วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ก้าวข้ามผ่านความปวดร้าว

ก้าวข้ามผ่านความปวดร้าว

เรากำลังก้าวผ่านวันเวลามาจนถึงเดือนสุดท้ายของปีปฏิทินกันอีกปีหนึ่งแล้ว แต่ก็คงไม่ใช่เดือนสุดท้ายของชีวิตเรากระมัง แต่ถ้าเป็นเดือนสุดท้ายปลายชีวิตจริง สิ่งที่ต้องดำรงอยู่ในโลกต่อไปก็คือ สัจธรรมแห่งชีวิตที่มีทั้งทุกข์และสุข มีโศกเศร้าและหัวเราะเริงร่า มีขึ้นมีลง ...ทุกผู้คนไม่มากก็น้อยย่อมพบพานความปวดร้าวและถูกทำร้ายหรืออาจจะเป็นผู้ทำร้ายผู้อื่นทั้งแบบไม่รู้ตัวและอย่างเปิดเผยกันมาบ้าง... แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงมีจำนวนไม่น้อย ที่บ่มเพาะมาจากเมล็ดพันธุ์แห่งความปวดร้าว เฉกเช่นความปวดร้าวแรกแห่งนาซาแร็ธ...

ภาพกระจกสีภาพนั้นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ณ วัดบ้านของนักบุญยอแซฟ ภาพนั้นเป็นภาพที่นักบุญยอแซฟกำลังสวมแหวนหมั้นให้แม่พระ เป็นคล้ายดังปฐมบทความปวดร้าวของชายช่างไม้ที่ชื่อ ยอแซฟ แห่งเมืองนาซาแร็ธ เหตุการณ์ต่อจากนั้น คือ ความปวดร้าวที่เข้ามาสู่ท่านยอแซฟอย่างแทบไม่ทันตั้งตัว วันที่หญิงสาวผู้กำลังจะเป็นเจ้าสาว ได้ตั้งครรภ์ ได้รับการปฎิสนธิด้วยฤทธิ์แห่งพระจิตเจ้า ครั้งแรกที่ได้รับรู้ผู้เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ย่อมเจ็บปวดและร้าวรานที่สุดในชีวิต แต่สำหรับหนทางของพระเจ้า พระองค์มีวิธีการที่ทำให้ท่านยอแซฟและพระนางมารีย์ก้าวผ่านความปวดร้าวนั้นไปได้ อาศัยพลังแห่งความเชื่อ ความศรัทธาและความสุภาพนอบน้อม และการแจ้งประจักษ์ความจริงทำให้ท่านทั้งสองพร้อมเคียงคู่สู้คำครหาต่างๆนานา จนนำมาสู่การไถ่กู้อันยิ่งใหญ่

ช่าง....แตกต่างกับหนุ่มสาวยุคนี้ที่ใจไร้รัก มิพักต้องพูดถึงความอดทนอดกลั้นในหัวใจ ที่ไม่มีหลงเหลือ มีแต่ความสนุกสนานเป็นที่ตั้ง มีแต่ความเห็นแก่ตัวเป็นสรณะ ทารกเกิดจากความสำส่อนก็ซ่อนเร้นทำลาย ใส่ถุงพลาสติกไปโยนทิ้ง คุณค่าแห่งชีวิตตัวอ่อนๆยังถูกทำลาย สาอะไรกับคุณค่าในตัวตน จิตวิญญาณความเป็นคนก็คงไม่เหลือ เพราะอะไรเล่าชีวิตของผู้คนยุคนี้จึงเต็มไปด้วยความโหดร้าย ก็เพราะเรามักใช้อารมณ์อยู่เหนือสรรพสิ่ง มีเหตุผลเพื่อเอาตัวรอด ไม่ได้เอาความปวดร้าวมาเป็นผลของการเติบโต ไม่เคยเรียนรู้ความเป็นสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี ความเป็นชายจริงหญิงแท้แทบจะสูญพันธุ์

ในโลกนี้แท้จริงแล้วล้วนมีวิถีชีวิตให้เลือกเดินมากมาย เพียงแต่ว่าใครจะเลือกเส้นทางไหน ใช่หรือไม่ ในครั้งแรกเมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความปวดร้าวได้หยั่งรากลงในจิตใจเรา ก็จะทำให้เราทรมานกับสิ่งที่เกิดขึ้นแทบเป็นแทบตาย และเราจะทำอย่างไรเล่าจึงจะขจัดวันวานอันขมขื่นออกไปจากใจ เพื่อที่จะก้าวต่อไปอย่างเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้

คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ยินดีที่มีลูก แต่นั่นอาจจะเพิ่มความปวดร้าวลึก ลงในใจของหลายคนก็ได้ที่ไม่มีเวลาอยู่กับลูก ไม่มีเวลาให้ความอบอุ่น เพราะวุ่นวายกับการคิดว่าจะสร้างฐานะเพื่อเป็นเกราะปกป้องลูกหลายครั้งก็สำนึกเสียใจปวดร้าวที่ปล่อยให้วันเวลาเลยผ่านไป ด้วยเหตุผลพ่อต้องทำงานหนักเพื่ออนาคตของลูก แต่ไม่เคยรู้ความต้องการที่แท้จริงของลูก

มีพ่อคนหนึ่งทำงานอย่างหนักเพื่อว่าจะได้มีเงินทองส่งให้ลูกได้เล่าเรียน แต่แล้วความปวดร้าวอย่างที่สุดก็ได้เข้ามาอย่างจังในชีวิต เมื่อลูกชายตัวน้อยมีการบ้านที่แสนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาสำหรับคนเป็นพ่อ คุณครูให้เด็กนำรูปถ่ายคู่กับคุณพ่อตอนไปเที่ยวในที่ต่างๆแล้วนำไปเล่าถึงความประทับใจในวันพ่อที่จะมาถึง เมื่อลูกชายได้มาบอก พ่อถึงกับอึ้งที่ตลอดเวลามานี้ไม่มีสักครั้งที่จะพาลูกชายไปเที่ยวและถ่ายภาพเก็บไว้ เขาเศร้าใจยิ่งนัก แต่เพื่อให้ลูกชายมีการบ้านส่งคุณครู เขาจึงนำภาพลูกชายและตัวเขามาตัดต่อประกอบภาพวิวด้วยคอมพิวเตอร์และเขาก็ทำได้อย่างแนบเนียน แต่ความปวดร้าวนั้นก็ยังไม่หมดไป มันยังคงฝังอยู่ในใจเขาอย่างแน่นหนา จึงก่อให้เกิดความทุกข์ เมื่อมีผู้ไถ่ถามเขาก็เล่าให้ฟังถึงความปวดร้าวนั้น เขากล่าวว่า คอมพิวเตอร์ตัดต่อภาพได้ แต่มันไม่สามารถตัดแต่งความสัมพันธ์พ่อลูกได้เลย จากนั้น เขาจึงหยุดทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง หาเวลาและเติมเต็ม ให้เวลากับลูกชายที่ขาดหายไปเสียนาน เขาได้ใช้ความปวดร้าวมาเป็นยารักษา โดยอาศัยความเชื่อและความรักในครอบครัว เพื่อสร้างความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกคงอยู่ต่อไปอย่างมั่นคง

เวลาแห่งความปวดร้าวเป็นเพียงฉากหนึ่งของชีวิตที่ผ่านเข้ามา เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวตนของเราว่า กล้าพอไหมที่จะยอมรับผลพวงของความผิดพลาดนั้นด้วยหัวใจที่กล้าหาญ และเราจะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าไม่มีใครที่สามารถให้เหตุผลนำชีวิตได้ตลอดกาล เพราะในความเป็นปุถุชนคนธรรมดานั้นย่อมหลีกเลี่ยงความพลาดพลั้งในชีวิตไม่พ้น หากการมีชีวิตอยู่ คือ การได้ใช้ชีวิต เราก็ต้องรู้จักประคองตนให้บาดเจ็บน้อยที่สุด ทำร้ายผู้อื่นและตัวเองให้น้อยที่สุด และไม่ว่าเราจะเลือกดำเนินชีวิตอย่างไร ไม่มีทางเลือกใดที่จะไม่ปวดร้าว เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนย่อมต้องเคยตกอยู่ในวังวนแห่งความปวดร้าว แต่การจ่อมจมและดำดิ่งอยู่ในท่ามกลางความปวดร้าวนานเกินไป มากเกินไป โดยปราศจากความเชื่อและความหวัง ก็คือการบั่นทอนตนเอง และบนเส้นทางชีวิตย่อมต้องมีเส้นทางที่ปวดร้าวเกิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง แล้วเราจะก้าวข้ามผ่านเวลาแห่งความปวดร้าวนั้นไปได้หรือไม่ อย่างไร จะยอมให้เมล็ดพันธุ์แห่งความปวดร้าวเน่าในตัวเราหรือจะทำให้มันหยั่งรากลึกลงเพื่อให้ลำต้นแห่งชีวิตนี้แข็งแรง แล้วเดินทางต่อไป เราเลือกได้แต่ควรเลือกประเด็นหลังจึงจะงดงามกว่า.

ไม่มีความคิดเห็น: