วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

เวลาแห่งความรื่นรมย์

 

เวลาแห่งความรื่นรมย์

>>> เมื่อไม่ยึดติด ใจก็กว้างขึ้นมา ความเบิกบานอยู่ตรงนั้น <<<

สายฝนจากลา สายลมเย็น ๆ พัดโชยยามเช้า ยามบ่ายก็ร้อนดังเดิม กลางคืนกลางวันสลับเปลี่ยนรวดเร็ว เพราะความที่เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ  แล้วทำให้มันเป็นความรื่นรมย์ ข่มความทุกข์ให้มอดมลายลง  เมื่อต้นเดือนตุลาคมได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่าแม่อาการไม่ดี วีดีโอคอลมาให้เห็นหน้าแม่ที่ตาลอย จึงร่วมกันตัดสินใจว่า ต้องส่งแม่ให้ถึงมือหมอโดยเร็ว แม้จะมีอุปสรรคเรื่องน้ำท่วมถนนหนทาง เมื่อเดินทางไปถึงโรงพยาบาลไม่ช้าอาการแม่ก็ดีขึ้น เมื่อลืมตาเห็นลูก ๆ ก็ดีใจ แม้จะจำได้บ้างไม่ได้บ้างในบางครั้ง จากวันนั้นมาวันนี้แม่มีอาการปกติสุข กลับมามีอาการร่าเริงแจ่มใส ชอบคุยทั้งที่คุยเรื่องนี้ลืมเรื่องนั้น วนไปเวียนมา เราพี่น้องผู้อยู่ห่างไกลจึงใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการพูดคุยกับแม่ ทำให้ชีวิตครอบครัวมีความรื่นรมย์ ใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งคุยกับแม่เรายิ่งเห็นความงามในบางด้าน มีความสบายใจ 


ใช่หรือไม่ ในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไป เราใยจะต้องเก็บเอาเรื่องราวกวนใจมาใส่ตัว  เพราะเรามีหู ก็ต้องได้ยินทั้งคำดี คำร้าย เพราะเรามีตา ก็ต้องได้เห็นทั้งสิ่งดีและสิ่งร้าย เพราะเรามีปากบางครั้งพ่นคำหยาบคำงามออกมา อย่าเก็บทุกเรื่องที่พบเห็นใส่ไปให้รกใจเปล่า ๆ เรื่องดี ๆ สวยงาม ก็เก็บไว้เสริมสร้างจิตวิญญาณ เรื่องร้าย ๆ ก็ปล่อยผ่าน โยนลงถังขยะไป ใครจะดี จะร้าย แค่รู้ก็พอ คนบางคน แค่รับรู้ก็พอ ได้ยินอะไรมา แค่ฟังก็พอ เรื่องบางเรื่องแค่มองก็พอ ไม่ต้องเอาตัวเราเข้าไปข้องเกี่ยวให้ทุกข์ใจ เหตุการณ์บางอย่างก็ไกลเกินกำลัง ไม่ต้องโชว์พลัง โชว์เก่งเกินตัว เก็บเอาไว้เป็นประสบการณ์

หากพยายามใช้ชีวิตเช่นนี้แล้ว ย่อมมีความสุข ชีวิตจึงรื่นรมย์ด้วยเสียงหัวเราะ  ฝึกฝนตนให้เป็นผู้สร้างเสียงหัวเราะ สร้างรอยยิ้ม เราจะได้มีความสมานฉันท์กับผู้คนรอบข้าง ใครด่าใครว่าอย่าใส่ใจ เราจึงสามารถทำสิ่งดีงามต่าง ๆ ได้ แม่สอนให้เราร่าเริง แม่สอนให้ใส่ใจ แต่อย่าปลักใจ สอนให้มองตนไม่ใช่มองคน มีความขัดแย้งไปก็เท่านั้น เพราะไม่รู้พรุ่งนี้จะมีสายลม แสงแดด หรือฝนฟ้า ให้ชื่นชมอยู่หรือเปล่า …

(ขออภัยที่ครั้งนี้นำเรื่องส่วนตัวมาขีดเขียน)

ไม่มีความคิดเห็น: