วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ใครเล่าใส่สีสัน

ใครเล่าใส่สีสัน
     
            หากเรามองดูสถานการณ์ของสังคมวันนี้ มีข่าวความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งในวันนี้ที่แทบทุกลมหายใจคือข่าวสาร เรายิ่งพบความขัดแย้งและนำมาซึ่งความขัดแย้งในตัวเราด้วย ฉะนั้นแล้วการอ่าน การดู การฟังข่าวจากสื่อต่าง ๆ ต้องเพิ่มวิจารณญาณไตร่ตรองกรองให้สะเด็ดก่อนที่จะเชื่อ ท่ามกลางความขัดแย้งนั้นหากมองให้ลึกลงไปสักหน่อย เราก็จะพบบทเรียนบทสอนสำหรับเราด้วยกันทั้งสิ้น อะไรที่เป็นของเทียมวันหนึ่งก็ย่อมเสื่อมสลายต่อให้พยายามสร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่สักเพียงใด หากจิตใจมิได้มุ่งสู่ทางธรรมเสียแล้ว ย่อมมีวันดับสูญไปได้ ...



มีผู้สันทัดกรณีเคยกล่าวไว้ว่า “โลกใบนี้คือ โลกแห่งสีสันของชีวิต มีทั้งทุกข์ สุข หัวเราะ ร้องไห้ สำเร็จ ล้มเหลว ยกย่อง เหยียบหยาม และอื่น ๆ แล้ววันนี้ชีวิตเรามีสีสันอยู่ในโทนแบบใด ???วันเวลาแห่งความสุขเป็นวันที่มีสีสันสวยงาม สดใส สบายกายสบายใจ มักเคลื่อนผ่านเราไปอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะฉุดรั้งเอาไว้ได้ ตรงกันข้ามกับห้วงเวลาแห่งความอึมครึม เวลาแห่งทุกข์ที่ทับโถม ยากยิ่งนักที่จะพลักดันให้ออกไปให้ห่างไกลจากเราได้ หากเราจำแนกโทนสีแห่งความทุกข์ในความรู้สึกเราออกมา มันก็จะอยู่ในโทนทึม ๆ มืด ๆ และถ้าลองมาจำแนกแยกความทุกข์ของเราออกมาอีกขั้นหนึ่ง จากสิ่งที่เราประสบพบเจอมาตลอดนั้น เป็นทุกข์ที่มาจากตัวเราและกับสิ่งที่คนอื่นกระทำที่ส่งผลกระทบมายังเรา 

ประเด็นแรก ทุกข์ที่เริ่มต้นจากการผสมสีของเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอิงเอาเรื่องปัจจัยภายนอกมาเป็นเครื่องกำหนดทิศทาง เรื่องปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ เรื่องการมีข้าวของเงินทองไว้ในครอบครอง ในโลกทุกวันนี้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการพูดคุยกันแต่เรื่องทางเศรษฐศาสตร์ ค่านิยมของคนเราจึงมุ่งสู่การหาให้มีมาก เพื่อทำให้การดำรงอยู่มีความสะดวกสบายและปลอดภัยเป็นที่ตั้งพอยิ่งหามาได้กลับยิ่งไม่เพียงพอ ยิ่งมียิ่งอยากได้ให้มากขึ้น เกิดความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ นำมาซึ่งการแข่งขันและความขัดแย้ง เห็นคนอื่นมีก็อยากมีบ้าง มิได้มองว่ามีไว้เพียงเพื่ออะไร มีบ้านเพื่ออาศัยอยู่ มีรถเพื่อขับขี่ แต่นี่เรามีเพื่ออวด เพื่อโชว์ เพื่อให้ดูดี วัตถุประสงค์แห่งความต้องการมีเพื่อดำรงอยู่ ถูกใส่สีสันเพื่อเพิ่มบารมีและก็บังเกิดความยึดมั่นถือมั่น นับถือตัวเองจนเกินงาม นี่จึงเป็นที่มาของการดิ้นรนขวนขวาย แต่....ท้ายที่สุดแล้ว ในแต่ละคนก็มีสีสันของตนเอง ฉะนั้นจึงอย่าเพียรทำอย่างคนอื่นเพียงเพื่ออยู่เหนือคนอื่นเลย 

ประเด็นต่อมาคือสีสันที่คนอื่นมาป้ายใส่เรา มาโยนใส่เรา ก่อให้เกิดความเกลียดชังดังขึ้นในใจตลอดเวลา หลายครั้งสีสันในชีวิตเรามีผู้คนหยิบยื่นให้ เป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญชน เพราะเราต่างก็ถูกสร้างมาเพื่อให้เราได้หยิบยื่นสีสันของชีวิตให้กันและกันอยู่แล้ว บางสีอาจเป็นสีที่ถูกใจ บางสีอาจเป็นสีที่เราไม่ชอบนัก แต่บ่อยครั้งเราปล่อยให้สีที่เราไม่ชอบมาทำให้ความรู้สึกเราเปลี่ยนไป แล้วก็กลับไปโทษคนที่ยื่นสีนั้นให้กับเราจนเกิดเป็นความบาดหมางในใจ แน่ล่ะในการเกิดมาเป็นมนุษย์ปุถุชน ย่อมหนีไม่พ้นการถูกนินทากล่าวร้ายป้ายสี ใครบ้างเล่าจะรอดพ้นจากสิ่งเล่านี้ได้!!!! ต่อให้เป็นคนแสนดีสักปานใดก็มิอาจจะรอดพ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ รู้แบบนี้ เป็นเราเองนั่นแหละที่จะต้องมีวิธีการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ เพื่อไม่ให้ชีวิตไปติดขัดกับอุปสรรคเหล่านี้
โทมัส เอ.เอดิสัน เขาไม่ได้เรียนจบจากสถาบันการศึกษา หลายคนบอกว่าเป็นอุปสรรค แต่สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่  เอดิสัน เขาต้องทนทรมานจากการหูหนวกของตัวเขาเอง จนหลาย ๆ คนคิดว่ามันคืออุปสรรค แต่สำหรับเขาแล้ว... มันก็ไม่ใช่อีก  มีอยู่วันหนึ่ง มีนักข่าวคนหนึ่งไปถามเขาว่า การที่เขาหูหนวก มันเป็นอุปสรรคต่อการทำงานไหม???
เขากลับตอบกลับ จนนักข่าวต้องตะลึงว่าการที่เขาหูหนวกเป็นสิ่งที่ดี ต่อการทำงานของเขา เพราะเขาจะได้ไม่ต้องมานั่งฟังคำพูดที่ไร้สาระของบุคคลต่าง ๆ ซึ่งบางคนยังไม่รู้เลยว่าตนเองต้องการอะไรในชีวิต แต่การที่เขาหูหนวก ทำให้เขาได้ยินเสียงจากภายในใจของเขาเอง
แท้จริงแล้ว...สีสันของชีวิตใกล้ชิดกับอุปสรรค วิธีการง่าย ๆ เราต้องรู้จักที่จะก้าวข้ามมันไป และเราต้องไม่ไปใส่สีสันด้วยการก่ออุปสรรคให้กับคนอื่น

ช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เสด็จไปอภิบาลสัตบุรุษและถวายมิสซาที่วัดซานตา มารีอา โยเซฟา แห่งพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู  พระสันตะปาปาตรัสสอนว่า “เราทุกคนต่างมีศัตรูด้วยกันทั้งนั้น เราทุกคนเจอคนที่ชอบพูดนินทาลับหลังเรา นี่จึงเป็นโอกาสอันดีให้เราเริ่มคิด หยุดคิดสักครู่ว่า พวกเขาก็เป็นลูกของพระบิดาเหมือนกัน ถ้าเราคิดแบบนี้ได้ มันก็จะเปลี่ยนจิตใจของเราได้เช่นกัน จงอวยพรเขา จงภาวนาให้คนที่ไม่ชอบท่าน ภาวนาแบบง่ายๆ ถ้าทำได้ดังนี้ ความเคียดแค้นบางส่วนจะถอยห่างออกไป และเรากำลังจะใส่ความพยายามลงไปบนหนทางของความศักดิ์สิทธิ์”(Pope Report)


ในโลกปัจจุบันที่มักบอกกล่าวให้ชีวิตเรามีสีสัน ด้วยการแต่งเติมเสริมด้วยเปลือกนอกอยู่ทุกวัน เท่านั้นยังไม่พอเราต่างก็พยายามไปเสริมเติมแต่งให้กันและกัน ด้วยค่านิยมที่บูชาวัตถุภายนอกเป็นที่ตั้ง ยิ่งเสริมยิ่งเติมยิ่งแต่ง ก็ยิ่งหนาจนยากที่จะค้นพบสีสันที่สวยงามตามธรรมชาติ สิ่งที่ขาดหายไปจากวงจรชีวิตของคนรุ่นใหม่คือการไม่รู้จักใช้วันเวลาเพื่อขัดเกลาตัวตนบ้าง ใช่หรือไม่ สีสันที่ทาลงไปกับพื้นที่ถูกการขัดเกลาก่อนย่อมติดทนนานกว่าสีที่ถูกทาทับไปบนสีเดิม ๆ สีสันในชีวิตเราก็เช่นกัน หากเราต้องการสีสันที่สว่าง สุข สงบ สันติ เราก็ต้องขัดเกลานิสัยที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว ฝักใฝ่เสพติดกับสิ่งภายนอกออกเสียบ้าง เพื่อให้ใจของเรานั้นเต็มไปด้วยสีสันแห่งความดีที่คงนาน ที่ใครพบเห็นแล้วสบายใจ ใครเล่าจะเป็นคนใส่สีสันอันนี้ เป็นเราเองใช่หรือเปล่า....

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

อัญชันนั้นงามยามเด็ดดอก

อัญชันนั้นงามยามเด็ดดอก
เป็นสิ่งที่ดีมิใช่น้อยที่ในทุก ๆ เช้า เราได้เห็นการเจริญเติบโตขึ้นของสรรพสิ่งรายรอบตัวเรา มีเวลาชื่นชมเก็บเกี่ยวผลิตผล เพื่อสร้างแรงผลักดันให้มีชีวิตชีวาก้าวหน้าเดินออกไปสู่โลกภายนอกด้วยหัวใจที่อิ่มเอม เพราะ...ในทุกวันนี้เราต่างรีบตื่นนอนรีบทำภารกิจ อาบน้ำแต่งหน้าแต่งตัว กลัวว่าจะหมดเวลา ไปไม่ทันเวลาเข้างานต้องรีบเร่งออกจากบ้าน ไม่เคยสังเกต ไม่ทันได้มองด้วยซ้ำไปว่ามีอะไรรอบกายเราเติบโตเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อาจจะเห็นเพียงหน้าเราในเงากระจกเท่านั้น เป็นอันใช้ได้... หรือมีบ้างบางคน แม้แต่ตัวเองยังไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองเลย 



หลังจากที่สมาชิกคนหนึ่งในบ้านได้นำต้นอัญชันมาลองปลูกหน้าบ้าน ที่มีพื้นที่เล็ก ๆ แรก ๆ ก็คิดว่าอีกไม่นานก็คงโรยราเหี่ยวเฉาตายไป แต่ด้วยความที่เอาใจใส่ช่วยกันรดน้ำ ใบเริ่มผลิหนาขึ้น ผ่านไปไม่นานเห็นดอกตูม ๆ เริ่มแย้มสีม่วง และเริ่มเบ่งบานในวันรุ่งเช้า เป็นความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ลองหาข้อมูลก็พบว่าถ้าอยากจะให้อัญชันออกดอกมากขึ้น ต้องหมั่นเด็ดดอกที่บานแล้วออก ฉะนั้นภารกิจในตอนเช้าคือเด็ดดอกอัญชัน แรก ๆ มีไม่ถึงสิบดอก ผ่านไปหลายสัปดาห์กลายเป็นสิบยี่สิบดอกเห็นจะได้ จากนั้นอัญชันต้นนี้ก็สร้างแรงบันดาลใจให้คนในบ้านที่คิดว่า พื้นที่เล็ก ๆ หน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์แบบนี้มีอะไรจะปลูกอีกได้บ้าง เมล็ดพันธุ์หลากหลายถูกนำมาปลูก แน่ล่ะ..บางพันธุ์ไม่ทันข้ามสัปดาห์ก็เน่าเปื่อยไม่ยอมงอกเงยให้เชยชม เรียนรู้ ทดลองกันจนได้ต้นไม้หลากหลาย โดยเฉพาะพืชผักสวนครัว แม้จะมีไม่กี่ต้น แต่ก็ทำให้หัวใจของคนปลูกรู้สึกถึงความสำเร็จ มีการช่วยกันหากระถาง หาดิน หาปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน หรือกระทั่งหาวิธีการใหม่ ๆ มาเพื่อให้ต้นไม้หน้าบ้านน่ามอง เฝ้าดูการเติบโตในทุกเช้า-เย็น เป็นความอภิรมย์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในหน้าบ้านหลังนี้
การปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ ก็คล้าย ๆ กับการดูแลตัวเองและคนรอบกายของเรา สิ่งแรกสุดก็คือเราต้องสร้างความรักให้เกิดขึ้นในตัวเองก่อน ใช่หรือไม่ บางทีเราละเลยที่จะรักตัวเองด้วยความเคยชิน เฉื่อยชาและดำรงชีวิตแบบเดิมจำเจ และบางทีก็ถลำลึกกลายเป็นการทำร้ายตัวเองแบบไม่รู้ตัว ในทุกเช้า เราเคยเห็นการเจริญเติบโตของเราบ้างไหม โดยเฉพาะการเจริญเติบโตภายใน มีความแช่มชื่นเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด มีความสุขเพิ่มเติมยามลืมตาตื่น เมื่อเรารักและหมั่นดูแลตัวเราแล้ว ก็ไม่เป็นการยากอะไรในการที่เราจะรักและเมตตาต่อคนรอบกาย แม้กระทั่งกับคนเพียงผ่านพบ

ชายคนหนึ่งหยุดรถที่ร้านขายกระเช้าดอกไม้  เตรียมจะสั่งกระเช้าดอกไม้ทางโทรศัพท์ เพื่อให้ทางร้านโทรศัพท์ติดต่อร้านดอกไม้อีกเมืองหนึ่งให้ส่งดอกไม้ไปอวยพรวันเกิดแก่แม่ของเขาที่อยู่ห่างออกไปประมาณสี่ร้อยกิโลเมตร
เมื่อเขาลงจากรถยนต์เขาเห็นเด็กผู้หญิงอายุราว 5 ปี  นั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าร้าน จึงเข้าไปถาม “ร้องไห้ทำไมจ้ะ  มีอะไรให้ช่วยไหม” 
เด็กหญิงตอบทั้งน้ำตาว่า “หนูอยากซื้อดอกกุหลาบสีแดงไปให้แม่ ดอกกุหลาบราคาดอกละห้าบาท แต่หนูมีเงินแค่บาทเดียวเท่านั้นเอง”
ชายคนนั้นยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวลุงจะซื้อให้หนูเอง”
แล้วเขาก็จ่ายเงินห้าสิบบาทซื้อกุหลาบสีแดงจำนวนสิบดอกให้แก่หนูน้อย แล้วถามว่า “แล้วตอนนี้แม่ของหนูอยู่ที่ไหน   หนูจะพาลุงไปหาแม่ของหนูด้วยได้ไหมล่ะ”
หนูน้อยตอบตกลง   บอกว่าแม่ของหนูอยู่ใกล้ร้านขายดอกไม้นิดเดียวเอง เดินไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง เด็กหญิงพาชายใจดีผู้มีน้ำใจไมตรีออกจากร้าน เดินผ่านเข้าไปในวัดที่อยู่ใกล้ร้าน เข้าถึงศาลา   ซึ่งมีศพที่เพิ่งจะเสียชีวิตมาไม่กี่วันตั้งอยู่    หนูน้อยหยิบดอกกุหลาบสีแดงช่อนั้นเข้าไปกราบหน้าศพ ซึ่งมีรูปผู้หญิงยังสาวตั้งอยู่ แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
ชายใจดีเดินกลับมายังร้านดอกไม้แห่งเดิมด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาบอกยกเลิกการสั่งดอกไม้ทางโทรศัพท์ที่เตรียมส่งไปให้แม่ แต่ซื้อกุหลาบช่อใหญ่  แล้วขับรถใช้เวลาห้าชั่วโมง ตรงไปหาแม่ของเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่ร้อยกิโลเมตรในคืนวันนั้นเอง......(จากนิตยสาร แม่พระยุคใหม่ฉบับที่ 151  ปีที่ 27)
ใช่หรือไม่ เราผู้อยู่ในยุคใหม่ยุค Gen Me ที่สนใจแต่เรื่องของตัวเอง จนบางครั้งบางหนลืมมองดูว่าสิ่งที่เราสนใจ สะสม ไขว่คว้าหามาครองนั้น มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นเลย ตอนแรก ๆ ก็ทำเพื่อตัวเองแต่ผลลัพธ์กลับเป็นการทำร้ายตัวเอง แล้วก็พาลโกรธ กักขังตัวเองให้จมอยู่ในเหวลึกแห่งความทุกข์ ไม่มีความจริงใจจริงจังต่อการดำเนินชีวิต คนเรานั้นมักจะผิดหวังกับสิ่งที่คาดหวังเสมอ เราต้องไม่คาดหวังในตัวเองจนเกินไปนัก เพราะชีวิตจริงคือการเรียนรู้ ปรับปรุง แก้ไข ในทุกนาที หาความหมายของตัวเอง  เอาใจใส่คอยดูแล คอยทนุถนอมรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยให้กับชีวิตให้เพียงพอและเหมาะสม แล้วเราก็จะรักผู้อื่น รักสิ่งรอบกายได้อย่างสบายใจ รักได้แม้กระทั่งศัตรู ของเรา เพราะหากเรามีความรักและเมตตาเต็มล้น เราจะยังมีศัตรูอยู่อีกหรือ วันนี้ถ้าเรายังรักตัวเองไม่เป็น ยังไม่รู้จักที่จะคัด ที่จะตัดบางสิ่งออกจากชีวิต จิตใจเราก็ไม่มีการเจริญเติบโตขึ้น แม้ร่างกายจะเติบใหญ่ แต่จิตใจแคระแกรน จะหาประโยชน์อันใดได้เล่า....

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’

ใช่หรือ ไม่ใช่
เดี๋ยวนี้คนเราฆ่าแกงกันง่ายดายเหลือเกิน ใจร้อน ขาดสติ โมโหร้าย ใช้กำลังและอาวุธเข้าห้ำหั่นกัน การใช้รถใช้ถนนร่วมกันก็มีแต่ความเห็นแก่ตัว และไร้น้ำจิตน้ำใจต่อกัน ไม่ค่อยมีคำว่า “อภัย ใจสบาย” ให้พบเห็น อาจเป็นเพราะสังคมมุ่งแต่การแข่งขันกัน ใช่...สังคมไทยปัจจุบัน เป็นสังคมที่เห็นคุณค่าทางวัตถุมากกว่าคุณค่าทางจิตใจ ยิ่งพัฒนาไปเท่าใด จะยิ่งเกิดปัญหาจากการพัฒนาเท่านั้น ยิ่งมีวัตถุสนองความต้องการมากเท่าใด ยิ่งไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ คนไทยในยุคทุนนิยมบูชาความร่ำรวย จึงมีปัญหาทางจิตเกิดขึ้นมากมาย  มีพฤติกรรมการแสดงออกที่รุนแรง ขาดเมตตา ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ เคยเรียน เคยได้รับการปลูกฝังมาว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” แต่เราประพฤติตรงข้ามและปฏิเสธว่า “ไม่ใช่” คนไทยยุคใหม่ตกเป็นทาสของทุนนิยมที่ผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคมาเป็นเหยื่อล่อ ทำให้เกิดกิเลสอยากมีอยากได้ สนับสนุนให้เกิดค่านิยมบริโภคผ่านสื่อต่าง ๆ โดยปราศจากการควบคุม

ภาพ : http://p3.isanook.com

ค่านิยมของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กับความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดของระบบการสื่อสารสมัยใหม่ ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งและส่วนใหญ่ของวิถีการดำเนินชีวิต ข่าวสารไหลเข้ามาหาเราอย่างรวดเร็ว จนไม่มีเวลากระทั่งตั้งตัวตั้งสติ จนทำให้หลายต่อหลายคนขาดสติ กล่าวหาผู้อื่นแบบไม่เคยไตร่ตรอง มองคนอื่นในด้านเดียว ด้านที่แย่ หลายคนใช้สื่อสมัยใหม่เพียงเพื่อกลบเกลื่อนปมของตัวเอง ด้วยการกดทับคนอื่นและยกย่องตัวเองให้สูงเด่น บางครั้งบางหนคนเราก็ทำร้ายกันด้วยวาจา ฆ่ากันด้วยอักษรเพียงไม่กี่ตัว ยิ่งมีข่าวร้ายรายนาทีมากขึ้นเท่าไร หัวจิตหัวใจของผู้คนยิ่งแข็งหยาบกระด้างลงไปทุกนาทีเช่นกัน ใส่ความคนอื่น กล่าวหา ด่าทอว่าคนอื่น “โง่” มีให้เห็นมากมาย เพียงเพื่อสะใจ และการแสดงความคิดเห็นแบบหยาบ ๆ โดยไม่ต้องเผชิญหน้า มันง่ายและถูกจริตของผู้คน
ในสังคมปัจจุบันเรามักชอบตรวจสอบคนอื่น ไม่ยอมหันมาตรวจสอบตนเอง ใช่หรือไม่ใช่ เราต้องเตือนตนด้วยตนเอง หรือจงตั้งตนไว้ในคุณธรรมก่อน แล้วจึงสอนคนอื่น ทำได้เช่นนี้จึงจะไม่มัวหมอง ไม่ควรแต่คิดหาความผิดของคนอื่น แต่ควรพิจารณาตนว่า อะไรที่ตนทำแล้วหรือยังไม่กระทำ เราถูกสอนให้รู้เรื่องภายนอกตัว โดยมิได้เน้นว่าเมื่อเรียนรู้เรื่องของคนอื่นแล้ว ให้หันมาตรวจสอบตนเองบ้าง ค่านิยมแบบนี้จึงนำปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับคนยุคใหม่ที่บริโภคยอด Like จากสื่อใหม่เป็นอาหาร เพื่อสร้างความนิยมให้กับตัวเองจนหลงลืมศีลธรรม ยิ่งทุกสื่อสมัยใหม่ที่มีการให้ถ่ายทอดสดผ่านมือถือด้วยแล้ว ความเสื่อมทรามจะตามมามีให้เห็นรายวัน และจะกลายเป็นความชินชา หนุ่มสาวหลายคนใช้เรือนร่างล่อหลอก ให้มีคนติดตาม แล้วนำไปต่อยอดขายสินค้าทำรายได้ หาเงินจับจ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย สื่อสมัยใหม่ทำให้คนรุ่นใหม่หมกมุ่นในกาม เป็นที่รวมสิ่งยั่วยุทางเพศ สื่อลามกต่าง ๆ มากมาย การค้าบริการทางเพศแบบออนไลน์มีให้เห็นมากมาย มีการผิดประเวณี ผิดขนบธรรมเนียม  เมื่อสังคมไทยตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ จนถอนตัวไม่ขึ้น และส่วนใหญ่คิดว่า การมีความพร้อมทางวัตถุจะทำให้ชีวิตมีความสงบสุข จึงชอบวิ่งตามวัตถุ ไขว่คว้าหามาบำรุงชีวิต นิยมวัตถุ นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือย ยกย่องคนรวย โดยไม่คำนึงถึงว่าจะร่ำรวยมาได้โดยวิธีใด เกิดการแข่งขันเอารัดเอาเปรียบ ไม่คำนึงถึงคุณธรรม จริยธรรม ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงมาจากความสับสนวุ่นวายทางจิตใจ เมื่อจิตใจไม่มั่นคง ก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดมั่น
ข่าวดาราเลิกรา หย่าร้างคู่แล้วคู่เล่า มีให้เห็นมาตลอด และทุกคนก็ออกมาแถลงข่าวอย่างไม่รู้สึกเลยว่านี่เป็นความล้มเหลวที่เลวร้ายของสถาบันหลัก พื้นฐานที่เป็นสาเหตุของการหย่าร้าง มาจากผลกระทบความมั่นคงในครอบครัว ที่ได้รับแรงกดดันมาจากการใช้ชีวิตภายนอกบ้าน โดยเฉพาะความตึงเครียดจากสภาพการทำงานที่มีมากขึ้น เมื่อกลับเข้าบ้านต่างก็มีความตึงเครียดกลับเข้ามาด้วย หากไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ ก็จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง และทำให้ชีวิตครอบครัวยุติลงต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้เลี้ยงตัวเองได้ ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งคู่ชีวิตก็สามารถอยู่ได้ ความอดทนน้อยลงไม่มีการเสียสละและไม่รู้จักการให้อภัยกัน ใช่...การที่มีคนมาอยู่ร่วมกันมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป ย่อมต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าทั้งสองคนไม่ได้มีการใคร่ครวญ ไตร่ตรองกรองความคิดถึงเหตุผลต่าง ๆ เป็นอย่างดี และร่วมช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ให้ลุล่วงลงได้ด้วยดี ความไม่เข้าใจกันจึงเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ค่านิยมที่สอนเราให้เก่งนั้นบางทีก็ ไม่ใช่ ให้เก่งกับทุกคนและทุกเรื่อง

ภาพ : http://prosperityedwell.com/wp-content/uploads/2016/06/familypic.jpg

ปัญหาการหย่าร้างย่อมส่งผลกระทบต่อลูกหลาน แต่เราพยายามที่จะสร้างค่านิยมที่ช่วยกันเลี้ยงแบบต่างคนต่างอยู่ และดูว่ากำลังเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ แท้จริงแล้ว เด็กในครอบครัวที่แตกแยกจะขาดความรัก ความอบอุ่น มีความรู้สึกไม่มั่นคง เนื่องจากลูกเคยชินต่อสภาพพ่อแม่ให้ความรัก ความอบอุ่น และความมั่นใจแก่เขา แต่ความสัมพันธ์แบบนี้ต้องถูกทำลายไป ยังไงก็ต้องส่งผลต่อจิตใจเด็ก ๆ ลูก ๆ ทั้งนั้น แต่เราคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหา ด้วยการสร้างกระแสค่านิยมใหม่ ๆ มากลบเกลื่อน

ใช่หรือไม่ใช่ ทุกวันนี้ศีลธรรมจรรยาที่ดีงามกำลังถูกปลอมแปลงลบเลือนให้หายไปจากหัวใจของผู้คน การธำรงไว้ซึ่งความดีงามโดยปราศจากความรักความเมตตาจึงเป็นเหมือนกับร่างกายที่ปราศจากจิตวิญญาณ สังคมในปัจจุบันนี้ที่ทุกอย่างกลายเป็นความเคยชิน ความชั่วกลายเป็นความดี ความเลวกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนออกมาชื่นชม ความผิดกลายเป็นการปกป้องตนเองและครอบครัว จนทำให้เงินซื้อได้ทุกอย่างแม้กระทั่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แบบนี้มันใช่หรือ....

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ปิดมืดมิด เปิดเจิดจรัส

ปิดมืดมิด เปิดเจิดจรัส
            คราใดที่มีโอกาสได้กลับบ้านเกิด ก็มักชอบที่จะไปยืนมองริมแม่น้ำเจ้าพระยา บางครั้งก็ลงไปนั่งลงเล่นเอาเท้าแตะน้ำ เรียกบรรยากาศเมื่อวันวานคืนกลับมา ณ แม่น้ำสายนี้ที่เคยลงแหวกว่าย ที่เคยท้าทายว่ายข้ามฝั่ง สอนให้แข็งแรงและเพียรพยายาม นั่งมองต้นหญ้าพลิ้วไหวยามต้องแสงสุดท้ายปลายวัน ความงามในนามของความเรียบง่าย


ทุกสรรพสิ่งย่อมมีคุณค่าและความงามในตัวเสมอสายน้ำยังคงไหลไป ตะวันลาลับกลับไปแล้วมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น สิ่งรอบ ๆ ริมแม่น้ำสายนี้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มีกำแพงเขื่อนกั้นที่แข็งแรงพอที่จะสู้กับน้ำที่ท่วมล้นได้ยามฤดูน้ำหลาก และป้องกันการพังทลายของตลิ่งริมชายฝั่ง ความสูงของกำแพงเขื่อนทำให้การขึ้นลงไปนั่งเล่นริมแม่น้ำมีความยากลำบากมากขึ้น แต่ความงามและความร่มเย็นก็ไม่อาจจะต้านทานความลำบากเล็กน้อยนี้ลงได้ กำแพงมีไว้ป้องกันแต่ไม้ได้มีไว้เพื่อปิดกัน...


เมื่อพูดถึงกำแพงก็คิดถึงข่าวเป็นที่ฮือฮาสำหรับนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ที่จะสร้างกำแพงสูงกั้นเขตแดนเม็กซิโกเพื่อกันกั้นผู้ลี้ภัยอพยพเข้ามาในดินแดนของตน และยังจะให้คนเม็กซิกันเป็นคนจ่ายค่าก่อสร้างด้วย (ใครจะยอม) ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วโลก ในเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวแบบนี้ทำให้คิดว่า แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่าง ๆ พัฒนามากขึ้น แต่คนเรามักถอยหลังกลับคืนสู่โลกของตัวเอง ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของความเปลี่ยนแปลงเพื่อมวลมนุษย์ ยิ่งก้าวไกลใจยิ่งคับแคบ ทั้ง ๆ ที่เรามีบทเรียนมาครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็ยังทำแบบเดิม ๆ  เพราะเราพัฒนาแต่ทางด้านวัตถุ พัฒนาเพื่อตัวเอง พัฒนาเพื่อให้ได้มาครอบครอง ในปี 1989 (ปีที่กำแพงเบอร์ลินถูกทลายลง) ขณะนั้นทั่วโลกมีรั้ว หรือกำแพงปกป้องชายแดนเพียง 16 แห่งเท่านั้น จวบจนวันนี้ จากการสำรวจเมื่อปีที่ผ่านมา ปัจจุบันตัวเลขเพิ่มเป็นจำนวน 66 แห่ง รายงานจาก Elisabeth Vallet และมันคงจะมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ ตราบใดที่จิตใจเรายังคับแคบมองเพียงด้านเดียว ประโยชน์ตนเท่านั้น
เมื่อชาวจีนโบราณต้องการอยู่อย่างปลอดภัย พวกเขาได้สร้างกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นโดยเชื่อว่าจะไม่มีมนุษย์หน้าไหนสามารถปีนข้ามไปได้เพราะกำแพงสูงมาก
ทว่า...ภายในร้อยปีแรก หลังการสร้างกำแพงใหญ่ ปรากฏว่าเมืองจีนกลับถูกรุกรานถึงสามครั้ง และในแต่ละครั้งกองทัพของศัตรูไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทะลวงหรือปีนข้ามกำแพงเลยแม้แต่น้อย โดยทุกครั้งพวกเขาใช้วิธีติดสินบนยามเฝ้าประตูจากนั้นจึงเข้าทางประตูนั่นเองแน่นอนว่าชาวจีนมัวแต่ห่วงเรื่องสร้างกำแพงจนลืมสร้างคนเฝ้ากำแพง แท้จริงการสร้างคนต้องมาก่อนการสร้างสิ่งอื่น และนี่คือสิ่งที่พวกเราในทุกวันนี้ต้องตระหนักให้มาก Cr : m.eduzones.com
           
และวันนี้เราสร้างคน สร้างตนเพื่อให้เป็นคนใจกว้างมากน้อยแค่ไหน ในสังคมวันนี้เรามักเห็นต่างคนต่างสร้างกำแพงทั้งหนาทั้งสูงเพื่อปกป้องตัวเองด้วยกันทั้งนั้น จนไม่มองเห็นทางออก แน่ล่ะ เราสร้างกำแพงปกป้องตัวเองได้ ในขณะเดียวกันเราก็อย่าลืมที่จะทำประตูในกำแพงนั้นเพื่อเปิดออกสู่สังคมภายนอกและเพื่อต้อนรับเพื่อนสนิทมิตรสหายด้วย เรามิได้เกิดมาเพียงเพื่อตัวเอง เราล้วนเกิดมาเพื่อกันและกัน เกิดมาพึ่งพิงกัน เกื้อกูลแบ่งปันกัน ภายใต้กำแพงเราก็มักเห็นเพียงด้านเดียว คือด้านที่เราอยู่ ไม่ว่าที่ใดยิ่งปกปิดยิ่งมืดมิดและอับเฉา ยิ่งครอบงำยิ่งสูญเสีย
อย่าพยายามสร้างกำแพงขวางกั้นจิตใจของเราให้อับเฉา ให้ชีวิตจมดิ่งอยู่ในความมืด เพราะกำแพงที่ก่อขึ้นในใจนั้น ท้ายที่สุดแล้วคนที่ถูกจองจำ และกลายเป็นเชลยที่น่าสงสารที่สุด ก็คือ ตัวเราผู้สร้างมันขึ้นมา และคงไม่มีใครที่จะมาทลายกำแพงนี้เพื่อเรานอกจากตัวเราเท่านั้น แล้วเราจะทำให้ชีวิตเราก้าวไปสู่จุดนั้นทำไม!!!หากชีวิตเรามีแต่ความมืดมิดแล้วเราจะเป็นแสงสว่างสำหรับคนรอบข้างได้อย่างไร? หรือ...เราต้องอาศัยความสว่างจากผู้อื่น อีกนั่นแหละหากกำแพงทั้งสูงทั้งหนาของเราถูกสร้างไว้แล้ว จะมีแสงใดเล่าเล็ดลอดเข้าไปได้ ถ้าเราต้องการให้ผู้อื่นช่วยเหลือ เราก็ต้องรู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่นก่อน หากเราต้องการความรักเมตตาเราก็ต้องมีรักและเมตตาในหัวใจก่อน ไม่ใช่นิ่งนอนอยู่แต่ในกำแพงปิดทุกทิศทาง
นชีวิตของผู้คนยุคใหม่ในวันนี้ มีหลายคนที่มักจะสร้างกำแพงเพื่อบดบังสิ่งดี ๆ ในตัว และกักขังคุณค่าที่งดงามเก็บซ่อนอยู่ภายในใจ จึงทำให้สิ่งดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ สังคมจึงดูไร้เรื่องราวที่ดี ๆ ที่งดงาม วัน ๆ เราจึงเห็นแต่ผู้คนแสดงความใจแคบ แสดงอคติที่อยู่ในมุมมืดออกมา เพราะความหนาของความเห็นแก่ตัวและความมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นกำแพงที่แข็งแกร่งเกินกว่าไป ใช่หรือไม่ กำแพงที่สร้างด้วยอิฐ หิน ปูน ทราย แม้จะมีความยิ่งใหญ่ หรือแข็งแกร่งสักปานใด เราก็สามารถที่จะทะลวงทลายให้ร่วงมากองกับพื้นได้ กระทั่งทำให้ละเอียดเป็นผุยผงได้ด้วยแรงระเบิดเพียงไม่กี่นาที แต่กำแพงที่เราสร้างขึ้นในใจของตน เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่ใครจะมาทำให้เป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเจ้าของชีวิต




การทลายกำแพงจิตใจนั้นไม่ยากไปกว่าการสร้างเลย แค่ค่อย ๆ เพิ่มประตู ใส่หน้าต่างรับรู้ รับแสงสว่างจากภายนอกบ้าง นำเอาสิ่งที่ดีงามของเราภายใต้กำแพงออกมาเพื่อให้ผู้อื่นได้ชื่นชมบ้าง แม้จะมีไม่กี่คนที่เห็นคุณค่า กาลเวลาจะช่วยขัดเกลาและพัฒนาสิ่งนั้นให้งดงามยิ่งขึ้น กำแพงแข็งแกร่งแห่งใจ ต้องใช้ความรักเมตตาความอ่อนโยนเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือทลายให้อ่อนน้อมลง ไม่นานแสงแห่งความดีงามนี้ก็จะก่อประกายเจิดจรัสสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้พบเห็น ใครเล่าจะปฏิเสธแสงแรกแห่งวันที่ส่องลงมายังแผ่นดินพื้นน้ำได้ ขอเพียงแค่อย่าพยายามสร้างกำแพงขวางกั้นจิตใจของเราเลย มาช่วยกันทลายสลายกำแพงที่กักขังจิตใจของเราให้หมดไป แล้วร่วมกันสร้างหนทางแห่งความดีที่มั่นคงแข็งแรง ที่ยืนยาวประดับไว้ในโลกนี้ ...