบเห็นใครมีบ้านหลังใหญ่โต มีรถหรูๆขับ เธอมักจะโทษกล่าวและเสียใจที่ตนเองช่างไม่มีวาสนาเทียบใครเขาได้ 
ในวันหยุดครั้งหนึ่ง เธอกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน เธอระบายความขุ่นเคืองที่อัดอั้นอยู่ในใจให้แม่ฟัง แม่ของเธอได้แต่รับฟังและก็ยิ้มไม่พูดอะไร!
เมื่อถึงเวลากินข้าว แม่ของเธอก็เปิดตู้หยิบชามข้าวออกมาหลายใบ มีทั้งชามสแตนเลส ชามเซรามิก และชามกังใส นางเอ่ยกับลูกสาวว่า
“ลูกจ๋า รีบเอาชามไปใส่ข้าวเร็ว!”
คนในบ้านมีสี่คน เธอเลือกชามข้าวที่สวยที่สุดไปสี่ใบ เหลืออีกสี่ใบที่เธอไม่เลือก รอลูกสาวตักข้าวใส่ชามเสร็จแล้ว นางจึงชี้มือไปที่ชามทั้งสี่ใบที่ถูกทิ้งไป
“ลูกจ๋า ลูกเห็นอะไรหรือเปล่า? ชามที่ลูกเลือกไปใส่ข้าวนั้น มีแต่ใบสวย ๆ ทั้งนั้น แต่ใบอื่น ๆ แม้จะใส่ข้าวได้เหมือนกัน ลูกกลับไม่ยอมใช้มัน ปล่อยมันไปไว้ไม่เห็นมันอยู่ในสายตา นี่เป็นเรื่องปกติ ใคร ๆ ก็อยากได้ชามที่สวย ๆ มาใส่ข้าวกันทั้งนั้น!”
เธอรู้สึกว่าวันนี้แม่พูดมากเป็นพิเศษ แต่ก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่แม่พูด

“ลูกรู้ไหม นี่คือที่มาของความคับแค้นใจในวาสนาของลูก เวลาเรากินข้าว เราต้องการข้าวไม่ใช่ชามที่สวยหรือไม่สวย แท้ที่จริง การแต่งงานก็เหมือนกับชามที่เรานำมาใส่ข้าว สวยหรือไม่สวยมันก็แค่รูปลักษณ์เปลือกนอก มีเพียงความรัก ที่เป็นข้าวที่อยู่ในชาม ข้าวหอมหรือไม่หอม ไม่เกี่ยวกับชาม ดังนั้น ต่อให้ชามที่ลูกถืออยู่เป็นชามสังกะสี หากในชามนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ขอเพียงลูกไม่ใส่ใจกับชามใบนั้น ลูกก็จะรู้ว่าลูกมีวาสนาเพียงใด! ”
ชาม แม้จะสวยงามปานใด หากไม่มีข้าว ต่อให้ราคาแพงลิบ มันก็คือความว่างเปล่า ชีวิตครอบครัวก็เช่นกัน หากปราศจากความรัก ต่อให้มากสมบัติพัสถาน ชีวิตคู่ก็ปราศจากซึ่งความสุข มีแต่ความทุกข์ไม่จบสิ้น (จากเพจ : นุสนธิ์บุคส์)
            ชีวิตของคนเรานั้นเกิดขึ้นมาจากความรัก ความรักจึงเป็นเสาหลักของชีวิต และสำหรับเราคริสตชน เราเชื่อว่าความรักนั้นมาจากพระเจ้าพระผู้สร้าง หากเราจะติดตามพระเจ้าเราต้องปล่อยละทุกสิ่งที่เป็นเพียงสิ่งภายนอก แน่นอนเป็นการยากที่เราจะไปถึงจุดนั้น สิ่งที่เราพอทำได้คือ การยึดเอาความรักที่สวยงามเป็นจุดหลักในการดำเนินชีวิตโดยไม่ต้องไปปรุงแต่งเอาสิ่งภายนอกมาปกคลุมให้ดูสวยเกินงาม เราไม่จำเป็นต้องหาสิ่งใดมาให้ดูสมบูรณ์แบบ เหมือนกับกระแสค่านิยมของสังคมโลกที่สร้างให้เรารกรุงรังไปด้วยเปลือก ที่เต็มไปด้วยการสะสม และการแข่งกัน อวดกันไปมา ความรักของเราไม่ต้องอิจฉากัน ต้องใส่ใจเรื่องของจิตใจจิตวิญญาณให้มากกว่าสิ่งภายนอก หากเราเป็นผู้ที่คำนึงถึงความรักเป็นหลักในชีวิต เราจะมองเห็นผู้อื่นด้วยความรัก เราจะไม่ดูถูกหยามหมิ่นกัน แต่ถ้าหากเรามัวแต่ปล่อยให้ความรักนอนนิ่งจมอยู่ก้นเหวก็เหมือนกับปล่อยให้ข้าวสวยในหม้อบูดเน่าไป ชีวิตเราก็ไร้ค่า นำมาใช้ประโยชน์ต่อไปไม่ได้ มีแต่จะทิ้งไปให้พ้นๆ ...และถ้าหากครั้งใดตักข้าวใส่จานจงให้ความสำคัญข้าวสวยมากกว่าจานชามที่ใส่ ความรักก็เป็นเช่นเดียวกัน