วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ระหว่างความเป็นกับความตาย ความหมายของการบังเกิด

ระหว่างความเป็นกับความตาย
ความหมายของการบังเกิด
ในระหว่างเข้ามาในวัดเพื่อร่วมมิสซาวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความหนาวเย็นของอากาศและบรรยากาศภายนอกวัด รวบรวมสมาธินั่งสงบๆก่อนเริ่มพิธีมิสซา ทันใดนั้น...มีคนมาสะกิดจากด้านหลัง หันไปในใจนึกว่ามีคนรู้จักทักทาย แต่ที่ไหนได้ผู้หญิงคนหนึ่งบอกให้ช่วยพยุงคุณลุงคนหนึ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะหน่อย เพราะร่างของคุณลุงเอนกำลังจะตกลงพื้น เห็นดังนั้นแล้ว จึงรีบเข้าไปประคองไว้ เห็นว่าคุณลุงหลับสะลืมสะลือ จึงปลุกเรียก คุณลุงก็ลืมตามาแล้วก็หลับอีก และดูเหมือนจะค่อยๆไร้เรี่ยวแรง ค่อยๆหล่นลงสู่พื้นอีก สังเกตเห็นน้ำตาไหลนองเต็มสองข้าง พูดคุยไม่รู้เรื่อง ถามไถ่คนด้านหลังว่า เห็นคุณลุงมาวัดกับใครหรือป่าว คำตอบคือ มาคนเดียว มีเสียงบอกว่าต้องรีบส่งโรงพยาบาล เพราะสภาพคุณลุงดูแย่ลงเรื่อยๆ จึงรีบติดต่อโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ให้มารับ หลายคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็เข้ามาช่วยกัน ระหว่างรอเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจึงช่วยกันยกตัวคุณลุงให้นอนยาวลงบนเก้าอี้ คุณลุงอาเจียนออกมาพร้อมกับเตียงโรงพยาบาลมาถึงพอดี เจ้าหน้าที่นำคุณลุงขึ้นเตียง ภาพสุดท้ายที่เห็น คุณลุงยิ้มให้ก่อนที่เตียงจะถูกเคลื่อนไปสู่โรงพยาบาล จากนั้นก็ให้คนรู้จักช่วยโทรติดต่อญาติเพื่อแจ้งข่าวเรื่องของคุณลุงอยู่โรงพยาบาล และภายหลังญาติก็มาจัดการเรื่องที่โรงพยาบาลเรียบร้อย
เมื่อเหตุการณ์สิ้นสุดลงในใจเรารู้สึกว่า ระหว่างความเป็นกับความตายของคนเรานี้อยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ เพียงแค่นิดเดียว หากคุณลุงคนนั้นไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็นจะเป็นเช่นไร พลันนึกถึงตัวเองเหมือนกัน เสียวสันหลังเล็กน้อย ชีวิตเราไม่แน่ไม่นอนจริงๆใครจะรู้บ้างเล่าว่า วันสุดท้ายของเราจะเดินทางไปในรูปแบบใด ใช่หรือไม่ ในขณะที่เรากำลังร่วมเฉลิมฉลองการบังเกิดมาขององค์พระกุมาร เรากลับเจอเหตุการณ์แบบนี้ เหมือนต้องการจะบอกเราว่า ในขณะที่มีการฉลองวันเกิด ในอีกหลายๆที่ก็มีการจากลา ในขณะที่ที่หนึ่งกำลังเปรมปรีดิ์ อีกหลายที่ที่ต้องเจอกับความโศกเศร้า ในขณะที่ที่หนึ่งสว่าง ในอีกหลายที่กำลังมืดมน ชีวิตคนเรานั้นอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย แต่ในระหว่างทางนั้นเราใช้ชีวิตเช่นไรเพื่อให้ใกล้เส้นสุดท้ายอย่างมีค่า
ใช่หรือไม่ การเกิดมานั้นเป็นจุดเริ่มต้นสู่ความตาย เราเริ่มต้นปีใหม่ก็เพื่อก้าวสู่การส่งท้ายปีเก่า แล้วในระหว่างทางนั้นมีสิ่งใดบ้างเล่าที่ทำให้ชีวิตเรามีคุณค่า คุณค่าต่อตัวเอง คุณค่าเพื่อก่อเกิดสิ่งงดงามแก่คนอื่นๆ ชีวิตเกิดมาเพื่อตัวเองอย่างเดียวหรือ แท้จริงแล้วเราเป็นอยู่ก็เพื่อคนอื่นทั้งสิ้น แต่ในวันนี้เรามักใช้วันเวลาหมดไปกับตัวเอง และไม่ใส่ใจด้วยว่า วันสุดท้ายของเราจะเป็นเยี่ยงใด หาความสุขเสพติดให้กับตัวเอง อย่างไม่ลืมหูลืมตา
ในบรรดาความสุขที่เราเสาะเสพนั้น สิ่งที่มาก่อนอื่นใด คือความสุขทางวัตถุหรือทางร่างกาย ซึ่งควบคู่กับการแสวงหาวัตถุ การหลงใหลในร่างกาย เพราะร่างกายไม่เพียงเป็นอุปกรณ์แสวงหาความสุข (ด้วยการกิน เที่ยว และมีเซ็กส์) เท่านั้น หากยังเป็นเครื่องมือแสวงหาปัจจัยแห่งความสุข  (คืองานและเงิน) รวมทั้งเป็นที่มาแห่งความสุขด้วย เป็นสุขเพราะมีรูปร่างที่สวยงาม ได้มาตรฐาน จึงหมกมุ่นกับการตกแต่งและเปิดเผยทรวดทรงให้มากที่สุด ซ้ำเติมด้วยค่านิยมชมชอบเรือนร่าง จึงใช้เป็นหนทางหางานสร้างเงิน ถึงขั้นลงทุน ทำใหม่ศัลยกรรมเรือนร่างให้ดูงาม เพื่อเป็นสะพานโยงไปสู่การได้มาซึ่งเงินทอง
เมื่อมีทัศนคติและค่านิยมเช่นนี้ คนส่วนใหญ่จึงกลัวแก่ เพราะจะทำให้ไม่สามารถเสพสุขจากร่างกายอย่างเต็มที่ ยิ่งพูดถึงความตายทุกคนต่างไม่ต้องการกล่าวถึง เพราะนั่นหมายถึงการไม่ได้เสพสุข จึงทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะความแก่และความตาย การเป็นอมตะจึงเป็นสุดยอดปรารถนาของคนปัจจุบัน (อาหารเสริมขายดิบ ขายดี และมีการตลาดให้ซื้อไปให้คนที่คุณรัก) แต่เมื่อถึงที่สุดรู้ว่าหลีกความตายไม่พ้น ก็ขอให้มีชื่อเสียงดำรงคงอยู่ต่อไปหรือมีอนุสาวรีย์เป็นเครื่องสืบทอดตัวตน นี่คือยอดปรารถนาของคนยุคดิจิทัล
แล้วในวันเวลาช่วงการฉลองพระคริสตสมภพ เราได้นำวิถีการบังเกิดของพระองค์มาใช้เป็นแนวทางให้กับชีวิตเราอย่างใดบ้าง ประการแรกพระองค์ใช้เพียง 33 ปี ในการสร้างคุณค่าและบทสอนที่ยิ่งใหญ่กับเรา ให้เห็นความจริงว่า ชีวิตของมนุษย์นั้น นอก จากจะสั้น ไม่ยืนยาวแล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ที่ ทำให้เราเห็นคุณค่าของเวลา กระตือรือร้นเร่งทำกิจหน้าที่ สร้างสมคุณความดี และฝึกฝนพัฒนาตนในทุกทาง ให้ชีวิตเป็นอยู่อย่างมีค่า และเข้าถึงจุดหมายปลายทางอย่างศักดิ์สิทธิ์
ประการต่อมา พระองค์บังเกิดอย่างยากจน ไร้สมบัติพัสถาน ไม่เคยสะสมอะไรสิ่งใดทั้งสิ้น ออกจากครอบครัวตัวเอง เพื่อสร้างครอบครัวที่ใหญ่กว่า เป็นครอบครัวแห่งรักและสันติ ทำให้เราเห็นความจริงว่า ทรัพย์สินเงินทองสมบัติ ตลอดจนบุคคลที่รักใคร่ที่ยึดถือครอบครองอยู่นั้น หาใช่เป็นของตนแท้จริงไม่ และไม่สามารถป้องกันจากความตายได้เลย พอตายแล้วก็นำไปไม่ได้  สิ่งเหล่านั้นมีไว้สำหรับใช้บริโภคหรือสัมพันธ์กันในโลกนี้เท่านั้น จึงอย่ายึดโยงอย่าเหนี่ยวแน่นนัก

ปีใหม่เวียนมาอีกคำรบหนึ่ง เป็นสัญญาณเตือนเราว่าเรากำลังเดินทางไปสู่ปลายทาง แล้ววันเวลาที่ล่วงเลยผ่านมานั้นมีสิ่งใดบ้างที่เราทำแล้วเป็นเครื่องรองรับว่าชีวิตเราใกล้สู่ความสมบูรณ์แล้ว ถ้ายังไม่ได้คิด เริ่มคิดถึงบ้างก็ดีนะ ปีใหม่นี้และตลอดไปเราจะได้มีจุดหมายชีวิตที่ชัดเจนมากขึ้น.....สุขสันต์วันปีใหม่ครับ...

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชื่อนั้น....

ชื่อนั้น....
หะแรกที่เปิดประตูบ้านในตอนเช้า ลมวิ่งปะทะเข้าใส่อย่างแรงผิดจากวันอื่นๆ ในความแรงลมนั้นมีความเย็นยะเยือกผสมมาด้วย อากาศในเมืองหลวงเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง อยู่ที่ประมาณ 18-21 องศา อากาศเย็นๆลงในยามเช้า ทำให้หลายคนชื่นชอบถึงกับเปรยขึ้นว่า “อยู่นานๆได้ไหม” กลัวว่าจะหนาวอยู่เพียงวันสองวัน  เพราะเราไม่ค่อยพบเจออากาศเย็นในฤดูหนาวมาหลายปีแล้ว หรือเจอก็แค่เพียงไม่กี่วัน ก็ไม่รู้ว่าปีนี้จะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า เพียงผ่านมาทักทายแล้วก็หายจากไป ใช่ว่าแต่ที่เมืองหลวงเท่านั้น ในต่างจังหวัดหลายแห่ง อากาศก็หนาวเย็นลง ทำให้หลายคนไม่สบายล้มป่วยลง ในกรุงเทพฯเราชอบอากาศประมาณนี้ที่ไม่หนาวมากจนเกินไปนัก แต่ก็เอาแน่เอานอนกับอากาศไม่ได้ เพราะอากาศเริ่มผิดเพี้ยนไปมาก ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเราเท่านั้น อย่างในประเทศอียิปต์ก็มีหิมะตกลงมาในกรุงไคโรในรอบ 112 ปีทีเดียว ที่เวียดนามก็มีหิมะตกลงมาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

เราอยู่ในเมืองร้อนก็เลยรู้สึกตื่นเต้นกับอากาศหนาว เหมือนกับคนยุโรปที่พอเจอแสงแดดก็แห่กันวิ่งออกมาตากแดด เราชอบไปเที่ยวที่ที่เป็นเมืองหนาวเพราะดูแปลกตา ต่างไปจากที่เราเป็นอยู่ คนเมืองหนาวก็ชอบมาเที่ยวนอนอาบแดดในบ้านเมืองเรา กลายเป็นวิถีดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน แต่กลับโหยหาสิ่งที่ไม่คุ้นชินและไม่จำเจ เมื่อถึงตรงนี้ก็นึกถึงความแตกต่างระหว่างสองฝากฝั่งโลก โดยเฉพาะเรื่องการตั้งชื่อ คนตะวันตกไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องชื่อมากมายนัก ซึ่งต่างจากทางฝั่งเอเชียชาวตะวันออก ที่มีวัฒนธรรมของการตั้งชื่อคน ที่ต้องมีความหมาย ตั้งให้เป็นมงคล แม้กระทั่งเมื่อเติบโตขึ้น เห็นว่าชื่อที่พ่อแม่ญาติพี่น้องตั้งให้นั้นดูจะไม่ดี ไม่เป็นมงคล ขัดๆกับการดำเนินชีวิต ก็มีการเปลี่ยนชื่อเพื่อให้ชีวิตดำเนินไปตามแนวทางนั้นให้ได้ดี แม้แต่ในสมัยของพระเยซูเจ้า (พระเยซูเจ้าเป็นชาวเอเชีย เพราะประเทศอิสราเอลอยู่ในเอเชีย)พระองค์ก็เปลี่ยนชื่อให้อัครสาวกหลายคน เช่น “ซีมอน” เปลี่ยนมาเป็น “เปโตร” เพื่อสื่อถึงความแข็งแกร่ง เพื่อให้เป็นรากฐานของพระศาสนจักร
ทุกสิ่งที่อุบัติในโลก อย่าว่าแต่ชื่อที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย กระทั่งชีวิตจิตใจ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมติ ประโยชน์จากชื่อที่เป็นสิ่งสมมตินี้ อย่างน้อยก็บอกนิสัยใจคอพอได้อยู่ หลายคนมักจะฝึกฝนอุปนิสัยตามชื่อของตน ยิ่งค่านิยมในสังคมไทย เรื่องชื่อ เรื่องนามสกุล มีความหมายอย่างยิ่ง ต้องตั้งให้สัมพันธ์กับเกิดวันไหน แต่เสียดายในปัจจุบันนี้เราเอาเงินทองเป็นตัวตั้ง วัดค่าความดีที่ความรวย คนมักไม่เข้าใจถึงการตั้งชื่อ หลงกันเพียงเพื่อว่าถ้าเปลี่ยนแล้วจะร่ำจะรวยเพียงเท่านั้น ก็เลยแห่กันไปเปลี่ยนชื่อจริง เปลี่ยนนามสกุล หรือบางคนถึงกลับเปลี่ยนทั้งชื่อจริง นามสกุลและชื่อเล่นก็เปลี่ยนไปด้วย เนื่องมาจากมีโหรทักมาว่า ชื่อไม่ดี รวมตัวเลขกันแล้วไม่เป็นมงคล ควรจะเปลี่ยนชื่อเพื่อให้ชีวิตนั้นดีขึ้น ซึ่งมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยอมเปลี่ยนชื่อพียงเชื่อว่า เปลี่ยนชื่อแล้วจะรวยขึ้น ชีวิตจะดีขึ้น จะเหนื่อยน้อยลง แต่ถ้าหากเปลี่ยนแล้วเรายังทำตัวเหมือนเดิม ยังขี้เกียจ ยังไม่กลับตัวกลับใจจะมีประโยชน์อะไรเล่า ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วพยายามทำชีวิตให้เป็นไปตามแนวทางของชื่อที่ได้ตั้งนั้นต่างหาก ที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น สาระสำคัญน่าจะอยู่ตรงนี้มากกว่าแต่จะมีสักกี่เล่าเข้าใจ
แม้แต่ในยุคสมัยที่เราใช้การตลาดนำหน้าทุกเรื่อง ไม่ว่าจะการตลาดของคนตะวันตกตะวันออกต่างใช้แนวทางเดียวกันในการสร้าง Brand (ยี่ห้อ) ที่ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สินค้าหลายอย่างที่เจ๊งก็เพราะเรื่องชื่อก็มีมาก ที่รวยเพราะชื่อก็มีเยอะ ต้องยอมรับว่า วิธีการตั้งชื่อ Brand ในปัจจุบัน เปลี่ยนไปตามกระแสโลก นักธุรกิจรุ่นใหม่มีความสนใจเรื่องการตั้งชื่อมากขึ้น

ถ้าจะตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเขาจะมีกฎการตั้งชื่อให้ประสบความสำเร็จไว้ว่า ไม่ควรเกิน 6 ตัวอักษร ออกเสียงแล้วไม่เกิน 3 พยางค์ ทางที่ดีที่สุดควรออกเสียงแค่พยางค์เดียวนอกจากนี้ยังมีเรื่องของ ตัวอักษรที่เขานิยมนำมาตั้งชื่อ Brand จะมีประมาณ  5 ตัวอักษร ดังนี้ “a k h s t m” เพราะว่าเขามีความเชื่อที่ว่าตัวอักษรที่นำมาตั้งชื่อ จะมีความหมาย  เช่น ตัวอักษร a ถือเป็นอักษรตัวแรกของภาษาอังกฤษ คำว่า แรกเป็นความหมายที่ดีมาก หมายถึงความเป็น ที่หนึ่ง อักษร k มีความหมายคือ king เป็นตัวอักษรที่แสดงความแข็งแกร่งและความเป็นผู้นำ ความเป็นผู้นำย่อมมีผลดีในทางธุรกิจมาก 
H เป็นอักษรที่ทำให้เรานึกถึงคำสองคำ คือ happy กับ hero คำสองคำนี้มีความหมายที่ดีทั้งคู่   S มีความหมายคือ super แสดงถึงความแข็งแกร่ง มั่นคง อาจเป็นไปได้ที่เราเห็นตัวอักษร s “ซื้อใจลูกค้าทั่วโลกมาแล้ว จากหน้าอกของ super hero ของเราที่มีนามว่า “superman”  (บางส่วน จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯธุรกิจ)
วันเวลาและอากาศ กระแสสังคมเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แล้ววิถีชีวิตเราล่ะเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม หรือเรามัวแต่คอยที่เปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล โดยใช้ค่านิยมการตลาดมาใช้กับชีวิต เพียงหวังเปลี่ยนเปลือก เพียงหวังให้ดูเด่น ดูดี ดูเท่ดูเก๋ แต่ไม่เคยทำในสิ่งดีๆ  ชีวิตที่ผ่านมาก็คงผ่านไปแบบไร้ค่า ชื่อนั้นมันบ่งบอกความเป็นเรา หากเราเห็นว่าชื่อนั้นสำคัญต่อเรา เราต้องเข้าให้ถึงแก่นของชื่อเรา และชื่อเสียงเราจะตามมาเอง คนจะจำชื่อเราได้นั้น ย่อมมาจากสิ่งที่เราได้กระทำมิใช่หรือ.....
พระเยซูเจ้าทรงเป็นตัวเอย่างในการดำเนินชีวิตตามชื่อของตน เพราะพระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป คำว่า “เยซู” มาจากคำในภาษากรีกคือ “เยซุส” Ιησους [Iēsoûs] ซึ่งมาจากการถ่ายอักษรชื่อ Yeshua [เยชูวา] ในภาษาแอราเมอิกหรือฮีบรูอีกทอดหนึ่ง คริสตชนอาหรับเรียกเยซูว่า “ยาซูอฺ” ตามภาษาซีเรียก ส่วนชาวอาหรับมุสลิมเรียกว่า “อีซา” ตามอัลกุรอาน ความหมายคือ “ผู้ช่วยให้รอด” เป็นชื่อที่ใช้กันมากในหมู่ชาวยิวตั้งแต่สมัยโยชูวาเป็นต้นมาภาษาละตินแผลงเป็นเยซูส ภาษาโปรตุเกสแผลงต่อเป็นเยซู ภาษาไทยทับศัพท์ภาษาโปรตุเกสมาจนทุกวันนี้ (วิกิพีเดีย)


วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วงล้อเดิมที่กำลังตั้งวง

วงล้อเดิมที่กำลังตั้งวง
            อากาศหัวค่ำและหางค่ำเริ่มเย็นลง ท้องฟ้าเริ่มปิดงานเร็วขึ้นและขี้เกลียดที่จะเปิดในยามเช้าตรู่ บรรยากาศขมุกขมัวสลัวๆ พาให้ใจเศร้าเหงาๆหงอยๆ แต่เมื่อมองดูดวงอาทิตย์กลับมีสีสวยและดวงโต มีความใกล้ชิดกับโลกมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งสัญญาณบอกว่า ขวบปีนี้เริ่มนับถอยหลังส่งท้ายแล้ว วันเวลาผ่านมาผ่านไป ปฏิทินเก่าหมดค่าคู่ควรมอง และถูกทิ้งร้างไปวันแล้ววันเล่า ไม่นานเราก็จะร่วมฉลองรับปีใหม่ บรรยากาศเก่าๆของปีใหม่ก็วนเวียนมาอีกครั้ง จะเป็นครั้งที่เท่าไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับวันเวลาของแต่ละคนบนโลกนี้ สิ่งหนึ่งผ่านไปสิ่งหนึ่งเข้ามา แต่สำหรับชีวิตของเรานั้นไม่มีอะไรเก่า ไม่มีอะไรใหม่ มีแต่ความดีงาม ความงดงามของวันเวลาเท่านั้นที่เราควรนำมาประดับสวมใส่ในวงปีชีวิต
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ต้นไม้หน้าบ้านที่รดน้ำในทุกๆเช้า ใบเริ่มเหลือง เริ่มแดง แล้วร่วงหล่น ด้วยความเป็นมือใหม่หัดปลูกก็คิดว่า มันกำลังจะตายหรือเปล่า ครั้นมาเห็นต้นไม้รอบๆวัดของเราใบเริ่มเปลี่ยนสีและร่วงหล่นเหมือนกัน เจ้าหน้าที่วัดต้องปัดกวาดกันมากขึ้นในทุกๆเย็น รถที่มาจอดใต้ร่มไม้ ไม่นานก็เต็มไปด้วยใบที่หล่นร่วงมากอง การที่ใบไม้ร่วงในฤดูนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะทางตำราได้บอกไว้ว่า
การร่วงของใบไม้นั้นจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว ทั้งนี้เพราะเป็นการปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งของต้นไม้ในการต่อสู้กับความหนาวเหน็บของบรรยากาศ ทั้งนี้เพราะตามผิวของใบไม้นั้นมีรูอากาศมากมายเพื่อระบายความชื้น หากอากาศแห้งเพียงใดความชื้นก็ยิ่งระเหยเร็วมากขึ้นเพียงนั้น และในยามที่มีอากาศหนาวเย็น ความชื้นภายในใบไม้ก็จะระเหยไปในปริมาณมาก  ซึ่งความชื้นของใบไม้นี้มาจากการดูดน้ำของรากของต้นไม้นั่นเอง แต่พออากาศหนาวเย็นบทบาทของรากก็จะลดหย่อนลง ความชื้นที่ดูดรับไว้ก็จะไม่พอต่อการบำรุงเลี้ยงลำต้น อันเป็นอันตรายต่อชีวิตของต้นไม้นั้น ๆ ได้ ดังนั้น เพื่อความอยู่รอด ต้นไม้จึงใช้วิธีทำให้ใบร่วง 
โดยในระหว่างที่ต้นไม้กำลังผลัดใบนั้นก็จะมีเซลล์อ่อน ๆ เกิดขึ้นระหว่างก้านใบกับกิ่ง ซึ่งในระยะแรกผนังของเซลล์จะบางและอ่อนนุ่ม ทำให้ความชื้นและสิ่งหล่อเลี้ยงผ่านท่อของขั้วกิ่งก้าน ผ่านเข้าไปสู่ใบได้ แต่เมื่อใบแก่ เซลล์ตัวนี้ ก็จะแข็งและเน่าตาม ใบไม่สามารถรับความชื้นและสิ่งหล่อเลี้ยงได้ทำให้ขาดแคลนวัตถุดิบ (น้ำและเกลือแร่) ที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง จึงไม่สามารถสร้างสิ่งหล่อเลี้ยงเองได้ ทำให้ใบเหลืองและเหี่ยวแห้ง เซลล์ตัวนี้ก็จะพลอยเหี่ยวแห้งตามไปด้วยเพราะขาดน้ำ พอถูกลมกระหน่ำใบก็จะร่วงเกลื่อนพื้นไปหมด นอกจากนี้แล้วการร่วงของใบไม้นั้นยังเกิดจากการขับสิ่งปฏิกูลออกไปอีกด้วย

ธรรมชาติมีระบบหมุนเวียนเป็นกงล้อเมื่อครบปีตามฤดูกาล  แล้วคนเราเล่า...มีการสลัดใบเก่า นิสัยเก่า ความประพฤติด้านลบออกจากชีวิตบ้างไหม ??? หรือมีแต่เก็บสะสมไว้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อสู่ไฟนรก ใบไม้ที่ร่วงหล่นอาจกำลังจะบอกเราว่า หากไม่รู้จักสลัด ปลดปล่อยบางส่วนออกมาบ้าง ชีวิตเราก็ไม่มีทางเจริญเติบโต แน่นอนวันนี้เราอาจจะบอกว่า การเจริญเติบโตของคนเรานั้น เขาวัดกันที่การมีมากมีน้อยในสิ่งอำนวยความสะดวก จนมีการนิยามคำใหม่ๆกันว่า
ใช้ของแบรนด์เนม + เครื่องสำอางนำเข้า ความงาม
รถรุ่นนิยม + สร้อยทอง = ความหล่อ
โน๊ตบุ๊ค + ไอแพด = ความฉลาด
วิตามินบำรุง + ฟิตเนต = สุขภาพดี
ผลงาน + ข่าวฉาว = แผนการประชาสัมพันธ์
เคารพบูชา + เงินทอง = ศรัทธา
สภาสูง + เสื้อสูท = เทวดา
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
นี่เป็นส่วนหนึ่งของการวัดความเจริญเติบโตของสังคมในยุคปัจจุบัน ยุคที่คนสะสมเปลือก เก็บรักษาใบไม่ให้ร่วงหล่น กอดรัดไว้ให้มั่นไม่หมายให้หายไปจากตน แล้วก็เที่ยวโอ้อวดถึงความมี ความเด่น ความดัง โดยไม่ใส่ใจต่อความดีกันแม้แต่น้อย เราถูกกลืนกินด้วยค่านิยมที่ไม่รู้จักพอ ค่านิยมที่ต้องไม่เป็นรองใคร ต้องนำสมัยด้วยสิ่งเสพภายนอก ถูกหลอมหล่อให้บูชาเศรษฐศาสตร์มากกว่าศาสนา ให้เทิดทูนเงินตรามากกว่าพระเจ้า จะทำสิ่งใดต้อง บวก ลบ คูณ หาร ของผลกำไร ในชีวิตคิดทำอะไรต้องมีคำว่า ฉันจะได้เท่าไหร่ เสพติดการใช้จ่ายล่วงหน้าด้วยการถูกยกให้มีเครดิต แล้วถึงวันหนึ่งวันที่วงล้อที่ต้องเปลี่ยนผ่านมาถึง เรากลับไม่สนใจ ไม่สลัดผลัดใบแห่งความอยากได้ใคร่มีออกไป เก็บไว้เป็นส่วนเกิน ที่ก่อให้เกิดโรคร้าย และนำความทุกข์มาสู่ชีวิตเรา

ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ต้องน้อมรับการเปลี่ยนผ่าน และในระหว่างทางนั้นย่อมมีบ้างที่ต้องสูญเสีย สละ สลัด บางสิ่งบางอย่างออกไปบ้าง วันเวลา วงล้อฤดูกาลมักสอนให้เราเห็นความเป็นสัจจะอยู่เสมอๆ แต่จะมีเวลาสักกี่ครั้งที่เรามองเห็นมัน หรือเห็นแล้วก็มิได้นำพามาเป็นบทสอนให้ชีวิตก้าวหน้าเดินต่อไป อาจจะเป็นเพราะว่าเราเห็นสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าเรื่องจิตใจเป็นเรื่องที่มิอาจจะชี้วัดความสำเร็จได้หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่พบความทุกข์ที่เกิดจากสิ่งเหล่านี้ แล้วเราจะรอให้พบเจอโดยไม่ได้มีการเตรียมตัว เตรียมตั้งรับไว้เลยหรือ ....

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพียงพอเพราะเพียรพอ

เพียงพอเพราะเพียรพอ
ประเทศไทยเราเป็นดินแดนที่แสนจะวิเศษ ถึงจะมีความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ ทางด้านความคิด จนกลายเป็นฝั่ง เป็นขั้ว เป็นข้าง ทำให้คนที่เคยรู้จักมักคุ้นมีอันต้องเหินห่าง เพราะเพียงแค่คิดต่าง ใช่หรือไม่ กรอบความคิด สภาพแวดล้อมของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ทุกคนต่างศรัทธาและเชื่อในพื้นฐานที่ตัวเองได้รับการปลูกฝังมา ยิ่งพอเรามีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย เราก็เสพสื่อที่เรามีเราชอบ จนแยกแยะไม่ออก สื่อจึงกลายเป็นเครื่องปลูกฝังฝั่งความคิดชั้นยอด ที่นักการตลาดนำมาใช้เพื่อหาพวก เพื่อเชิญชวน แล้วยิ่งคนเรามักทะนงตัวในสิ่งที่ตัวเองเลือก เลือกเสพติดของที่ชอบฝ่ายเดียว มิได้เปิดใจรับสิ่งอื่นเพื่อนำมาพิเคราะห์ ให้เกิดปัญญาอย่างถ่องแท้ นี่จึงเป็นความเปราะบางของสังคมไทย
แต่โดยพื้นฐานลักษณะของคนไทยแล้ว ถึงเวลาหนึ่งเราก็สามัคคีกัน รักกัน กอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ สิ่งที่ทำให้เกิดลักษณะเหล่านี้ได้นั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่มิอาจจะปฏิเสธได้ นั่นคือ พ่อหลวงของเรา ด้วยความรักในพระองค์ท่าน เรายอมแม้จะหยุดความขัดแย้งขั้นรุนแรงลงได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนบนโลกนี้ ในยุคนี้ ที่จะมีบารมีสามารถจะหยุด เหนี่ยวรั้งหัวใจทุกดวงไว้ได้ คนผู้นั้นย่อมต้องสะสมความดีงามที่นำมาซึ่งบารมีอันยิ่งใหญ่ คนผู้นั้นต้องเป็นนักปฏิบัติให้เห็นเป็นพยานในคุณธรรมความดีพร้อมโดยมิต้องโอ้อวด คนผู้นั้นต้องเพียรทนอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ ให้ โดยมิหวังสิ่งใดตอบแทน ใครต้องการอะไร เพียงแค่บอกก็พร้อมที่จะทำให้ คนผู้นั้นไม่ใคร่สนใจใยดีทรัพย์สมบัติภายนอก ใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่า และรู้จักเพียงพอในสิ่งที่ตัวเองครอบครอง
ถ่ายบนรถสองแถวเซนต์หลุยส์
คนไทยรักในหลวง แต่จะมีสักกี่คนรักในวิถีการดำเนินชีวิตของพระองค์ท่าน จะมีสักกี่คนที่ได้รับรู้เรื่องราวความดีงามที่พระองค์ท่านปฏิบัติอย่างงดงามแม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนที่พระองค์ท่านมอบไว้เป็นสมบัติล้ำค่าให้แผ่นดินไทย แต่เรากลับไปไขว่คว้าวิ่งไล่ล่าหาความร่ำรวยทางตัวเลขเศรษฐกิจ และความกินดีอยู่ดีด้วยการวัดค่าจากเครื่องใช้ไม้สอยที่เป็นเพียงสิ่งอำนวยความสะดวก มีตัวอย่างของพระองค์ท่านที่ได้เล่าผ่านทางช่างทำรองเท้าคนหนึ่ง ชี้ให้เห็นตัวอย่างการดำเนินชีวิตของพระองค์มาเล่าสู่กันฟัง
คุณศรไกร แน่นสีนิล หรือ ช่างไก่   เจ้าของร้าน ก.เปรมศิลป์ ย่านสี่แยกพิชัย เล่าถึงงานซ่อมฉลองพระบาทถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
เมื่อปี 2545 เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังท่านหนึ่งได้ถือพานใส่รองเท้าเดินเข้ามาในร้าน ก่อนที่จะยื่นให้ผม เจ้าหน้าที่คนนั้นค่อยๆก้มลงกราบพาน ผมก็ตกใจ ถามว่าเอาอะไรมาให้ เขาบอกว่า เป็นฉลองพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่โปรดมาก แต่เก่าแล้ว ไม่รู้จะเอาไปซ่อมที่ไหน โอ้โห...ผมขนลุกซู่ ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกอย่างไร ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมีโอกาสดีๆแบบนี้ เพราะร้านดังๆมีเยอะแยะ แต่กลายเป็นเราที่ได้รับโอกาสสำคัญทำงานนี้ จำได้ว่าบนพานนั้นเป็นฉลองพระบาทหนังสีดำ สภาพชำรุดทรุดโทรมจากการใช้งานมาหลายสิบปี หนังข้างนอกหลุดลุ่ย ส่วนภายในก็ผุกร่อนหลุดลอกหลายแห่ง ถ้าเป็นคนทั่วไปคงทิ้งไปแล้ว แต่พระองค์ท่านกลับให้เจ้าหน้าที่นำมาซ่อมเพื่อใช้งานต่อ
ผมใช้เวลาซ่อมเกือบเดือน ทั้งที่จริงแล้วทำไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ แต่เพราะอยากให้อยู่บ้านเรานานๆ (หัวเราะ) ที่ประทับใจสุด คือ   ตอนที่เลาะพื้นด้านในออกมาแล้วเห็นรอยพระบาท ตื่นเต้นมาก เคยเห็นภาพข่าวพระราชกรณียกิจในทีวีมีคนไปรับเสด็จฯแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าปูให้ทรงเหยียบ  แต่นี่เราเห็นรอยพระบาทปรากฏชัด จะทิ้งได้อย่างไร
ผมก็เลยเอาใส่กรอบแล้วตั้งเอาไว้บนหิ้งสูงสุด ตกแต่งอย่างดี มีพานและผ้าคลุมพานสีเหลือง ลูกค้าเห็นเข้าก็ถามว่าอะไร พอรู้ว่าเป็นฉลองพระบาทของพระองค์ท่าน ก็ขออนุญาตเอามาเทินหัวกันใหญ่ หลังจากนั้น ผมมีโอกาสซ่อมฉลองพระบาทให้พระองค์ท่านอีก 4 คู่ คู่แรกเป็นฉลองพระบาทลำลองซ้ายที่ถูกคุณทองแดงกัดขาด ผมก็ปะตรงรอยที่ขาด คู่ที่สองเป็นฉลองพระบาทแคชชูส์ผูกเชือกสีดำ ส่งมาแปะแผ่นกันลื่น คู่ที่สามเป็นฉลองพระบาทบู๊ต ส่งมาเปลี่ยนยางยืดด้านข้างและจัดทรงใหม่ และคู่ที่สี่เป็นฉลองพระบาทบู๊ตสั้น ส่งมาเปลี่ยนพื้นด้านล่างทั้งสองข้าง

ฉลองพระบาทของพระองค์ท่านเป็นตัวอย่างหนึ่งของความพอเพียงที่พสกนิกรของพระองค์ควรดำเนินรอยตาม สารภาพก็ได้ว่า ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยอยากมีอยากได้ อยากรวย แต่ตอนนี้ใจเบาขึ้นเยอะ เพราะรู้จักพอ ไม่ปรารถนามากกว่านี้ ถึงปัจจุบันร้านจะมีชื่อเสียง ผู้คนรู้จัก แต่ผมก็ไม่คิดจะขยายให้ใหญ่โต เปิดสาขา เพราะมีเท่านี้ก็พอแล้วเงินมีไม่มาก แต่มีความสุข เพราะผมมีสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตอยู่ในบ้าน นั่นคือรอยพระบาทของพระองค์ท่าน ซึ่งผมถือว่าสูงสุดในชีวิตเราแล้ว
การดำเนินชีวิตของพระองค์ท่านสมถะ ใช้เท่าที่มี ใช้เพื่อคนอื่น เราผ่านพ้นวันเฉลิมพระชนมพรรษามาแล้ว เราได้เห็นและนำตัวอย่างของพระองค์ท่านมาใช้บ้างหรือเปล่า ความเพียรทน ความอดทน เป็นความเพียงพอทางด้านจิตใจอย่างหนึ่ง ที่กำลังขาดหายไปในสังคม หากเราเพียรทนเราย่อมให้อภัยกันได้ หากเราขยันหมั่นเพียรในการหาเลี้ยงชีพ ไม่หวังรวยทางลัด การคดโกงย่อมเป็นสิ่งที่ไกลเกิน หากเราเพียรพยายามประกอบความดี ความดีจะเป็นบารมีนำความร่มเย็นมาสู่ตัวเราและคนรอบข้างตลอดไป....