เข้าใจความมืด
สวัสดีปีใหม่และขอบคุณทุกๆท่านครับ ที่ได้ติดตามงานเขียนในสารวัดเซนต์หลุยส์ ในนามของ “คนข้างวัด” ตลอดมา สำหรับผู้เขียนก็จะพยายามที่จะขีดเขียนข้อคิดที่ดีๆ ถือว่าเป็นการแบ่งปันความคิดเห็นที่มีต่อสังคมบ้าง ที่มีต่อชีวิตบ้าง ที่มีต่อความเชื่อในฐานะคริสตศาสนิกชนคนหนึ่ง และที่สุดหากว่าบทความบทใดทำให้เป็นที่ขัดเคือง เป็นที่ไม่สบอารมณ์ หรือเป็นที่ที่ทำให้เกิดบาปของพี่น้อง ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ปีใหม่ก้าวผ่านเข้ามา หลายคนก็มีความตั้งใจจะทำสิ่งใหม่ๆสิ่งที่ดีๆตลอดปีที่จะมาถึงนี้ แต่พอวันเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ชีวิตก็มักวกเวียนกลับไปอยู่ยังจุดยืนเดิมๆ กลับไปเป็นตัวตนเหมือนเดิม ตามอุปนิสัยและความคุ้นชิน หลงลืมความตั้งใจดีในวันขึ้นปีใหม่ไป นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่า เราไปให้ความสำคัญกับวันปีใหม่ที่หมู่มวลมนุษย์ได้ร่วมกันค้นคิดขึ้นมากเกินไป แท้จริงวันคืนก็กลืนกินหายไป แล้วก็กลับมาเหมือนดังเช่นทุกๆวัน ความดีความทราม ความงามความชั่ว ก็ยังอยู่คู่กับโลก คู่กับชีวิตนี้ต่อไป แต่สำหรับคนที่ปรารถนาจะอยู่กับสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย เลือกที่จะยืนอยู่ข้างความดี ความงาม ท่ามกลางความทรามความเลวร้าย ก็ต้องหมั่นไถ่ถามตัวเองเสมอๆว่า “แท้จริงแล้วชีวิตนี้คืออะไร มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด จะอยู่อย่างสุขหรือปกคลุมไปด้วยทุกข์”
ใช่...ชีวิตเราย่อมมีสองด้าน เฉกเช่นวันเวลาย่อมมีทั้งกลางวันและกลางคืน หลายคนเลือกที่จะชื่นชมกับแสงสว่างยามกลางวันแต่ไม่ยอมเรียนรู้ ทำความเข้าใจกับความมืดยามค่ำคืน รอคอยแต่แสงแรกแห่งวัน เพื่อกลบเกลื่อนปัญหาที่หมักหมม และมีอีกหลายคนจ่อมจมอยู่กับความมืดยามค่ำคืน ซ่อนตัวตนอยู่กับความทุกข์จนไม่อาจจะลุกขึ้นสู้แสงของกลางวัน ในด้านมุมหนึ่งพระเจ้าสร้างกาลเวลา แบ่งแยกกลางวันกับกลางคืน เพื่อแยกความสว่างออกจากความมืด ใช่หรือไม่ พระเจ้าให้ชีวิตเรามีสองด้านและพระองค์ปรารถนาให้เราแยกความสว่างในจิตใจของเรา ออกจากความมืดมนของชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน..
สำหรับการดำเนินบนหนทางชีวิตนั้น หาใช่เพียงหวังแต่ว่าจะอยู่อย่างเป็นสุขตลอดกาลได้อย่างไรเล่า เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีวันแห่งความทุกข์ยากคืบคลานผ่านเข้ามาในชีวิต สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า เมื่อวันใดวันหนึ่งความมืดแห่งความทุกข์โจมตี เราจะมีมุมมองในการจัดการกับความทุกข์นั้นได้อย่างไรต่างหาก
เมื่อเราจมอยู่ในราตรีกาลแห่งความทุกข์ สิ่งที่ติดตามมาย่อมหนีไม่พ้นความท้อแท้ สิ้นหวัง เจ็บปวดแสนสาหัส กระหน่ำเข้ามากัดกร่อนกินจิตวิญญาณให้แทบสูญสิ้นศรัทธาในการดำรงชีวิตอยู่ ต่อว่าพระเจ้า ต่อว่าโลกนี้ ช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน เสมือนว่าโลกกำลังจะแตกดับลงต่อหน้าต่อตา นี่เป็นความอ่อนแอของความเป็นมนุษย์โดยแท้ เมื่อมีกลางคืนไยเล่าจะไม่มีกลางวัน กลางคืนคือความหวังของวันพรุ่ง
แล้วช่วงเวลาแห่งความปวดร้าวก็จะผ่านไปเมื่อกงล้อของกาลเวลาได้นำพาแสงสว่างมาให้เราเรียนรู้และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่ง เป็นเช่นนี้หลายๆรอบในช่วงชีวิตหนึ่ง แล้วเมื่อถึงตอนนั้น เราอาจจะหันกลับมามองบาดแผลในครั้งนั้นด้วยสายตาที่ผิดแผกไปจากเดิม บาดแผลนั้นจะทำให้เรามีภูมิ ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และบ่อยครั้งเมื่อกาลเวลาผ่านไปเรื่องเหล่านั้นกลับเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เพราะขณะนั้นเรามัวแต่จมอยู่ในความมืดมนโดยไม่ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจ ละเลยที่จะมีความหวัง ความมืดย่อมมีวันจางหายไป..
แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ดวงอาทิตย์สาดแสงเข้ามาในใจ ยังคงนั่งจมอยู่ในความมืดมิดชนิดว่ามองไม่เห็นอะไรเลยแม้กระทั่งเปลือกตาตัวเอง เฝ้าแต่ตำหนิต่อว่าถึงความโหดร้ายที่ตนเองได้รับอยู่อย่างไม่สร่างซา ไม่เข้าใจสัจจะแห่งสรรพสิ่งในโลกที่ล้วนเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับสูญ
หนทางชีวิต คือ เส้นทางที่ยังไม่เคยมีการสำรวจ ที่เราอาจพบสิ่งงดงามเกินความบรรยายรอคอยอยู่ตรงหน้าก็เป็นไปได้ หรือไม่ก็ความเลวร้าย ความเจ็บปวดสาหัส เราไม่สามารถคาดเดาเส้นทางข้างหน้าได้ แต่หากเราเชื่อมั่นในหนทางที่เรากำลังเดินอยู่ เราก็สามารถดำเนินชีวิตอยู่กับแสงตะวันได้อย่างเบิกบาน พักผ่อนนอนหลับกลางแสงจันทร์และแสงดาวพรั่งพราวได้อย่างสงบ....
บรรดาโหราจารย์ ผู้เป็นต้นธารของการเข้าใจความมืดยามค่ำคืนได้อย่างดียิ่ง ในคืนอันมืดมิดเพียงรู้จักที่จะแหงนหน้าขึ้นเบื้องบน ความสว่างของดาวดวงเล็กๆก็อาจจะนำพาความหวังอันยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิตเราได้ ใช่...เราชื่นชมแสงสว่างยามกลางวัน เพราะมันทำให้เรามองเห็นสรรพสิ่งที่ต้องการ ทำให้เราสร้างสรรค์หนทางชีวิตหาใช่เพียงแต่ฝันหวาน ในขณะเดียวกันความฝันยามกลางคืนก็เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้มวลหมู่มนุษย์ได้อยู่อย่างสงบสันติตลอดมามิใช่หรือ ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่กับโลก การก่อกำเนิดพระผู้ไถ่กู้ก็มาจากยามค่ำคืนอันแสนสงบเงียบ พระผู้ไถ่กู้ผู้เป็นแสงสว่างส่องโลกา...โลกนี้ยังมีด้านมืดให้เข้าใจเพื่อนำพามาซึ่งแสงสว่าง ชีวิตเรามีความทุกข์ให้พบเจอ ก็เพื่อเราจะเข้าสู่วันใหม่ด้วยหัวใจอันยิ่งใหญ่ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความศรัทธา อย่าสูญสิ้นซึ่งสิ่งเหล่านี้ ...
สวัสดีปีใหม่และขอบคุณทุกๆท่านครับ ที่ได้ติดตามงานเขียนในสารวัดเซนต์หลุยส์ ในนามของ “คนข้างวัด” ตลอดมา สำหรับผู้เขียนก็จะพยายามที่จะขีดเขียนข้อคิดที่ดีๆ ถือว่าเป็นการแบ่งปันความคิดเห็นที่มีต่อสังคมบ้าง ที่มีต่อชีวิตบ้าง ที่มีต่อความเชื่อในฐานะคริสตศาสนิกชนคนหนึ่ง และที่สุดหากว่าบทความบทใดทำให้เป็นที่ขัดเคือง เป็นที่ไม่สบอารมณ์ หรือเป็นที่ที่ทำให้เกิดบาปของพี่น้อง ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ปีใหม่ก้าวผ่านเข้ามา หลายคนก็มีความตั้งใจจะทำสิ่งใหม่ๆสิ่งที่ดีๆตลอดปีที่จะมาถึงนี้ แต่พอวันเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ชีวิตก็มักวกเวียนกลับไปอยู่ยังจุดยืนเดิมๆ กลับไปเป็นตัวตนเหมือนเดิม ตามอุปนิสัยและความคุ้นชิน หลงลืมความตั้งใจดีในวันขึ้นปีใหม่ไป นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่า เราไปให้ความสำคัญกับวันปีใหม่ที่หมู่มวลมนุษย์ได้ร่วมกันค้นคิดขึ้นมากเกินไป แท้จริงวันคืนก็กลืนกินหายไป แล้วก็กลับมาเหมือนดังเช่นทุกๆวัน ความดีความทราม ความงามความชั่ว ก็ยังอยู่คู่กับโลก คู่กับชีวิตนี้ต่อไป แต่สำหรับคนที่ปรารถนาจะอยู่กับสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย เลือกที่จะยืนอยู่ข้างความดี ความงาม ท่ามกลางความทรามความเลวร้าย ก็ต้องหมั่นไถ่ถามตัวเองเสมอๆว่า “แท้จริงแล้วชีวิตนี้คืออะไร มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด จะอยู่อย่างสุขหรือปกคลุมไปด้วยทุกข์”
ใช่...ชีวิตเราย่อมมีสองด้าน เฉกเช่นวันเวลาย่อมมีทั้งกลางวันและกลางคืน หลายคนเลือกที่จะชื่นชมกับแสงสว่างยามกลางวันแต่ไม่ยอมเรียนรู้ ทำความเข้าใจกับความมืดยามค่ำคืน รอคอยแต่แสงแรกแห่งวัน เพื่อกลบเกลื่อนปัญหาที่หมักหมม และมีอีกหลายคนจ่อมจมอยู่กับความมืดยามค่ำคืน ซ่อนตัวตนอยู่กับความทุกข์จนไม่อาจจะลุกขึ้นสู้แสงของกลางวัน ในด้านมุมหนึ่งพระเจ้าสร้างกาลเวลา แบ่งแยกกลางวันกับกลางคืน เพื่อแยกความสว่างออกจากความมืด ใช่หรือไม่ พระเจ้าให้ชีวิตเรามีสองด้านและพระองค์ปรารถนาให้เราแยกความสว่างในจิตใจของเรา ออกจากความมืดมนของชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน..
สำหรับการดำเนินบนหนทางชีวิตนั้น หาใช่เพียงหวังแต่ว่าจะอยู่อย่างเป็นสุขตลอดกาลได้อย่างไรเล่า เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีวันแห่งความทุกข์ยากคืบคลานผ่านเข้ามาในชีวิต สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า เมื่อวันใดวันหนึ่งความมืดแห่งความทุกข์โจมตี เราจะมีมุมมองในการจัดการกับความทุกข์นั้นได้อย่างไรต่างหาก
เมื่อเราจมอยู่ในราตรีกาลแห่งความทุกข์ สิ่งที่ติดตามมาย่อมหนีไม่พ้นความท้อแท้ สิ้นหวัง เจ็บปวดแสนสาหัส กระหน่ำเข้ามากัดกร่อนกินจิตวิญญาณให้แทบสูญสิ้นศรัทธาในการดำรงชีวิตอยู่ ต่อว่าพระเจ้า ต่อว่าโลกนี้ ช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน เสมือนว่าโลกกำลังจะแตกดับลงต่อหน้าต่อตา นี่เป็นความอ่อนแอของความเป็นมนุษย์โดยแท้ เมื่อมีกลางคืนไยเล่าจะไม่มีกลางวัน กลางคืนคือความหวังของวันพรุ่ง
แล้วช่วงเวลาแห่งความปวดร้าวก็จะผ่านไปเมื่อกงล้อของกาลเวลาได้นำพาแสงสว่างมาให้เราเรียนรู้และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่ง เป็นเช่นนี้หลายๆรอบในช่วงชีวิตหนึ่ง แล้วเมื่อถึงตอนนั้น เราอาจจะหันกลับมามองบาดแผลในครั้งนั้นด้วยสายตาที่ผิดแผกไปจากเดิม บาดแผลนั้นจะทำให้เรามีภูมิ ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และบ่อยครั้งเมื่อกาลเวลาผ่านไปเรื่องเหล่านั้นกลับเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เพราะขณะนั้นเรามัวแต่จมอยู่ในความมืดมนโดยไม่ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจ ละเลยที่จะมีความหวัง ความมืดย่อมมีวันจางหายไป..
แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ดวงอาทิตย์สาดแสงเข้ามาในใจ ยังคงนั่งจมอยู่ในความมืดมิดชนิดว่ามองไม่เห็นอะไรเลยแม้กระทั่งเปลือกตาตัวเอง เฝ้าแต่ตำหนิต่อว่าถึงความโหดร้ายที่ตนเองได้รับอยู่อย่างไม่สร่างซา ไม่เข้าใจสัจจะแห่งสรรพสิ่งในโลกที่ล้วนเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับสูญ
หนทางชีวิต คือ เส้นทางที่ยังไม่เคยมีการสำรวจ ที่เราอาจพบสิ่งงดงามเกินความบรรยายรอคอยอยู่ตรงหน้าก็เป็นไปได้ หรือไม่ก็ความเลวร้าย ความเจ็บปวดสาหัส เราไม่สามารถคาดเดาเส้นทางข้างหน้าได้ แต่หากเราเชื่อมั่นในหนทางที่เรากำลังเดินอยู่ เราก็สามารถดำเนินชีวิตอยู่กับแสงตะวันได้อย่างเบิกบาน พักผ่อนนอนหลับกลางแสงจันทร์และแสงดาวพรั่งพราวได้อย่างสงบ....
บรรดาโหราจารย์ ผู้เป็นต้นธารของการเข้าใจความมืดยามค่ำคืนได้อย่างดียิ่ง ในคืนอันมืดมิดเพียงรู้จักที่จะแหงนหน้าขึ้นเบื้องบน ความสว่างของดาวดวงเล็กๆก็อาจจะนำพาความหวังอันยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิตเราได้ ใช่...เราชื่นชมแสงสว่างยามกลางวัน เพราะมันทำให้เรามองเห็นสรรพสิ่งที่ต้องการ ทำให้เราสร้างสรรค์หนทางชีวิตหาใช่เพียงแต่ฝันหวาน ในขณะเดียวกันความฝันยามกลางคืนก็เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้มวลหมู่มนุษย์ได้อยู่อย่างสงบสันติตลอดมามิใช่หรือ ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่กับโลก การก่อกำเนิดพระผู้ไถ่กู้ก็มาจากยามค่ำคืนอันแสนสงบเงียบ พระผู้ไถ่กู้ผู้เป็นแสงสว่างส่องโลกา...โลกนี้ยังมีด้านมืดให้เข้าใจเพื่อนำพามาซึ่งแสงสว่าง ชีวิตเรามีความทุกข์ให้พบเจอ ก็เพื่อเราจะเข้าสู่วันใหม่ด้วยหัวใจอันยิ่งใหญ่ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความศรัทธา อย่าสูญสิ้นซึ่งสิ่งเหล่านี้ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น