วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ล้างพิษทางจิต

ล้างพิษทางจิต
พอเริ่มมีอายุมากขึ้น โรคภัยต่างๆก็เริ่มมาเยี่ยมกราย จะว่าไปอายุเพิ่งผ่านหลักสี่มาหมาดๆ ยังไม่ทันเข้าเขตดอนเมืองเลยด้วยซ้ำ ทำไมหนอร่างกายดูจะไม่เอื้อให้ทำงานเหมือนเมื่อก่อนเอาเสียเลย ลองมานึกๆดู นั่นเป็นเพราะการโหมงานแบบเป็นบ้าเป็นหลังทำงานแบบไม่หลับไม่นอน ใช้ชีวิตอยู่บนความประมาทคิดว่าตัวเจ๋ง ตัวเองเก่ง โอหัง ผลที่ตามมา วันนี้ร่างกายและสมองไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เสียแล้ว ร่างกายมักอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง เซื่องซึม ไม่กระปรี้กระเปร่า มีอาการปวดหัว  มึนงงอยู่บ่อยๆ นอนหลับก็ยาก บางครั้งยังรู้สึกว่านอนไม่พอ มักปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อหรือข้อต่อต่างๆ ขี้ลืม สมองไม่ปลอดโปร่ง คิดอะไรไม่ค่อยออกเหมือนเมื่อก่อน  ใครมีอาการอย่างนี้ยกมือขึ้นเป็นเพื่อนกันหน่อย...
พอมาถึงวันนี้จึงต้องมานั่งใส่ใจดูแลย้อนหลัง หันมาบำรุงใส่ใจให้มากขึ้น เริ่มหันมาระมัดระวังการกินการอยู่ หาเวลาพักผ่อนออกกำลังกาย โดยมีจุดเชื่อมที่เชื่อว่าร่างกายที่เราใช้อยู่นี้ มันก็ไม่ใช่ของเราแต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมอบหมายให้เราใช้ให้เราดูแล หากเราไม่สนใจใส่ใจที่จะดูแล นัยหนึ่งเราก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ไม่ได้ทำตามความไว้ใจที่พระประทานให้ เราไม่เคารพร่างกายก็เท่ากับว่าเราไม่เคารพพระเจ้า เมื่อตั้งโจทย์ไว้เช่นนี้แล้ว การทำร้ายร่างกายก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือ การบำรุงรักษาร่างกายให้แข็งแรง และฟื้นฟูส่วนที่เราเคยใช้งานจนเกินไปให้กลับคืนมา
มีอยู่หลายสิ่งอันที่เราใช้ร่างกายแบบไม่เคารพ ไม่ว่าจะเป็นการโหมงาน การเที่ยวดื่ม รวมทั้งการกินอยู่ ที่หลายครั้งหลายหนเราก็ละเลยที่จะระมัดระวัง อยากกินอะไรก็กินไม่บันยะบันยัง นำสารพิษ นำสิ่งที่สกปรกไปเก็บไว้ก็มากมาย ใช่... ด้วยความเคยชินคุ้นเคย เราก็เลยละ หรือจะให้ใส่ใจในทุกรายละเอียดซึ่งดูออกจะกระเดียดไปเสียหน่อย และยิ่งในยุคสมัยที่มีแต่การรีบเร่ง การกินก็ต้องเร่งรีบตามไปด้วย ไม่มีเวลาที่จะมาสรรหาคุณประโยชน์จากสิ่งที่กลืนลงไป  ได้มาตระหนักรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ ก็ตอนที่ได้มีโอกาสเข้ารับการฟื้นฟูร่างกายด้วยการล้างพิษ ทำให้มองเห็นชัดเจนว่า วิถีการดำเนินชีวิต และพฤติกรรมการกินการอยู่ของคนเราในแต่ละวัน ที่ขาดความใส่ใจต่อร่างกายของเราแล้ว วิถีทางเช่นนั้นยังอาจส่งผลกระทบให้ระบบการทำงานของร่างกายทำงานผิดปกติไปด้วย จึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ปริมาณของเสียและสารพิษภายในร่างกายมีมากเกินกว่าที่ระบบการล้างพิษตามธรรมชาติจะสามารถจัดการกับตัวของมันเองได้ ซึ่งหากว่าร่างกายของเรามีของเสียและสารพิษเหล่านั้นสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ย่อมเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานา
ตามข้อมูลได้กล่าวไว้ว่า การล้างพิษ คือ กระบวนการกำจัดของเสียและสารพิษแปลกปลอมที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกายให้หมดไป (ซึ่งตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมาได้ใส่การล้างพิษมาให้อยู่แล้ว)นั่นคือ ระบบขับถ่าย ซึ่งจะเริ่มทำงานตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มตื่นขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งร่างกายของเราจะพร้อมขับถ่ายภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ตื่นนอน และหากผ่านหนึ่งชั่วโมงไปแล้วร่างกายของเรายังไม่ได้ขับถ่ายของเสียออกไป ระบบขับถ่ายก็จะหยุดทำงานลงชั่วคราว
โดยปกติแล้วถ้าภายในร่างกายของเรามีของเสีย และสารพิษสะสมในปริมาณที่เป็นอันตรายถึงขั้นที่จะสามารถก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้ ร่างกายย่อมจะส่งสัญญาณเตือนออกมาให้เราได้รับทราบว่ามันกำลังต้องการความช่วยเหลือและความเอาใจใส่จากเรา เสมือนเป็นสัญญาณเพื่อบ่งบอกให้เราทราบล่วงหน้าว่าถึงเวลาที่เราจะต้องดูแลเอาใจใส่ตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการล้างพิษเพื่อขับของเสียและสารพิษให้ออกไปจากร่างกาย  (ข้อมูลบางส่วนจากวิกิพีเดีย)
ใช่หรือไม่ ในวันนี้เราเห็นผู้คนป่วยเป็นโรคภัยกันมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะเรื่องของการกินการอยู่ แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ก่อให้เกิดความป่วยไข้ได้ นั่นก็คือ เรื่องของจิตใจที่มีส่วนสอดประสานกับร่างกายอย่างเป็นเอกภาพก็เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้เราละเลยเรื่องภายในกันมากมาย จิตใจไร้ภูมิต้านทาน ร่างกายภายนอกจึงบอบบางและเปราะร้าวง่าย เห็นแต่ผู้คนที่มีแต่ความเครียดสะสม จิตใจก็คับแคบ แอบลอบทำร้ายทำลายกัน ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องแข่งขันเอาเป็นเอาตาย ความละอายต่อบาปก็หาไม่ได้แล้ว เมื่อสังคมนิยมบูชาความ มั่งมี จึงเห็นใครต่อใครก็เลยอยาก มีมั่ง ทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีเหมือนคนอื่นโดยไม่ได้ศึกษาเลยว่า บางคนที่เขามั่งมีมาได้นั้น เขาได้ผ่านอะไรมาบ้าง ต้องใช้ความขยันหมั่นเพียรพยายามเช่นไร ต้องใช้คุณธรรม มโนสำนึกฝ่ายดีอย่างไรบ้าง คนยุคนี้ชอบที่จะไปทางลัดตลอดเวลา เราจึงใช้ร่างกายอย่างสุรุ่ยสุร่าย  ใช้จิตใจในคราบซาตาน ช่วงชิงยึดครองเพียงเพื่ออยาก มีมั่ง ใช่หรือเปล่า..
ในขณะที่มารับการฟื้นฟูร่างกายด้วยการล้างพิษก็อดคิดไม่ได้ว่า สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำ คือ การล้างพิษทางจิตใจที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อจิตวิญญาณเราด้วย จิตวิญญาณอันเป็นที่ประทับของพระจิตเจ้า หากสกปรก หากหม่นหมอง พระจิตเจ้าจะสถิตอยู่กับเราได้อย่างไร แล้วเราจะมีอะไรเป็นที่ชี้นำมโนธรรมประจำตนในหนทางชีวิตประจำวัน เราจะมีอะไรที่จะออกไปสร้างสรรค์ความดีได้เล่า???  ใจอ่อนล้าร่างกายอ่อนแอ หนทางพ่ายแพ้มีให้เห็น ถึงเวลาหาทางช่วยกันชำระล้างพิษทางจิตใจให้หมดไป ด้วยการบำรุงเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิต การสวดภาวนา การอ่านพระคัมภีร์และไตร่ตรองในทุกๆวัน เมื่อจิตใจเราเข็มแข็ง พระจิตเจ้าก็จะทรงมาสถิตและเป็นพลังกำลังใจให้เราก้าวสู่โลกในวันนี้ ร่างกายที่แข็งแรงและจิตใจที่เบิกบาน จิตวิญญาณของเราก็จะสูงส่ง มีพร้อมหรือยังในตัวเรา... 

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อย่าเยอะและอย่าหยุด

อย่าเยอะและอย่าหยุด
การที่เราได้ทราบข่าวของบุคคลที่เคารพนับถือจากไปอย่างไม่มีวันกลับนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเอาเสียเลย ยิ่งเติบใหญ่ข่าวเหล่านี้ก็ย่อมมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในแง่ของความรู้สึกตามปุถุชนธรรมดาย่อมมีบ้างที่เศร้าโศก อาลัยอาวรณ์ แต่เราก็มีมุมมองมิติทางด้านความเชื่อที่เอื้อให้เราคลายความทุกข์โศกลงได้บ้าง เพราะด้วยอาศัยความเชื่อว่า สักวันหนึ่ง เราก็จะได้พบเจอกันในบ้านนิรันดร์ของพระบิดาผู้อารี ผู้ที่เฝ้าคอยเราให้กลับไปหาพระองค์ อาจดูเหมือนจะเป็นการปลอบโยนในระดับหนึ่ง แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปแล้ว เราทุกคนย่อมต้องมีที่มาที่ไป และที่ไหนเล่า...คือที่ที่เราจะไป ใช่...บ้านพระบิดานั้นหรือ แล้วเราจะกลับไปในฐานะอะไร จะกลับไปเช่นไร จะกลับอย่างภาคภูมิหรือซมซานกลับไป ในหนทางวันนี้แหละที่เราจะเป็นผู้กำหนดทิศระบุท่าทางของการกลับคืนสู่อ้อมกอดพระบิดาเจ้าได้

คุณพ่อปิแอร์ บาแบง 1926-2012
ภาพโดย : ดร.สิขเรศ ศิรากานต์

บ่ายของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ได้ทราบข่าวการจากไปของท่านอาจารย์ผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ห่างไกลถึงประเทศฝรั่งเศส ทำให้ความทรงจำที่เมื่อครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสใช้ชีวิตเรียนรู้อยู่กับท่าน คุณพ่อปิแอร์ บาแบง ท่านเป็นสงฆ์ชาวฝรั่งเศส เป็นสมาชิกของคณะธรรมทูตแห่งมารีย์นิรมล (OMI) คุณพ่อเป็นผู้บุกเบิกและก่อตั้งสถาบันอบรม Crec Avex ที่เมือง Lyon เป็นสถานที่อบรมเรื่องเกี่ยวกับการสื่อสารความเชื่อ การใช้สื่อเพื่องานอภิบาลและการประกาศข่าวดี มีผู้อบรมจากทั่วโลกหมุนเวียนเข้ามารับการอบรมทุกๆปี ทั้งพระสงฆ์ นักบวชชายหญิง และฆราวาสที่ทำงานด้านการสื่อสารมารับการเรียนรู้จากสถาบันแห่งนี้ (คุณพ่อสุพจน์ ฤกษ์สุจริต เจ้าอาวาสของเราก็ได้เข้ารับการอบรมจากที่นี่ด้วยเช่นกัน) คุณพ่อสร้างแนวทางการสอนที่ทันสมัย และเป็นคนแรกๆของโลกที่นำสื่อมาใช้ประกอบการสอนคำสอน
ในครั้งนั้นนอกจากจะได้เข้ารับการอบรมแล้ว ส่วนหนึ่งยังได้ร่วมเป็นทีมทำงานในศูนย์แห่งนั้นด้วย นับว่าเป็นโชคดีที่มีเวลาได้อยู่กับคุณพ่อมากกว่าคนอื่นๆในรุ่นนั้น คุณพ่อมักจะเรียกใช้ เรียกให้ไปไหนมาไหนกับคุณพ่ออยู่บ่อยครั้ง จึงได้มีโอกาสเห็นบุคลิกน่ารักๆที่ต่างไปจากความเป็นอาจารย์ในห้องเรียน คุณพ่อเป็นที่รักของคนทั่วเมืองลียง เพราะท่านเป็นนักเขียนเลื่องชื่อคนหนึ่ง มีผลงานเขียนมากมาย คุณพ่อมักจะทักทายคนผ่านไปผ่านมา ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จัก ไม่เว้นแม้กระทั่งพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างคาร์ฟูร์ ห้างที่ใกล้ๆบ้านพักคุณพ่อ วันหนึ่งคุณพ่อชวนไปซื้อของในห้าง แต่สิ่งที่ต้องการมันต้องเดินไปไกลมากและเวลาเราก็มีน้อย คุณพ่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มพูดว่า คิดออกแล้ว จากนั้นก็เดินไปหาฝ่ายประชาสัมพันธ์ แล้วก็มายืนรอแบบยิ้มๆไม่ทันไรก็มีพนักงานห้างนำของที่ต้องการมาให้ คุณพ่อมาเล่าให้ฟังตอนนั่งรถกลับว่า ท่านเห็นพนักงานส่วนใหญ่ใส่รองเท้าติดล้อ วิ่งไปตามช่องวางของต่างๆภายในห้างอยู่หลายคน  ก็เลยบอกกับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ว่า ผมเดินหาสิ่งที่ต้องการ (จำไม่ได้แล้วว่าเป็นอะไร) นานมาก แต่หาไม่เจอ...จะทำอย่างไรดี เพียงแค่นี้เขาก็แจ้งไปยังหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ที่ใส่รองเท้าสเก็ตวิ่งไปหยิบมาให้... แล้วท่านก็หัวเราะ.. นั่นเป็นมุมเล็กๆน้อยๆในความน่ารักและความสนุกสนานยามที่ไม่ได้อยู่ในห้องเรียน
คุณพ่อได้สอนเรื่องการผลิตงาน การทำรายการโทรทัศน์ การเขียนงานไว้ว่า การเข้าให้ถึง สร้างความประทับใจให้ได้นั้นสำคัญมากกว่าลูกเล่น ภาพเพียงภาพเดียวสามารถสื่อความหมายถึงผู้รับสารได้ ถือว่าประสบความสำเร็จในการสื่อสาร ความสำคัญอยู่ตรงนี้แหละ จะทำอย่างไรถึงจะได้ภาพเช่นนั้นมาได้ ทุกอย่างต้องมาจากอารมณ์ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ต้องเข้าถึงเนื้อหาก่อนที่จะถ่ายทอดออกไป อย่าใช้ความฟุ่มเฟือยของเอฟเฟ็ค หรือถ้าจะใช้ต้องตอบให้ได้ว่ามันสื่อถึงอะไร เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใช่เลย...มันตรงกับคำที่เรามักใช้กันในสมัยนี้ว่า อย่าเยอะ เราทุกคนก็เป็นผู้สื่อสารความเชื่อ ถ้าเราสื่อสารแบบเยอะๆออกไป คนที่จะรับเนื้อหาจากเราก็จะงงและเข้าไม่ถึงแก่นของสาร นี่ก็เป็นความล้มเหลวของการสื่อสาร
ในชีวิตเราก็เช่นกัน เราเยอะให้กับสิ่งอื่นมากมายจนหลงลืมแก่นของชีวิตไป บางครั้งตรงที่เยอะของเรา เป็นการเรียกร้องให้ผู้อื่นเข้ามาหาเรา ในสภาวะเช่นนี้มันอยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็เร็วคนรอบข้างก็จะเบื่อก็จะหน่าย ค่อยห่างหายหน้าไปจากเรา เพราะเราไม่เคยเปิดใจ ไม่เคยเข้าใจเข้าถึงคนอื่น ความเยอะเช่นนี้ก็จะกลายเป็นความแปลกแยก ความเยอะเช่นนี้กลายเป็นความเลอะเทอะ และเมื่อเรียกร้องแล้วไม่ได้ดังใจก็รวน ก็เที่ยวกลั่นแกล้งบ้าง นินทากล่าวร้ายกันลับหลังบ้าง กลายเป็นความเกลียดชังไม่มีที่สิ้นสุด
นอกจากนี้แล้วคุณพ่อได้พร่ำสอนกับศิษย์ว่า อย่าหยุดอ่านหนังสือ อย่าหยุดแสวงหาความรู้ อย่าหยุดคิด อย่าหยุดตั้งคำถาม และจงอย่าหยุดแสวงหาคำตอบ เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำเราไปสู่ความจริง จะทำให้เราเป็นคนที่เข้าใจคน เข้าใจโลก โดยไม่หลงไปกับกระแสของโลก และที่สุดแล้วเราต้องไม่นำสิ่งที่เรารู้ เราค้นพบมาใช้เพื่อตัวเอง อย่าโอ้อวดความเก่ง เพราะความรู้ไม่ใช่สมบัติของเราเพียงผู้เดียว เมื่อรู้แล้วก็แบ่งปัน เมื่อรู้แล้วก็ถ่ายทอดด้วยความสุภาพ อย่าเยอะกับความรู้มาก เราก็สามารถเป็นผู้สื่อสารความเชื่อให้กับผู้อื่นได้อย่างมีคุณค่า เราก็จะกลายเป็นผู้เปิดเผยความจริง นั่นคือการเผยพระเยซูเจ้านั่นเอง เพราะพระองค์ คือ ความจริง 
การจากลาของคุณพ่อปีแอร์ บาแบง อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นการจากลาอย่างสง่างามในนามของผู้ที่ได้สร้างคนสื่อสารที่พูดถึงความเชื่อ ที่ยืนยันในความจริง สิ่งนี้จะสถิตในจิตวิญญาณศิษย์ของท่านตลอดไป...

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หลับตาจึงได้เห็น


หลับตาจึงได้เห็น
ทบทวน หลับตาจึงมองเห็น ทบทวน ทบทวน หลับตาจึงได้เห็น บทกวีที่สอดแทรกมาในรายการทีวีที่มิได้ตั้งใจจะดู เพียงกดรีโมตผ่านไป แต่ได้ยินเสียงพิณอันไพเราะจึงหยุดฟัง เสียงพิณกับเสียงพูดของกวีคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นการพร่ำบ่นอะไรอยู่สักอย่าง สิ่งที่พอจะจดจำได้ ก็มาจากการพูดย้ำประโยคเดิมๆ ประโยคนั้นมันสะกิดใจดีเหลือเกิน เป็นคำง่ายๆแต่ความหมายกับลึกซึ้ง หลับตาจึงมองเห็น
โดยธรรมชาติการมองเห็นต้องเปิดตา ประสาทสัมผัสที่สำคัญคือ ดวงตา ที่จะทำให้เรามองเห็นภาพของสิ่งต่างๆได้ สามารถที่จะเรียนรู้และเข้าใจสิ่งแวดล้อมได้ สายตาจึงมีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์อย่างมาก ถึงแม้บางคน บางวัย บางเวลา สายตาฝ้าฟาง เพ่งมองสิ่งต่างๆไม่กระจ่างชัด ก็เที่ยวเสาะหาแว่นตา หาเลนส์มาสวมใส่เพื่อให้มองภาพที่ชัดเจน นั่นเป็นเรื่องทางกายภาพ ที่เป็นรูปธรรมนำมาจับต้องสัมผัสได้  แต่ ใช่หรือไม่.... ในชีวิตมนุษย์ผู้ประเสริฐ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพคุณค่าให้กับชีวิต จึงควรมีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นมาจากภายในจิตใจด้วย การย้ำเตือนมโนสำนึก นั่นคือ เรื่องของชีวิตภายในนั่นเอง ที่ต้องอาศัย ดวงใจ เป็นส่วนสำคัญ
ผู้คนส่วนใหญ่นั้นมักเคยชินกับสิ่งที่เห็นได้ แต่ไม่เคยชินกับสิ่งที่มองไม่เห็น และมักจะเกิดความกลัว กระวนกระวายเมื่อสายตามองอะไรไม่เห็น  เคยชินกับสิ่งที่อาจสัมผัสแตะต้องได้ แต่ไม่เคยชินกับสิ่งที่ไร้สภาพที่ไม่อาจจับต้อง เราจึงมักแสวงหาไขว่คว้าสรรพสิ่งมาครอบครองเป็นเจ้าของ เคยชินกับการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส แต่ไม่คุ้นชินกับการรับรู้ด้วยใจ เคยชินกับการมองด้วยตา แต่ไม่รู้จักการมองเห็นด้วยใจ ด้วยตัวตน ด้วยจิตสำนึก
ตั้งแต่ปฏิสนธิจากตัวอ่อน ค่อยๆเติบโตอยู่ในโลกภายในครรภ์มารดา ดวงตาปิดสนิท ความงดงามก่อเกิดขึ้นด้วยสายใยแห่งความรักจากแม่สู่ลูก ความอบอุ่นอาทรความห่วงใย จากความสัมพันธ์แห่งความรักของพ่อและแม่ จวบจนถึงเวลาได้ลืมตาสู่โลกภายนอก วันคืนผ่านไปดวงตาเปิดออกเห็นโลกภายนอกทีละเล็กทีละน้อย มีความรู้สึกต่อสิ่งที่เห็นเปลี่ยนไปตามประสบการณ์และการเรียนรู้ ที่แปลกก็คือ สิ่งดีงามที่พระเจ้าบรรจงสร้างค่อยๆเลือนหายไป ได้แปรเปลี่ยนและซึมซับเอาด้านมืดบอดมาเก็บซ่อนสั่งสมไว้ภายในจิตใจสูงเท่าเทียมภูเขาเลากาแทน...
แต่ละคนในตอนถือปฏิสนธินั้นย่อมไม่เหมือนกัน จึงมีอุปนิสัยที่แตกต่างกันมาตั้งแต่เยาว์ ไหนจะกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในตอนเจริญวัย การได้รับการอบรมสั่งสอน การได้เห็นต้นแบบ แม่พิมพ์ ก็ทำให้บุคคลแตกต่างกันไปเป็นอันมาก และเมื่อต้องมาอยู่รวมกัน ในสังกัดสังคมของคนหมู่มากด้วยกัน ต่างย่อมแสดงอุปนิสัยใจคอพื้นฐานทางใจ และการอบรมที่แตกต่างกันออกมา จึงเกิดปัญหา ยิ่งถ้าต่างฝ่ายต่างถือเล็กถือน้อย ไม่รู้จักให้อภัย สังคมรอบข้างก็จะมีความทุกข์ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเมื่อมองเห็นหน้ากัน และไม่ชอบหน้ากัน ก็ก่อให้เกิดการทำลายทำร้าย เบียดเบียนกันอีก...
หรือบางทีการมองโลกก็ยังเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างวัย ผู้ใหญ่อย่างเราๆท่านๆก็อยากจะให้เด็กทำ พูด และคิดอย่างเรา ส่วนเด็กก็อยากจะให้ผู้ใหญ่ทำพูด คิด อย่างเขาเหมือนกัน ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็แทบเป็นไปไม่ได้ และถ้าหากเราหันมามองผู้คนด้วยหัวใจ เราฝ่ายผู้ใหญ่ควรให้อภัย และมีแนวคิดใหม่ว่า เด็กอย่างไรก็เป็นเด็ก หันหน้ามาทำความเข้าใจกัน เห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อเป็นได้เช่นนี้แล้ว เรื่องเล็กๆก็จะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าทุกฝ่ายอยู่กันด้วยความเห็นใจ เข้าใจ มองกันอย่างเป็นมิตร
มนุษย์มักจะทำร้ายกันและกัน ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม  สิ่งเหล่านี้เราเห็นและเราอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ลองทบทวนและหลับตาลงมองให้ลึกลงไปข้างใน เราจะเห็นว่าแท้จริงแล้ว มนุษย์เราควรที่จะมอบสิ่งที่ดีต่อกัน มอบมิตรภาพ มอบความรักไม่ต้องมีขอบเขต ไม่มีข้อจำกัดของชนชาติ ศาสนา เพศ อายุหรือฐานะทางด้านเศรษฐกิจจอมปลอมที่สังคมสร้างขึ้น สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ ใจ ในการมอง
ก้มหัวให้ต่ำลง ปิดตาลงบ้าง ทบทวน เพื่อยกจิตใจที่สูงขึ้น ประคับประคองกันและกัน แม้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และตรงความพยายามนี้แหละ หากเราได้ใส่ความรักลงไป มิตรภาพจะเบ่งบาน ปลดเปลื้องความกลัวออกจากภายในจิตใจ บางครั้งการจะมองหาสิ่งสำคัญที่สุด ไม่อาจใช้สายตามองหาได้ อาจจะต้องมองด้วยหัวใจ
สุดท้าย...เรามักจะชอบอ้างว่าไม่มีเวลาที่จะมานั่งหลับตา ทบทวนชีวิต มองด้วยหัวใจ แค่เวลาทำงาน เวลาหาเงินยังแทบไม่มี เราจึงมักใช้เวลาไม่นานในการตัดสินคนจากรูปลักษณ์หน้าตาภายนอก จากสิ่งที่เรามองเห็นได้ทางสายตา จากเครื่องประดับ การแต่งกาย และจากรสนิยมความเป็นอยู่ การจะอ้างว่า ไม่มีเวลาทบทวนชีวิต สาเหตุที่แท้จริงนั้น ส่วนมากมักมาจากการไม่ใส่ใจ หรือไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากกว่า ทำไม??? ในแต่ละวันเราถึงมีเวลาทำอะไรต่อมิอะไรตั้งมากมาย นั่นเป็นเพราะเราให้ความสนใจ ให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้นๆ ลองปล่อยให้ จังหวะชีวิต นิ่งๆเงียบๆสักนิด หลับตาลง ทบทวนและให้ความสำคัญเรื่องที่มีความหมายต่อชีวิต และเราจะเห็นความรักและมิตรภาพอันงดงาม ที่ไม่อาจหาซื้อด้วยเงินตราได้ ลองใช้หัวใจมองหาความสุขที่แท้ ให้ชีวิต ทบทวน ทบทวน หลับตาจึงได้เห็น….

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปลูกหน่อคิดที่ดีงาม

ปลูกหน่อคิดที่ดีงาม
วันนี้เราชาวเซนต์หลุยส์มีโอกาสอันดียิ่ง ที่ได้ต้อนรับคุณพ่อเจ้าอาวาสคนใหม่ คือ คุณพ่อเปโตร สุพจน์ ฤกษ์สุจริต คุณพ่อเกิดวันที่ 2  พฤศจิกายน ค.ศ. 1961 เป็นสัตบุรุษวัดนักบุญยวงบัปติสตา เจ้าเจ็ด  อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา คุณพ่อศักดิ์ชัย (เจ้าอาวาสองค์เก่า) ย้ายไปทำงานที่อยุธยา วัดเราก็ได้คุณพ่อคนใหม่ชาวอยุธยามาอยู่ร่วมงานกับเราแทน นับว่าเป็นความสมดุลที่ลงตัว คุณพ่อได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1990 หลังจากนั้น ก็ได้รับมอบหมายให้ไปเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ สามเสน ปีต่อมาเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธรรมาสน์นักบุญเปโตร บางเชือกหนัง จากนั้นก็ไปศึกษาต่อด้านวิชาสื่อมวลชนที่ประเทศฝรั่งเศส (เมืองลีออง) เมื่อกลับมาก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าแผนกสื่อมวลชนอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ และในปี ค.ศ. 1995 จนถึงก่อนการประกาศโยกย้าย คุณพ่อยังได้เป็นผู้จัดการโรงพิมพ์อัสสัมชัญอีกด้วย คุณพ่อจะเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 14 ของวัดเซนต์หลุยส์ของเรา เชิญชาวเราโมทนาคุณพระเจ้า สำหรับผู้นำจิตวิญญาณคนใหม่ของเรา….

อากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้ต้นไม้หน้าบ้านที่พยายามเลี้ยงไว้เริ่มเหี่ยวแห้ง บางต้นเริ่มส่ออาการที่จะ เอาไม่อยู่ ซะแล้ว พยายามหาทางรักษาพักฟื้นอย่างเต็มที่ ก็รู้ทั้งรู้อยู่ว่า ต้นไม้ที่กำลังโรยร่วงไปนั้นมันไม่ชอบแสงแดด แต่จะทำอย่างไงได้หล่ะ เพราะวันนี้ ทุกหลืบทุกซอกทุกมุม ต่างถูกรุกรานด้วยแสงแดดอันแรงเหลือ...
 เมื่อเห็นความร้อนระอุเช่นนี้แล้ว คงจะพอประมาณได้ว่าประเทศเราคงประสบกับความแห้งแล้งเป็นแน่แท้...ถึงแม้เราจะแห้งแล้งทางกายภาพ แต่ถ้าจิตใจคนเราไม่แห้งแล้ง เราก็สามารถดำเนินชีวิตไปด้วยกันอย่างผาสุก เป็นต้นองุ่นที่ได้ผลบนผืนดินที่แห้งแล้งนั้นได้อย่างงดงาม (ไม่รู้ว่าเป็นภาพฝันอันเลือนรางหรือเปล่า)  สิ่งที่จะช่วยเราให้ไปด้วยกันเช่นนั้นได้ คงต้องเริ่มต้นจากเราแต่ละคนก่อน ต้องเป็นผู้ที่มีความคิดที่ดีงาม มีทัศนคติที่ดีต่อทุกสรรพสิ่ง มีน้ำจิตน้ำใจต่อกันให้มากๆ เราถึงจะก้าวไปสู่ยังจุดนั้นร่วมกันได้ ดังตัวอย่างที่ขอยกมาเพื่อเป็นบทสอนสำหรับเราทุกคน..
เป็นเรื่องราวของชาวธิเบต ที่กำลังเดินทางผ่านภูเขาไปด้วยกัน และแล้วก็มีหินก้อนใหญ่ ตกลงมาจากไหล่เขา กำลังจะไปทับคนเดินทาง ในจำนวนนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แสดงความกล้าหาญโดยเข้าไปกันคนเดินทางที่อยู่ข้างหน้าสุดให้พ้นจากอันตราย แต่การณ์กลับปรากฏว่า ตัวเขาได้รับบาดเจ็บเสียเอง เป็นแผลลึกยาวจากคมบาดของก้อนหิน เลือดไหลออกมามากอาการสาหัส 
ในตอนแรกมีผู้คนได้ช่วยกันเตรียมพยาบาล ด้วยการห้ามเลือดให้เด็กหนุ่มคนนี้แต่ก็ถูกชายชาวธิเบตคนหนึ่งห้ามไว้ เพราะเขาอาสาที่จะเป็นผู้ทำการรักษาอาการบาดเจ็บของเด็กหนุ่มคนนี้ให้เอง ชายคนนี้แค่ใช้มือโบกไปมาเหนือแผลไม่กี่ครั้งเท่านั้นเลือดก็หยุดไหลออกจากบาดแผลทันที รวมทั้งอาการปวดแผลด้วย ชายคนนี้ซึ่งดูท่าทางอ่อนโยนได้บอกกับเด็กหนุ่มว่า
ถ้าเธอรักษา ความคิดที่ดีงาม เอาไว้ได้ ซึ่งฉันเชื่อว่าคนที่มีจิตใจงดงามอย่างเธอต้องทำได้ ฉันรับรองว่าแผลของเธอจะต้องหายภายในสองสามวันอย่างแน่นอน
ขอบคุณมากครับท่าน เด็กหนุ่มกล่าวตอบ
เธอไม่ต้องมาขอบคุณฉันหรอก เธอควรจะขอบคุณตัวเองน่าจะเหมาะกว่า เพราะ ความรัก เป็นสิ่งที่ได้ช่วยเธอต่างหาก เธอให้ความรักแก่คนอื่น ดังนั้น ความรักจึงช่วยเธอ ฉันหวังว่าเธอจะใช้ชีวิตหลังจากนี้ของเธอ อย่างที่ไม่ทำให้ฉันต้องผิดหวังและเสียใจที่ได้ช่วยเธอในวันนี้นะพ่อหนุ่ม... แล้วเขาก็จากไป (ส่วนหนึ่งจากหนังสือ ยอดคนอริยะ : ดร.สุวินัย ภรณวลัย)
ใช่หรือไม่ บางครั้งหลายคนเกิดแผลที่ลึกและยาวจากที่ไปช่วยเหลือคนอื่น ที่ได้แสดงน้ำใจต่อคนอื่น แต่ผลที่ได้รับตอบ คือ ความเจ็บปวด มีไม่น้อยจึงทดท้อที่จะสร้างความดี เพราะไม่ต้องการความเจ็บปวด แต่ถ้าหากว่าเราใช้ความคิดที่ดีงาม ใช้ทัศนคติที่สวยงาม มองมุมงามของเรื่องราว ให้ความรัก ความเมตตา การอภัย โดยมิหวังว่าจะได้รับผลดีหรือผลร้ายตอบแทน สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นยา เป็นโอสถ ที่จะรักษาความเจ็บปวดของเราให้หายได้โดยเร็ววัน อาจจะต้องใช้เวลาอาศัยความหนักแน่นมั่นคงทางจิตวิญญาณ
แน่ล่ะ..ในโลกแห่งความเป็นจริงของปัจจุบัน มันไม่เอื้อที่จะทำให้ก่อเกิดหน่อแห่งความคิดที่ดีงามสักเท่าไหร่ เพราะโดยส่วนมาก ต่างก็มีแต่ความเห็นแก่ตัวเป็นสรณะ เอาความสบายฝ่ายเดียวเข้าแลก น้ำใจแห้งแล้งยิ่งเสียกว่าอากาศยามนี้ ใช่...ถึงแม้ว่าสภาวการณ์ของยุคสมัยเป็นเช่นนั้นอย่างมิอาจจะปฏิเสธ แล้วเราชุมชนชาวคริสต์ศิษย์พระเยซูเจ้าจะไม่เริ่มต้นนำหน่ออ่อนแห่งความรักปักลง เพื่อไปช่วยรักษาโลกนี้หรือ เราอาจจะเริ่มต้นด้วยน้ำจิตน้ำใจเล็กๆน้อยๆ เช่น รู้จักแบ่งปันที่จอดรถให้กัน ช่วยกันโบกช่วยกันจัดจอดให้เป็นระเบียบ ไม่เบียดไม่จอดขวางทางใคร และหรือถ้าจำเป็นก็ควรใส่ใจที่จะออกมาเลื่อนโดยเร็ว หลังจากการอวยพรของพระสงฆ์ในพิธีมิสซา สำหรับคนที่ถูกขวางก็ต้องมีใจกว้างที่จะรอ ซึ่งอาจจะเสียเวลาไปบ้าง ก็ถือว่าเป็นการสละน้ำใจให้พระในวันอาทิตย์ก็แล้วกัน ถ้าต่างคนต่างมีความคิดที่ดีที่งดงามเล็กๆน้อยๆเช่นนี้แล้ว เราก็จะเป็นต้นองุ่นที่หากิ่งก้านที่เน่าเสียไม่เจอ รอดจากการถูกตัดถูกเด็ดทิ้งเสีย เราจะกลายเป็นความร่มเย็นให้กับผู้คนที่ร้อนรุ่ม เราจะมีความอบอุ่นให้กับผู้คนที่หนาวเหน็บ ในวันที่หน่อคิดงอกงามเจริญเติบโตขึ้น แล้วคนทั้งหลายจะรู้ว่า ความรัก สามารถรักษาได้ทุกอย่าง