วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ผิดพลาดหน้าจอ

ผิดพลาดหน้าจอ
ช็อกโลก สำหรับการประกวดนางงามจักรวาล Miss Universe 2015 เมื่อช่วงสายของวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย เมื่อพิธีกรบนเวทีประกาศผลรางวัลผิด โดยให้มิสจากประเทศโคลอมเบียได้มงกุฎ มีการมอบสายสะพายสวมมงกุฎกันเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่ถึง 5 นาที มีการประกาศขออภัย เพราะเกิดความผิดพลาดผู้ชนะที่แท้จริงคือคนงามจากฟิลิปปินส์ ท่ามกลางความงวยงงของคนทั้งโลก พิธีกรออกมาขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แล้วรายการก็ตัดจบลงไปดื้อ ๆ คงเป็นความบังเอิญที่กำลังจะเริ่มต้นเขียนบทความนี้ เพราะต้องส่งต้นฉบับเร็วกว่าทุกครั้ง จึงเปิดรายการข่าวไว้เพื่อที่จะดูข่าวสารจากทั่วโลก แต่ช่องที่กำลังดูนั้นมักง่ายไปหน่อย กลับไปถ่ายทอดข่าวแบบไม่คิดที่จะลงทุนหรือทำให้กระชับ สรุปประเด็น เล่นถ่ายทอดยาวเป็นสิบนาที เกิดอาการหงุดหงิดต้องเปลี่ยนช่อง เห็นมีการถ่ายทอดสดจากเวทีประกวดนี้ เลยเปิดทิ้งไว้ จนกระทั่งได้ยินการประกาศผลที่ผิดพลาด
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ได้เห็นความผิดพลาดของคน ๆ เดียวส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลก คนที่น่าสงสารที่สุดคือสาวงามจากประเทศโคลอมเบียที่ฝันของเธอกำลังถึงฝั่ง กำลังจะขึ้นมายืนอย่างสง่า ต้องถูกผลักลงตกน้ำตกท่า ยืนงงน้ำตาซึม ไหนจะคนในประเทศโคลอมเบียอีกเล่าที่กำลังจะมีความสุข กำลังชื่นชมยินดีกันทั่วหน้า แต่แล้ว ฝันมันก็สลายลงในพริบตา กลายเป็นความสับสนงวยงง เป็นความทุกข์รวมกันอีกครั้ง มีไม่น้อยที่ต้องสบถด่าทอออกมา จากความงามกลายเป็นความทรามต่ำช้า เป็นความเกลียดชังฝังในจิตใจของคนนับล้าน เพียงผลจากการพลาดครั้งเดียว... สาวงามชาวฟิลิปปินส์เล่า เธอคงไม่ได้ชื่นชมยินดีอย่างเต็มที่นัก ที่เห็นเพื่อนนางงามต้องมารับทุกขลาภต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น นี่คือเวทีความงามหรือเวทีสร้างความหยามเหยียดกันแน่ นี่คือ “มืออาชีพ”หรือแค่ “คืออาชีพ” หนึ่งเท่านั้น และไม่ว่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เราต้องนำมาเป็นบทเรียนคือการแก้ปัญหาจากความผิดพลาด การแก้ไขที่จะนำไปสู่การให้อภัย นำความงามกลับมาสู่สังคมให้ได้ อันนี้สำคัญมากกว่าที่เราต้องมาทบทวนร่วมกัน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หลังจากที่เธอร้องไห้หนักมากบนเวทีที่ดับฝันกลางอากาศของเธอในค่ำคืนนั้น เธอได้เขียนข้อความจากใจถึงแฟน ๆ ว่า “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุผลของมัน และเธอก็มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ขอบคุณทุกๆคน” และสิ่งนี้ที่ทำให้เธอได้รับกำลังใจอย่างล้นหลามในการข้ามก้าวผ่านฝันร้ายนี้ไปได้ ทำให้คิดถึงข้อความสั้น ๆ นี้
Wise men learn from others’ mistake fools by their own.
คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นคนโง่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง
การที่คนเราจะทำอะไรให้สำเร็จนั้นมันมีองค์ประกอบหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือรู้จักแก้ไขข้อผิดพลาด และนำข้อผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียนเพื่อให้เรามุ่งสู่ความสำเร็จ เหมือนดัง โทมัสเอดิสัน นักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา เมื่อเขาเริ่มเรียนในพอร์ตฮูรอนในมิชิแกน ครูของเขาบ่นว่า เขาเรียนช้าเกินไป ดังนั้นมารดาของเอดิสันจึงตัดสินใจพาลูกออกจากโรงเรียน และสอนเขาอยู่ที่บ้าน
เอดิสันหลงใหลวิทยาศาสต์มาก พออายุได้  10 ปี เขาสร้างห้องทดลองเคมีของเขาสำเร็จ ตลอดชีวิตเขาสามารถประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ได้กว่า 3,000 ชิ้น ด้วยพลังที่ไม่มีวันหมดและความอัจฉริยะของเขา ซึ่งเขาระบุว่าเป็นแรงบันดาลใจ 1%  และเป็นเหงื่อ 99%
กว่าโทมัส เอดิสันจะประดิษฐ์ดวงไฟได้ เขาทำการทดลองอยู่กว่า 25,000 ครั้ง นักข่าวถามเขาว่า เขารู้สึกอย่างไรกับความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งเขาตอบว่า ผมไม่เคยล้มเหลวสักครั้งเดียว มันก็แค่เป็นกระบวนการ 25,000 ครั้งเท่านั้น
หากเราผิดพลาดพลั้งสักกี่ครั้ง แล้วแก้ไข กลับเนื้อกลับตัวใหม่ ความสำเร็จและความสุขจะตามมา อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดมาทำร้ายตัวเอง มาทำร้ายคนรอบข้าง มาทำร้ายคนที่เรารัก นี่จึงเป็นความสมบูรณ์ของชีวิต เมื่อนั่งพิจารณาในเหตุการณ์ครั้งนี้มันสะท้อนสอนอะไรเราบ้าง ใช่หรือไม่ บนความผิดพลาดนั้นทุกคนย่อมมี ทุกคนย่อมเคยทำมา เราลองมาย้อนดูบนความผิดพลาดของเรานั้นย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว ความผิดพลาดเล็กน้อยย่อมมีผลกระทบไม่มากและสามารถลบล้างออกได้ด้วยการให้อภัยกัน
ในสังคมที่เรามักคิดว่าความเก่ง ความฉลาดเป็นกำแพงปกป้องตัวเอง ต่างคนต่างสร้าง จึงกลายเป็นกำแพงรอบด้านที่ปิดกั้นตัวเอง เวลาเกิดการผิดพลาดขึ้นมามักจะไม่รีบแก้ไข แต่จะใช้วิธีหลีกหนีเอาตัวรอดมากกว่า ปัญหาจึงเกิดจากความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละ ไม่ต้องอื่นไกล ในครอบครัวเรา การอยู่ร่วมกันของคนหลายคน ย่อมมีความพลาดผิดเสมอ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยยึดโยงครอบครัวให้แน่นเหนียวเกี่ยวก้อยกันไว้ได้คือ ความรัก รักที่จะให้อภัยในความผิดของกันและกัน ความศักดิ์สิทธิ์จึงเกิดขึ้น ความสว่างสดใสจึงมีมาในหลังคาเดียวกัน หากเราดำเนินชีวิตตามแบบค่านิยมที่ไม่ยอมกัน เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ เราก็มักไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเรา ใครที่เคยคิกหรือบอกว่า “เกิดมาไม่เคยทำอะไรผิดพลาด” นั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์และเป็นอันตรายต่อสังคมเป็นอย่างมาก คุณค่าของความงามในชีวิตไม่ได้ถูกตัดสินว่าใครเก่ง ใครมี ใครสวย ใครรวยกว่ากัน แต่มันกลับวัดกันตรงที่ใครสามารถที่จะแก้ไขในสิ่งผิดได้ดีกว่ากัน ใครใช้บทเรียนจากความผิดพลาดเพื่อเสริมเติมแกร่งได้มากกว่ากันต่างหาก
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ในโอกาสของการข้ามผ่านปี เรามาทบทวนการดำเนินชีวิตของเราที่ผ่านมานั้น เราได้แก้ไขข้อผิดพลาด เราได้เสริมสร้างรักด้วยการให้อภัยมามากน้อยเพียงใด และในวันข้างหน้าเราต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยถึงน้อยที่สุด เพื่อให้การอยู่ร่วมกันในครอบครัว ในสังคม ในประเทศ ในโลกนี้เป็นเวทีที่สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่กันอย่างแท้จริง นี่จึงเป็นภารกิจรักภารกิจหลักที่เราต้องกระทำในวันเวลาที่เหลืออยู่ อย่าด่วนปิดฉากไปอย่างง่ายดายและไร้ค่ากันเลยนะครับ...Merry and Mercy Christmas Happy New Year New Life..

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เยี่ยมเยียนในความธรรมดา

เยี่ยมเยียนในความธรรมดา
เชื่อว่าหลายคนเริ่มที่จะตั้งโปรแกรมเพื่อรอรับกับวันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่กันไว้แล้ว และหลายคนก็ตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมเยือนเรือนเก่าบ้านเกิด เยี่ยมพ่อแม่พี่น้อง หรือผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้ที่เรานับถือ การเยี่ยมเยียนนั้นได้สร้างสิ่งต่าง ๆ มากมายต่อมนุษย์เรา ก่อให้เกิดการพัฒนาระบบคมนาคม เกิดการจับจ่ายจนมีการขยายทางเศรษฐกิจ ระบบการค้าขายเบ่งบาน ทุกคนต้องมีของฝากของขวัญในวันออกเยี่ยม เกิดความผูกพัน สานสัมพันธ์ระหว่างวงศ์วาน เพิ่มเติมความสุขและความชื่นบานให้แก่กัน



แม้ว่าในยุคสมัยใหม่ได้ทำให้ผู้คนลืมสายสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติกันไปบ้าง จึงทำให้เกิดความเหินห่างกัน เพราะทุกคนวุ่นวายกับการงาน การเงินจนเกินงาม จึงมีเหตุผลที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อนพี่น้อง ยิ่งมีเทคโนโลยีระบบสื่อสารเพียงปลายนิ้วสัมผัส บนโทรศัพท์มือถือ ทำให้ร่นระยะเวลาในการสื่อสาร ไม่ต้องใช้เวลาเดินทางไปเยี่ยมเยียน คุณค่าทางใจในกิจกรรมร่วมกันสร่างซาค่อย ๆ หดหายไป เทคโนโลยีเหล่านั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เป็นเราที่ต้องเลือกใช้ให้ถูกกับกาลเวลา แต่ใช่หรือไม่การเยี่ยมเยียนกันแบบเห็นหน้าค่าตา ใจสัมผัสใจ ย่อมมีความสุขมากกว่าเพียงส่งเสียง ส่งภาษา ส่งภาพ ฝากไปกับคลื่น เราควรหาเวลาและโอกาสที่สมควร เพื่อไปเยี่ยมพี่น้องของเราบ้าง เพื่อชีวิตของเราจะได้ยั่งยืน
เมื่อพูดถึงการเยี่ยมเยียนคนไกลกันแล้ว และกับคนใกล้ชิดเราเล่าเป็นเช่นไร บางทีการอยู่กับคนคุ้นชิน จนกลายเป็นความชินชา จำเจ หันเหไปทางไหนก็พบเจอแต่สิ่งเดิม ๆ ยิ่งอยู่กันนานไปยิ่งลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ หากเรากำลังอยู่ในสภาพแบบนี้ สันติสุขก็กำลังคืบคลานไปจากเราทีละเล็กทีละน้อย วิถีชีวิตเราจะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ เช่นนี้แล้ว เราต้องเริ่มที่จะมองให้เห็นถึงคุณค่าของคนรอบกาย ข้างตัวเราบ้าง ให้เวลา เอาใจใส่ต่อกัน เสมือนกับการไปเยี่ยมเยียนคนอื่น เติมรักเติมความเข้าใจต่อกัน สัมผัสให้ได้ถึงพระพรที่มีอยู่กับคนที่อยู่ข้างหน้าเรา ความเมตตาเกิดขึ้นได้เสมอในขณะที่เราเห็นใจกัน พยายามทำให้วันที่แสนธรรมดา เป็นวันที่วิเศษ พยายามทำให้คนที่เราอยู่ด้วยทุกวัน เป็นเหมือนกับคนที่เราต้องไปเยี่ยมเยียนดูแล สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องลงทุน ลงแรงอะไรมาก อาศัยเพียงแต่ “รัก” เท่านั้น ที่จะช่วยให้ความธรรมดา เป็นความพิเศษ
มีคู่รักวัยชราอยู่คู่หนึ่ง ทั้งสองครองรักและอยู่ด้วยกันมาห้าสิบกว่าปี วันนี้เป็นวันครบรอบการแต่งงานกันแต่ทั้งสองมิได้จัดงานเลี้ยง หรือฉลองแต่อย่างใด เพราะทั้งสองมองว่าไม่สำคัญเท่ากับความรักที่พวกเขามีให้กันและกันทุกวัน พวกเขามีเรื่อง surprise ทำให้กันทุกวัน ทุกเช้าภรรยาเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา จะมองเห็นดอกลิลลี่สีขาวหนึ่งดอก ที่กำลังจะปริบานและส่งกลิ่นหอมละมุนวางอยู่ตรงหน้าเธอทุกเช้า มันอาจดูเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับใครบางคนที่ได้รับดอกไม้ซ้ำ ๆ แบบนี้ทุกเช้า แต่มันเป็นเรื่องที่ surprise สำหรับเธอในทุก ๆ เช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมาและยังคงเห็นดอกลิลลี่วางอยู่ที่เดิม เธอยิ้มพร้อมกับสูดกลิ่นหอมละมุนของมันอย่างมีความสุขก่อนที่เธอจะถือมันเดินลงมายังครัวด้านล่างตรงที่สามีของเธอนั่งดื่มกาแฟเพื่อรอกินมื้อเช้าพร้อมกับเธอ เขาเห็นเธอเดินยิ้มอย่างมีความสุขลงมาจากด้านบนทุกเช้า เขารู้สึกมีความสุขและโชคดีที่มีเธออยู่เคียงข้าง เขาจึงลุกขึ้นเพื่อสวมกอดเธอเพื่อแสดงความรักและทักทายเธอในช่วงเช้า จากนั้นเขาก็นำขนมปังปิ้งที่หน้าตาของมันแสนจะไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก เพราะมีรอยไหม้มาเสิร์ฟให้กับเธอพร้อมกับน้ำส้มแก้วโปรดของเธอ
มันอาจดูธรรมดาและเรียบง่ายสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่สำหรับคนที่รักษาความรักและดูแลกันและกันมาตลอดห้าสิบกว่าปีคงไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้ง ๆ ที่ขนมปังปิ้งของทุก ๆ เช้ายังคงรักษามาตรฐานการไหม้เอาไว้ได้ตลอดห้าสิบกว่าปี และเธอผู้เป็นภรรยาก็ไม่เคยปริปากบ่นหรือกล่าวโทษสามีของเธอสักครั้ง เธอจะกล่าวชมเขาทุกครั้งว่าขนมปังปิ้งของคุณมันช่างเป็นขนมปังปิ้งที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยกิน เพราะฉันไม่ได้กำลังกินขนมปังปิ้งของคุณ แต่ฉันกำลังกินความรักของคุณในทุกเช้า และทุก ๆ วันที่คุณมอบให้ฉัน ที่คุณดูแลและใส่ใจฉันอย่างไม่เคยคิดที่จะล้มเลิกความตั้งใจหรือทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณรักฉันน้อยลง แต่มันกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน ทั้ง ๆ ที่คุณก็ยังทำเรื่องเดิมให้กับฉัน เธอจะพูดแบบนั้นกับเขาในทุก ๆ เช้าเช่นกัน ทั้งสองยิ้มให้กันและกันและเริ่มกินมื้อเช้าอย่างมีความสุขที่สุด
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
สามเดือนต่อมาเขาก็ยังคงมอบสิ่ง surprise ให้กับเธอด้วยความรักที่เขามีต่อเธอ... แต่ครั้งนี้เขาได้เชิญบาทหลวงมา เขาตัดสินใจมอบสิ่ง surprise  เขามอบดอกลิลลี่หนึ่งดอกและขนมปังปิ้งที่ยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้หน้าหลุมฝังศพของเธอ เขาทำแบบนี้ในทุก ๆ วันโดยไม่เคยคิดที่จะหลงลืมเธอและมีความสุขที่ได้ทำเพื่อเธอ ในที่สุดหลังจากนั้นอีกสองปี เขาก็ยังมอบความ surprise ให้กับเธอนั่นก็คือเขาได้มีโอกาสได้มานอนอยู่เคียงข้างเธออย่างมีความสุขที่สุด... (http://www.surprisedeliverly.com)
การดูแลเอาใจใส่กันในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นำมาซึ่งความยิ่งใหญ่ต่อโลกนี้ได้เสมอ การดูแล การเยี่ยมเยียน เป็นจุดเริ่มต้นความมีเมตตาจิตต่อกัน หากเรามองว่าสังคมโลกวันนี้ทำไมไร้น้ำใจ เราก็ต้องเป็นฝ่ายที่จะเริ่มให้น้ำใจเรานั้นต่อคนอื่นก่อน ให้กับคนข้างกายรอบข้างเรา มีเวลาเพื่อไปมาหาสู่ ไปให้กำลังใจต่อญาติสนิทมิตรสหาย หาเวลานั่งพูดคุยทักทายกันบ้าง เพื่อว่าเราจะได้เห็นผู้มีบุญปรากฏขึ้นบนโลกในวันที่แสนจะธรรมดา อย่าสร้างโลกด้วยความคาดหวัง จงทำโลกที่ธรรมดาให้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความหวังโดยอาศัยความเมตตาที่เรามอบให้กัน คนไกลเราคิดถึง เพื่อไม่หลงลืมกัน คนใกล้ชิดบางทีเราก็หลงลืม ไม่เคยคิดถึง ฉะนั้นแล้วเราต้องหมั่นดูแลคนที่เรารักและรักเรา ปรับความสมดุลของชีวิตเพื่อมอบเป็นของฝากของขวัญให้กันและกัน การมีชีวิตเพื่อผู้อื่นนี้จึงเป็นความชื่นชมยินดีแห่งการกำเนิดมา และการได้มาเยี่ยมเยียนโลกใบนี้ของเรา

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ข้ามผ่านไปด้วยใจ

ข้ามผ่านไปด้วยใจ
“น้อมรับโดยไม่อวดอ้าง ปล่อยวางโดยไม่ทุรนทุราย”อ่านจากหนังสือ Meditations ริมระเบียงตึกหรูริมหาด พัทยา นาเกลือ

แม้ว่าโดยส่วนตัวจะไม่ชอบการไปท่องเที่ยวในวันหยุดที่ต่อเนื่องกันหลายวัน เพราะไม่อยากจะต้องไปแย่งกันกินแย่งกันอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ แต่ด้วยเพราะความรู้สึกเห็นใจเข้าใจในกลุ่มคนคุ้นเคยที่เราจะพาไปหยุดพักผ่อนร่วมกัน นาน ๆ สักครั้งในรอบปีที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้มีเวลาหยุดพักผ่อนร่วมกัน สวนนงนุช พัทยาใต้ คือจุดหมายที่เรามุ่งหน้าไปให้ถึง ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่ารถต้องติด คนต้องเยอะและเตรียมใจไว้กับสิ่งเหล่านี้ และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แถมมีฝนตกอย่างหนักตั้งแต่เริ่มก้าวออกเดินชมสวน ทำให้ต้องติดฝนภายใต้ “หลังคาเดียวกัน”อีกนับชั่วโมง ด้วยเพราะการเที่ยวครั้งนี้สิ่งสำคัญคือการพักผ่อนร่วมกันของคนที่อยู่ภายใต้ “หลังคาวัดเซนต์หลุยส์” การรอคอยจึงเป็นบรรยากาศของความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยการพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แบ่งร่ม ปันที่กั้นฝนให้กัน แล้วพวกเราก็ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งการรอคอยมาด้วยกัน เดินชมสวนอย่างเพลิดเพลินจนไม่รู้สึกเหนื่อย
จากนั้นต้องขับรถย้อนมาที่พักจากพัทยาใต้มาพัทยาเหนือ นาเกลือ ใช้เวลาอีกสองชั่วโมงกว่า ท่ามกลางรถที่ติดยาวเหยียด ทางที่กำลังก่อสร้าง เมื่อหาทางเข้าที่พักได้ก็พบว่าทางนั้นปิด เพื่อเป็นถนนคนเดิน ต้องย้อนเข้าอีกทางกว่าจะถึงเล่นเอาหลายคนเหนื่อยล้า วันนี้ดูเหมือนมีแต่อุปสรรคแต่เมื่อถึงห้องพัก เปิดประตูเข้าไป ทุกคนต่างชื่นมื่นชื่นชอบ ได้เห็นบรรยากาศโดยรอบ กับสิ่งที่แปลกแตกต่างไปจากที่เคยชินย่อมนำมาซึ่งความตื่นเต้น ความเหนื่อยล้ามลายหายไป แล้วความสุขก็บังเกิดขึ้นภายใต้ประตูบานนั้นที่เปิดออก
มองออกไปเห็นขอบฟ้า ชายหาด สิ่งปลูกสร้างรายรอบ สายลม แสงแดดอ่อน สระว่ายน้ำริมหาดทะเลแม้จะดูขัดแย้งกันในตัว  แต่ก็มิได้ทำให้หัวใจของผู้มาพักรู้สึกขัดข้อง ทุกสิ่งทุกอย่างสุขได้ เพราะนั่นอยู่ที่ใจล้วน ๆ ใช่หรือไม่ สิ่งที่เราเคย เห็น ได้ยิน ได้ชิม ได้พูด ด้วยกายสัมผัส เรามักใช้สมองในการคิดตีความ นำมาซึ่งการตบแต่งเพิ่มเติมขยายความจนทำให้เป้าหมายของชีวิตเปลี่ยนไป ตราบใดที่เราใช้ใจสัมผัส เราจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างมีความสุข สูดลมหายใจอย่างคล่องปอด ลิ้มรสอาหารอย่างอร่อย และยิ้มกับผู้คนรอบกายอย่างไม่เคอะเขิน
เช้าวันหนึ่งที่สถานีรถไฟใต้ดินกรุงวอชิงตันเมื่อ  2 ปีที่แล้ว มีชายผู้หนึ่งสีไวโอลินบรรเลงเพลงคลาสสิกประมาณ 45 นาที ภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นตาของผู้คนที่นั่น เพราะมีวณิพกมาเล่นดนตรีเป็นประจำ ผ่านไป 4 นาทีจึงมีผู้หญิงคนหนึ่งโยนเงินใส่หมวกของเขาที่วางอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่ได้หยุดฟัง อีก 6 นาทีต่อมามีเด็ก 3 ขวบคนหนึ่งหยุดฟัง แต่ถูกแม่ดึงออกไป หลังจากนั้นมีเด็กอีกหลายคนสนใจฟัง แต่ก็ถูกผู้ปกครองลากตัวออกไปเพื่อขึ้นรถใต้ดินให้ทัน
เมื่อเขาสีไวโอลินจบ มีคนเดินผ่านเขามากกว่า 1,000 คน แต่มีเพียง 7 คนเท่านั้นที่หยุดฟังเพลง กระนั้นก็สนใจแค่ประเดี๋ยวประด๋าว มี 27 คนที่ให้เงินเขาแต่ก็ยังเดินต่อไป เช้าวันนั้นเขาได้เงินทั้งสิ้น 32 ดอลลาร์ ไม่มีใครสังเกตว่าเขาหยุดบรรเลงเพลงเมื่อใด ไม่มีเสียงปรบมือ เพราะไม่มีใครสนใจเขาเลย
และไม่มีใครสังเกตเลยว่า “วณิพก” ผู้นั้นคือ โจชัว เบลล์ (Joshua Bell) นักดนตรีชื่อก้องโลก เขาบรรเลงเพลงของบ๊าคซึ่งได้รับการยกย่องว่าไพเราะลุ่มลึกอย่างยิ่ง ไวโอลินที่เขาใช้มีราคาสูงเกือบ 4 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านั้นแค่ 2 วันเขาเปิดการแสดงสดที่บอสตัน บัตรราคาเฉลี่ย 100 เหรียญขายหมดเกลี้ยง
การทดลองดังกล่าวซึ่งจัดทำขึ้นโดยหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ชี้ให้เห็นว่า อย่าว่าแต่เสียงธรรมชาติที่คุ้นหูเลย แม้แต่เสียงเพลงอันไพเราะจากนักดนตรีระดับโลก ผู้คนจำนวนมากก็ไม่ได้ยิน หรือได้ยินแค่เสียง แต่ใจไม่สามารถสัมผัสรับรู้ถึงความเพราะพริ้งได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ เป็นเพราะทุกคนต่างเร่งรีบ ในใจมัวครุ่นคิดอยู่กับการเดินทาง หรือไม่ก็กังวลกับเรื่องงาน จึงปิดรับสุนทรียรสที่ปรากฏต่อหน้า (น่าสังเกตว่าเด็กหลายคนกลับรู้สึกว่าเพลงของเขาไพเราะจนหยุดฟัง นั่นคงเป็นเพราะเด็กเหล่านั้นใจไม่ วุ่นเหมือนกับผู้ใหญ่)
ในกาลเวลาที่ลุล่วงผ่านมาแล้วผ่านไปนั้น มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเรามากมาย แต่บ่อยครั้งเรากลับปิดใจไม่รับรู้สิ่งเหล่านั้น เพราะวุ่นและมุ่งมั่นแต่จะไปให้ถึงจุดหมายข้างหน้า จนลืมมองว่ารอบตัวนั้นงดงามเพียงใด เรามองด้วยตา ฟังด้วยหู แต่อย่าลืมว่าเรารับรู้ด้วยใจ ถ้าใจไม่เปิด เราก็จะได้ยินและเห็นตามความคิดอคติและจริตตน ที่กักขังเราให้ติดจมอยู่ในความทุกข์ เปิดใจออกเพื่อเห็นสิ่งอื่น และขณะเดียวกันก็เพื่อต้อนรับสิ่งต่าง ๆ เข้ามาหาเราด้วย การที่เราจะเปิดใจของเราได้นั้น เราต้องมีเมตตา “จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงเมตตากรุณาเถิด” (ลูกา 6:36) ด้วยหัวใจเมตตากรุณานี้จะทำให้เราก้าวข้ามผ่านความทุกข์ไปเพื่อพบกับความสุข เมื่อความเมตตาเริ่มจากเราคนหนึ่ง ผลของความเมตตากรุณาจะไม่หยุดอยู่แค่หนึ่งแต่จะขยายกระจายออกไปอย่างมิมีวันสุดสิ้น อย่างเช่นกลุ่มของเราที่ได้รับความเมตตาจาก“ผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่ง”ให้ที่พักผ่อนภายในคอนโดฯริมหาด นำมาซึ่งความสุขของอีก 16 ชีวิต และความสุขนั้นก็กระจายต่อ ๆ ไป


และสิ่งนี้นี่เองสอดคล้องกับการที่สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงประกาศให้เปิด “ปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม” ตั้งแต่ 8 ธันวาคมนี้จนถึง 20 พฤศจิกายนปีหน้า และได้มีพิธีเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการก้าวข้ามผ่านไปหาพระบิดาเจ้า
และในทุกสังฆมณฑลทั่วโลกก็จะมีการทำพิธีเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์ที่อาสนวิหารประจำสังฆมณฑล ในวันอาทิตย์ที่ 13 นี้ และสำคัญที่สุดคือการเปิดประตูหัวใจของเรา ให้มีเมตตาต่อผู้อื่น เพราะโลกเรากำลังไร้เมตตาต่อกันมากขึ้นทุก ๆ วัน มีแต่ใจเมตตาเท่านั้นที่จะทำให้โลกข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปได้

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กายาคติ

กายาคติ
เพียงชั่วข้ามคืน เกียรติที่ได้รับจากที่หนึ่งกลับมลายหายไป กลายเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง แถมถูกมองด้วยสายตาอันดูแคลนแกมหยามหยัน อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้จัก อาจจะเป็นเพราะการแต่งกายภายนอก อาจจะเป็นเพราะเจอคนที่มีปมในชีวิตแล้วมาแสดงออกในเชิงข่มกดผู้อื่น และอีกหลากหลายเหตุผล แต่ใช่หรือไม่ หากเรามีหัวใจในการให้เกียรติทุกคน โดยลดการมองเพียงภายนอกลงบ้าง เราจะเห็นคุณค่าของผู้คน เราอยากให้คนอื่นมองเราแบบใดเราต้องพิศดูคนอื่นแบบนั้นเสียก่อน นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ยังคงพบเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้อยู่เรื่อย ๆ ในเรื่องทำนองนี้ หลายคนคงเจอกับตัวเอง และหลายคนอาจจะเคยเป็นคนที่มองคนอื่นด้อยค่ากว่าตัวเอง แต่พอรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร บางทีถึงกลับหงายเงิบไปเลยก็มี คนเรามักดูและประเมินคนเพียงภาพแรก รูปกายที่ปรากฏเห็น และวัดค่าด้วยสายตา หาใช่ ใช้หัวใจวัด ดูคนอื่นเพียงการแต่งกาย เสื้อผ้าที่สวมใส่ ดูคนอื่นเพียงหน้าตา ซึ่งทำให้ตอนนี้หลายคนจึงพยายามอัพเดทหน้าตา ทั้งผ่านแอพพลิเคชั่น ผ่านทางกล้องถ่ายสำเร็จรูปที่ออกมาหน้าตาจะสวยงามจนกระจกหมดความหมาย (เพราะแสดงผลจริงเกินไป) หลายคนก็ผ่านทางการเสริมเติมแต่ง เพื่อให้ดูดีในสายตาคนอื่น เพราะกลัวการดูถูกดูแคลน ชีวิตแสนลำบากของคนยุคนี้...
ภาพ  : อินเตอร์เน็ต
                ทำให้ย้อนไปถึงอดีตพระคุณเจ้าสองท่าน ท่านแรกคือ พระคุณเจ้าพเยาว์ มณีทรัพย์ ที่ขี่มอเตอร์ไซต์เก่า ๆ ไปไหนต่อไหนเป็นประจำ อีกท่านหนึ่งคือ พระคุณเจ้าบรรจง อารีพรรค แต่งกายธรรมดา ๆ เสื้อเชิ้ตเก่า ๆ และมักทำอะไรด้วยตัวเองเสมอ แบกบันได  ตัดกิ่งไม้ รดน้ำต้นไม้ ทั้งสองท่านมีเรื่องราวคล้าย ๆ กัน เวลามีคนจะไปพบพระสังฆราช เมื่อเจอท่านทั้งสองมักจะถามว่า “ลุง ๆ เห็นพระสังฆราชบ้างไหม พอดีจะมาพบท่าน” คนถามพอรู้ว่าลุงคนนั้นที่แท้คือพระสังฆราชก็ขอโทษขอโพยท่าน หรือไม่ก็จะอาย ที่ไปถามท่านแบบนั้น ท่านก็มักไม่ถือสาอะไร เป็นความน่ารักและสมถะของท่านทั้งสองที่ไม่ถือเนื้อถือตัว 

พระคุณเจ้าบรรจง อารีพรรค
พระคุณเจ้าพเยาว์ มณีทรัพย์


แต่สำหรับเราแล้วการให้เกียรติคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ ย่อมต้องมีอยู่ในหัวใจเสมอ เพราะเราให้เกียรติคนอื่นเราก็ให้เกียรติพระผู้ให้กำเนิดด้วยเช่นกัน ให้เกียรติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้นั้นนับถือ และที่สุดเป็นการให้เกียรติกับโลกที่เราอาศัยอยู่ด้วย อย่าทำตัวเหมือนกับผู้หญิงในเรื่องเล่าในเรื่องนี้
ผู้หญิงอายุ 40 กว่า ๆ คนหนึ่ง พาลูกชายของเธอเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ภายในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวหนึ่งเพื่อกินอาหาร
ผ่านไปครู่หนึ่งผู้หญิงคนนั้นก็โยนทิ้งเศษกระดาษลงบนพื้น และไม่ไกลจากตรงนั้นนัก มีชายชราคนหนึ่งกำลังตัดแต่งดอกไม้อยู่ เขาไม่พูดอะไรสักคำ เดินเข้ามาหยิบเศษกระดาษแล้วทิ้งเข้าไปในถังขยะที่อยู่ข้าง ๆ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หญิงคนนั้นก็โยนเศษกระดาษลงบนพื้นอีก ชายชราก็เดินเข้ามาหยิบเศษกระดาษทิ้งเข้าไปในถังขยะ และก็เป็นเช่นนี้อีก ชายชราต้องเก็บเศษกระดาษถึง 3 ครั้ง
หญิงคนนั้นชี้ไปที่ชายชราแล้วพูดกับลูกชายว่า “เห็นไหม ถ้าเธอตอนนี้ไม่เรียนหนังสือให้ดี ๆ ในภายหน้าเธอก็จะเป็นเหมือนเขาไม่มีอนาคต ทำได้แต่เพียงงานที่ต่ำต้อยเช่นนี้”
ชายชราได้ยินเช่นนั้น ก็วางกรรไกรแล้วเดินเข้ามาพูดว่า “สวัสดี ที่นี่เป็นสวนส่วนบุคคลของเครือบริษัทนี้ เธอเข้ามาได้อย่างไร?
หญิงวัยกลางคนนั้นพูดอย่างหยิ่ง ๆ ว่า “ฉันคือผู้จัดการฝ่ายที่บริษัทเพิ่งรับเข้ามา”
ในขณะนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ และมายืนอยู่ตรงหน้าชายชราอย่างเคารพนอบน้อมแล้วพูดว่า “ท่านประธาน การประชุมกำลังจะเริ่มแล้วครับ”
ชายชราจึงพูดว่า “ตอนนี้ฉันขอเสนอว่าให้เลิกจ้างผู้หญิงท่านนี้”
“ครับ ผมจะรีบไปดำเนินการตามคำสั่งของท่านครับ” ชายคนนั้นรีบขานรับ
ชายชราสั่งเสร็จก็เดินมาที่เด็กชาย เขาเอามือลูบที่ศีรษะของเด็กชายหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า “ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจนะ ในโลกนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเรียนรู้ที่จะให้เกียรติคนทุกคนและผลงานจากการลงแรงของคนทุกคน
หญิงวัยกลางคนนั้นถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตกตะลึง หล่อนอ่อนระทวยอยู่บนม้านั่งยาวนั้น ถ้าหล่อนรู้ว่าชายชรานั้นเป็นประธานบริษัท ก็ย่อมไม่ทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน การให้เกียรติคน อย่าได้แยกแยะจากฐานะตัวตน นี่คือลักษณะในตัวที่สง่างาม ทรัพย์สินความร่ำรวยไม่ใช่เป็นเพื่อนชั่วชีวิต การเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้อื่นจึงจะเป็นทรัพย์สินความร่ำรวยชั่วชีวิต มีเพียงสิ่งนี้จึงจะเป็นสภาพเขตแดนที่สูงที่สุดของชีวิตคนเรา (Fwd line)
ภาพ  : อินเตอร์เน็ต

ค่านิยม กระแสสังคมกำลังเข้าครอบครองผู้คน ด้วยการวัดค่าประเมินคุณค่าคนจากวัตถุภายนอก ความดีงามภายในไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เราจึงพบการหยามหยัน เราจึงเห็นการดูถูกดูแคลน แล้วนำมาซึ่งการแค้นเคือง ความขัดแย้ง การเอารัดเอาเปรียบ ความอยุติธรรมจึงบังเกิดขึ้น ผลพวงของการไม่ให้เกียรติกันจึงเป็นที่มาของสงคราม ใช่หรือไม่เราต่างเป็นลูกของโลกนี้ เรามีเกียรติเท่าเทียมกัน เราแต่ละคนย่อมมีที่ยืน มีที่อยู่บนโลกนี้อย่างสง่างามเหมือนกัน แน่ล่ะ บางทีเราอาจจะมองคนอื่นอย่างไร้เกียรตินั่นเท่ากับเรากำลังหยามเกียรติต่อโลกและต่อองค์พระผู้สร้าง สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งนั่นคือการปลูกฝังให้คนรุ่นหลัง รุ่นลูกรุ่นหลานให้มีหัวใจที่เปิดกว้าง ให้ทุกคนรู้จักเห็นค่าของทุกสรรพสิ่ง และมีหัวใจที่สุภาพถ่อมตน ให้เกียรติกับทุกคน ใช่หรือไม่ พระเยซูผู้ที่เรานับถืออย่างสูงส่ง ก็เคยถูกผู้คนไม่ให้เกียรติมาตั้งแต่วันลืมตาดูโลกนี้ และแม้กระทั่งวันสุดท้ายปลายทางชีวิต ก็ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเช่นกัน

แน่นอนบางครั้งการไม่รู้จักกันมาก่อน ยามพบปะกันอาจจะทักทายกันผิดที่ผิดตำแหน่งไป เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ แต่หากเรารู้จักการให้เกียรติคนอื่นเราย่อมไม่แสดงออกถึงการดูถูกดูแคลน เราย่อมไม่แสดงถึงการรังเกียจและเหยียดหยามคนอื่นอย่างหยาบกระด้าง เราต้องมีหัวใจที่ให้เกียรติกับทุกคนแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้รับเกียรติจากทุกคนก็ตาม เพราะหัวใจแห่งความดีงาม หัวใจแห่งรัก ย่อมอ่อนโยนต่อทุกสิ่งได้เสมอ

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

มองย้อนแสง

มองย้อนแสง
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมากับการมีภารกิจที่จังหวัดเชียงใหม่ มีโอกาสได้มาพักแถวอำเภอสันป่าตองในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเคยเป็นโรงบ่มยาเก่า นำมาพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้เป็นสถานที่พักตากอากาศ ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย ความเงียบสงบกับแสงแดดที่ส่งลงมากระทบกับใบไม้ ดอกไม้ น้ำพุ เกิดเป็นความสุขใจในความสวยงามของธรรมชาติ ยิ่งแดดจัดแรง ๆ ส่องมายังใบที่เชียวขจี มองย้อนขึ้นไปทำให้เกิดความงาม สีสัน ลวดลายเส้นใยใบ และเงาสะท้อน เมื่อเห็นก็อดที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ชื่นชมในภายภาคหน้ามิได้ ในขณะเดียวกันก็มีเวลาครุ่นคิดไตร่ตรอง มองย้อนสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทั้งในชีวิตส่วนตัวและของสังคมโลก

จากวินาศกรรมกลางเมืองปารีส ลามมาถึงการขัดแย้งจนถึงขั้นยิงระเบิด ยิงเครื่องบิน จับตัวประกันล้วนแต่เป็นเรื่องราวร้าย ๆ ที่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากันอยู่ สงครามรูปแบบใหม่ ที่ใช้การก่อการร้าย ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกวัน ทั่วโลกต่างตกอยู่ในความหวาดระแวง เริ่มมีการขู่เพื่อก่อเหตุการณ์วินาศกรรมในหลาย ๆ เมือง สายการบินเริ่มกลายเป็นการเดินทางที่ไม่ค่อยจะปลอดภัย เรียกว่า “โลกของเราอยู่ลำบากมากขึ้น” จากเมืองที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง ไม่ใคร่จะสนใจใคร นับจากนี้ต้องมีความระมัดระวัง ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล หันมาร่วมมือกันมากยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นความสุขที่เหลือน้อยในเมืองใหญ่จะหลุดลอยหายไปในทันที
ในความร้อนแรงแห่งแสงส่องเรายังมองเห็นความงาม แล้วในยามเราตกอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้งที่รุนแรง เราจะพบกับความดีงามไม่ได้หรือ? เราต้องใช้ความรักและความเสียสละเพื่อผู้อื่น เสียสละเรื่องส่วนตัว ความเห็นแก่ตัว ความมักง่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ มันจะค่อย ๆ ลดความร้ายแรงแห่งแรงพยาบาทบาดหมางลงได้ ถ้าเราไม่ช่วยกันทำ เรายิ่งอยู่ร่วมกันลำบาก ไฟสงครามเริ่มจุดติด เราไม่คิดจะดับไฟนี้ด้วยกันดอกหรือ? ท่ามกลางความรุนแรงในภาวะโลกเราวันนี้ ท่ามกลางความสูญเสีย เราก็มักจะเห็นความงามแห่งความเสียสละ แห่งความเมตตา มีน้ำใจ ช่วยเหลือกันซุกซ่อนตัวอยู่เสมอ เช่น
หนุ่มเลบานอนช่วยคนนับร้อยให้รอดตายจากเหตุการณ์ที่เขาตัดสินใจกระโดดทับระเบิด บริเวณตลาดในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เสียชีวิตคาที่ แต่ก็ช่วยให้ฝูงชนจำนวนมากตรงนั้นให้รอดชีวิตนับหลายร้อยคน วันเกิดเหตุ อเดล เตียมอส พาลูกสาวเดินเล่นหาซื้อของอยู่ในตลาด และเห็นมือระเบิดพลีชีพคนแรกระเบิดตัวเองจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง และ “เตียมอส” หันไปเห็นมือระเบิดอีกคนกำลังจะจุดระเบิด
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyeb9MWC4UIGXmYb-IlDZtV4PLAcpQUgF8Nc8yJh5REPhaweHxx6e69dbWYupUPXY_Yykv6ZBd3osY3iysDQtxzDZwSISjfS99xKcbrJdOoEPOLIjTnk27F5asSqztXvE0FWCLkbcYF2I/s320/5.jpg
โดยไม่มีใครคาดคิด เตียมอสตัดสินใจกระโดดเข้าไปทับมือระเบิดคนนั้นทันที ทำให้แรงระเบิดจากมือระเบิดพลีชีพคนที่สองอยู่ในวงจำกัด จึงมีผู้เสียชีวิตแค่มือระเบิด และคนที่ทับมือระเบิดคือ “เตียมอสกับลูกสาว” ของเขา แต่กลับกลายเป็นว่าเขาและลูกสาว ช่วยชีวิตคนนับร้อยการเสียชีวิตของเตียมอสและลูกสาว แทบจะไม่มีใครได้ยิน เพราะเกิดในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเหตุการณ์ระเบิดที่ปารีส  ที่กลบ “เสียงระเบิด” เมืองเบรุต ประเทศเลบานอน ซึ่งมีคนตาย 45 คน และบาดเจ็บสาหัสอีก 200 กว่าคน
อเดล เตียมอส ไม่ใช่คนดัง แต่เขาคือวีรบุรุษในใจของอีกหลายร้อยคน และถึงแม้เหตุการณ์นี้ดูหดหู่ แต่ก็ทำให้โลกน่าอยู่มากยิ่งขึ้น และหวังว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นอีก ใช่...เราอยากเห็นความเสียสละของผู้คน แต่ไม่ใช่ในเหตุการณ์ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตเช่นนี้ เพราะชีวิตของทุกคนมีคุณค่า
แน่ล่ะ เราคงทำแบบนั้นไม่ได้ทุกคน เพราะหัวใจแต่ละคนแข็งแกร่งไม่เท่ากัน แต่หัวใจเรามีความเมตตาเอื้ออาทรอยู่ด้วยกันทุกคน แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะนำสิ่งเหล่านี้ออกมาจรรโลงโลกได้ เริ่มจากที่ตัวเรา การให้ความสำคัญกับสิ่งรอบข้าง คนรอบกาย อย่าทำลายกันทั้งโดยตรงและทางอ้อม เป็นร่มเงาให้กัน เป็นที่บังแดด หลบฝน ในวันที่พายุชีวิตโถมพัดผ่านมา ให้พัดผ่านพ้นไปด้วยการช่วยเหลืออาทรต่อกัน การเกิดมาในโลกนี้ของเรามีเวลาไม่มากนัก และวันเวลาก็ผ่านพ้นไปรวดเร็ว แสงส่องผ่านมาแล้วผ่านไป แล้วก็ผ่านมาใหม่ในวันพรุ่ง แต่เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น หรืออยู่แต่ไม่ทันสังเกต เพราะใจเรานั้นยังไร้สันติ หาความสงบมิได้ เรายังก่อสงครามในตัวตนของเราอยู่ สงครามระหว่างการทำตามกระแสโลกของยุคหรือตามกระแสเรียกของพระ
หาเวลาในวันเวลาสักหน่อย สวดภาวนาเพื่อสันติสุขในใจเรา สันติภาพของโลก แรงอธิษฐาน มีพลังมากกว่าแรงระเบิด เสียงสวดมนต์ต้องดังกลบเสียงระเบิด แสงแห่งเมตตาอาทร ย่อมสว่างกว่าแสงแห่งไฟสงคราม พลังสามัคคีมีพลังมากกว่าพลังของความขัดแย้ง หากเราไม่ทำแบบนี้เราจะไม่เหลืออะไรให้ชื่นชมนอกจากเสียงร้องไห้และน้ำตา เราจะไม่เห็นความงามของใบไม้ยามต้องแสง คงเหลือเพียงซากปรักหักพัง เราเลือกทางแบบไหน

องค์สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ตรัสสอนเราว่า “ทุกวันนี้ พระเยซูทรงร้องไห้อีกเช่นกัน เพราะพวกเราได้เลือกทางแห่งสงคราม ทางแห่งความเกลียดชัง และทางของความเป็นศัตรูกัน ตอนนี้ พวกเรากำลังเข้าใกล้วันคริสต์มาส วันที่จะเป็นความสว่าง การเฉลิมฉลอง มีต้นไม้ใหญ่ ๆ และมีถ้ำพระกุมาร ทุกสิ่งมีพร้อม แต่โลกยังคงให้ราคากับสงคราม โลกยังไม่เข้าใจทางแห่งสันติ....ดังนั้น ขอให้เราวอนขอพระหรรษทานแห่งการร่ำไห้เพื่อตัวเราเอง และเพื่อโลกที่ไม่สนใจหนทางแห่งสันติภาพ ขอพระหรรษทานเพื่อโลกที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในสงคราม ขอให้เราภาวนาเพื่อการกลับใจ เพื่อโลกจะได้พบกับความสามารถที่จะร้องไห้ให้กับอาชญากรรมเหล่านี้” ( Pope Report) เริ่มต้นเทศกาลเตรียมรับเสด็จด้วยหัวใจแห่งสันติภาพ ด้วยความเมตตาอาทรต่อกัน และให้สิ่งนี้ดำรงอยู่ในชีวิตเราในทุกวันเวลา...สันติสุขจงมีแด่โลกนี้และผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ด้วยเทอญ...

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บางทีต้องยอมรับกันบ้าง

บางทีต้องยอมรับกันบ้าง
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่อยู่หลายข่าวที่ทำให้เราต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ เหตุร้ายแรงเกิดขึ้นในกรุงปารีสที่ฝรั่งเศส มีการสูญเสียชีวิตผู้คนไปร้อยกว่าราย ก่อนหน้านั้นก็มีเหตุการณ์คล้าย ๆ กัน ระเบิดพลีชีพกลางตลาดในกรุงเบรุต เลบานอน มีผู้สูญเสียไปอีกสี่สิบกว่าราย ในขณะที่โลกกำลังตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว เริ่มเห็นเคล้าลางของสงครามใหญ่ใกล้เข้ามา...อีกข่าวหนึ่งคือดาราดังป่วยหนักเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการไข้เลือดออกชนิดร้ายแรง หลายคนต่างส่งกำลังใจให้เขาต่อสู้กับโรคร้ายนี้ให้ได้ ต่างเฝ้ารอแถลงการณ์ประจำวันอย่างใจจดใจจ่อ นอกจากนี้ยังมีเรื่องไฟป่าครั้งใหญ่ในอินโดนีเซีย แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ฯ ทำให้อดที่จะนึกถึงเรื่องความดับสลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้ โดยมีผู้รู้เคยกล่าวไว้ว่ามีสี่อย่างที่จะนำมวลมนุษย์ไปถึงจุดนั้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หนึ่งนั้นคือ สงคราม
สงครามล้างเผ่าพันธุ์ สงครามไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดไม่เคยหมดสิ้นไปจากโลกนี้ เพราะมนุษย์มีสติปัญญามากเกินไปหรือเปล่า ที่สามารถคิดค้นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายยิ่งทียิ่งสูง คิดมาเพื่อ... เพื่อขาย เพื่อปกป้องตัวเอง (ตัวใคร?) เพื่อความยิ่งใหญ่ของชนชาติว่าเป็นชนชาติที่พิเศษเก่งกว่าใคร เพื่อแสดงอำนาจ เพื่อเข้ายึดครอง และที่ดูเท่ห์มาดแมนมากก็คือ เพื่อสันติภาพของโลก สงครามทางสื่อสมัยใหม่ ที่มีข้อมูลมากมาย ใช่หรือไม่ เราก็มักจะเลือกเข้าข้างและอ่านเฉพาะสื่อที่เราชอบและเราชื่นชม ข้อมูลจากสื่อตรงข้ามที่มีมาเราไม่เคยอ่าน เกิดสงครามในความรู้สึกภายใน และอาจจะนำมาซึ่งความเกลียดชังกัน ในความสัมพันธ์มิตรภาพ เมื่อเพื่อนหรือคนรอบข้างเกิดเห็นต่าง ความสงบและการยอมรับกัน เป็นหนทางที่แท้จริง ยอมรับฟังกันแลกเปลี่ยนความคิดโดยมิต้องใส่จริตมโนตนจากข้อมูลฝ่ายเดียว แม้ว่าสงครามระดับโลก เรามิอาจจะหยุดยั้งรั้งได้ แต่สงครามภายในเราต้องสงบ ยอมน้อมรับทุกอย่างก่อน เมื่อทุกคนมีจิตใจนิ่งสงบ ไม่นานสงครามก็ย่อมลดความรุนแรงลง เพราะทุกภาคส่วนในสากลโลกย่อมเป็นหนึ่งเดียว ผู้ชนะที่แท้จริงมิใช่ราชาแห่งความรุนแรง หากแต่เป็นราชาแห่งความรัก อาทร เราต้องการโลกแบบไหนเราต้องเป็นแบบนั้น
หนึ่งนั้นคือ โรคระบาด
โรคระบาดร้าย ที่ไม่ว่าเราจะสามารถคิดค้นวิธีรักษาได้อย่างไร เชื้อโรคก็ฉลาดล้ำดิ้นรนหาทางปรับตัว ปรับสภาพกลายก่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ อย่างไม่มีวันหายไปจากโลกนี้ ถึงแม้เราจะมีเทคโนโลยีขั้นสูงล้ำ แต่ก็มิอาจจะเอาชนะสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ได้เลย ไม่ต้องอื่นไกล แม้ประเทศเราจะมีโรงพยาบาล มีการสาธารณสุขที่ทันสมัยมากขึ้น แต่เรากลับมาพ่ายแพ้ต่อยุงลายตัวเล็ก ๆ ผ่านมากี่ปีกี่สมัยก็ไม่มีทางที่จะทำให้เชื้อไข้เลือดออกหายไปจากประเทศไทยเราได้ ใช่หรือไม่ เราต้องยอมรับให้ได้ ในบางสิ่งก็เกินกว่ามนุษย์เราจะเข้าใจ โรคระบาดวายร้ายเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากความโลภระบาดของเราทั้งนั้น ทำงานจนร่างกายอ่อนแอ เชื้อโรคจึงเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ไร้ภูมิต้านทาน เราหาเงินมาเพื่อนอนรักษาตัวเองเท่านั้นหรือ เราละโมบในการรับประทานอาหารแบบไม่เลือก ผลของการผลิตอาหารจากสารเร่งโต ก็น่าแปลกโลกมนุษย์เรานี้ ที่ฝ่ายหนึ่งก็คิดค้นยารักษาโรค อีกฝั่งหนึ่งก็มุ่งผลิตอาหารจากสารเคมี หากเรายอมลดความโลภ ใส่ความเห็นใจต่อผู้อื่นบ้าง บางทีเชื้อโรคอาจจะลดน้อยลง และที่สุดร่างกายเป็นของประทานที่ล้ำค่า เราต้องดูแลรักษาเป็นลำดับต้น ๆ  เมื่อร่างกายมีภูมิต้านเชื้อโรคได้ จิตใจย่อมเบิกบาน ความร่มเย็นย่อมเกิดขึ้นในสังคม
อีกหนึ่งนั้นคือ อุบัติเหตุ
อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ อุบัติเหตุใหญ่ ๆ มักนำมาซึ่งความสูญเสียชีวิตของมวลมนุษย์ และส่วนใหญ่มักเป็นอุบัติเหตุมาจากเรื่องการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องบิน รถยนต์ รถไฟ และเรือ ประเทศไทยของเราก็ติดอันดับต้น ๆ ของเมืองที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะช่วงวันหยุดปีใหม่หรือวันหยุดติดต่อกันหลาย ๆ วัน ทุกคนต่างมุ่งหน้าออกจากเมืองกรุงมุ่งสู่ต่างจังหวัด (หนีกรุง) อุบัติเหตุมักมาพร้อมกับความเร็ว ความเร่ง ที่มีความเห็นแก่ตัวผสมโรงอยู่ด้วย ยิ่งเราพัฒนาความเร็วมากขึ้นเท่าใด เรายิ่งเพิ่มความประมาทมากขึ้นเท่านั้น เราติดนิสัยที่เร่ง ที่ต้องแข่งขันในทุกที่ทุกทาง ไม่ได้ยอมน้อมรับผ่อนคลายหลังจากพ้นผ่านจากการงานแล้วลงนั่งบนเบาะขับรถ เราคิดหรือว่าพาหนะที่เราใช้มีความปลอดภัยสูงดังที่โฆษณา เราคิดหรือว่าเราจะไม่พบกับคนอื่นที่ประมาทและเห็นแก่ตัว ที่กลัวไม่ทันคนอื่น อุบัติเหตุลดลงได้ถ้าเรารอบคอบ ลดเร่งลดเร็ว ลดความเห็นแก่ตัว และมีน้ำใจต่อกัน ที่สุดต้องรู้จักหวงแหนผู้ที่อยู่ภายใต้ความดูแลของเรา ยอมที่จะเพิ่มความรักความเห็นอกเห็นใจ เอื้ออาทรต่อกัน หยุดรอเพื่อให้คนอื่นผ่านไปก่อน รู้จักที่จะอดทนต่อแถวต่อคิว ไม่ใช่ คิดแต่จะลัดเลาะเกาะขอบทางไปแซงข้างหน้าคนอื่นอยู่ร่ำไป คนที่มีหัวใจแห่งความนิ่งยอมรับความเป็นจริงย่อมนำมาซึ่งการมีชีวิตที่ยาวนาน และมีความสุขในวันเวลา ไม่ตกม้าตายก่อนวัยอันควร
ภาพ :http://upic.me/i/my/image02827.jpg
อีกหนึ่งสุดท้าย นั่นคือ ภัยพิบัติ

ภัยพิบัติ คือสิ่งหนึ่งที่เกิดมาจากน้ำมือมนุษย์ที่เห็นเป็นรูปธรรมน้อยกว่าสามสิ่งที่ผ่านมา แต่เป็นผลที่ได้รับ ค่อนข้างรุนแรง ภัยธรรมชาติมาจากน้ำมือเรา โดยที่บางครั้งเราทำไปแบบไม่รู้ตัว ทุกการกระทำของเราส่งผลกระทบต่อธรรมชาติทั้งนั้น แม้ว่ามนุษย์เราพยายามคิดค้นเครื่องมือเพื่อรับมือต่อภัยพิบัติแต่ก็ไม่อาจจะรับรู้ก่อนได้ การคาดคำนวณการเกิดพายุ แผ่นดินไหว ดินถล่ม ฟ้าทลายทำได้น้อยมาก และมักเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว...ทั้ง ๆ ที่เราได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กให้ช่วยกันรักษ์โลก แต่เราก็มักจะหลงลืม มักคิดว่าภัยพิบัติไกลเกินตัวพวกเรา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเขียนไว้ในสมณสาส์น “ขอคำสรรเสริญ จงมีแด่พระเจ้า” (Laudato Si’) ตอนหนึ่งว่า “ความเป็นเลิศในความคิดสร้างสรรค์และมีใจกว้างของปัจเจกชนและกลุ่มคน ย่อมมีผลกระทบต่อธรรมชาติ การละเว้นการกระทำบางอย่างจะส่งผลร้ายให้กับธรรมชาติ เราต้องเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตอย่างเป็นผู้สร้างสรรค์ท่ามกลางความไม่มีระเบียบและความไม่แน่นอน” บางทีเพื่อลดความสูญเสียของชีวิตมนุษย์ เราต้องยอมรับ ลดความเห็นแก่ตัว ลดอคติ ลดความโลภ เพราะโลกนี้จะอยู่ได้ด้วยรักและเมตตาอาทร...

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปลายฝัน วันคืนที่กลืนหาย

ปลายฝัน วันคืนที่กลืนหาย
ยามเย็นความมืดเข้าปกคลุมไปทั่วในช่วงเวลานี้ นี่คงจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าฤดูหนาวกำลังจะมา แต่ความหนาวเย็นก็ไม่เห็นจะมาตรงตามเวลากำหนดของฤดูกาล ที่นับวันยิ่งจะเกิดการเปลี่ยนไป บางวันยังคงแดดจัดร้อนจ้า แต่ความมืดก็ยังมาเยือนเราเร็วขึ้นอยู่ดี นั่นคงมิได้หมายถึงการแจ้งเตือนของฤดูกาลอย่างเดียว การมาของความมืดที่มาเร็วและจากลาอย่างอ้อยอิ่งนิ่งนานนี้ เป็นเครื่องเตือนให้เราได้รู้ว่า จวนจะครบรอบวนของวงปีแล้ว เป็นช่วงเวลาที่เราควรใช้เวลาในความมืดของสนธยาเวลาค่ำคืน ได้ไตร่ตรองถึงหนึ่งรอบปีที่ผ่านมา

ในหลายครั้งต้นปีเรามักมีความตั้งใจจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตั้งใจจะปรับจะเปลี่ยนพฤติกรรมนี่นั่น จะสร้างคุณงามความดี เป็นเหมือนความฝันใฝ่ในขวบปี มาวันนี้วันที่ใกล้ลาลับนับรอบปี เราได้ทำตามสิ่งที่ตั้งใจ สิ่งที่ฝันไว้ได้บ้างหรือเปล่า เรากำลังมาถึงซึ่งปลายฝัน วันคืนที่ผ่านมาความฝันนั้นพลันกลืนหายไปในเส้นทางชีวิตเราหรือไม่ เวลาเช่นนี้ที่มีกลางคืนยาวกว่ากลางวัน เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะพลิกฟื้นคืนความฝันและมุ่งมั่นทำให้เป็นจริง แม้แค่อีกเดือนกว่า ๆ สำหรับความฝันที่ดีที่งดงาม ย่อมไม่เป็นเชลยต่อวันเวลา แต่กลับเป็นความอิสระที่จะกระทำได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ขอเพียงแค่เราต้องไม่ละทิ้งความฝันอันสูงสุดในความงามของชีวิตเรานี้ ดังเช่นทากน้อยในนิทานเรื่องนี้

ฉันคือทากน้อยที่มีความสุขที่สุด ทุกเช้า ฉันจะได้ลิ้มรสน้ำค้างอันหอมหวานบนยอดหญ้า นี่คือของขวัญอันยอดเยี่ยมที่พระเจ้าได้มอบให้แก่ฉัน คุณว่าฉันสมควรมีความสุขไหมล่ะ?และแล้ววันหนึ่ง พระเจ้าก็ทรงบอกแก่ฉันว่า
ณ ดินแดนไกลโพ้นมีทะเล แต่ไม่เคยมีทากตัวใดเคยเห็นทะเลมาก่อนแม้แต่เพียงสักตัวเดียว การได้เห็นทะเลคือความฝันของทากทุกตัว
ฉันถามพระเจ้าว่า ในเมื่อทากตัวอื่น ๆ ต่างก็ไม่เคยเห็นและไม่เคยทำได้ แล้วลูกจะทำได้อย่างไร? แล้วลูกจะได้เห็นทะเลไหม?”
พระเจ้าตรัสตอบฉันว่า ทากน้อยเอ๋ย มหาสมุทรอยู่ไกลเกินไป ไม่มีทากตัวใดทำได้หรอก
ลูกไม่เชื่อ ในเมื่อทะเลมีอยู่จริง ทะเลคือความฝันของลูก ลูกจะขอเดินตามความฝัน
พระเจ้าผู้ทรงเมตตาได้กำชับฉันว่า การตัดสินใจทำว่ายาก การยืนหยัดในสิ่งที่ทำยากยิ่งกว่า และที่ยากยิ่งกว่าการยืนหยัดก็คือการบรรลุสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ ทากน้อยเอ๋ย ข้าอวยพรให้เจ้าสำเร็จดั่งใจเจ้าหวังเถิด
ในวันที่ฉันตัดสินใจออกเดินทาง ฉันได้พบเจอกับเพื่อนทากจำนวนมากที่กำลังหันหลังกลับจากการเดินทางตามหาความฝัน พวกเขาบอกฉันว่า มันเป็นเพียงความฝัน มันไม่อาจเป็นจริง เราคือทาก!
และแล้วฉันก็ได้พบกับเต่าชราผู้อารี ท่านผู้เฒ่าเต่าได้บอกกับฉันว่า เจ้าทากน้อยเอ๋ย เจ้าจงกลับไปยังถิ่นที่เจ้ามาเถิด ต่อให้เจ้าเดินทางทั้งชาติเจ้าก็ไม่อาจได้พบเห็นทะเลดอก เจ้าจะเอาชีวิตไปทิ้งขว้างเปล่า ๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าทำฝันให้เป็นจริงได้ นั่นคือ อย่าละทิ้งความตั้งใจของเจ้า
ฉันเพิ่งเข้าใจว่าอุปสรรคที่กีดขวางไม่ให้ฉันไปถึงจุดหมายนั้นมิได้มีเพียงหนทางที่แสนยาวไกล มันยังมีคำพูดของคนหวังดีที่อยู่รอบข้างที่ฉันได้พบเจอ พวกเขามักจะบอกกับฉันว่า อย่าเลย มันยากเกินไปสำหรับเธอ!
แต่ฉันตัดสินใจเลือกแล้ว ฉันขอเรียนรู้ที่จะยืนหยัดในความฝันของฉัน ฉันจะมุ่งหน้าต่อไปในสิ่งที่ฉันเลือก หากเพราะคำพูดเหล่านี้แล้วฉันก็เลิกล้มความตั้งใจ ละทิ้งความฝันของฉันไป ทากอย่างฉันจะทำอะไรได้อีกเล่า?
ฉัน เดิน เดิน เดิน แล้วก็เดินไป ณ บัดนี้ บนทางเส้นนี้เหลือฉันเพียงลำพังแล้วสินะ มันช่างเงียบเหงาเสียนี่กระไร! ทุกค่ำคืนฉันได้แต่แอบร้องไห้ บางครั้งคำถามก็ผุดขึ้นในห้วงความคิด เธอกำลังทำอะไรอยู่ มันคุ้มค่าแล้วเหรอ? มันไม่มีใครทำได้มาก่อนนะ!
ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเอง นี่คือเกมเกียรติยศ ทากน้อยเอ๋ย เธอทำได้! ฉันรู้ ฉันคือทาก ฉันคือฉัน กลัวไปใยกับความทุกข์ในเมื่อฉันก้าวผ่านมาตั้งมากมายแล้วนี่นา ฉันจะถอยไปทำไม มีพี่น้องทากที่เฝ้าดูในสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ ฉันจำคำพูดของผู้เฒ่าเต่าที่บอกกับฉันก่อนจากกันในครั้งนั้น อย่าลืมความตั้งใจเดิม
เอาน่า ลองอีกสักตั้งจะเป็นไรไป เมื่อนึกได้อย่างนี้ ฉันก็มีกำลังฮึกเหิมที่จะสู้ต่อ จุดหมายยังรอฉันอยู่ข้างหน้า ทากเอ๋ย เธอออกเดินทางต่อได้แล้ว
เสียงหัวใจของฉันบอกกับตัวเองเบา ๆ จนค่ำคืนของวันหนึ่ง ฉันเห็นแสงจันทร์สาดแสงทาบทับอะไรก็ไม่รู้สักอย่างสีฟ้าระยิบระยับไปไกลสุดลูกหูลูกตา กระรอกน้อยที่อยู่บนต้นมะพร้าวบอกกับฉันว่า นั่นคือทะเล!  (ที่มา https://www.facebook.com/NusonBooks)


ในความฝัน ในความตั้งใจของเรา หลายครั้งก็มักพังราบสูญหายไปกับคำพูด กับความคิดเห็นของผู้อื่น แน่ละ เราจำต้องฟัง และนำมากลั่นกรองเพื่อเป็นเครื่องมือส่งเสริมชีวิตเราให้มุ่งสู่เป้าหมายอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่นำมาเป็นสิ่งที่บั่นทอน ลดทอน ความเข้มแข็งของเรา ในการสู่เป้าหมายตามฝัน ตามความตั้งใจของแต่ละคนย่อมใช้วันเวลา ย่อมใช้ความบากบั่นไม่เท่ากัน บางคนเข้มแข็งก็ใช้เวลาไม่นาน บางคนอ่อนแอก็ล้มเลิกไปเสียดื้อ ๆ แล้วในชีวิตจริงของเราเล่า? ผ่านมาจะครบรอบอีกหนึ่งปี เราใกล้ถึงฝั่งฝันปลายทางแห่งความสำเร็จ ใกล้พบกับความงดงามในนามของความดีบ้างหรือยัง? เราเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านั้นในระหว่างทางเดินมามากน้อยเพียงใด? หรือปล่อยมันกลืนหายไปกับสายลมที่พัดผ่านมาเป็นระลอก ๆ ขอให้เราแต่ละคนมีความเข้มแข็งในจิตวิญญาณมากยิ่งขึ้น และอย่าลืมความตั้งใจเดิมเมื่อต้นปี เพื่อว่าเราจะได้เห็นความงามอันเป็นนิรันดร์ไปพร้อม ๆ กัน ....

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สิ่งใดในวันเวลา

สิ่งใดในวันเวลา
ช่วงที่กำลังตรวจเช็ควันเดือนปีในปฏิทินบนสมาร์ทโฟน มองเห็นว่าวันนี้ได้ล่วงเลยมาสู่เดือนรองสุดท้ายของปีแล้ว ทำให้หวนรำลึกถึงการฉีกปฏิทินทีละแผ่น ๆ ที่บัดนี้แทบไม่มีใช้และโดยส่วนตัวก็ไม่ได้ใช้แบบนั้นมาหลายปีแล้ว อารมณ์การฉีกปฏิทินเมื่อครั้งกระโน้น อยู่ ๆ ก็กลับมาให้โหยหา ในขณะที่กำลังไล่เรียงจดบันทึกตารางเวลางาน และกำหนดนัดหมายใส่ในปฏิทินสมัยใหม่อยู่นั้น ก็เกิดความสงสัยว่า ในเครื่องมือสมัยใหม่นี้เขาใส่ปฏิทินไว้กี่ปีกัน???  เลยลองรูดไล่เรื่อย ๆ โอ้...ไม่มีที่สิ้นสุด ลองย้อนกลับไปหาวันเก่าเดือนปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน มันเหมือนกับว่าวันเวลาไม่มีที่สิ้นสุด ทุกอย่างเกิดขึ้นมาถูกบันทึกไว้บ้าง หล่นหาย ดับสูญ แล้วก็ล่วงเลยผ่านไป นี่มันเป็นแค่เครื่องมือที่บอกถึงวันเวลาที่แน่นอนตายตัว หาได้บอกถึงคุณค่าที่ผ่านมาของวันเวลาไม่ และหาได้เป็นเครื่องยืนยันที่บอกว่าวันเวลาของแต่ละคนจะสิ้นสุดลงตรงไหน ใช่...ไม่มีใครที่ไม่มีวันสิ้นสุด มีแต่ต้องสุดสิ้นลมหายใจด้วยกันทุกคน
เมื่อไล่ดูวันเวลาที่ผ่านมา หลายเหตุการณ์ก็ย้อนให้เรารำลึกถึง จะลองนั่งคำนวณดูว่าในวันเวลาที่ผ่านมานั้นพบความสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน ก็ไม่กล้าทำเพราะกลัวว่าจะขาดทุนความสุขในรอบปีที่ผ่านมา (ล้อเล่นกับตัวเอง ฮา ๆ ) จริง ๆ แล้ว ความสุขเกิดกับเราทุกวันเวลา เพียงแต่ว่าบางทีบางครั้งเราไม่ได้เกี่ยวเก็บไว้ อาจจะเป็นความสุขเพียงชั่วสั้น ๆ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้อยู่ในบรรยากาศที่อบอวน อบอุ่นด้วยไอแห่งความรักและเอื้ออาทร เอาเข้าจริงเรากลับพบว่า สิ่งที่ผ่านมากับวันเวลานั้นช่างสวยงาม ความสุขเกิดขึ้นได้เสมอ แม้ในวันที่ไม่มีความสุข ดังผู้สันทัดกรณีกล่าวไว้ว่า “ในวันที่คุณไม่มีความสุข ขออย่ามัวคิดจะหาความสุข มาให้ตัวเองได้อย่างไร แต่จงแบ่งปันความสุขให้แก่คนอื่น การแบ่งปันความสุขออกไปนั่นแหละ จะทำให้คุณได้รับความสุขกลับมาอย่างแน่นอน” นี่ไงที่ผ่านมาเรา ๆ ท่าน ๆ ได้มองข้ามสิ่งนี้ไป
แน่ละ ความสุขของเราในวันเวลาที่ผ่านมามักจะไปยึดโยงกับสิ่งอื่น มักจะยึดโยงกับการถูกมอง กังวลอยู่กับการเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ จึงพยายามทำให้ตัวเองดูดีโดยอาศัยภาพลักษณ์  จึงเป็นที่มาของการดิ้นรนให้ได้มา เกิดการแข่งขัน ช่วงชิง แก่งแย่ง ด้วยเหตุผลเพื่อการพัฒนาตนเอง เราหลงไปกับการถือครองสิ่งภายนอก มากกว่าการพัฒนาชีวิตภายใน เช่นนี้แล้วความสุขเล็กๆ จึงหายไปในอากาศ สลายไปกับวันเวลา เราไม่ได้ทำความสุขให้เกิดขึ้นตามสิ่งที่เรามี เราเป็น เราพยายามสร้างสุขจากที่เราอยากมี อยากได้ อยากเป็นมากกว่า เมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับเรื่องตัวเองมากเกินไป กลัวตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่นเกินเหตุ ชีวิตเราจึงไม่สามารถแบ่งปันความสุขที่เรามีให้กับผู้อื่นได้ แถมยังไม่สามารถพบกับความสุขภายในได้เลย มีเพียงความสุขจอมปลอม ความสุขที่ทุกคนพยายามมาสวมใส่ให้เราโดยปราศจากความจริงใจต่อกัน
แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า หมาป่าจะกินแพะ แพะจึงสู้ ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อน ๆ ช่วย
วัว มองมาเห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป
ม้า มองมาเห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว
ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบ ๆ
หมู ผ่านมาเห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป
กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อน ๆ ไปทุกตัว
หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามาจะสู้กับหมาป่า
หมาป่าเห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป แพะรอดตายกลับมาถึงบ้าน เพื่อน ๆ มาทุก ตัว”
วัวบอก ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า แทงทะลุท้องมัน
ม้า ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้ากระทืบมัน
ลา ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดัง ๆ ให้หมาป่าตกใจตาย
หมู ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ่งชนให้มันตกเขาไป
กระต่าย ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าวขอความช่วยเหลือในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้ ขาดอยู่ “ตัวเดียว คือ หมา
บางทีความสุขอยู่ตรงนี้ ตรงที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นแบบเงียบ ๆ ช่วยด้วยหัวใจ ช่วยเหลือสุดความสามารถที่เรามี ใช้พระพรเพื่อผู้อื่นเท่าที่เราเป็น ในสังคมที่เต็มไปด้วยคำพูดสวยหรู คำพูดหวาน ๆ คำพูดโอ้อวด ล้วนแต่เป็นเพียงมายาที่สร้างกันขึ้นมาเพื่อชดเชยความสุขที่สูญหาย บางคนชอบสวมใส่สิ่งภายนอกให้ดูดีมีราคา แต่ก็เป็นได้แค่เพียงราคาคุย ฉะนั้นแล้วเราไม่จำเป็นต้องแสดงหรือกระทำอะไรที่เกินขอบเขตของตัวเองเลย เพราะยิ่งทำไปอย่างนั้นความสุขยิ่งหลุดลอย มีแค่ไหนก็ทำเท่าที่มี เป็นคนเยี่ยงไรก็ปฏิบัติตนเยี่ยงนั้น จริงใจซื่อสัตย์ต่อวิถีชีวิตของตน พยายามหาตัวตนที่พระเจ้าสร้างเรามาให้พบ แล้วใช้สิ่งนั้นสร้างสุข แบ่งสุขปันสันติเพื่อคนรอบข้าง


นอกจากความสุขที่เราหวนหาแล้ว มิตรภาพที่สร้างความสุขในชีวิตที่ผ่านมาเล่า!!! เราพบบ้างไหม??? เรามีเพื่อนแท้สักกี่คนที่ยังคงคบหาสมาคมและคอยช่วยเหลือกันอย่างจริงใจ เพื่อนที่ไม่เคยทอดทิ้งเราในวันที่ชีวิตเดินสู่หนทางคับขัน เพื่อนที่เดินเคียงข้าง ช่วยเหลือแบบเงียบ ๆ เป็นห่วงใส่ใจเราโดยไม่หวังสิ่งใด ถ้าเราพบคนเช่นนี้ เราควรเก็บมิตรภาพนี้ไว้ตราบเท่าลมหายใจสุดท้าย และเช่นกันหากเราจริงใจในมิตรภาพต่อผู้อื่น เราย่อมได้รับมิตรภาพนั้นกลับคืนมาเสมอ และที่สุด มิตรแท้ที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ ช่วยเหลือเราอย่างเงียบ ๆ เป็นตัวอย่างที่แสนจะงดงามในทุกวันเวลาของชีวิตเรา นั่นคือ องค์พระเยซูผู้แสนดีและเป็นผู้ที่มอบ ที่สอนให้เรารู้จักกับความสุขกับสิ่งที่เรามี เราเป็น วันเวลาที่ผ่านมา เราลองหวนกลับไปดูสิว่า เราได้พบกับพระองค์มากน้อยแค่ไหน หรือเพียงปล่อยให้พระองค์คอยเราอยู่อย่างเงียบเชียบ ผ่านมาวันแล้ววันเล่า....

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ขบวนแห่งความสุข

ขบวนแห่งความสุข
หากใครที่ต้องอาศัยรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดินเดินทางเพื่อไปทำงาน ไปทำธุระในตอนเช้า ๆ มักจะเห็นภาพที่ผู้คนอัดแน่นเต็มทุกขบวน บางคนถึงกับต้องรอแล้วรออีกกว่าจะมีที่ยืนบนขบวนรถ มีบ้างบางคนถึงกับตกขบวนไปทำงานสาย ก็ได้แต่หวังว่าอีกไม่ช้าไม่นานเราจะมีเส้นทางคมนาคมที่มีทางเลือกมากขึ้น จะได้ทำให้หลาย ๆ คนมีที่ยืนอยู่บนขบวนรถที่สามารถนำเราไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีความสุข คนที่ยืนก็มักจะมองหาที่นั่ง คนที่นั่งมักจะทำเป็นมองไม่เห็นคนอื่น หรือเห็นแต่ทำเป็นเมินซึ่งต่างจากความเป็นจริงในชีวิตที่เราชอบมองดู(เพื่อจับผิด)คนอื่น
ในชีวิตคนเมืองความสุขมักถูกดูดกลืนหายไปกับความเจริญ หมดไปกับการถูกมองถูกตีค่าในสายตาคนอื่น และเราเองก็ติดนิสัยที่มักจะมอง จะตีความสุขของคนอื่นเพียงสายตาที่มองเห็น ไม่ได้ใช้ใจที่สัมผัสถึงคุณค่าของแต่ละคน ใครจะไปรู้ได้เล่าว่าคนขายของข้างทางอาจจะมีความสุขมากกว่าผู้บริหารบริษัทใหญ่บนรถคันหรูที่ติดอยู่กลางถนน แน่ล่ะ...อันความสุขของใครก็ของเขา เราไม่สามารถตีตราราคาได้ หากเปรียบเทียบการเดินทางในชีวิตเราเป็นเหมือนผู้โดยสารบนขบวนรถ เรามีที่ยืน เรามีความสุข เราเห็นความสุขคนอื่น หรือเราดูถูกคนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่าเพื่อสร้างสุขเทียม ๆ ให้กับตัวเอง บ้างหรือเปล่า

ชารอนกับเพื่อนกำลังรอรถไฟใต้ดิน เนื่องจากฝนตกติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน จึงไม่ค่อยมีใครออกนอกบ้าน ด้วยเหตุนี้ สถานีรถไฟใต้ดินจึงค่อนข้างเงียบเหงา    ครู่หนึ่งขบวนรถไฟที่พวกเธอต้องการจะโดยสารก็เข้าเทียบชานชาลา ทั้งสองคนเดินเข้าไปในตู้โดยสารด้วยกัน
ในตู้โดยสารก็เป็นเช่นเดียวกับที่สถานี    ผู้คนบางตาอย่างยิ่ง   ในขณะที่ชารอนกำลังนั่งเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับเต็มที เธอก็เห็นพ่อลูกคู่หนึ่งเดินเข้ามาในตู้โดยสาร  ผู้เป็นพ่อสวมแว่นตาดำ  ลูกชายเป็นคนจูงเดิน ท่าทางคงจะเป็นคนตาบอด   ลูกชายอายุยังน้อย  แต่กลับต้องเป็นผู้นำทางให้ผู้เป็นพ่อ ทั้งสองค่อยๆ เดินมาทีละก้าวอย่างช้าๆ  จนถึงบริเวณกลางช่องทางเดิน จึงหยุด
ชารอนเห็นสองพ่อลูกยืนนิ่งไม่ขยับก็ให้รู้สึกแปลกใจ  เพราะในรถมีที่นั่งว่างอยู่มากมาย    เหตุใดจึงต้องยืนด้วยเล่า?     รถไฟยังคงเคลื่อนที่ต่อไป เด็กชายเอ่ยขึ้นว่า
“สวัสดีครับคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทุกท่าน ผมชื่อโจอี้ ผมจะร้องเพลงให้ทุกท่านฟังสักสองสามเพลงครับ”
ในเวลานี้ผู้เป็นพ่อปลดหีบเพลงที่แบกอยู่บนบ่าลงมา และเริ่มบรรเลงคลอไปกับเสียงร้องอันกังวานใสของลูกชาย     ชารอนเข้าใจแล้ว ที่แท้พ่อลูกคู่นี้ก็คือวณิพกเร่ขายเสียงเพลง  ทว่า ไม่ว่าอย่างไรคนในตู้โดยสารก็ดูจะไม่สนใจ   พากันหลับใหลไปหมด    ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแม้แต่น้อย
หลังจากร้องจบไปหลายเพลง   เด็กชายผู้นั้นก็เดินมาที่หัวรถด้านหนึ่ง  เริ่มขอเรี่ยไรเงินจากผู้โดยสารทีละคน   ทว่า ในมือของเด็กชายหาได้มีอุปกรณ์ประเภทหมวกหรืออย่างอื่นไม่     อีกทั้งไม่ได้แบมือไปตรงหน้าผู้โดยสาร เขาเพียงแต่เดินมาหยุดตรงหน้าแล้วเรียกอย่างนอบน้อมว่า
“คุณผู้ชายครับ...คุณผู้หญิงครับ”
จากนั้นก็ยืนคอยเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งชารอนเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่น  แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้เงิน   เนื่องจากถูกหลอกมาหลายครั้งเต็มที  ไม่ว่าเป็นใครก็คงอดเอือมระอาไม่ได้    ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะให้เงิน ทุกคนต่างทำเป็นไม่มอง บ้างก็หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างไม่ช้านานเด็กชายก็เดินมาใกล้จะถึงชารอน    เธอพลันรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงคนร้องเอะอะโวยวายขึ้น
“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน     ไม่รู้ยังไงนะขอทานในลอนดอนถึงได้มากมายขนาดนี้  กระทั่งในรถไฟใต้ดินก็ยังมี...”
คราวนี้สายตาทุกคู่ต่างพุ่งไปยังสตรีวัยกลางคนที่ร้องเสียงแหลมผู้นี้เป็นตาเดียวกัน    เธอนั่งอยู่ข้างหน้า  ถัดจากชารอนไปเพียงแถวเดียว   เด็กคนนั้นดูสงบเยือกเย็นมาก หนูน้อยชี้แจงอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“คุณผู้หญิงครับ ผมไม่ใช่ขอทาน ผมเป็นคนขายเสียงเพลง
วินาทีนั้นบรรยากาศภายในห้องโดยสารก็เงียบกริบ      ราวกับทุกอย่างเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง     หลังจากนั้นสายตาเย็นชาทุกคู่ก็พลันเปลี่ยนเป็นสายตาอันอบอุ่น  มีเสียงคนปรบมือนำขึ้นมา   จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นกึกก้อง จากนั้นชารอนก็ลุกขึ้นวางธนบัตรใบหนึ่งลงบนมือของหนูน้อยอย่างสุภาพโดยไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการให้ทาน (จาก Page เรื่องดีๆ มีข้อคิด)


 ความสุขแบบง่าย ๆ ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้เสมอนั่นคือ การที่เราหยุดที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หยุดที่จะดูคนเพียงแค่ภายนอก ให้คุณค่ากับทุกชีวิต แล้วชีวิตเราจึงจะมีคุณค่า ในสังคมที่หลายหลาก เราจำเป็นต้องหาความสุขให้พบ การมองสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาด้วยหัวใจ เราจึงจะเข้าใจ และสนใจผู้คนได้ ในขบวนรถของชีวิตเราแต่ละคน ต่างต้องพบเจอ พูดคุย รู้จักกับคนมากมาย หลายช่วงเวลา บางครั้งมีบ้างที่ตกอยู่ในขบวนรถที่เต็มแน่น เป็นสถานการณ์ชีวิตเลวร้าย  เป็นสิ่งที่เราจนปัญญาจะควบคุมได้   แน่ล่ะ...คงไม่มีใครอยากประสบความล้มเหลว  ไม่มีใครอยากจะมีชีวิตอยู่ยากลำบาก ท่ามกลางสายตาคนรอบข้างที่มองเรา  ย่อมเปลี่ยนไปในสภาพเช่นนี้เราจะมีความสุขและความเบิกบานใจได้อย่างไร??? ยิ่งเราแคร์สายตาคนอื่นมากไป กังวลกับความคิดของคนอื่นเกินงาม เราย่อมจะเจอแต่ความอึดอัด หงุดหงิด เราจะต้องหวนกลับมาทำให้ขบวนชีวิตนี้เป็นขบวนรถที่เดินทางไปพร้อมกับความสุข อย่าปล่อยให้สายตาคนอื่น ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเรา ทำจิตใจของเราให้มองหาคุณค่ากับทุกสรรพสิ่งสร้าง ทำหัวใจให้ยากจน ทำหัวใจให้บริสุทธิ์ เพราะผู้ใดที่มีใจยากจนและบริสุทธิ์ย่อมเป็นสุข เมืองสวรรค์เป็นของเขา 

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความงามบนแผ่นหิน

ความงามบนแผ่นหิน
การเยี่ยมชมปราสาทใหญ่โตมากมายในเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา (เขมร) คือ สถานที่เป้าหมายสำหรับการท่องโลกกว้างในครั้งนี้ เป็นการมาเยือนกัมพูชาอีกครั้งหลังจากเคยมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ในครั้งนั้นเดินทางไปที่กรุงพนมเปญ และได้รับรู้ถึงความทุกข์ของมนุษยชนคนชาติเดียวกันที่ต้องมาเข่นฆ่ากัน ทิ้งรอยเจ็บช้ำไว้ให้คนรุ่นหลัง ได้เคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง “จากกัมพูชามาติมอร์ส่อถึงใจคน (บทเรียนซ้ำ ๆ ของอารยชน)”  เมื่อปี 2002 ในตอนหนึ่งว่า “ใครที่เคยไปประเทศกัมพูชา ย่อมรับรู้ถึงบาดแผลแห่งสงครามได้ดี อนุสรณ์ของความสูญเสียยังคงอยู่ ฝังลึกลงในจิตใจของชาวเขมร คุกตุลสแลง ทุ่งสังหาร คือแผลเป็นในใจของพวกเขา ยากที่จะลืม หัวกะโหลก เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้มาเยือนมีทัศนคติที่ดี มีความเข้าใจ เห็นใจถึงความเป็นอยู่ของชาวเขมร.....

ประเทศที่เต็มไปด้วยศิลปะอันงดงาม ปฎิมากรรมอันอ่อนช้อย บ่งบอกถึงจิตใจอันอ่อนไหวของผู้คน ประเทศที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งศิลปะเช่นนี้ ทำไมวันหนึ่ง.. ต้องพบกับความทารุณโหดร้าย แน่นอนความไว้เนื้อเชื่อใจกันจึงไม่มี มีแต่ผลประโยชน์เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ความเห็นแก่ตัวจึงเข้ามาแทนที่จิตวิญญาณแห่งความอ่อนไหวจนหมดสิ้น...”
กลับมานั่งอ่านบทความเก่าที่เขียนไว้ถึงความเป็นอยู่ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งในครั้งกระโน้นก็คิดว่า “อยากจะเดินทางมาเยี่ยมชมปราสาทนครวัด นครธม” ที่เมืองเสียมเรียบเหมือนกัน แต่ถนนหนทางไม่เอื้ออำนวยให้เดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับมานอนที่พนมเปญ จึงมีโอกาสเพียงไปรับรู้ผลของสงครามล้างเผ่าพันธุ์ในกรุงพนมเปญเท่านั้น
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปในรอบ 10 กว่าปีการพัฒนาในประเทศเพื่อนบ้านก็พัฒนาขึ้นมามากเป็นลำดับ จากความทุกข์เข็ญ ค่อย ๆ เริ่มต้นพัฒนาขึ้น ถนนจากเมืองหนึ่งสู่เมืองหนึ่งจึงได้รับการสร้างให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ในครั้งนี้เดินทางเข้าเขมรผ่านตรงชายแดนจังหวัดสระแก้ว มุ่งสู่เมืองเสียมเรียบ ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง และแน่นอนอย่างที่เคยเขียนไว้ในบทความข้างต้นว่า ความทุกข์ที่เกิดจากสงครามกลางเมืองสร้างรอยแผลในจิตใจของผู้คนชนเขมรมาอย่างยาวนาน ในทุกพื้นที่ไม่เว้นในจังหวัดเสียมเรียบแห่งนี้ ผู้นำเที่ยวจึงนำพวกเราไปสัมผัสถึงความสาหัสแห่งสงครามของชนชาติของเขา ที่ยังคงทิ้งร่องรอยทุกข์ไว้อย่างไม่มีวันจางหาย ถูกจารึกหยั่งรากลึกลงในจิตใจของประชาชนคนเขมร ถือว่าเป็นความขมขื่นที่ย้ำเตือนใจให้ผู้มาเยือนให้รู้รักถิ่นฐาน มีความสามัคคี อย่าทำให้สังคมแตกแยกด้วยเพียงเพราะอำนาจบาตรใหญ่
และแน่นอนมาเมืองแห่งนี้ สิ่งที่เราใฝ่ฝันอยากจะเห็นอยากจะสัมผัสสักครั้งนั่นก็คือ “ปราสาท” ทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ในเมืองแห่งนี้ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว แสงแดดที่แผดส่องลงมาในยามสาย ๆ ตลอดจนเที่ยงยันบ่ายแก่ ๆ กับการเดินชมความงามและความวิจิตรตระการตาของมรดกโลก ทำให้เราได้รับรู้ถึงความเชื่อ แรงศรัทธา ที่ชนชาติหนึ่งมีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนเกิดเป็นสิ่งสร้างที่มหัศจรรย์ ก้อนหินแต่ละก้อนที่ถูกเคลื่อน เลื่อน ซ้อนทับกันทีละชั้นทีละชั้น จนเป็นขั้นเป็นเหลี่ยมเป็นมุม จากนั้นก็สกัด แกะกะเทาะออก ให้เกิดเป็นลวดลาย เกิดเป็นเรื่องราวอันประณีตงดงาม ที่บอกเล่าถึงแรงศรัทธา ปราสาทที่สร้างขึ้นส่วนมากเพื่อบูชาต่อทวยเทพกษัตริย์ผู้ปกครอง ผู้สร้างความเจริญเติบโตของอาณาจักร ไม่ต่างกับการสร้างตึกสร้างอาคารของยุคนี้ที่เป็นเครื่องแสดงถึงเมืองที่พัฒนา แต่ยุคนั้นสร้างบนฐานแห่งศรัทธา ยุคนี้สร้างบนฐานแห่งเศรษฐกิจ มีสิ่งที่แตกต่างกันอีกอย่างหนึ่งคือในแต่ละปราสาทมักบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา ความเป็นอยู่ สภาพบ้านเมือง มีทั้งที่สลักลายลักษณ์อักษร เป็นรูปปั้น จดจารเป็นตำนาน ให้คนรุ่นหลัง รุ่นเราได้เรียนรู้ ให้เราได้ศึกษาถึงความงามและความหมั่นเพียรบันทึกเหล่านี้คือความงามบนแผ่นหินนั่นเอง
การสลักความงามบนแผ่นหินย่อมคงทนมากกว่าการขีดเขียนลงบนแผ่นดินพื้นทราย หรือบันทึกไว้บนกระดาษ ซึ่งหลายชนชาติเลือกที่จะใช้กัน และมักสูญหาย เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา เป็นความรู้สึกยามเมื่อกำลังเดินชมภายในปราสาทเหล่านั้น และยังสะท้อนให้ไตร่ตรองถึงการมีชีวิตอยู่ของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเลือกได้ใช่ไหมว่าเราจะบันทึกความดี ความงามของชีวิตเราลงแผ่นหิน และเขียนระบายเรื่องราวร้าย ๆ ลงบนพื้นทราย ให้มันละลายหายไป เมื่อลมมา น้ำพัดสาด เราเลือกที่จะสร้างความดีให้คงทน ลบลืมเรื่องราวร้าย ๆ คำพูดที่ไร้ค่าให้หายไปจากชีวิต เราเลือกที่จะสร้างฐานชีวิตให้แข็งแกร่งดุจศิลา ด้วยศรัทธาในความดีมีเมตตาต่อคนอื่น เราเลือกได้ที่จะสลักความงามลงในจิตใจ เราเลือกได้ที่จะพัฒนาจิตวิญญาณเพื่อเป็นเครื่องบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่อพระผู้สร้าง


ใช่หรือไม่ ใครสร้างบ้านบนแผ่นหินย่อมทนทานกว่าการสร้างบ้านลงบนพื้นทราย แล้ววันเวลาที่ผ่านมา ในวันเวลาที่กำลังเคลื่อนเลื่อนมาหาเรานั้น เราได้สร้าง จารึกอะไรไว้บนแผ่นหินบนศิลาแห่งชีวิตนี้บ้าง มีเรื่องราวความงามฝากไว้ให้ใครได้จดจำบ้างหรือยัง!!! ที่สำคัญความดีที่เราทำนั้นหากได้บันทึกไว้ในใจคนย่อมมีค่าและควรคู่มากกว่าสิ่งใดทั้งหมดทั้งสิ้น ในด้านหนึ่งที่ควรคำนึงถึง ในแต่ละวัน ย่อมมีความทุกข์ท้อจากตัวเรา จากคนรอบข้าง จากสังคม เราควรที่จะปล่อยให้หลุดหายไปบ้าง ปล่อยทิ้ง ปล่อยวางลงบ้าง  อย่าทำให้เป็นภาระที่หนักทับหลังในการเดินทางของเรา หรือไม่เราต้องนำสิ่งเหล่านั้นมาแกะสลัก ขัดเกลาให้งดงาม กลายเป็นฤทธิ์กุศลสร้างความเข้มแข็งให้ชีวิตเรา แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเช่นนั้น แต่เราต้องพยายาม คิดดูเถอะ...ขนาดแผ่นหินบนภูเขาคนรุ่นก่อนยังสกัดขัดเกลาสร้างปราสาทใหญ่โตได้ แล้วสำหาอะไรกับแค่ความทุกข์ยากลำบากในชีวิต จะทำให้กลายเป็นเรื่องความดีมีเมตตาต่อกันไม่ได้เล่า เพื่อว่าความดีของเราจะช่วยให้จิตใจของเราเป็นปราสาทราชวังที่งดงามถวายให้แด่พระเจ้า เราพร้อมที่จะพยายามลงมือขัดเกลา สลักรัก ก่อร่างสร้างขึ้นมาบนก้อนแข็งกร้าวของจิตใจเราหรือยัง...

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หน้า กาก ๆ

หน้า กาก ๆ
การเดินทางไปยังต่างที่ต่างถิ่น มีสิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คน มักจะคิดเหมือนกัน คือ เที่ยวตามหาของฝาก บางทีบางคนหมดเวลาไปครึ่งค่อนวันกับสิ่งเหล่านี้ หมดเวลากับการจ่อมจมอยู่ในร้านขายของที่ระลึก บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า มาเที่ยวตั้งไกลไฉนมาซุ่มอยู่ในร้านเล็ก ๆ สิ่งรอบกายที่แปลกตาตื่นใจกลับมองข้ามกันไป แต่เรื่องแบบนี้ก็เป็นรสนิยม เป็นสไตล์ส่วนตัวของใครของมัน นั่นอาจจะเป็นความสุขในการท่องเที่ยวของคน ๆ นั้นก็ได้ เช่นเดียวกันกับสิ่งที่มักชอบไปมองดู (แต่ไม่เคยซื้อ) ซึ่งในร้านขายของที่ระลึกเหล่านั้น ก็จะมีมุมหนึ่งที่ขายหน้ากาก ในแต่ละที่แต่ละถิ่นก็มีหน้าตา มีสีสัน มีอารมณ์ ในหน้ากากนั้นแตกต่างกัน ที่เหมือนกันคือ เอาไว้ใส่ชั่วครั้งชั่วคราว สร้างอารมณ์ครื้นเครง และก็เก็บเกี่ยวไว้เป็นที่ระลึก

เวลาที่เรามองดูหน้ากากนั้น ก็มักจะมองมุมกลับมาในสังคมที่เราอยู่ ใช่หรือไม่ เราล้วนต่างก็สวมใส่หน้ากากเข้าหากัน เป็นหน้ากากที่เผยโฉมได้อย่างแนบเนียน จนเป็นหนึ่งเดียวกับใบหน้าที่แท้จริง หลายครั้งเราถูกปลูกฝังว่าต้องตีหน้าแบบนี้ ทำหน้าแบบนั้น เพื่อให้ถูกจริตส่วนรวม เมื่อทำกันไปนาน ๆ เข้า ก็กลายเป็นว่าหน้ากากนั้นเป็นหน้าของเราจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่หน้าแบบนั้นคือหน้าของการเสแสร้ง เราถูกสร้างให้เป็น “มนุษย์หน้ากาก”  จนฝังรากลึกลงไปในหัวใจของคนในสังคม
สังคมทุกวันนี้มีแต่การหลอกลวง คนดีนั้นผิด...คนชั่วกลับลอยนวล  ความดีเลือนหายไป ความชั่วร้ายก้าวเข้ามาแทน  ทำตัวเสแสร้ง....ซ่อนอยู่ในสังคม
หน้ากากที่แสนดีปกปิดเงื่อนซ่อนงำไว้... ลึก ๆ ข้างในคือสัตว์ร้ายที่โสมม
ได้แต่มอง..ได้แต่ลุ้นให้คนอื่นเขาล้ม ได้แต่คิดภาวนาให้คนอื่นเขาล่มจม..นี่ล่ะหนาความระยำของมนุษย์ชน มันช่างวกวนซับซ้อนเงื่อนงำ..แต่คนที่ไม่ขำมันก็คือพวกเรา เพราะเรานั้นรู้ว่าใต้หน้ากากใบนี้..มันไม่จริง(หนึ่งในถ้อยคำของผู้สร้างสรรค์งานเพลงนิรนาม)
ในสังคมมนุษย์เรา ทุกหมู่เหล่ากำลังหันมาสวมใส่หน้ากากที่มีสีสันสวยงาม และเป็นหน้ากากที่มีรอยยิ้มสดใสที่ประดับประดาไปด้วยสิ่งจอมปลอมที่ถูกเรียกกันว่า คุณธรรม “จริยธรรม” เคลือบบางเบาอยู่บนเปลือกนอก แต่กลับละเลยเนื้อหาสาระแก่นแท้ในความดีงาม ใช้เป็นเพียงสิ่งเทียมทนให้คนได้สรรเสริญยกย่อง ทำความดีมีคุณธรรมเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น พอลับหลัง ความดีงามนั้นกลับไม่ใช่ของจริงของแท้ ที่จะช่วยขัดเกลาจิตวิญญาณให้เจริญเติบโตขึ้น
ยิ่งเราอยู่ในสังคมที่เคลือบเพียงแต่กรอบของวัฒนธรรม กรอบของธรรมเนียมปฏิบัติ กรอบของค่าวัตถุนิยมแล้ว เรากลับไปยึดมั่นกรอบเหล่านี้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่กลับไปพยายามทำตามในสิ่งที่สังคมบอก ทำตามสิ่งที่สังคมนิยมชมชอบ ทำตามสิ่งที่สังคมชี้นำ มันเหมือนว่าเราไม่เคารพตัวเอง เมื่อคนคนหนึ่งไม่เคารพตัวเอง เขาก็คงจะไม่สามารถรักตัวเองได้อย่างแท้จริงแล้วเช่นนี้เราจะรักคนอื่นได้อย่างไร ยิ่งเราใส่หน้ากากเข้าหากันมากเท่าไหร่ ความเมตตาที่มีให้กันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในสังคม
มีคนเคยกล่าวว่า “มนุษย์เราต้องก้าวไปข้างหน้า” เราจึงพัฒนาวัตถุ พัฒนาสังคมบนวัตถุแล้วเราก็เดินตามวัตถุ เราสร้างค่าให้วัตถุแล้วเราก็หลงใหลไปในวัตถุ จนถึงวันนี้วันที่เราพัฒนาตนเองอย่างถึงที่สุด แล้วเราก็หลงตัวเอง พยายามสร้างค่าให้ตัวเองแล้วเราก็หลอกตัวเอง ด้านหนึ่งเราก็หาทางเพื่อจะหนีความรู้สึกของตัวเองแต่เราก็วางกับดักไว้ให้ตัวเอง จนไม่มีทางออก ความสับสนวุ่นวายจึงกลายเป็นมรดกทางวัตถุที่เราสะสม ปลูกฝังกันมา คุณค่าทางจิตใจเป็นสิ่งไร้ความหมายในสายตาของคนยุคใหม่ ที่ไร้ความจริงใจต่อกัน เราอยู่ร่วมกันได้ด้วยความหลอกลวง เรามีสิ่งจอมปลอมเป็นเครื่องมือพัฒนา แล้วมันใช่หรือ..!!!!
หน้ากากโดยส่วนมากมักไม่ใช่หน้ากากที่สวยงาม ส่วนมากมักเป็นหน้ากากปีศาจ หน้ากากแฟนตาซี แล้วหน้ากากของคนส่วนใหญ่ที่สวมใส่นั้น หลายคนหลงว่าคือหน้ากากที่สวยงาม หน้ากากพระเอกนางเอก จนคนบางคนสวมใส่หน้ากากไว้หลาย ๆ ชั้นเพื่ออำพรางใบหน้าที่แท้จริง เพื่อให้เข้ากับสังคม เพื่อต้องการพื้นที่ให้ตัวเองได้ยืนอยู่ในสังคม และเมื่อถึงเวลาต้องถอดหน้ากากออกทีละชั้น ๆ ในวันที่ต้องแสดงจุดยืนจุดหนึ่งของตน สิ่งที่อยู่ข้างในหน้ากากนั้นก็ยังเป็นหน้ากากอยู่วันยังค่ำ เป็นหน้า กาก ๆ ในความจอมปลอม ไม่มีใบหน้าที่แท้จริงแต่อย่างใด จนกระทั่งแม้แต่ตัวเองก็จำไม่ได้แล้วว่า แท้จริง เราเป็นคนแบบไหนกันแน่

แต่ใช่ว่าโลกนี้จะเต็มไปด้วยความจอมปลอม เรายังมีความจริง คนจริงใจ ทำความดีอย่างตรงไปตรงมา ไม่เคยสวมใส่หน้ากากยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากหน้ากากและปฏิเสธสิ่งเย้ายวน มายาภาพของหน้ากากนั้น   พวกเขายังสามารถยิ้มและหัวเราะได้ด้วยรอยยิ้มที่สดใสกลั่นออกมาจากใจได้จริงๆ และสามารถอุทิศให้ มีเมตตาด้วยความจริงใจ ทำความดีโดยมิหวังสิ่งตอบแทน คนเหล่านี้มีความสุขอยู่ในมุมเล็ก ๆ ที่แต่ละคนมีใบหน้าผ่องใส เป็นใบหน้าที่งามตามธรรมชาติ ไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องกังวลว่าจะหยิบหน้ากากไหนมาสวมใส่ และไม่ต้องกลัวว่าจะหยิบหน้ากากผิดงานมาใส่

ในวันเวลาแบบนี้ สังคมเราต้องการความจริงใจต่อกัน ไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์ เราต้องถอดหน้ากากที่เรียกกันว่า “ความเสแสร้ง” ออกและทิ้งไปอย่างถาวร ร่วมกันสร้างสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ให้สังคมของเราทุกคนคงเหลือเพียงมนุษย์แท้ ๆ ที่ปราศจากหน้ากาก ๆ และสร้างรอยยิ้มอันสดใสสวยงามที่เปล่งออกมาจากใจให้แก่กันและกัน ไปจนตราบกาลนาน เราต้องเรียนรู้ที่จะเคารพตัวเอง ทำให้ตัวเรามีความสุขกายสบายใจ จริงใจต่อตัวเอง ผู้ที่อยากมีความสบายใจคือผู้ที่ถ่อมตนเพื่อรับใช้ผู้อื่น นี่ต่างหากหน้าตาที่แท้จริงที่เราควรหันมามองใส่กันและกัน อย่าให้หน้ากาก ๆ เข้าครอบครองใบหน้าอันงดงามของเราเลย...